14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน เชลยรักกักใจ
ตอนที่ตนเองดึงมือกลับไม่ทันได้ระวังนิ้วจึงกวาดไปโดนแก้มของนางเข้า สัมผัสเนียนนุ่มดุจผ้าไหมนั้นทำเขาตกใจ เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบใบหน้านางอย่างไม่อาจควบคุมได้
ฝ่ายในมีสตรีมากมาย แต่สตรีผู้ใดก็ไม่มีใครมีผิวใสดุจน้ำบริสุทธิ์ ผิวที่เยียบเย็นราวสายน้ำเช่นนี้ที่เขานึกออกก็มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
เขาออกแรงเพิ่มอีกนิดหน่อย รู้สึกว่าผิวเนียนนุ่มของนางทำให้ปลายนิ้วเขารู้สึกชาขึ้นมา
นางย่นคิ้ว พึมพำเบาๆ เสียงของนางเยียบเย็นเหมือนกับตัว
เฮยทั่วเทียนขมวดคิ้ว พบว่าตนเองใจสั่นเล็กน้อย นิ้วยาวไล้ไปตามใบหน้าและลำคอของนางอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นจึงออกแรงขึ้นอีก ส่วนที่ปลายนิ้วของเขาลากผ่านล้วนขึ้นเป็นรอยยาวสีชมพูราวกับกลีบของดอกอิงฮวา
“…ข้าไม่เป็นไร” นางพูดโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
เฮยทั่วเทียนมองหญิงสาวคนนี้ที่เห็นว่าเป็นอะไรชัดๆ เพียงครู่คิ้วเข้มก็ขมวดแน่น
นางป่วยมาหนักและนานเท่าไหร่แล้วกันแน่ถึงได้มีความคิดไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง ยังไม่ทันจะได้สติดี ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมานางก็รีบพูดว่า ‘ข้าไม่เป็นไร’ แล้ว!?
ปลายนิ้วปัดผ่านริมฝีปากไร้สีเลือดของนาง ดวงตาดำขลับจับจ้องบนแพขนตาที่สั่นไหวน้อยๆ ของนางนิ่งงัน
นางลืมตามองด้วยสายตาที่ยังจับภาพได้ไม่ชัด ยังคงไม่ได้สติคืนมา
“ข้าไม่เป็นไร” ฉู่เหลียนเฉิงขยับริมฝีปาก สัมผัสถูกนิ้วมือของเขาเข้าพอดี
นัยน์ตาเขาเกิดประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบชักมือกลับ
นางลืมตาขึ้นทันทีเพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าคนตรงหน้านางแท้จริงคือฮ่องเต้เป่ยโม่ มิใช่ข้ารับใช้ที่ดูแลนางเป็นประจำ
ฉู่เหลียนเฉิงพยายามอย่างยิ่งที่จะยันตัวขึ้นคารวะ แต่พยายามแล้วนางก็ทำไม่สำเร็จจริงๆ จึงทำได้เพียงแค่พูดด้วยเสียงสั่น “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยที่หม่อมฉันไร้มารยาท ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ แต่หน้าที่ที่หม่อมฉันได้รับมาจะไม่มีทางให้สิ้นเปลืองเบี้ยหวัดของฝ่าบาทเลยเพคะ”
“สุขภาพเจ้าเป็นเช่นนี้ยังจะทำอะไรได้อีก” เขาใช้สายตาเย็นชามองนาง
“ที่ทำได้นั้นมีมากมาย ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมองแล้วหม่อมฉันก็ยังใช้การได้ ร่างกายก็ยังขยับได้ ยังถือว่าทำได้อีกมาก…” เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสุขภาพของนางไม่ได้แย่ขนาดนั้น จึงได้ฝืนตัวเองอยู่หลายครั้งจนท้ายที่สุดนางก็ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างทุลักทุเล
“เจ้านอนลงไปเถอะ” เฮยทั่วเทียนดันไหล่ของนางให้นอนลงกับหมอน
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” นางพ่นลมหายใจออกยาวๆ มือน้อยจับผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมมองเขา ไม่รู้ว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับนาง
เขามองนางที่มีผมสีดำดุจน้ำหมึกกระจายล้อมกรอบดวงหน้าขาวราวหิมะ ใบหน้านางซูบตอบจนน่าตกใจ แต่ดวงตาสดใสคู่นั้นกลับทำให้คนที่ได้มองละสายตาไม่ได้
“ฝ่าบาท…” นางถูกจ้องเสียจนไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงหายใจ
“เจ้าถูกพิษอะไรมา เหตุใดจึงไม่บอกเรา” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“พิษชนิดนี้ชื่อว่าอิ่นโอว เมื่อตอนหม่อมฉันอายุได้สิบสองปีถูกบังคับให้กินยาพิษเข้าไป อาจารย์หมอเทวดาของหม่อมฉันเป็นพวกหลงใหลเกี่ยวกับยา ไม่มีสักวันที่เขาจะไม่คิดค้นยาถอนพิษ แต่ฤทธิ์ของมันไม่มีทางที่จะขับออกมาได้ทั้งหมด ทุกปีจะมีอาการกำเริบขึ้นหนึ่งครั้ง เมื่ออาการกำเริบหม่อมฉันก็จะกินยา แต่พักผ่อนเพียงไม่กี่วันอาการก็ดีขึ้นเองเพคะ” นางจงใจปกปิดผลสุดท้ายของพิษร้ายโดยการไม่พูดถึง เพียงแค่พูดต่อเบาๆ ว่า “แต่ก็เป็นโชคดีที่หม่อมฉันถูกพิษ เพราะอาจารย์หมอเทวดาได้ให้หม่อมฉันทดลองกินยาอีกหลายขนาน ทั้งพาหม่อมฉันขึ้นเขาลงห้วย ตระเวนกันไปทั่วหล้า จึงทำให้หม่อมฉันได้หนีออกมาจากการต่อสู้ภายในวังได้ ส่วนเหตุผลที่หม่อมฉันไม่พูดถึงให้ฝ่าบาทรับรู้นั้น…”
“กลัวว่าเราจะไม่ให้เจ้ารับราชการด้วยเหตุผลนี้”
นางพยักหน้า หลุบตาลง และหลบสายตาของเขา
“เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ” เขาจับปลายคางของนางให้เงยใบหน้าขึ้น
“กลัวเพคะ กลัวที่สุดคือการตายไปพร้อมกับความหิวโหย”
เฮยทั่วเทียนหัวเราะออกมาแต่ก็เป็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
ฉู่เหลียนเฉิงมองเขา ภายในอกที่บีบรัดพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอยู่บนเตียงเดียวกับฮ่องเต้รูปงามเพียงสองต่อสอง แม้นางจะบริสุทธิ์ใจ แต่ความคิดอีกด้านของตนเองกลับเห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดเช่นนี้
จิตใจที่หมกมุ่นทุกคนล้วนมีอยู่แล้ว ข้าแค่ป่วยเท่านั้นแต่ไม่ได้ตายนี่นา
“เจ้าพักผ่อนเถอะ” เขาพลันลุกขึ้นยืน
“หม่อมฉันค่อยกลับไปพักที่จวนดีกว่าเพคะ”
เขาหันกลับมาจ้องนางเขม็ง ขมวดคิ้วเข้ม ท่าทางไม่พอใจในคำตอบ จนผู้ที่ถูกมองเกิดความครั่นคร้าม
“หม่อมฉันจะรีบพักผ่อนเดี๋ยวนี้เพคะ” แม้เปลือกตาของฉู่เหลียนเฉิงจะปิดลง แต่มือข้างหนึ่งยังจับอยู่บนหน้าท้อง ตื่นขึ้นมาแล้วนางก็รู้สึกเหมือนจะหิวขึ้นมานิดๆ
“เราจะให้คนนำอาหารมาให้”
นางรีบพยักหน้ารัวๆ อีกทั้งใบหน้าแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เฮยทั่วเทียนยกยิ้มมุมปาก และพบว่าตนเองกำลังก้าวเข้าไปใกล้นางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เขาพลันได้สติ สีหน้ากลับมาเคร่งขรึม ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
วันแรกที่เขาออกว่าราชการ เขาได้บอกกับตนเองไว้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสตรีคนใดก็ได้ในใต้หล้า แต่เขาจะไม่มีทางให้สตรีคนไหนมามีผลกระทบต่อเขา ฝ่ายในก็อย่าได้คิดจะมายุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองแม้เพียงเล็กน้อย เขาเชื่อมั่นว่าไม่มีทางที่สตรีคนไหนจะมาทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจนี้ไปได้
ฉู่เหลียนเฉิงมีซย่าหล่างคอยดูแลระหว่างกินอาหาร ดื่มยาหมดเขาก็ให้หมอหลวงมาจับชีพจรนางอีกครั้ง หลังจากหมอหลวงบอกเล่าเกี่ยวกับพิษในตัวนางและส่วนผสมของยาทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว เดิมทีนางอยากพักผ่อนอยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่แล้วค่อยกลับจวน ทว่าคิดไม่ถึงว่าเมื่อหลับตาลงแล้วนางก็หมดแรงหลับไปเลยทันที ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะ…
(ติดตามต่อในเล่ม)