เจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ดูเหมือนคนโง่งมนั่นกลับฉลาดขึ้นมาในเวลานี้ เข้าใจความกังวลของเขาเสียด้วยถึงกับมาลองชิมอาหารด้วยตนเอง
แท้ที่จริงแล้วเว่ยเหลิ่งเหยาเอาดีทางบู๊มาตั้งแต่ต้น ต่อมาแม้จับพลัดจับผลูได้ดีทางบุ๋น แต่ลึกๆ แล้วยังคงมีนิสัยเฉกเช่นผู้ฝึกฝนเล่าเรียนวิทยายุทธ์อยู่ในสายเลือด อีกทั้งต่อมาเขายังได้ไปทำหน้าที่เป็นแม่ทัพผู้ตรวจการประจำชายแดนอยู่หลายปี อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจในรายละเอียดหยุมหยิมต่ออาหารการกินและชีวิตประจำวันมากสักเท่าใดนัก
หากฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้แสดงความขุ่นเคืองออกมาสักหน่อย หรือร้องไห้สะอึกสะอื้นโวยวายว่าตนได้รับความอยุติธรรมให้เห็นบ้าง ย่อมต้องสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่ราชครูเว่ยจนเขามอบบทลงโทษให้ฮ่องเต้พระองค์นี้เป็นแน่แท้ แต่ในยามที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผชิญหน้ากับการถูกลบหลู่เกียรติจนได้รับความอัปยศอดสูเหลือจะกล่าวเช่นนี้ เจ้าตัวกลับยอมรับสภาพได้อย่างไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังแสดงอากัปกิริยางกๆ เงิ่นๆ อีกต่างหาก นี่เหมือนกับการออกหมัดลงบนฝ้าย นี่เอง ทำให้หมดสนุกจริงๆ
ในเมื่อฮ่องเต้น้อยเป็นฝ่ายขจัดความหวาดระแวงของเขาออกไปก่อนแล้ว อีกทั้งเขาก็หิวจนท้องกิ่วจริงๆ ราชครูเว่ยจึงไม่เกรงใจ ดื่มน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมหอมหวานชามนั้นรวดเดียวจนเกลี้ยง
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้ใช่ตั้งใจหรือไม่ เมื่อก่อนเว่ยเหลิ่งเหยาชื่นชอบรสชาติของพุทรายิ่งนัก มักเอาพุทรามาชงน้ำเสมอ เพียงแต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีเรื่องต่างๆ มากมายที่เขาต้องทุ่มเททั้งกายและใจลงไป กิจวัตรหลายอย่างของเขาก็พลอยเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่เมื่อขบคิดดูแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
จวบจนเนี่ยชิงหลินสังเกตเห็นว่าขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนสำคัญผู้นี้ท้องอุ่นขึ้นมาแล้ว ดูคลายความหงุดหงิดลงไปได้พอควร จึงพูดเสียงอ่อนว่า “เนี่ยผูผู้นั้น…เรากลับจำเขาไม่ค่อยได้แล้ว จำได้เพียงว่าตอนที่เราอายุแปดขวบ เขาที่ยังเป็นซื่อจื่อ มาที่วังพร้อมกับบิดาผิงซีอ๋องเพื่อถวายพระพรต่อไทเฮาในขณะนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาเขาพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรพูดในตำหนักบรรทมของไทเฮา ถือเป็นการเสียมารยาท จึงถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนขับไล่ไป หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอญาติผู้พี่ผู้นี้สักเท่าใด ยากนักที่ผิงซีอ๋องจะจำเราได้ แต่ดูเหมือนว่านิสัยที่ชอบพูดจาเหลวไหลนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย…” เจ้าตัวกล่าวจบท่าทางก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก
ครั้นได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องเต้น้อยแล้ว ท้องของเว่ยเหลิ่งเหยาที่เพิ่งอุ่นขึ้นมาก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง
ขณะที่เว่ยเหลิ่งเหยาพักผ่อนบนตั่งนุ่มอยู่นั้น จู่ๆ ในใจก็เต้นโครมครามจนอดเหลือบมองฮ่องเต้น้อยซึ่งเขาดูถูกดูแคลนมาโดยตลอดผู้นี้อีกครั้งไม่ได้ บนใบหน้าเรียว ดวงตากลมโตอบอุ่นเจิดจ้าสดใสเผยความไร้เดียงสาออกมา คำพูดที่เอ่ยออกมาประหนึ่งคำพูดของเด็กน้อยที่โพล่งโดยไม่พะวักพะวนต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่เหตุการณ์ในอดีตที่เจ้าเด็กผู้นี้เอ่ยถึงโดยไม่ตั้งใจนั้นได้เตือนใจเขาอย่างแท้จริง
เว่ยเหลิ่งเหยามีคนคอยเป็นหูเป็นตามากมายในวัง ย่อมรู้เรื่องราวลับๆ พวกนี้เป็นธรรมดา เจ้าเนี่ยผูนั่นเป็นคนอุกอาจไร้ยางอายโดยแท้ ตอนนั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสที่อ๋องศักดินาแต่ละคนเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ร่วมหลับนอนกับชายาอ๋องศักดินาสักคนซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ในตำหนักบรรทมของไทเฮา…
เดิมทีนั่นเป็นเรื่องเก่าน่าบัดสีที่ไม่ควรเอ่ยถึงในที่แจ้ง แต่หลังจากที่มันถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้ชวนนึกถึงเช่นนี้ เว่ยเหลิ่งเหยาก็เกิดความคิดขึ้นในใจ เจ้าผิงซีอ๋องผู้นี้กล้าฉีกหน้าข้าเว่ยเหลิ่งเหยาอย่างนั้นรึ หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้ผิงซีอ๋องทั้งตระกูลสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปเสีย!
ด้วยความคิดชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ในใจ เว่ยเหลิ่งเหยาจึงไม่มีเวลาว่างมาต่อปากต่อคำกับฮ่องเต้น้อยพระองค์นี้อีกต่อไป แม้แต่ประโยคที่ว่า ‘กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ’ เขายังคร้านที่จะพูด เพียงเตะหมั่นโถวที่กระจัดกระจายบนพื้นให้พ้นทางแล้วเดินจากไป
หยวนกงกงซึ่งเดินตามเว่ยเหลิ่งเหยามาตลอดทางแล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม เดิมทีคิดว่าในไม่ช้าคงต้องได้ยินฮ่องเต้น้อยร้องไห้คร่ำครวญขอความเมตตาเป็นแน่ ในใจเขากลัดกลุ้มนัก!