บนตัวนางมีกลิ่นยาหอมโชยออกมา กลิ่นนั้นสั่นคลอนความเหนื่อยล้าของเขาได้อย่างน่าประหลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้นางถอยออกไป ยังคงให้นางกึ่งคุกเข่ากึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าเขา
“ฝ่าบาทได้โปรดอย่ารับองค์หญิงไร้มารยาทอีกทั้งขี้โรคคนหนึ่งไว้เลยเพคะ นั่นเป็นการขวางทางคนอื่นที่มีความสามารถ” นางมองหน้าเขา รู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นเร็วขึ้น จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก
“ไร้มารยาท? เจ้านี่ช่างรู้จักข้อบกพร่องของตนเองดีเสียจริง” เฮยทั่วเทียนจับปลายคางเนียนนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมา
หัวใจของฉู่เหลียนเฉิงบีบแน่น ทันใดนั้นก็รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ นางคิดว่านี่เป็นอาการโรคเก่าที่กำลังกำเริบ แต่ตอนนี้นางถูกเขาต้อนเสียจนมุม จึงทำได้แค่พยายามปิดบังอาการไว้ให้มากที่สุด
“เมื่อเทียบกับหม่อมฉันแล้วฝ่ายในของฝ่าบาทล้วนงดงามกันทุกนาง แต่คนที่เป็นขุนนางทั้งยังกล้าพูดตรงไปตรงมาแบบหม่อมฉันนั้นกลับมีเพียงผู้เดียว หากให้หม่อมฉันเป็นสนมของฝ่าบาท มีใจชอบพอต่อฝ่าบาท รักเดียวใจเดียว คอยคิดแต่เพียงจะทำอย่างไรจึงจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ยิ่งเรื่องของซินฮองเฮาก็เพิ่งจะเกิดขึ้น ฝ่าบาทยังจะทรงอนุญาตให้ฝ่ายในยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกหรือเพคะ เรื่องนี้คิดอย่างไรก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวฝ่าบาทและตัวหม่อมฉันสักนิด”
เฮยทั่วเทียนไม่ตอบอะไร ดวงตาดำขลับจ้องฉู่เหลียนเฉิงเขม็ง เมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของนางจึงปล่อยแขนให้นางได้นั่งลง
ฉู่เหลียนเฉิงผ่อนลมหายใจ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แท้จริงแล้วด้วยปัญหาสุขภาพ นางจะเหนื่อยมากไปไม่ได้และหิวมากก็ไม่ได้ หากเขาได้รู้ปัญหาเรื่องนี้คงไม่ยอมให้นางได้เข้าเป็นขุนนาง
“เป่ยโม่ของเราไม่ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางหญิง แม้ขุนนางหญิงจะมีไม่มากเช่นแคว้นหนานฉู่ แต่สำหรับในสำนักบัณฑิตหลวงของเรากลับไม่เคยมีขุนนางหญิงมาก่อน”
“สำนักบัณฑิตหลวงเริ่มก่อตั้งเพื่อฝ่าบาทเมื่อครั้งยังเป็นไท่จื่อ ทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้น และเรื่องที่หม่อมฉันจะเข้าสำนักบัณฑิตหลวงจะทำให้ผู้คนได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี จากแคว้นใด เป็นใคร สูงหรือต่ำล้วนทำคุณแก่เป่ยโม่ได้ทั้งสิ้น”
เฮยทั่วเทียนหยักยิ้มมุมปาก เขาไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อน นางไม่ต้องการเป็นที่โปรดปรานของเขา แต่กลับอยากใช้ความสามารถของตนเองพัฒนาประเทศและส่งเสริมการทหาร แล้วนางมีความสามารถเช่นนั้นหรือ
เขาพบว่าภายในใจตนเองมีความคาดหวังอยู่ หลังจากสังเกตนางอย่างละเอียดอีกครั้งก็บอกกับนางว่า “เจ้าถอยไปก่อนสักครู่”
“เพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงคารวะแล้วหมุนตัวเดินห่างไป
“เตรียมเกี้ยวส่งองค์หญิงเหลียนเฉิงกลับ” เฮยทั่วเทียนมองร่างกายผอมกะหร่องของนางแล้วจึงตะโกนบอก
“พ่ะย่ะค่ะ” ซย่าหล่างขันทีที่อยู่ด้านนอกประตูขานตอบรับ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะฝ่าบาท” ฉู่เหลียนเฉิงหมุนตัวกลับไปคารวะอีกครั้ง
คนที่สามารถนั่งเกี้ยวภายในวังหลวงได้ นอกจากฮ่องเต้แล้วก็มีขุนนางที่มีอำนาจ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้นางคงยากเลี่ยงเสียงนินทาที่จะตามมาในภายหลังได้ แต่ฉู่เหลียนเฉิงในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะแก้ตัว เพราะขาทั้งสองข้างของนางอ่อนล้าแล้ว และพละกำลังทั้งร่างกำลังจะหมดไป อาจเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อฉู่เหลียนเฉิงมาถึงนอกประตูวัง ก็ล้วงยาลูกกลอนจากถุงผ้ามาใส่ปากทันที
ซย่าหล่างเห็นมือที่ถือเม็ดยาของนางกำลังสั่นเทา จึงตะโกนบอกให้ขันทีคนอื่นเตรียมตัว แล้วเขาค่อยกลับเข้าวังไปอีกรอบ
“ถึงเวลาที่องค์หญิงต้องเสวยพระกระยาหารแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมอาหารให้นางกินระหว่างทาง จะได้ไม่มีปัญหาอะไรกับคนป่วยใกล้ตาย” เฮยทั่วเทียนยิ้มออกมา
ซย่าหล่างได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เร่งรุดไปดูแล ในใจจดจำองค์หญิงเหลียนเฉิงไปได้โดยปริยาย
เฮยทั่วเทียนลุกขึ้นยืน หยิบเอาสมุดจดรายชื่อประวัติตัวประกันของแต่ละแคว้นออกมา อ่านประวัติของฉู่เหลียนเฉิงโดยละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็ดีดนิ้วเรียกองครักษ์ส่วนพระองค์มา ให้พวกเขาสืบประวัติของฉู่เหลียนเฉิงมาอย่างละเอียดและถูกต้อง เพราะแต่ไหนแต่ไรคนที่เขาสงสัยจะไม่เรียกใช้งาน คนที่เขาจะใช้งานต้องไม่น่าสงสัย