ราชครูเว่ยรูปร่างสูงใหญ่ ขายาว เดินไม่กี่ก้าวก็พ้นประตูไปแล้ว ต่อให้ซั่งอวิ๋นชูคิดจะรั้งเขาไว้ก็รั้งไม่ทัน น้ำตาไหลอาบแก้มมากขึ้นเรื่อยๆ จนลบเครื่องประทินโฉมที่บรรจงแต่งแต้มมาตลอดทั้งเช้าไปหมดสิ้น
หยวนกงกงหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วเดินตามออกมา หลังจากสวมเสื้อคลุมให้ท่านราชครูแล้วก็ลอบสังเกตสีหน้าประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายของอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากท่านราชครูจะออกจากวัง ผู้น้อยจะเรียกคนไปเตรียมรถม้านะขอรับ”
ราชครูเว่ยกลับโบกมือ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไปตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เถิด ข้ามีคำพูดบางประการอยากอบรมสั่งสอนฮ่องเต้เสียหน่อย”
หยวนกงกงรีบรับคำทว่าในใจกลับถอนหายใจ เอาแล้วสิ ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ เลยจะไประบายโทสะใส่ฮ่องเต้ผู้เคราะห์ร้ายอีกล่ะสิ!
เว่ยเหลิ่งเหยาย้อนกลับมายังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้
ขันทีที่อยู่หน้าประตูกำลังจะตะโกนว่า ‘ท่านราชครูขอเข้าเฝ้า’ พอถูกจ้องมองด้วยสายตาดุดัน ขันทีน้อยพลันชะงักค้างไปทันใด
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เยื้องย่างประหนึ่งเสือดาวเข้าไปในห้องชั้นในโดยไร้สุ้มเสียง
เมื่อมองผ่านม่านโปร่งเข้าไป เขาก็เห็นเจ้าปีศาจตัวน้อยนั่นกำลังเพลิดเพลินสำราญใจอย่างเต็มเปี่ยมโดยแท้!
ฮ่องเต้น้อยเปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมสีฟ้า มีผ้าพันคอขนกระต่ายพันรอบคอจนทำให้คางของเขาดูเรียวแหลมขึ้นไปอีก แขนของเสื้อคลุมออกจะสั้นเต่อไปสักหน่อย เผยให้เห็นข้อมือกลมกลึงเพรียวบางซึ่งกำลังพลิกเหล็กเสียบในมืออย่างช่ำชองเพื่อย่างแผ่นมันเทศ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คอยหยิบเมล็ดแตงคั่วหอมใส่เข้าปาก ปากก็พร่ำตะโกนเรียก “เฉี่ยวเอ๋อร์ ส่งจานน้ำตาลขาวมาให้ที แล้วส่งสาลี่หิมะเคลือบน้ำตาลมาด้วยหนึ่งถ้วย ประเดี๋ยวกินมันเทศเข้าไปคงได้ฝืดคอแน่!”
หลังตะโกนออกไปแล้วไม่มีคนตอบรับ ฮ่องเต้น้อยจึงเหลียวมามอง ทันใดนั้นก็ตะลึงงันไป หา! เหตุใดท่านพญายมจึงย้อนกลับมาอีกเล่า!
นางรีบซ่อนท่าทางที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเพลิดเพลินทันที แล้วถามหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่าย “ท่านราชครูมาได้จังหวะพอดีเลย ท่านอยากลองชิมมันเทศที่เพิ่งย่างเสร็จสักหน่อยหรือไม่”
ราชครูเว่ยไม่ตอบคำถาม เขาปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกแล้วเอนกายเอกเขนกไปบนตั่งนุ่มตัวโปรดของฮ่องเต้น้อย หางตากวาดมองไปทางเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ซึ่งพออีกฝ่ายไม่ได้รับคำตอบจากเขาก็หันร่างกลับเดินไปในห้องเสียเลย
หลังจากนั้นไม่นานมันเทศหวานโรยน้ำตาลก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา ราชครูเว่ยรับเหล็กเสียบซึ่งมีมันเทศเสียบอยู่มากัดกินอย่างเสียไม่ได้คำหนึ่ง เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าเขาได้กินอาหารป่าอาหารทะเลอันโอชะมาจนชินแล้ว แต่ของกินเล่นแบบชาวบ้านตามชนบทอย่างนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
ไม่นานอันเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยกถ้วยสาลี่หิมะนึ่งที่เพิ่งเคลือบน้ำตาลเสร็จสองถ้วยเข้ามาส่งให้
เว่ยเหลิ่งเหยามองฮ่องเต้น้อยหยิบพุทราเชื่อมมาคว้านเอาเมล็ดออก จากนั้นใส่ลงไปในน้ำเหมือนคราวก่อน แล้วค่อยยื่นมาให้เขา
“เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ทรงใส่พุทราลงไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งที่แล้วที่อีกฝ่ายทำน้ำแกงข้นพุทราเชื่อมอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คราวนี้สาลี่หิมะเคลือบน้ำตาลโดยตัวมันเองก็หวานเยิ้มอยู่แล้ว เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ใส่พุทราเข้าไปอีก
เนี่ยชิงหลินถูกถามก็อึ้งงันไป “ท่านราชครูไม่ชอบหรือ เมื่อคราวที่แปลงดอกฝูหรงกับดอกเฟิ่งเซียน* บานสะพรั่งในอุทยานหลวงปีนั้น เราเห็นท่านราชครูใส่พุทราลงไปในชามน้ำแกงสร่างเมาเช่นนี้ตอนงานเลี้ยงชมบุปผา เราก็เลยลองทำดูบ้าง มันอร่อยจริงๆ ด้วย แต่หากท่านราชครูไม่ชอบ เราไปเปลี่ยนถ้วยใหม่มาให้ก็สิ้นเรื่อง”
พูดจบนางก็ทำท่าจะเรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์มาเปลี่ยนของหวานถ้วยใหม่ให้ แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงเรียกออกไป ข้อมือของนางก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของท่านราชครูคว้าไว้หมับราวกับที่คีบเหล็ก ดวงตาของราชครูเว่ยทอประกายขณะที่พูดอย่างกำกวม “งานเลี้ยงชมบุปผา? งานที่จัดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสนพระทัยในตัวกระหม่อมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ”