ราชครูเว่ยต้องการฝึกฝนฮ่องเต้น้อยพระองค์หนึ่งไว้เป็นหุ่นเชิด รอเมื่อถึงจังหวะเวลาอันสมควรค่อยเข้าไปแทนที่อีกฝ่ายโดยสะดวกราบรื่น
พอคิดดังนี้หยวนกงกงกลับเป็นคนแนะนำหลานของศัตรูตัวฉกาจของราชครูเว่ยให้แก่เจ้าตัวโดยแท้ เขานี่ช่างโง่เง่าจนอยากเอาศีรษะชนเสาในท้องพระโรงตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ยังไม่ทันที่หยวนกงกงจะปาดเหงื่อเย็นของตนออกไป ราชครูเว่ยก็บีบคางของ ‘เนี่ยชิงหลิน’ โอรสองค์ที่สิบสี่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ไว้แล้ว หลังจากที่เขาหรี่ตามองประเมินอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าเขาเป็นคนหย่อนสมรรถภาพ”
หยวนกงกงสะดุ้งโหยง คิดไม่ถึงว่าราชครูเว่ยจะรู้เรื่องราวที่เป็นความลับเทือกนี้ของตำหนักในด้วย เห็นทีราชครูเว่ยคงเล็งตัวเลือกผู้ที่เหมาะสมจะเป็นหุ่นเชิดไว้นานแล้ว หยวนกงกงจึงรีบตอบเสียงแหลมว่า “เรียนท่านราชครู ผู้น้อยได้ยินพวกนางกำนัลในวังที่ดูแลเรื่องส่วนตัวของบรรดาองค์ชายทั้งหลายพูดว่าองค์ชายสิบสี่…ใช้การไม่ได้อย่างแท้จริงขอรับ”
หลังจากที่เว่ยเหลิ่งเหยาเอ่ยประโยคนั้นออกไป สายตาอันเฉียบคมของเขาก็สังเกตเห็นว่าร่างขององค์ชายสิบสี่ที่สงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านมาโดยตลอดในที่สุดก็สั่นเทาเล็กน้อย…
น่าสนใจดี ดูไปแล้วการทำลายศักดิ์ศรีของเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ต่อหน้าธารกำนัลจะทำให้อีกฝ่ายเศร้าใจยิ่งกว่าการสวรรคตอันน่าสลดใจของฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของเจ้าตัวเสียอีก…
หากมิใช่เพราะตั้งใจเลือกคนไร้ความสามารถในการสืบสกุลเพื่อปิดปากเหล่าบรรดาขุนนางแล้วล่ะก็ เว่ยเหลิ่งเหยาเองก็คิดจะปลดกางเกงของเจ้าเด็กหนุ่มนี่ออกเสีย แล้วแสดงความซาบซึ้งชื่นชมกับส่วนที่ไม่อาจผงาดง้ำนั่นของอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ
“องค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปรานมาเป็นเวลานาน ไม่มีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง ความเย่อหยิ่งทะนงตนออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่ถือว่าเป็นโชคดีของราษฎรต้าเว่ย…” เสียงทุ้มของเว่ยเหลิ่งเหยาดังก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง
ระหว่างที่พูดนั้นร่างผอมบางของเด็กหนุ่มก็ถูกเว่ยเหลิ่งเหยาผู้แข็งแกร่งยกลอยขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว
“แต่งตั้งองค์ชายสิบสี่ ‘เนี่ยชิงหลิน’ ขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห่งต้าเว่ย” คำพูดที่ดังกึกก้องทรงพลังประโยคนี้เป็นการจับเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอวัยสิบห้าตอกตะปูประทับบัลลังก์ฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย
จากนั้นในท้องพระโรงก็เกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง องค์ชายทั้งหมดที่เกิดกับสนมชายาถูกกักบริเวณในตำหนักข้าง ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดถูกส่งไปขังในตำหนักเย็น ซึ่งต่อจากนี้ไปจะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันอีกเลย
เด็กหนุ่มที่ถูกข้ารับใช้พาตัวกลับไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เพื่อพักผ่อนอดถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ด้านหลัง
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เมื่อมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างตำหนักก็ทำให้คนรู้สึกสลดหดหู่ใจ เดิมทีเข้าใจว่าตนเองได้รับความทุกข์ทรมานในวังแห่งนี้จนถึงที่สุดแล้วเสียอีก ถึงแม้ตนจะไม่อาจหลบหนีออกไปจากตำหนักลึกในพระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้ได้ในเร็ววัน ทว่าอย่างน้อยในที่สุดก็สามารถตายไปพร้อมกับทุกคนได้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองต้องกลายเป็นหุ่นเชิดไปเสียนี่ การใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ ทำได้เพียงคอยดูอารมณ์ของท่านราชครูเท่านั้น วันใดที่เขาสมใจแล้วคงออกคำสั่งเดียวว่า ‘ถึงเวลาที่ฮ่องเต้สมควรเสด็จไปตามทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ’
อากาศสดชื่นเย็นสบายเช่นนี้กลับเป็นวันตายของตนเสียนี่
แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีชีวิตรอดมาได้ชั่วคราว เพียงแต่ต่อไปในวันหน้า…จะใช้วิธีการอย่างไรเพื่อรับมือดี
จนกระทั่งกลับมาถึงตำหนักบรรทมในที่สุด เนี่ยชิงหลินก็ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่า ‘อันเฉี่ยวเอ๋อร์’ นางกำนัลซึ่งปรนนิบัติรับใช้ตนมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กก็ถูกพาตัวเข้ามาในตำหนักด้วยเช่นกัน
บรรดาขันทีและนางกำนัลในวังล้วนกระจ่างแจ้งดีว่าราชวงศ์ต้าเว่ยนี้ถูกโค่นล้มลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งวันนี้ก็เป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่แยแสที่จะต้อนรับทักทายเขา