หากเจ้าตัวมีนิสัยชมชอบบุรุษด้วยกันจะลอบไปมีสัมพันธ์กับขันทีน้อยหรือองครักษ์ชั้นผู้น้อยพวกนั้นก็ได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่รู้จักขอบเขต มาหลงรักขุนนางคนสำคัญที่ยึดอำนาจบิดาตนเองมาเช่นนี้!
ต่อให้เป็นสตรีเองก็เถอะ พอได้ใกล้ชิดกับเขานานๆ ก็ยังหวาดกลัวเขาเลย! อย่างน้อยอนุสองสามคนในจวนที่ทะเลาะตบตีกันเพราะความหึงหวงริษยา หลังจากถูกเขาลงโทษอย่างรุนแรงแล้วนั้น แต่ละคนก็กลัวเขาประหนึ่งหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น ตอนกลางคืนขณะที่พวกนางปรนนิบัติรับใช้เขานั้นล้วนสัมผัสได้ถึงการพะเน้าพะนอที่ดูแข็งกระด้างไม่เป็นธรรมชาติ
ใช่ว่าองค์ชายน้อยองค์นี้ไม่เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเขามาก่อนเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่รู้จักคำว่า ‘กลัว’ บ้างเลย! ประหนึ่งลูกกวางน้อยที่เดินเตร็ดเตร่ไปในป่าเขาลำเนาไพรแสนอันตรายตามลำพัง ครั้นเห็นเสือแยกเขี้ยวก็เยื้องย่างเข้ามาโดยไม่สนใจความสูงของท้องฟ้าความหนาของผืนดิน เอากีบเท้าเล็กนุ่มของมันมาลูบๆ ผิวหนังของเสือ
เช่นนี้ก็มองได้ว่าความรักครั้งแรกของเด็กหนุ่มเริ่มขึ้นด้วยการตกหลุมรักศัตรูคู่อาฆาตที่เกลียดชังแว่นแคว้น ทำลายครอบครัวของตนเองเข้า สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย…หากลองพินิจพิจารณาให้ดี ชีวิตแสนสั้นอันน่าสมเพชนี้สามารถนำมาแต่งเป็นบทละครโศกเรียกน้ำตาคนอ่านคนดูได้ดีเลยทีเดียว
เดิมทีราชครูเว่ยคิดจะอบรมตำหนิเด็กหนุ่มไร้ยางอายผู้นี้เสียหน่อยเพื่อยุติความคิดสกปรกน่ารังเกียจของอีกฝ่าย แต่พอหวนคิดอีกทีก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าในหัวของเด็กหนุ่มจะคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปเพียงใด ก็เชื่อได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางกล้าทำเรื่องบัดสีกับเขาเป็นแน่
ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่แอบคิดเหลวไหลเช่นนี้ไปก็ดี อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าสถาปนาฮ่องเต้พระองค์ใหม่อีกพระองค์ที่มีใจคิดกอบกู้สกุลเนี่ยกระมัง พอคิดถึงจุดนี้ราชครูเว่ยก็เก็บคำตำหนิติเตียนที่กำลังจะพ่นออกมากลับเข้าไป
เนี่ยชิงหลินไม่ล่วงรู้ถึงความปั่นป่วนในใจของท่านราชครู เห็นเพียงสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นผ่อนคลายลง ก็รู้ว่าช่วงเวลากดดันของวันนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จนกระทั่งราชครูเว่ยค่อยๆ คลายมือที่จับนางไว้ออกไป เนี่ยชิงหลินก็กุลีกุจอไปสั่งให้อันเฉี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนของหวานถ้วยใหม่มา เนี่ยชิงหลินรับถ้วยมาแล้วยื่นให้ท่านราชครูกินโดยไม่รีรอ
หลังจากที่ราชครูเว่ยระงับอารมณ์โกรธลงไปแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ย่อมมีพระทัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลองในสิ่งใหม่ๆ อยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรพระองค์ก็เป็นพระราชนัดดารุ่นที่สี่ขององค์ปฐมฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจไม่คำนึงถึงหน้าตาของราชวงศ์ หากกระหม่อมได้ยินเรื่องอื้อฉาวอันใดภายในตำหนักบรรทมแห่งนี้ก็อย่าได้ตำหนิที่ราชครูอย่างกระหม่อมจะไม่ไว้พระพักตร์ฝ่าบาท!”
ในวังมีขันทีน้อยหล่อเหลามากมาย อาจมีสักวันที่ฮ่องเต้น้อยไม่สามารถต้านทานต่ออารมณ์ปรารถนา อยากลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ดูบ้างก็เป็นได้ แต่ในเมื่อเขามีความคิดที่จะเก็บอีกฝ่ายไว้ใช้งาน ย่อมไม่อาจปล่อยให้บรรดาอ๋องศักดินาทั้งหลายเหล่านั้นยกเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการยกทัพมาโค่นล้มฮ่องเต้ได้
เนี่ยชิงหลินรู้สึกว่านางเข้าใจคำพูดเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จึงพูดผสมโรงอย่างเข้าอกเข้าใจ “ท่านราชครูวางใจได้ นับตั้งแต่ที่เราได้เข้าร่วมประชุมราชสำนักก็ได้ยินความทุกข์ทรมานของราษฎรต้าเว่ยที่อดอยากขาดแคลนอาหาร เราก็เริ่มลดปริมาณอาหารในแต่ละวันลงครึ่งหนึ่งแล้ว วันนี้เพราะอดใจไม่ไหวจริงๆ จึงสั่งให้ทางห้องเครื่องนำมันเทศมาให้จำนวนหนึ่ง แต่พอย่างไปแล้วเราก็รู้สึกสำนึกเสียใจเหลือเกินที่ตนเองฟุ่มเฟือยเกินไปสักหน่อย หากเราทำเช่นนี้แล้วเหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ที่อยู่ในปกครองคิดจะทำตามบ้าง คงทำให้ขุนนางลำบากใจเป็นแน่! แต่ก็โชคดีที่ท่านราชครูมาเตือนเราทัน ท่านช่วยแบ่งเบาภาระให้เรามาทั้งวัน อาหารสามมื้อเกรงว่าคงไม่ได้กินตรงเวลา หากมันเทศนี้ตกอยู่ในท้องของท่านก็ไม่นับว่าฟุ่มเฟือยแล้ว”
ราชครูเว่ยออกจะรู้สึกขบขันจริงๆ กับคำพูดหาแก่นสารมิได้ที่ออกมาจากปากของเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้ กระนั้นเขายังคงหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางถาม “ฝ่าบาททรงกำลังโอดครวญกับกระหม่อมว่าเสวยไม่อิ่มหรือพ่ะย่ะค่ะ”
นี่จะหาเรื่องจับผิดมากล่าวหากันให้ได้เลยหรือไร เนี่ยชิงหลินเสียใจอยู่บ้างที่วันนี้นางพูดมากเกินไปต่อหน้าท่านราชครู จึงรีบตัดบทเสียตรงนี้ว่า “วันทั้งวันแทบไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเลย จะกินไม่อิ่มได้อย่างไรกัน ท่านราชครูดื่มสุรามาสินะ อยากพักผ่อนบนตั่งอุ่นนี่สักหน่อยหรือไม่”
ราชครูเว่ยรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาจริงๆ อีกทั้งหลังได้กินของหวานร้อนๆ เข้าไปจนเต็มท้องก็ทำให้ผ่อนคลายสบายใจยิ่ง ดังนั้นเขาจึงหลับตาแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก