บทที่ 8
เอ่อ นี่มัน…
เนี่ยชิงหลินไม่เข้าใจถึงความนัยลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของราชครูเว่ยไปชั่วขณะ พอคิดๆ แล้วนางก็สรุปเอาว่า จะโต้เถียงจนปากเปียกปากแฉะไปไย มีแต่คำสรรเสริญเยินยอเท่านั้นที่เยียวยาทุกสิ่ง ก่อนกลั่นกรองคำพูดตอบออกไปว่า “ท่วงท่าอันสง่างามของท่านราชครูในตอนนั้นทำผู้คนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหก* ถึงไม่คิดใส่ใจก็ช่างยากยิ่งนัก!”
อันที่จริงคำกล่าวนี้ก็เป็นความสัตย์จริงอยู่ ในตอนนั้นขอเพียงฮ่องเต้พระองค์ก่อนจัดงานเลี้ยงให้เหล่าขุนนางคราใดก็มักทำให้ตำหนักในคึกคักดั่งโรงละครช่วงเทศกาลที่ผู้คนต่างแห่แหนกันมาชมละคร ต้องรู้ด้วยว่าทันทีที่เว่ยเหลิ่งเหยา ‘ผู้รูปงามสูสีพานอัน’ ปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยงก็ทำเอาบรรดาสนมชายา องค์หญิง และนางกำนัลทั้งหลายแสดงท่าทางระริกระรี้ไปตามๆ กัน
บุรุษรูปงามมักดึงดูดสายตาคนให้มองไม่รู้เบื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนนางที่อ้วนพีหรือมีหนวดเคราหนาเฟิ้มแต่ผมบางพวกนั้น ท่วงท่าสง่างามในทุกอิริยาบถของเขายิ่งทำให้เจ้าตัวโดดเด่นน่าชื่นชมยิ่งขึ้นไปอีก
เนี่ยชิงหลินจำได้ว่าในงานเลี้ยงชมบุปผาคราวนั้นผู้คนที่มาร่วมงานยังมีจำนวนมากกว่าดอกไม้ในงานเสียอีก ตอนนั้นนางยังตัวเล็กและเตี้ย ทั้งยังเป็นองค์ชายที่ถูกผู้อื่นละเลย จึงได้ที่นั่งค่อนข้างไกลออกไป นอกจากหมวกทรงสูงและศีรษะดำๆ ของเหล่าขุนนางแล้ว ดอกไม้เลื่องชื่อที่สิบปีจะได้ยลสักหนนางก็กวาดตามองไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อมองไม่เห็นดอกไม้ อีกทั้งไม่ชอบมองใบหน้าของพวกชายแก่ที่ดื่มสุราจนหน้าแดงก่ำ เนี่ยชิงหลินย่อมต้องมองไปยังจุดที่สบายตาเป็นธรรมดา ประกอบกับเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้ามาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผา มารดามักพูดอยู่เสมอว่านางไม่มีท่วงท่าของความเป็นชายเอาเสียเลย เช่นนั้นไยมิสู้เรียนรู้ศึกษาท่าทางจากบุรุษรูปงามอย่างเว่ยเหลิ่งเหยาผู้นี้ดีกว่า
เนื่องจากในยามปกติยากนักที่จะได้เจอหน้ากันสักครั้ง ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เนี่ยชิงหลินจะสังเกตเขาอย่างถี่ถ้วน ในเวลานั้นนางรู้สึกเพียงแค่ว่าถึงแม้ท่านราชครูจะดื่มสุราหนักไปสักหน่อย แต่ยามที่ขมวดคิ้วและยกมือขึ้นแตะหน้าผากนั้นก็ช่างโดดเด่นเหลือเกิน ไม่น่าแปลกที่พวงแก้มของเหล่าสตรีในงานจะพากันแดงเรื่อไปตามๆ กัน
จวบจนบัดนี้นางถึงได้รู้ว่ากระทั่งเวลาที่ราชครูเว่ยตวัดดาบสังหารคนก็ยังแฝงความสง่างามอย่างแท้จริง! น่าเสียดายที่ลักษณะท่วงท่าเช่นนี้ต่อให้นางได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นบุรุษจริงๆ ก็ไม่สามารถเลียนแบบได้!
เฮ้อ ท่านราชครู เหตุใดท่านถึงได้ก่อกรรมทำเข็ญเช่นนี้นะ จะให้หญิงสาวมากหน้าหลายตาในวังลึกเอาหัวใจไปเก็บไว้ที่ใดได้เล่า ชะรอยว่าหากตอนนี้บรรดาหญิงงามในวังได้มาเจอเว่ยพานอันผู้นี้อีกครั้ง เกรงว่าคงได้แต่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวจนนัยน์ตาทั้งคู่แดงช้ำเป็นแน่!
ส่วนราชครูเว่ยกลับคิดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้น้อยจะยอมรับเรื่องดังกล่าวอย่างไร้ความละอายใจเช่นนี้ ไฟโทสะของเขาก็คุกรุ่นขึ้นในทันใด
ดูพูดเข้า! ‘ตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหก’ อะไรกัน นี่เป็นน้ำเสียงของเด็กหนุ่มเจ้าสำราญที่หยอกเอินหญิงสาวชัดๆ
ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ทำคนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกพลันเคร่งขรึมขึ้นมา จ้องเจ้าเด็กรนหาที่ตายที่อยู่ตรงหน้านี้เขม็ง
ถึงแม้คำพูดของเด็กหนุ่มผู้นี้จะดูเหลาะแหละ ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายกลับดูจริงจัง ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับเปี่ยมด้วยความจริงใจที่รู้สึกได้จริงๆ พร้อมกับมองตอบเขาด้วยสีหน้าสงสัย
หากว่าคนข้างๆ เปลี่ยนเป็นชายไว้หนวดเคราเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา เว่ยเหลิ่งเหยาคงขยะแขยงจนทนไม่ไหว เอามีดฟันให้เนื้อเละในทันทีไปแล้ว! แต่พอคำพูดออกจากปากเด็กหนุ่มผู้นี้ ไฟโทสะที่คุกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อยก็ค่อยๆ บรรเทาเบาบางจนเหลือแต่เพียงความจนใจทำอะไรไม่ถูกแทน
ครั้นมองไปรอบๆ ก็พบว่าตำหนักบรรทมของฮ่องเต้อันใหญ่โตกลับว่างเปล่าดูซอมซ่อเหลือเกิน ชุดลำลองที่ฮ่องเต้น้อยสวมใส่อยู่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดของปีก่อนที่เล็กกว่าขนาดตัวไปแล้ว พอร่างกายเติบใหญ่ขึ้น แขนเสื้อนั่นก็แทบจะหดไปถึงข้อศอก นิยายหลายเล่มที่อยู่บนชั้นหนังสือถูกเด็กน้อยพลิกอ่านไปมาหลายรอบจนหน้ากระดาษม้วนงอไปหลายหน้า อย่าเห็นว่าเจ้าเด็กหนุ่มนี่มีนิสัยกินจุบจิบมีของกินไม่หยุดปากตลอดทั้งวันเป็นอันขาด เพราะของว่างที่เขากินอยู่นี้ไม่เหมาะจะนำมาขึ้นโต๊ะอาหารในครอบครัวเล็กๆ ที่มีฐานะร่ำรวยทั่วไปด้วยซ้ำ! เห็นทีตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มผู้นี้คงไม่เคยได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่หรือเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของผู้ใด
องค์ชายองค์หญิงในตำหนักที่ถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้มีเพียงเนี่ยชิงหลินเท่านั้น แต่ผู้ที่ถูกกดขี่ผลักไสจนมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้แล้วยังคงมีความสุขพึงพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ถึงขั้นว่าหาความสุขใส่ตัวท่ามกลางความทุกข์ได้ เห็นจะมีเพียงคนแปลกประหลาดผู้นี้คนเดียวเท่านั้น
แต่ว่า…ตาไร้แววเกินไปหน่อยแล้ว!