ในช่วงหลายปีที่มารดาเจ็บป่วยมีโรครุมเร้าอยู่นั้น ความปรารถนาที่จะชิงดีชิงเด่นของมารดาก็พลอยจืดจางลงไปด้วย ทำให้ชีวิตของนางดีขึ้นมาก ถึงขนาดที่ว่านางสามารถสร้างเตาเล็กๆ สำหรับตนเองไว้ตรงมุมหนึ่งในลานเล็กๆ ของตำหนักลึกในพระราชวังด้วย
ประการแรกทำให้การปรุงยาต้มให้มารดาเป็นเรื่องสะดวกขึ้น ไม่จำเป็นต้องทนมองสายตาเหยียบย่ำดูแคลนของข้ารับใช้พวกนั้น ประการที่สองนางยังสามารถทำอาหารอร่อยๆ บางอย่างที่ถูกปากตนเองได้ด้วย
อันเฉี่ยวเอ๋อร์เป็นข้ารับใช้ที่ลี่ผินพามาจากครอบครัวทางฝั่งมารดา ซึ่งอีกฝ่ายมีฝีมือทำอาหารไม่เลวเลยทีเดียว
ลี่ผินถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า ตระกูลฝั่งมารดาของนางมีหอสุราที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในแถบเจียงหนาน ตอนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้นั้น ไม่มีอาหารการกินใดที่นางไม่ได้ลิ้มลอง ทุกอย่างรวมทั้งอาหารและข้าวของเครื่องใช้ล้วนพิถีพิถันสมบูรณ์พร้อมเป็นที่สุด
ต่อมาเมื่อความรักใคร่โปรดปรานจืดจางไปจนไม่เหลือแล้ว อย่างอื่นยังพอทนได้ แต่ด้านอาหารการกินนี่สิที่ทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
อุปนิสัยใจคอของเนี่ยชิงหลินไม่เหมือนลี่ผินเสียทีเดียว แต่ลิ้นรับรสอันละเอียดอ่อนนี้เป็นสิ่งที่นางได้รับสืบทอดจากมารดาโดยตรง กอปรกับเนี่ยชิงหลินต้องแต่งกายเป็นบุรุษ ลี่ผินกลัวว่าบุตรสาวจะกินมากเกินไปและเจริญเติบโตเร็วเกินไปจนเผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของความเป็นสตรีออกมา ดังนั้นที่ผ่านมาลี่ผินจึงอนุญาตให้บุตรสาวกินอาหารเพียงห้าส่วนแค่พออิ่มเท่านั้น
ในเมื่อไม่อาจบรรลุปริมาณอาหารที่กินได้ คุณภาพอาหารอันยอดเยี่ยมจึงเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งยวด
ถึงแม้เนี่ยชิงหลินมิใช่คนอมทุกข์มาตั้งแต่เกิด แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตของตนคงไม่ยืนยาวนัก หากจะวัดชีวิตอันแสนสั้นนี้ด้วยอาหารสามมื้อ ต่อให้เป็นเวลาเพียงหนึ่งปีก็สามารถยืดออกไปได้ยาวพอดูเลยทีเดียว ประหนึ่งดึงเส้นบะหมี่ยาวอย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้น้อยรู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีความสามารถเช่นราชครูเว่ยที่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ จึงทำเพียงกินอาหารแต่ละมื้ออย่างจริงจังเท่านั้นถึงจะสร้างขวัญกำลังใจให้ตนเองเป็นหุ่นเชิดที่ดีได้
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ในด้านอาหารและเครื่องมือใช้สอยต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อนตอนนางอยู่ที่ตำหนักก่วงเอิน และที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่ไม่มีเตาขนาดเล็ก
โชคดีที่ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนแล้ว กองงานฝ่ายในได้ส่งเตาถ่านมาให้ หากปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำมาใช้อุ่นอาหารได้สะดวกดีเลยทีเดียว
วันรุ่งขึ้นหลังการสักการะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หิมะแรกของต้นฤดูหนาวก็ตกลงมา
เนี่ยชิงหลินตื่นแต่เช้า อาบน้ำสวมอาภรณ์อย่างพิถีพิถัน เกล้ามวยผมสวมพระมาลาเรียบร้อยแล้ว นางก็รวบแขนเสื้อขึ้นเพื่อรอขึ้นรถม้าไปร่วมประชุมราชสำนัก แต่หลังจากยืนอยู่สักพักหนึ่งกลับไม่มีทีท่าว่ารถม้าของฮ่องเต้จากสำนักราชยานจะมาถึง
ต่อมาหลังจากที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์สั่งให้ขันทีน้อยไปเร่ง ถึงได้มีขันทีอาวุโสคนหนึ่งเดินมาอย่างเกียจคร้าน แล้วถ่ายทอดคำสั่งของราชครูเว่ยให้ทราบ โดยบอกว่า “อากาศหนาวและทางลื่น อาจไม่ปลอดภัยต่อพระพลานามัยของฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้จึงไม่จำเป็นต้องเสด็จไปร่วมประชุมราชสำนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เห็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่อยู่ในสายตา! หากเปลี่ยนเป็นโอรสที่ดีองค์อื่นๆ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนคงจะหดหู่เศร้าหมองอย่างยิ่ง และก่นด่าราชครูเว่ยในความทะเยอทะยานใจคอโหดร้ายเลี้ยงไม่เชื่องของอีกฝ่ายเป็นแน่แท้