บทที่สอง
หลังจากนั้นสามวัน
เหมยชิงหยวนผลักประตูที่สั่นคลอนทำท่าจะหลุดมิหลุดแหล่ให้เปิดออก ยกน้ำหวานเข้ามาชามหนึ่ง เอาน้ำหวานวางไว้บนตั่งเตี้ยข้างเตียง ตั่งเตี้ยตัวนั้นขาหักไปขาหนึ่งและเอาท่อนไม้มาค้ำไว้ เขามองเหมยหรูเซียนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“พี่สาว ท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง”
หลังจากพี่สาวตื่นขึ้นมาก็นอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงดื่มน้ำเล็กน้อย ของอย่างอื่นไม่ได้แตะแม้แต่คำเดียว
“พี่สาว ท่านไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ได้แต่ดื่มน้ำ เช่นนี้ร่างกายจะทนไม่ไหว เมื่อครู่ท่านป้าใหญ่แอบเอาน้ำตาลแดงก้อนเล็กให้ข้าก้อนหนึ่ง บอกให้ข้าละลายน้ำเอาให้ท่านดื่ม มีแรงบาดแผลจึงจะหายเร็ว” เหมยชิงหยวนมองน้ำหวานชามนั้นพลางกลืนน้ำลาย
“พี่ไม่กระหายน้ำ หยวนเอ๋อร์เอาน้ำหวานชามนั้นดื่มเสียเถิด” นางมองน้องชายที่หน้าเหลืองรูปร่างซูบผอม ในใจเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
“ไม่ได้ พี่สาว ท่านต้องดื่มน้ำหวานนี้ ร่างกายจึงจะฟื้นคืนเป็นปกติ” เหมยชิงหยวนปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจัง
เห็นอยู่ว่าน้องชายอยากดื่มน้ำหวาน แต่เพื่อร่างกายของนางจึงฝืนทนไว้ ท่าทางของเขาทำให้นางปวดใจ นางประคองตัวลุกขึ้นมานั่ง รับชามน้ำหวานมา “ได้ ข้าดื่ม” นางจิบน้ำหวานที่แทบจะไม่มีความหวานอยู่ไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “หยวนเอ๋อร์ พี่ดื่มไม่ลงแล้ว เจ้าช่วยดื่มแทนพี่ให้หมดที”
“ตอนนี้พี่สาวดื่มไม่ลง เอาวางไว้ก่อนค่อยๆ ดื่มก็ได้”
“วางไว้จะมีมดมากิน หยวนเอ๋อร์จะเอาน้ำหวานรสอร่อยให้มดกินหรือ” นางหลอกล่อเขา เห็นเขาสั่นศีรษะ จึงยื่นน้ำหวานไปถึงข้างปากเขา “เช่นนั้นก็ช่วยพี่ดื่มน้ำหวานให้หมด”
เหมยชิงหยวนพยักหน้าแรงๆ “อืม ได้ ข้าดื่ม ไม่ให้มดกิน”
มองเหมยชิงหยวนดื่มน้ำหวานที่แทบไม่อาจเรียกว่าน้ำหวานได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งยังร้องว่าอร่อย นางก็อดเศร้าใจไม่ได้
สามวันก่อนนางถูกลงโทษให้ลงมาสู่แดนมนุษย์ ตอนเพิ่งมาถึงยังมีอาคมเซียนหลงเหลืออยู่บ้าง นางจึงกวาดตามองไปสี่ทิศ เงี่ยหูฟังไปแปดทาง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่ามีคนคิดจะขายนางให้คนตายแต่งเป็นภรรยา กล้าขายนางเซียนน้อย ก็ต้องให้พวกเขาได้น่าดูชม จึงได้มีละครฉากแสร้งตายเกิดขึ้น
หลังจากผ่านการทำความเข้าใจมาสามวัน บวกกับความทรงจำที่มีอยู่เดิมของเหมยหรูเซียน นางจึงรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมปีนี้อายุสิบสี่ หนึ่งปีก่อนเพิ่งฝังศพบิดาเหมยฉางซาน จากนั้นคนในสกุลเหมยก็ลบชื่อพวกนางออกจากวงศ์สกุล
มารดาที่อ่อนแอพานางกับน้องชายกลับมาบ้านแม่ ใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้น พวกนางอยู่ที่นี่อย่างไม่ได้รับการต้อนรับ นอกจากท่านยาย ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่ที่ค่อนข้างดีต่อพวกนาง คนสกุลจย่าที่เหลือต่างเห็นพวกนางขวางหูขวางตา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านตาจย่าเซ่อ* คนไม่ต่างกับชื่อ ตระหนี่ถี่เหนียวเป็นที่สุด ไม่ยอมควักแม้แต่อีแปะเดียว เห็นว่าบุตรสาวเมื่อแต่งออกไปก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้าน ไม่ใช่คนสกุลจย่าอีกต่อไป จึงรังเกียจที่พวกนางกลับมากินมาใช้ทรัพย์สินของเขา ไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้พวกนางสองพี่น้องดู
เพื่อไม่ให้คนสกุลจย่าเห็นว่าพวกนางมากินอยู่ด้วยเปล่าๆ มารดากับนางจึงทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่หยุด ทำงานในนาเสร็จก็หันมาทำงานบ้าน ซักเสื้อผ้า หุงข้าว กวาดถู ให้อาหารสัตว์ แม้แต่หยวนเอ๋อร์ที่ตอนนั้นเพิ่งอายุสี่ขวบก็ต้องช่วยเก็บผักให้หมู เก็บเศษไม้มาทำฟืน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นงานที่พวกนางสามแม่ลูกต้องทำ
ราวหกวันก่อนหน้านี้ ท่านป้ารองเข้าใจว่านางแอบขี้เกียจไม่ทำงาน ขว้างจอบในมือมาที่นาง เดิมทีควรจะกระทบถูกแผ่นหลัง แต่นางทั้งข้าวเช้าและข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน หิวจนหน้ามืดตาลาย เท้าลอยๆ กำลังจะล้มลง พอดีจอบนั่นก็ลอยมากระแทกถูกศีรษะของนาง เหมยหรูเซียนเจ้าของร่างเดิมจึงดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าคนในครอบครัวลุงรองจะสูญสิ้นจิตใจที่รู้ดีชั่ว ถึงกับคิดจะอาศัยศพของเหมยหรูเซียนมาคว้าโชคลาภที่ได้มาโดยไม่คาดคิด ขายนางให้ผู้อื่นนำไปแต่งงานกับคนตาย น่าโมโหยิ่งนัก รอนางหายจากอาการบาดเจ็บ กำลังกายฟื้นคืนมาแล้ว มาดูว่านางเทพน้อยแห่งหายนะจะจัดการกับคนในครอบครัวลุงรองอย่างไร