‘ฉู่อิงตาน องค์หญิงองค์โตหนานฉู่บีบบังคับให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์ ใช้ข้อหากบฏโดยไร้หลักฐานมาสังหารหมู่ฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงขุนนางมีชื่อและสกุลอื่นกว่าร้อยคน ผู้บริสุทธิ์กว่าพันคนถูกสังหารด้วยธนูจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองต้าเคิง เปลวไฟที่เผาร่างไร้วิญญาณตลอดสามวันก็ยังไม่มอด’
“อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ” โม่ชิงพูดขึ้นเบาๆ
ฉู่เหลียนเฉิงส่ายหน้าไม่ขยับไปไหน นางร้องไห้ไม่ออก เพียงกำหมัดแน่น พยายามพูดออกมาด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
“เป็นโชคดีที่หม่อมฉันคาดการณ์ได้ล่วงหน้าจึงได้มาขอพึ่งพาฝ่าบาท”
เฮยทั่วเทียนเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตาของนาง เป็นน้ำตาที่ไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปล่อยให้ไหลลงมาเสียที
“ที่ซึ่งมีฮ่องเต้เปี่ยมเมตตาก็คือแคว้นของหม่อมฉัน เพียงแต่หม่อมฉันสงสารเหล่าราษฎรของหนานฉู่” มือของฉู่เหลียนเฉิงกำจดหมายลับแน่น ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงที่พื้นต่อหน้าเฮยทั่วเทียน “ฝ่าบาทได้โปรดช่วยราษฎรหนานฉู่ให้พ้นจากความทุกข์ยากด้วยเถิดเพคะ!”
“ช่วยอย่างไร” เฮยทั่วเทียนเอ่ยถาม
“ยึดหนานฉู่มาเป็นเมืองขึ้นของเป่ยโม่” ฉู่เหลียนเฉิงโขกศีรษะให้แก่เฮยทั่วเทียนหนึ่งที
เฮยทั่วเทียนกับโม่ชิงลอบสบตากัน
“จะยึดมาอย่างไร” โม่ชิงเอ่ยปากถามต่อ “ราษฎรชาวหนานฉู่แม้ไม่น่าจะเกินแสนคน แต่เมื่อเทียบกับราษฎรในเมืองหลวงของเป่ยโม่แล้วจำนวนแทบจะใกล้เคียงกัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือเขตแดนทางเหนือของแคว้นหนานฉู่ติดกับเป่ยโม่ ทางตะวันตกติดกับซีไป่ ถ้าเราเข้าโจมตีหนานฉู่ ซีไป่จะไม่ฉวยโอกาสส่งทหารมาโจมตีเราอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันได้ยินว่าซีไป่ตอนนี้มีฝนตกหนักมาร่วมเดือนแล้ว ราษฎรเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ฮ่องเต้แคว้นซีไป่กลับยังคงสังสรรค์อยู่ทุกคืน ขอเพียงฝ่าบาทไม่เป็นกังวลเรื่องเงินทอง ส่งท่านทูตไปให้สินบนบรรดาขุนนางใหญ่ที่แคว้นซีไป่ ให้พวกเขาอ้างเรื่องแคว้นประสบอุทกภัยเป็นเหตุผลในการไม่ยกทัพ ขัดขวางคนที่จะส่งทัพมา…”
“เจ้าเงยหน้าขึ้น” เฮยทั่วเทียนมองใบหน้าที่ขาวซีดอีกทั้งริมฝีปากสั่นระริกของนางไม่วางตา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังพูดคือแผนการทำลายหนานฉู่”
“ระหว่างแคว้นกับแคว้นมีเขตแบ่งแยก แต่ชีวิตกับชีวิตล้วนไม่มีแบ่งแยก หม่อมฉัน…หวังว่าราษฎรของหนานฉู่จะดำเนินชีวิตได้อย่างดี…” ฉู่เหลียนเฉิงยืนขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้กดจุดเหอกู่ หวังเพียงว่าจะข่มเลือดลมที่ตีขึ้นมาถึงคอไว้ได้สักครู่
เฮยทั่วเทียนจับจ้องดวงตาของฉู่เหลียนเฉิง อยากให้ตนเองเดาออกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงจากใบหน้าของนาง
“เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่” โม่ชิงทนไม่ไหวพูดออกมาด้วยเสียงแผ่ว
“ราษฎรหนานฉู่ได้กินดื่มอิ่มท้อง มีชีวิตสงบสุขราบรื่นมั่นคง” ตัวของนางเริ่มโอนเอน กดปลายนิ้วไปที่จุดเหอกู่อย่างแรง นางรู้สึกเจ็บเสียจนในที่สุดก็มีสติขึ้นมา
“เช่นนั้นเจ้ายังจะให้เราส่งทหารไป?” เฮยทั่วเทียนถามด้วยท่าทางมั่นคง
“กองทหารหนานฉู่อ่อนแอ หากกองกำลังของฝ่าบาทโจมตีเข้าไป บางทีอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เอาชนะหนานฉู่ได้โดยง่าย แต่หากหนานฉู่ยอมสวามิภักดิ์ กองทหารของฝ่าบาทก็ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ จำนวนคนเสียชีวิตที่รบแพ้ของหนานฉู่แน่นอนว่าย่อมน้อยกว่าวิญญาณที่ถูกราชนิกุลประหัตประหารเสียอีก อีกทั้งวันที่ฝ่าบาทเข้ายึดเมืองโดยใช้เมตตากรุณาก็จะได้รับความเชื่อใจจากราษฎรของหนานฉู่ ขอเพียงคนหนานฉู่มีชีวิตที่สุขสบายกว่าทุกวันนี้ เหตุใดใจของราษฎรจะไม่ยอมศิโรราบแก่ฝ่าบาทเล่าเพคะ!”
เฮยทั่วเทียนจ้องหยาดเหงื่อบนหน้าผากกับสีหน้าท่าทางอดทนต่ออาการป่วยของนางจึงขมวดคิ้วเข้มพร้อมกับรับสั่งเบาๆ
“เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”
“เพคะ” ฉู่เหลียนเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยกายที่สั่นเทาแล้วค่อยหมุนตัวเดินออกมา แต่เพียงก้าวที่สองนางก็หายใจหอบจนเดินต่อไม่ไหว