บทที่ 4
พูดตามตรง ท่านราชครูหิวจริงๆ เขาต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปประชุมราชสำนัก จากนั้นใช้เวลาตลอดเช้าเพื่อสะสางงานราชกิจที่กองสุมมานานแล้วของราชสำนักต้าเว่ย แล้วเดินฝ่าลมหนาวอยู่สักพัก อาหารเช้าของเขาคือได้กินเพียงโจ๊กไก่ผสมโสมไปไม่กี่คำอย่างเร่งรีบ ซึ่งคงย่อยหมดไปตั้งนานแล้ว ทว่าในเมื่อตั้งใจจะกำราบเจ้าฮ่องเต้น้อยผู้ไม่ประสีประสาพระองค์นี้แล้ว เขาย่อมไม่แยแสหมั่นโถวค้างคืนไม่กี่ลูกพวกนั้นเป็นธรรมดา เพียงแค่เขาสะบัดมือขึ้นครั้งหนึ่ง ถาดทองแดงที่มีหมั่นโถววางอยู่บนนั้นก็ร่วงลงไปที่พื้นทั้งหมด
ถาดทองแดงร่วงลงส่งเสียงดังเคร้งคร้าง มันกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นหลายตลบจนหยุดอยู่ที่หน้าประตู
นางกำนัลและขันทีที่อยู่นอกประตูต่างพากันกลัวหงอไม่กล้าหายใจดังไปตามๆ กัน ด้วยเกรงว่าท่านราชครูผู้เกรี้ยวกราดจะได้ยินเข้า
ในใจของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ยิ่งหวั่นวิตกขึ้นไปอีก เจ้าคนร้ายกาจผู้นี้! แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็ยังหวาดกลัวเขาอยู่หลายส่วน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะคิดขุดรากถอนโคนกำจัดเขาให้สิ้นซากไปเสียจนเกิดเรื่องร้ายถึงแก่ชีวิตตามมา
เด็กคนนั้นอายุเท่าใดกันเชียว บัดนี้ถือว่าเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาแล้ว นี่ยังมาถูกพญายมที่มีชีวิตผู้นั้นจงใจหมิ่นเกียรติเหยียดหยามให้อับอายอีก พอคิดถึงตรงนี้แล้วนางก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
เนี่ยชิงหลินขยุ้มชายเสื้อไว้ นางประหนึ่งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ รับรู้ได้ถึงไฟโทสะที่ลามเลียนางให้ร้อนระอุ นางลอบเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าท่าทางอันเย็นชาของท่านราชครู ทันใดนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเดินย่องก้าวข้ามอาหารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นแล้วเขย่งตัวไปหยิบพุทราแดงจานหนึ่งออกมาจากในตู้ที่อยู่ข้างๆ ใช้ช้อนคันเล็กที่วางอยู่ด้านข้างคว้านเมล็ดพุทราออกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ใส่พุทราลงไปในชามเล็กๆ ใส่น้ำแกงธัญพืชเนื้อข้นที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์เคี่ยวเสร็จแล้วคลุกเคล้าลงไปให้เข้ากันจนได้น้ำแกงข้นพุทราเชื่อมออกมาหนึ่งชาม
จากนั้นนางก็ยกชามน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมยื่นไปตรงหน้าราชครูพร้อมพูดเสียงอ่อน “หมั่นโถวแข็งไปหน่อยอาจทำให้ระคายกระเพาะได้ อันนี้กำลังดีเลย แค่อาจจะร้อนไปบ้าง ตอนดื่มท่านก็ค่อยๆ ดื่มแล้วกัน”
ว่าไปแล้วท่าทีของฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้อยู่เหนือความคาดหมายของราชครูเว่ยไม่น้อย
นี่เป็นพฤติกรรมของเด็กที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยล่ะสิ! ทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองแล้วนำของกินที่ตนเองชอบออกมาให้เพื่อปลอบโยนเอาใจคนเขาสักหน่อย
แต่เขาก็ช่างไม่รู้จักดูเลยว่าคนที่ตนเองพยายามปลอบโยนเอาใจอยู่นั้นคือใคร!
หลังคลุกคลีอยู่กับสถานที่แสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศมาเป็นเวลานาน พบเห็นการติดสินบนด้วยเครื่องประดับงดงามมานักต่อนักจนเคยชินเสียแล้ว การที่ฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้แหวกขนบไม่ดำเนินรอยตามวิถีเดิมจึงสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้จริงๆ เนิ่นนานมากแล้วที่ไม่มีใครใช้วิธีการไร้เดียงสาเช่นนี้เพื่อประจบเอาใจราชครูเว่ยผู้มีอำนาจล้นฟ้า ความโกรธอันรุนแรงของเว่ยเหลิ่งเหยาถูกระงับไว้ด้วยน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมที่ฮ่องเต้ ‘ปรุงเองกับมือ’ ชามนี้
ท่อนแขนเรียวเล็กของเนี่ยชิงหลินที่ยกขึ้นประคองชามอยู่นานเริ่มสั่นเล็กน้อย นางลอบมองใต้เท้าโหวแซ่เว่ยผู้นี้ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังบ่มเพาะความคิดใดอยู่ พร้อมกับสาปแช่งความผิดพลาดของตนเองเงียบๆ น้ำที่ใช้ชงชานี้เพิ่งต้มเสร็จ หากถูกปัดจนพลิกคว่ำอีกล่ะก็ คราวนี้ข้าต้องโดนลวกจนเกิดตุ่มพุพองขึ้นแน่ ไม่รู้ว่าในล่วมยาของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ยังมียาขี้ผึ้งเสลดพังพอน* เหลืออยู่หรือไม่ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากขอยากับทางสำนักแพทย์หลวงเห็นทีว่าคงจะลำบากยากเย็นเอาการเลยทีเดียว…
ขณะที่เนี่ยชิงหลินกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จานรองชามที่ถืออยู่ในมือก็เบาไปทันใด ที่แท้ท่านราชครูก็หยิบน้ำแกงชามนั้นนั้นไปจริงๆ ทว่าเขายังไม่ได้ยกกิน เพียงหรี่ตามองพุทราเชื่อมที่ลอยวนไปมาอยู่ในชามใบนั้น
เนี่ยชิงหลินราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงผละมานั่งลงข้างกายท่านราชครูโดยไม่ได้รับชามกลับมา นางกลับจับมือของท่านราชครูไว้พลางโน้มใบหน้าเข้าไปชิดชามแล้วจ่อริมฝีปากกับขอบชาม นางจิบไปคำใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “อุ่นกำลังดี ท่านราชครูกินได้แล้ว”
แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยเหลิ่งเหยาไม่กินอาหารนอกบ้านส่งเดช รอบด้านรายล้อมไปด้วยศัตรูตัวฉกาจทุกหนทุกแห่ง ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจำต้องป้องกันระวังคนวางยาพิษไว้ก่อน เมื่อครู่นี้ก็ถูกคำพูดอันอ่อนโยนของฮ่องเต้น้อยทำเอาเขาติดกับไป เห็นเจ้าเด็กนั่นใบหน้าแดงระเรื่อ ตอแยไม่หยุดหย่อน กอปรกับกิริยาท่าทางตอนตระเตรียมน้ำแกงก็ไร้เดียงสาน่ารักยิ่งนัก ดูมีความซุกซนละม้ายน้องชายตัวน้อยเด็กข้างบ้านอยู่สักหน่อย เหมือนภูตผีมาดลใจไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เขารับน้ำแกงชามนั้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่พอถืออยู่ในมือแล้วก็ออกจะหงุดหงิดรำคาญใจ เพียงแต่ยังไม่ได้โยนชามออกไปเท่านั้น