องค์หญิงสามแคว้นหนานฉู่แม้จะเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าจิตใจดี เฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ และมีคุณธรรม แต่แท้จริงแล้วนางยังเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ในบรรดาราชนิกุลนอกจากโม่ชิงที่เคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาจนสนิทกันตั้งแต่เยาว์วัยกับฟางกังแม่ทัพกองกำลังรักษาวังแล้วก็ไม่มีใครกล้าวางตัวตามสบายต่อหน้าเขาอีก
“เจ้ากินต่อสิ” เฮยทั่วเทียนมองนางแวบเดียว “นั่งลงแล้วกินให้หมดเถอะ”
ซย่าหล่างนำคนเดินเข้ามาจัดวางอาหารชั้นเลิศถวายฮ่องเต้ เฮยทั่วเทียนใช้เวลาไม่นานก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้สังเกตนางที่กำลังเบิกตาโพลงจ้องมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม ท่าทางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ฟุบหลับลงไป
ฉู่เหลียนเฉิงรู้สึกเสียใจขึ้นมาในภายหลังจริงๆ ที่นางกินอาหารเหล่านี้ไปช้ามาก จึงไม่ทันได้รีบกลับไปพักผ่อนที่จวนของนางให้เร็วกว่านี้
“เล่าข้อเสนอต่อเป่ยโม่จบ เจ้าก็กลับไปได้” เฮยทั่วเทียนวางตะเกียบลงแล้วมองนางนิ่งๆ
นางไม่ปฏิเสธ ทั้งยังเบิกตากว้างหลังฟังคำของเขาจบ พริบตาเดียวนางก็ตั้งสติได้ ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตหลวง นางจึงได้เขียนแผนการไว้หนึ่งอย่าง ตอนนี้เมื่อไม่ได้ตรึกตรองใดๆ ก็พูดโพล่งออกไปไม่แม้แต่จะหยุดคิด
“แผ่นดินเป่ยโม่ครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ทรัพยากรย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ แม้จะมีฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่กว่าร้อยปีในการควบคุมกำลังทหาร ยึดความดีความชอบทางทหารเป็นหลักแล้วประทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ ถือจำนวนหัวศัตรูเป็นรางวัล พยายามอย่างที่สุดเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางทหารและความสำเร็จต่อเป่ยโม่ เช่นที่หม่อมฉันเคยได้ทูลไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่สิ่งที่ราษฎรชาวเป่ยโม่ต้องการอย่างแท้จริงกลับเป็นเพียงความสงบสุขและการได้กินอิ่มท้อง หากเพื่อจะให้เกิดความสงบสุขและราษฎรได้กินอิ่มท้องขึ้นมานั้น พื้นที่ของเป่ยโม่ก็ควรมีการขุดคลองทดน้ำเข้านาขึ้นเพคะ”
“ขุดคลอง คำนี้เจ้าพูดออกมาง่ายดายเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าการขุดคลองต้องใช้กำลังแรงกายและปัจจัยจากราษฎรไปเท่าไหร่ ถ้าต้องใช้เวลานานถึงสิบปี ทั้งแคว้นจะพบเจอกับความรุ่งเรืองได้อย่างไร” เฮยทั่วเทียนโน้มตัวไปข้างหน้าจ้องนางเขม็ง
“หากเพื่อราษฎรแล้ว เวลาสิบปีจะเป็นไปมิได้เชียวหรือ หลังจากสิบปีฝ่าบาทก็ประสบความสำเร็จไปอีกร้อยปี ถือเป็นคุณไปอีกพันปีเพคะ” น้ำเสียงของนางก้องกังวาน สบตากับเขาโดยปราศจากความหวาดกลัวใดๆ
“แคว้นเป่ยโม่ของเรายังขาดคนมีฝีมือในการขุดคลอง”
“แคว้นเหลียงมีฝีมือทางด้านการสร้างสะพานทำถนน แต่เพราะอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นเป่ยโม่กับซีไป่จึงถูกคุกคามจากทั้งสองแคว้นมาตลอด ไม่มีทางแข็งแกร่งมั่งคั่งขึ้นมาได้เลย หากฝ่าบาทส่งคนให้ไปโน้มน้าวแคว้นเหลียง ขอเพียงแค่พวกเขาช่วยเป่ยโม่สร้างคลอง เป่ยโม่ก็จะไม่ก่อสงครามกับแคว้นเหลียงอีก เช่นนี้แล้วเหตุใดแคว้นเหลียงจะไม่ช่วยกันเล่าเพคะ”
เฮยทั่วเทียนไม่ได้พูดอันใด ทำเพียงแค่มองดวงตาใสคู่นั้นของนางนิ่งๆ เท่านั้น
ฉู่เหลียนเฉิงคาดเดาอารมณ์จากสีหน้าของเขาไม่ออก หวังแต่ว่าเขาจะได้ยินคำกล่าวของนาง สร้างประโยชน์เพื่ออีกหนึ่งร้อยปีภายหลังแก่ราษฎร ดังนั้นนางจึงรีบลุกจากเบาะที่นั่ง ยืดตัวแล้วคารวะ
“ตอนที่หม่อมฉันเป็นขุนนางของฝ่าบาท หม่อมฉันก็ถือเป่ยโม่เป็นแคว้นตนเองแล้ว หากฝ่าบาทเคลือบแคลงใจในความภักดี ก็โปรดประทานยาพิษดั่งเช่นเมื่อครั้งที่หม่อมฉันยังเป็นตัวประกันเถิดเพคะ”
“เจ้าคิดว่าร่างกายเจ้าเป็นเช่นนั้นจะรับยาพิษได้เสียเท่าไหร่กัน”
ฉู่เหลียนเฉิงยิ้มออกมากับคำพูดของเฮยทั่วเทียน ช่างโชคดีที่ได้เจอกับฮ่องเต้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตคน ฮ่องเต้เช่นนี้ย่อมต้องนึกถึงราษฎรอย่างแน่นอน
“เจ้าไปได้แล้ว” เฮยทั่วเทียนเอ่ย
ฉู่เหลียนเฉิงทูลลา หันหลังออกจากวังจื่อจี๋ไป แต่ในสมองกลับยังคงนึกถึงท่าทางของเฮยทั่วเทียน
ตอนที่นางพูดถึงเรื่องขุดคลองทดน้ำขึ้นมา สีหน้าเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ และก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร หรือเขาอาจเคยใคร่ครวญถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
นางตัดสินใจว่าหลังจากกลับออกมาจะเข้าไปเยี่ยมเยียนทหารเรือที่มีชื่อเสียงของเป่ยโม่ซึ่งอยู่ในวังเสียหน่อย หารือกับพวกเขาอย่างละเอียดแล้วค่อยเขียนข้อดีข้อเสียของการสร้างคลอง ให้การสร้างคลองทดน้ำนี้เป็นผลดีต่อราษฎรไม่ใช่รบกวนการทำงานของพวกเขา
เวลาที่นางจะทำอะไรบางอย่างมักมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ ฮ่องเต้ที่ทำงานในวังนั้นจิตใจต้องกว้างขวาง เพราะหากงานของนางราบรื่นก็จะเป็นผลดีต่อราษฎรส่วนรวม ชีวิตนี้ก็ถือว่ามีค่าไม่เสียแรงอาจารย์ที่ได้สอนสั่งนางแล้ว นางไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด ถึงแม้ชีวิตจะถูกลิขิตให้อยู่ได้ไม่นาน แต่การได้พบเจอกับฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว…