บทที่ 81
เว่ยเหลิ่งเหยาได้แต่รำลึกถึงความอ่อนโยนของกั่วเอ๋อร์น้อยอยู่ในค่ายทหารได้เพียงเสี้ยวอึดใจเท่านั้น
ในวันนั้นเองราชครูเว่ยได้ส่งคนสนิทสองสามคนกับทหารกลุ่มหนึ่งรีบรุดไปที่หมู่บ้านอีซาน ในเวลาเดียวกันก็สั่งการกองหนุนให้ระดมกำลังจากโรงช่างหลายแห่งในตำบลและอำเภอใกล้เคียงเร่งสร้างเรืออาชาแดงจำนวนมากภายในห้าวัน
ไม่กี่วันต่อมาคนสนิทพร้อมทหารที่ส่งไปก็ควบรถม้ารอนแรมกลับมาถึงค่ายใหญ่อย่างเหนื่อยล้า ส่วนเรืออาชาแดงก็สร้างเสร็จไปแล้วหนึ่งพันกว่าลำ ราชครูเว่ยเห็นเถาลอยน้ำจำนวนมากที่ทหารนำกลับมาที่ค่ายแล้วก็คัดเลือกช่างต่อเรือที่มากประสบการณ์หลายคนมาทำการทดลองอย่างลับๆ กับเรืออาชาแดงสิบลำเพื่อดูว่าจะจัดวางเถาลอยน้ำพวกนี้อย่างไร และต้องใช้จำนวนมากน้อยเพียงใดถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หลังจากลองเอาเรืออาชาแดงมาชนกันไปหลายลำ ในที่สุดช่างต่อเรือก็เข้าใจวิธีการวางเถาลอยน้ำที่เห็นผลมากที่สุด เรืออาชาแดงที่ผ่านการดัดแปลงแล้วมีความมั่นคงไม่แพ้เรือรบขนาดใหญ่เลยทีเดียว หลังจากที่ราชครูเว่ยตรวจสอบเรืออาชาแดงชุดนี้เรียบร้อยแล้วก็สั่งให้ดัดแปลงเรืออาชาแดงที่เหลือทั้งหมด ครั้นเรืออาชาแดงถูกดัดแปลงจนครบทั้งหมดหนึ่งพันกว่าลำแล้ว ราชครูเว่ยก็สั่งให้แม่ทัพผู้ชำนาญการรบในน้ำจากหนานเจียงที่มาสวามิภักดิ์ด้วยเป็นผู้นำในการฝึกซ้อมทหารบนเรืออาชาแดงที่ดัดแปลงแล้วนี้ เพื่อให้ทหารจากแดนเหนือภายใต้การนำของเขาคุ้นเคยกับการรบทางน้ำและเรืออาชาแดงโดยเร็วที่สุด จนกระทั่งกองทัพทหารฝึกฝนทักษะการรบทางน้ำจนเชี่ยวชาญมั่นใจแล้ว ราชครูเว่ยจึงถ่ายทอดคำสั่งให้เรืออาชาแดงทุกลำออกเรือ เป็นฝ่ายบุกไปเปิดฉากสู้ศึกครั้งตัดสินกับหนานเจียงเองเลย
ราชครูเว่ยเตรียมการต่อสู้มาพร้อมที่จะเอาคืนอย่างสาสมแล้ว!
ขณะที่มีข่าวว่ากองกำลังเรือเล็กจำนวนมากของราชครูเว่ยบุกตะลุยใกล้เข้ามาแล้วนั้น หนานเจียงอ๋องกำลังร่ำสุราอย่างสนุกสนานครื้นเครงกับเหล่าแม่ทัพทั้งหลายในกระโจมอ๋องพอดี เขาโยนชามสุราในมือทิ้งเสียงดังสนั่นพร้อมกับหัวเราะดังลั่น ก่อนจะพูดกับบรรดาแม่ทัพใต้บังคับบัญชาว่า “ลือกันว่าราชครูเว่ยเก่งกาจนักหนา ตอนอยู่ในเมืองหลวงสังหารแม่ทัพใหญ่ผู้รักษาความสงบแห่งหลางซีได้ในกระบวนท่าเดียว ทั้งยังบุกเข้าไปในกองทัพของหลางซีตามลำพังอีกต่างหาก ไม่คิดเลยว่าก็แค่หัวหอกชุบเงิน* เท่านั้น เอาเข้าจริงก็ไม่เกินมือเลยนี่ น่าเสียดายเจ้าโจรเว่ยนั่นที่ขี้ขลาดเกินไป พ่ายแพ้ไปสองครั้งก็หดศีรษะไม่กล้ามารบกับอ๋องอย่างข้าอีก มิเช่นนั้นข้าคงได้เด็ดศีรษะเขาไปนานแล้ว ครั้งนี้คงไปกินดีหมีหัวใจเสือมาแล้วล่ะสิถึงได้เป็นฝ่ายเปิดฉากท้ารบก่อน สุรานี้ยังไม่ต้องเก็บหรอก แม่ทัพทุกท่านจงร่วมออกรบกับข้า พอชนะเจ้าคนอ่อนหัดนั่นแล้วค่อยกลับมาดื่มกันต่อ”
แม่ทัพแต่ละคนก็พลอยผสมโรงหัวเราะไปด้วย ต่างพากันสรรเสริญเยินยอในชัยชนะจากการทำศึกของท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ไหนเลยเจ้าโจรแซ่เว่ยนั่นจะเทียบได้
แต่เก๋อชิงหย่วนซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกระโจมกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้จักเว่ยเหลิ่งเหยาดียิ่งกว่าใคร เพราะบุรุษผู้นี้คือคนที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายแล้วหวนกลับมาในช่วงเวลาที่เขาเก๋อชิงหย่วนรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต โดยนำทัพเคลื่อนมาบุกประตูเมือง ทำให้เขาสูญเสียทุกอย่างในชั่วข้ามคืน
นี่คือศัตรูตัวฉกาจที่ต่อกรด้วยยากที่สุด ไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่เสี้ยวอึดใจ!
ครั้นคิดดังนี้เขาก็ช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย ขยิบตาส่งสัญญาณให้น้องสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานเจียงอ๋อง เก๋ออวิ๋นเอ๋อร์เข้าใจได้ทันที นางซบลงแนบอกหนานเจียงอ๋องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ท่านอ๋องเก่งกาจอาจหาญ เจ้าโจรเว่ยนั่นจะเทียบได้อย่างไรกันเจ้าคะ ทว่าเจ้าโจรเว่ยผู้นี้ไม่ได้หนีหัวซุกหัวซุน แต่กลับเป็นฝ่ายบุกมาท้าทายโจมตีก่อน เกรงว่าต้องมีแผนการลับอะไรบางอย่างแน่เจ้าค่ะ! ท่านอ๋องส่งทหารออกไปรับมือก่อนดีกว่า ไยต้องออกไปเสี่ยงอันตรายเองด้วยเล่าเจ้าคะ”
น่าเสียดายที่หนานเจียงอ๋องที่มัวเมากับชัยชนะไม่รับฟังคำแนะนำใดๆ ทั้งสิ้น เพียงขว้างจอกสุราไป แล้วก้มลงจูบริมฝีปากแดงสดราวกับผลอิงเถาของเก๋ออวิ๋นเอ๋อร์อย่างหนักหน่วงต่อหน้าทุกคน ก่อนจะเดินนำแม่ทัพทุกคนไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อดูการสู้รบ
การสู้รบทางน้ำของทั้งสองกองทัพนั้น ทหารจากเป่ยเจียงปราชัยให้กับทหารจากหนานเจียงตามคาด หลังจากเปิดฉากสู้รบกันไม่นานก็เห็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้จนต้องถอยร่นไม่เป็นท่า
หนานเจียงอ๋องเห็นเช่นนี้ก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง รีบสั่งให้กองกำลังของเขาทั้งหมดบุกโจมตีทันที หมายจะบดขยี้กองทัพของราชครูเว่ยให้เบ็ดเสร็จในคราวเดียว