ก่อนจะมาสะดุดอยู่ที่ท่าทีลับลมคมในของน้ำหนึ่งก่อนจะใช้ให้เขาออกมาซื้อของเป็นสิ่งสุดท้าย พอรู้ตัวอีกทีปฐวีก็ต้องเหยียบเบรกจนหน้าแทบคะมำ โชคดีว่าไม่มีรถตามหลังมา
พับผ่าสิ มันอะไรกันล่ะนั่น!
บริเวณหน้าบ้านอันแสนสงบของเขาตอนนี้มีรถมาจอดอยู่สองคัน หนึ่งในนั้นเหมือนจะเป็นรถของตำรวจเสียด้วย เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเพ่นพ่านอยู่เต็มไปหมด ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของน้ำหนึ่ง
และที่น่าปวดใจจนแทบน้ำตาไหลก็คือกุหลาบ Glamis Castle ที่เขาอุตส่าห์ฟูมฟักมาหลายเดือนจนออกดอกงามสมใจกำลังถูกคนแปลกหน้าพวกนั้นเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี
เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะมาเพราะน้ำหนึ่งหรือใคร เขาจะไม่ยอมใจดีให้อีกแล้ว
ทว่าก่อนจะผลีผลามเข้าไปก็มีอะไรบางอย่างมาดลใจให้ปฐวีต้องเปลี่ยนความคิด บรรยากาศอันไม่ชอบมาพากลทำให้เขาตัดสินใจรีบถอยรถแอบไว้ข้างทางให้ห่างจากบรรดารถของตำรวจและคนแปลกหน้าที่มาอออยู่เต็มบ้าน แล้วจึงค่อยๆ อ้อมไปดูลาดเลาจากรั้วหลังบ้านแทน
ระหว่างนั้นก็พยายามโทรหาน้ำหนึ่งไปด้วย แต่กว่าอีกฝ่ายจะกดรับก็ต้องโทรย้ำๆ อยู่หลายสายจนหงุดหงิดใจ ทว่าปฐวียังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดก็ถูกชิงเอาโทรศัพท์ไปจากมืออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“คะ…”
มือนั้นเอื้อมมาปิดปากเขาไว้พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแนบปากตัวเองแทนสัญญาณให้เงียบเสียงลง จนเมื่อเห็นว่าปฐวีเข้าใจดีแล้วจึงยอมปล่อยให้เขาได้พูด
“คุณหนึ่ง! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ปฐวีกระซิบถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไปก่อนเถอะพี่วี รีบไปจากที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งถาม!”
ปฐวีพบว่าหญิงสาววิ่งออกมาจากบ้านทั้งเท้าเปล่า เสื้อผ้าก็เป็นรอยเปื้อนอยู่หลายแห่งจากการวิ่งฝ่าดงกล้วยหลังบ้านออกมา แล้วก็คงจะปีนรั้วด้วย
พอเห็นชายหนุ่มยังละล้าละลัง น้ำหนึ่งก็เป็นฝ่ายฉุดมือเขาให้วิ่งห่างออกไปจากตัวบ้าน ปากก็ถามไปด้วยว่า “รถพี่วีอยู่ไหน…”
“ถนน รถอยู่ที่ถนน”
แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ปฐวีก็ตัดสินใจยึดมือน้ำหนึ่งไว้แน่นแล้วเป็นฝ่ายเร่งฝีเท้านำไปที่รถแทน โชคดีว่าไม่มีใครเอะใจเรื่องรถของเขาที่จอดแอบห่างออกไป จึงสามารถเปิดประตูขึ้นไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็น
ปฐวีจับพวงมาลัยทั้งที่มือยังสั่น เหงื่อซึมชื้นไปทั่วใบหน้าด้วยในชีวิตอันแสนสงบไม่เคยต้องเผชิญกับเรื่องผาดโผนเช่นนี้มาก่อน
“เร็วสิ เดี๋ยวพวกมันก็เห็นหรอก” น้ำหนึ่งเร่งเร้าทั้งที่ปากคอยังสั่น
“ขืนรีบใส่เกียร์ถอยดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเจมส์ บอนด์ เขาก็จะได้แห่ขับตามกันมาเป็นโขยงสิครับ”
แม้อยู่ในยามคับขัน ความคิดเห็นของเขากับน้ำหนึ่งก็ยังไม่มีวันไปทางเดียวกันอยู่นั่นเอง แต่ปฐวีไม่มีเวลาจะมาใส่ใจอีก นอกจากพยายามเลี้ยวรถย้อนขึ้นไปบนถนนอย่างไม่ให้กลายเป็นจุดสังเกต
ใจเย็นเว้ยไอ้วี อีกนิดเดียว…
แต่ปฐวีก็เย็นอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะทันทีที่เลี้ยวรถกลับไปได้แล้วเขาก็แทบจะเหยียบเบรกมิดเท้าด้วยอกใจไหวระทึก ส่วนน้ำหนึ่งที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ ก็ลนลานหันไปดึงเอาเข็มขัดมาคาดไว้เพื่อความอุ่นใจ
จนกระทั่งทิ้งห่างออกมาพอสมควร ปฐวีถึงหันกลับไปถามน้ำหนึ่งอีกครั้งด้วยความมึนงงเต็มที่
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ผมมืดแปดด้านไปหมดแล้ว”
“พี่วีอย่าเพิ่งถามอะไรหนึ่งตอนนี้ได้ไหม รีบหนีไปให้ไกลที่สุดก่อนดีกว่า”
“หนี?” ปฐวีย่นหัวคิ้ว “ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ คนพวกนั้นมาบุกบ้านผมนะ”
“เถอะน่า พี่วีขับรถไปก่อน ไปไหนก็ได้ แล้วหนึ่งจะเล่าให้ฟังว่าทำไมเราต้องหนีไปก่อน”
ท่าทางที่ยังไม่หายจากอาการเสียขวัญเมื่อครู่ทำให้ปฐวีจำต้องยอมทำตามอีกฝ่ายไปก่อน ทว่าเขาก็ยังไม่รู้จะมุ่งหน้าไปไหนอยู่ดีนอกจากโฮสเทลของนาเมือง
ไม่ดีกว่า…ขืนไปคงไม่แคล้วเอาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไปให้ลุงเมืองเท่านั้น