ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 9 สงครามมากปานใด ระทมไห้ปานนั้น
เมื่อใบไม้แห่งสารทฤดูร่วงจนหมดสิ้น ก็คือสายลมหนาวหวีดหวิว เหมันตฤดูมาเยือน
รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบห้า ปลายเดือนสิบเอ็ด อากาศเหน็บหนาว ผืนดินเป็นน้ำแข็ง ลมเย็นเสียดแทงกระดูก ทว่าบนทางหลวงจากเจี้ยนเฉิงไปก้งเฉิงยังคงมีราษฎรผู้สูญเสียบ้านเรือนจำนวนมากจับกลุ่มมุ่งลงใต้
พวกเขาฝืนต้านลมหนาว บ้างเท้าเปลือยเปล่าบ้างสวมรองเท้าฟาง เหยียบย่างไปบนทางซึ่งมีน้ำแข็งจับตัวบางๆ สามารถได้ยินเสียงร่ำไห้ของทารกน้อยในอ้อมอกที่บ้างเกิดจากความหิวโหย บ้างเกิดจากความเหน็บหนาว พวกเขาก้าวไปยังก้งเฉิงด้วยฝีเท้าซวนเซ บางคราก็แหงนหน้ามองไปยังขอบฟ้า ปรารถนาให้ดวงอาทิตย์เยี่ยมหน้าออกมาบ้างเพื่อให้อากาศอบอุ่นขึ้นสักเล็กน้อย หาไม่แล้วมิตายใต้คมหอกคมดาบและธนูปลิวว่อน ก็ต้องแข็งตายหรือหิวตายอยู่ข้างทาง
ที่ปลายสุดถนนหลวง ตำแหน่งที่คล้ายกับฟ้าและดินมาบรรจบกันนั้นมีเงาร่างคนผู้หนึ่งเดินมา ผู้ประสบภัยที่หิวจนท้องร้องโครกครากอดชะงักฝีเท้ามิได้ เมื่อเห็นเงาร่างสีขาวที่ไม่แปดเปื้อนแม้เศษธุลีนั้น คนทั้งปวงก็พากันนึกว่าตนหิวจนหน้ามืดตาลายแล้วเห็นภาพหลอน
อากาศเย็นชื้นมืดมัว แต่ใบหน้าคนผู้นั้นกลับประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นราวกับอาทิตย์แห่งวสันตฤดูในเดือนสาม มองแล้วชวนให้ความอ่อนล้า ความหิวโหย และความเหน็บหนาวรอบตัวลดลงไปได้
คนผู้นั้นเปิดห่อสัมภาระขนาดใหญ่ออกแล้วยื่นให้ผู้นำของเหล่าผู้ประสบภัย กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารขจายไปทั้งสี่ทิศทันที ยิ่งทำให้ผู้ประสบภัยที่ทั้งหิวทั้งหนาวจวนเจียนจะสิ้นความหวังรอดอยู่รอมร่อพลันเกิดความคิดว่า ‘คนผู้นี้คือเทพเซียนซึ่งสวรรค์ประทานมาช่วยเหลือพวกเรา’ ขึ้นมาในพริบตา
“ในนี้มีเซาปิ่งร้อนๆ จำนวนหนึ่ง พวกท่านแบ่งกันกินเถิด ให้กระเพาะได้อุ่น” เสียงของคนผู้นั้นใสสง่าอ่อนโยนและแฝงแววรันทดสงสาร
“ขอบพระคุณกงจื่อ! ขอบพระคุณกงจื่อเทวดา!” ผู้ประสบภัยพากันทรุดกายลงกราบกรานขอบคุณ
เซาปิ่งเหล่านี้สำหรับบางคนอาจเป็นสิ่งไม่มีค่าพอให้เหลือบแลสักครา ทว่าสำหรับพวกเขาในยามนี้กลับเป็นเสบียงช่วยชีวิต คนผู้นี้คือเทพเซียนที่สวรรค์ส่งมาช่วยพวกเขาโดยแท้ และก็มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่จะมีดวงหน้าหมดจดปราศจากธุลีแห่งโลกียะเช่นนี้ได้
“ไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าน้อยเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หาใช่เทพเซียนไม่” คนผู้นั้นโน้มเอวประคองผู้เฒ่าสองสามคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ไม่รังเกียจสักนิดที่ทั่วร่างของพวกเขามีแต่คราบสกปรกและดินทราย “ทุกคนลุกขึ้นเถิด รีบกินเซาปิ่งตอนที่ยังร้อนๆ ดีกว่า”
เหล่าผู้ประสบภัยลุกขึ้น พากันมองเขาด้วยความซาบซึ้งถึงหมื่นส่วน จากนั้นผู้ที่เป็นผู้นำก็แจกจ่ายเซาปิ่งในห่อออกไป ผู้ที่ได้เซาปิ่งแม้จะทั้งหนาวทั้งหิว ทว่ากลับไม่รีบร้อนยัดเข้าปาก แต่แบ่งให้เด็กน้อยในอ้อมอก ยื่นให้ผู้เฒ่าผู้แก่ข้างกาย ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ก็ฉีกออกเพียงนิดเดียว จากนั้นก็ยื่นกลับใส่มือบุตรธิดา
คนผู้นั้นมองอย่างเงียบงันอยู่ด้านข้าง แววอาดูรสังเวชในดวงตาเข้มขึ้น ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วหมุนกายจากไป
“กงจื่อโปรดรอก่อน!” ผู้นำของบรรดาผู้ประสบภัยรีบออกปากเหนี่ยวรั้ง
คนผู้นั้นชะงักฝีเท้า
ผู้นำของผู้ประสบภัยก้มศีรษะถามอย่างนอบน้อม “มิทราบท่านมีแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ว่าอันใด”
คนผู้นั้นนิ่งเงียบ
ผู้นำของผู้ประสบภัยเอ่ยต่อว่า “วันนี้ได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากกงจื่อ ข้าไร้สิ่งใดตอบแทน ขอเพียงให้กงจื่อแจ้งชื่อแซ่ พวกข้าจะจดจารไว้ในใจ จะได้อธิษฐานเช้าค่ำขอให้ท่านมีความผาสุก เป็นการทดแทนคุณอันยิ่งใหญ่”
คนผู้นั้นถอนใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “พี่ชายท่านนี้ อย่าได้ทำเช่นนี้เลย ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
อีกฝ่ายกลับวิงวอนเป็นคำรบที่สาม “ขอกงจื่อโปรดแจ้งแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ด้วยเถิด”
คนผู้นั้นกวาดตามอง เห็นคนทั้งหลายล้วนแต่มองมาทางเขา สุดท้ายจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าน้อยอวี้อู๋หยวน”
“อา!” พริบตานั้นผู้นำของเหล่าผู้ประสบภัยก็ตาเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความแตกตื่นยินดี “ที่แท้เป็นอวี้กงจื่อ!”
บรรดาผู้ประสบภัยได้ยินก็พากันล้อมเข้ามาทักทาย ทุกผู้ทุกนามล้วนมีความปรีดาและซาบซึ้งเต็มอก แม้จะมีเสียงเล่าลืออยู่ทั่วทุกหนแห่งเกี่ยวกับกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้มีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือผู้คนมากมายสุดจะนับ แต่พวกเขากลับไม่นึกฝันว่าวันนี้จะโชคดีได้พบ
กับความยินดีของผู้คน อวี้อู๋หยวนเพียงยิ้มจางๆ เอ่ยว่า “ด้านหน้าห่างจากจี้โจวไม่ไกลเท่าใดแล้ว เข้าเมืองแล้วไปถามหากองดูแลผู้ลี้ภัย ที่นั่นจะดูแลจัดหาที่พักให้พวกท่านอย่างเหมาะสม พวกท่านกินเสร็จแล้วจงเร่งเดินทาง อากาศหนาวเย็นนัก คนแก่กับเด็กจะทนไม่ไหว”
“ขอบพระคุณกงจื่อที่แนะนำ” ผู้นำของผู้ประสบภัยพยักหน้าไม่หยุดก่อนจะเอ่ยต่อ “กงจื่อจะเดินทางขึ้นเหนือหรือขอรับ ที่นั่นกำลังทำศึกกันอยู่ ท่านอย่าไปเลยจะดีกว่า”
“ข้าน้อยรู้” อวี้อู๋หยวนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าน้อยมีธุระต้องขอลาไปก่อน ทุกท่านรักษาตัวด้วย” กล่าวจบเขาก็ประสานมือแล้วหมุนร่างจากไป
“กงจื่อโปรดระวังตัวด้วย!” ผู้นำของผู้ประสบภัยตะโกนบอกเงาร่างที่จากไปนั้น
อวี้อู๋หยวนโบกมือโดยไม่หันกลับมามอง สาวเท้าต่อไป
เมื่อมองจนเงาร่างของเขาลับสายตาไปแล้ว ผู้นำของผู้ประสบภัยถึงแบ่งอาหารในมือให้ชาวบ้านต่อ ทว่าเมื่อแบ่งเสร็จถึงพบว่าก้นห่อสัมภาระมีถุงแพรถุงหนึ่งวางอยู่ พอเปิดออกก็พบว่าเป็นแผ่นทองทั้งถุง นับดูแล้วมีถึงห้าสิบกว่าแผ่น เงินจำนวนนี้มากพอให้พวกเขาไปถึงจี้โจว ซ้ำยังเหลือจำนวนหนึ่งให้พวกเขาตั้งรกรากที่นั่นได้อีกด้วย
ยามนั้นทุกคนล้วนแต่คุกเข่าไปทางทิศที่ร่างของอวี้อู๋หยวนหายลับไป ต่างแสดงความขอบคุณแก่ผู้มีพระคุณของพวกเขาด้วยธรรมเนียมที่จริงใจและเรียบง่ายที่สุดที่ตนรู้ แม้คนจะลับไปแล้ว แม้คนผู้นั้นอาจไม่ได้ยิน ทว่าพวกเขายังคงต้องกล่าวว่า… “ขอบพระคุณในบุญคุณใหญ่หลวงของอวี้กงจื่อ!”
เสียงนั้นกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
ระหว่างอูเฉิงของเป่ยโจวและเจี้ยนเฉิงของซังโจวมีทุ่งรกร้างยาวสิบลี้กั้นกลาง เดิมทีไร้ร่องรอยผู้คน ทว่าบัดนี้กลางทุ่งร้างกลับมีธงโบกสะบัด หมื่นอาชาแผดเสียง จิตสังหารคุกรุ่น
ตั้งแต่ต้นเดือนสิบ นับแต่ทัพหน้าของซังโจวบุกตีอูเฉิงเป็นครั้งแรก ทหารของทั้งสองแคว้นก็ปะทะกันหลายหน ผลัดกันแพ้ชนะ และผลของการผลัดกันแพ้ชนะนี้ก็คืออูเฉิงของเป่ยโจวและเจี้ยนเฉิงของซังโจวแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง บัดนี้เนื่องจากทั่วป๋าหงแม่ทัพใหญ่แห่งซังโจวกรีธาทัพใหญ่มาเสริม ซังโจวจึงได้เปรียบเล็กน้อย ทำให้ทหารเป่ยโจวถอยออกจากเจี้ยนเฉิง ส่วนทหารซังโจวก็บีบเข้าใกล้อูเฉิง
เวลาเย็นบนทุ่งร้างเสียงกลองศึกกระหึ่มกึกก้อง ทหารนับหมื่นแผดเสียงร้อง ดาบทวนฟาดฟัน หมู่ธงบังดวงตะวัน ทัพใหญ่แห่งซังโจวบุกเข้าโจมตีอีกครั้ง บีบประชิดอูเฉิงทั้งสามด้าน ตั้งมั่นจะตีเมืองให้แตกในคราเดียว
ด้วยทหารซังโจวหนุนเนื่องเข้ามาไม่ขาดสาย ทหารเป่ยโจวในอูเฉิงจึงยกก้อนศิลาและท่อนซุงเตรียมกลิ้งจากที่สูงมากระแทกข้าศึก น้าวคันเกาทัณฑ์ยาว รวบรวมสมาธิรอคอยอย่างเงียบเชียบ
หนึ่งร้อยจั้ง…แปดสิบจั้ง…ห้าสิบจั้ง…
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นตามส่วน แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่กุมธงสัญญาณ จวนจะเข้าปะทะกันเต็มที
“รถศึกครืนครานคลา อัศวาโหยหวนไห้
ผู้จรจากลาไกล เหน็บเอวไว้ซึ่งคันกง”
ทันใดนั้นเสียงขับขานเสียงหนึ่งก็กังวานขึ้นเหนือทุ่งรกร้าง ถึงกับทะลวงผ่านจิตสังหารอันพลุ่งพล่านขึ้นไปอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ
“บิดรแลมารดา บุตรภรรยาร่วมมาส่ง
เสียนหยางฟุ้งฝุ่นผง สะพาน* หม่นดินบังตา
กระทืบธรณี พร่ำโศกียื้อภูษา
ยินถึงชั้นเมฆา เสียงเพรียกหาเปี่ยมจาบัลย์
ผู้ผ่านข้างมรรคา ขอปุจฉาผู้โรมรัน
ตอบเพียงไพร่สามัญ ถูกเกณฑ์ต้อนเป็นอาจิณ
ขึ้นเหนือเมื่อสิบห้า ปกธาราจากไพริน
สี่สิบเกณฑ์ไม่สิ้น มุ่งปัจฉิมถางพงไพร
แรกไปไม่ประสา หลี่เจิ้งมารวบจุกให้
คืนถิ่นผมเงินใย ยังเกณฑ์ไปเฝ้าสีมา
เลือดนองเป็นอรรณพ ชีวาจบนอกพารา
หาสิ้นเจตนา ขยายด้าวแห่งภูมี
ฤๅท่านไม่ยลได้ แดนชิงไห่ล้วนกลี
แต่บรรพ์ทำยุทธี กระดูกขาวไร้ผู้เก็บ!
ผีใหม่ร้องคร่ำครวญ ผีเก่าล้วนร่ำว่าเจ็บ
ฟ้าหม่นฝนหนาวเหน็บ เนืองนองไห้หวนอาลัย”
เสียงขับขานนั้นกลัดกลุ้มโศกเศร้า แม้บนทุ่งร้างจะมีทหารและอาชาศึกนับหลายหมื่น ทว่าทุกผู้ทุกคนต่างก็ได้ยิน เมื่อสดับแล้วจิตใจก็ไหวคลอน
ยามนั้นแม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายพากันลืมโบกธงสัญญาณโดยไม่รู้ตัว มือเกาทัณฑ์ผ่อนแรงที่น้าวสายลง มือดาบมือทวนก็วางดาบและทวนลง มิมีผู้ใดไม่คิดถึงบิดามารดาภรรยาและบุตรที่บ้าน กะทันหันหัวใจก็โศกสลด ไหนเลยจะยังเหลือแววคมปลาบไว้ประหัตประหารปัจจามิตร
“เป่ยโจว ซังโจว ล้วนแต่ขึ้นต่อฮ่องเต้ ไฉนต้องฆ่าฟันกันเองด้วย” เสียงซึ่งเบายิ่งกว่าสายลม จางยิ่งกว่าเมฆกังวานขึ้นบนทุ่ง
“ผู้ใดกัน” ขุนพลเป่ยโจวผู้เฝ้าป้องกันอูเฉิงกระโดดขึ้นบนหอสังเกตการณ์เหนือกำแพงเมืองแล้วส่งเสียงตวาด
“ข้าน้อยอวี้อู๋หยวน” เสียงอันนุ่มนวลดังขึ้น ประหนึ่งเจ้าของเสียงอยู่แค่ตรงหน้า
“อวี้กงจื่อ?”
“เป็นอวี้อู๋หยวนกงจื่อ?”
ทหารนับหมื่นฟังแล้วส่งเสียงฮือฮา ทุกคนมิมีผู้ใดไม่ยืดคอมองหา กระทั่งแม่ทัพแห่งแคว้นทั้งสองก็ทอดสายตากวาดมองเช่นกัน ด้วยประสงค์จะยลโฉมกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้าสักครา
“ข้าน้อยฟังมาว่าที่ทั้งสองแคว้นเปิดศึกกันก็มีเหตุมาจากป้ายขั้วกาฬ” เสียงนุ่มนวลบางเบานั้นดังขึ้นอีกคำรบ
ครั้งนี้กองทัพนับพันหมื่นมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าบนเนินเขาทางตะวันตกที่ห่างออกไปหลายสิบจั้งมีร่างสีขาวร่างหนึ่งยืนอยู่ แม้จะมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด ทว่าอาภรณ์พลิ้วไหวนั้นประหนึ่งเซียนที่จะเหยียบสายลมคืนสู่แดนฟ้าไป
“ข้าน้อยมาคราวนี้เพื่อแจ้งให้เหล่าทหารกล้าทุกท่านทราบว่าป้ายขั้วกาฬตกเป็นของซื่อจื่อแห่งจี้โจวแล้ว” วาจานุ่มนวลเรียบละไมของอวี้อู๋หยวนลอยพลิ้วมาอีกครา แต่พริบตานั้นกลับเป็นดั่งศิลายักษ์ร่วงสู่ทะเลสาบ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นนับพันชั้น ทำให้หมู่ทหารหวั่นไหว “ในเมื่อสาเหตุที่ใช้เปิดศึกไม่เหลืออยู่แล้ว เหตุใดทหารของทั้งสองแคว้นจึงไม่ยั้งศาสตราวุธไว้ ดังนั้นก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความร้าวระทมที่ ‘ยินถึงชั้นเมฆา เสียงเพรียกหาเปี่ยมจาบัลย์’ ของคนในครอบครัวได้ด้วยมิใช่หรือ”
จังหวะที่ทหารนับหมื่นหวั่นไหวอยู่นั้น น้ำเสียงนุ่มนวลของอวี้อู๋หยวนก็ดังเข้าสู่โสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นก็เห็นว่าร่างสีขาวที่อยู่ไกลออกไปไหววูบ ในพริบตาก็หายไปไม่เหลือร่องรอย ทิ้งไว้เพียงเสียงขับขานอันอ้อยอิ่ง
“ฤๅท่านไม่ยลได้ แดนชิงไห่ล้วนกลี
แต่บรรพ์ทำยุทธี กระดูกขาวไร้ผู้เก็บ!
ผีใหม่ร้องคร่ำครวญ ผีเก่าล้วนร่ำว่าเจ็บ
ฟ้าหม่นฝนหนาวเหน็บ เนืองนองไห้หวนอาลัย”
ทันใดนั้นทุ่งร้างก็ไร้สรรพสำเนียง นอกจากเสียงอาชาเป็นครั้งคราว ทั่วทั้งฟ้าดินก็นิ่งสงัด มีเพียงเสียงทอดถอนใจอันเศร้าสังเวชนั้นที่ยังลอยวนเวียนไม่จางหาย
“อ้า อิ่มเหลือเกิน! ไม่ได้กินมื้อใหญ่เช่นนี้มานานแล้ว!”
หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในไท่เฉิง ไป๋เฟิงซีและหานผู่เดินลูบหนังท้องออกมา
“พี่สาว ท่านยังเหลือแผ่นเงินอีกเท่าไร กินมื้อนี้แล้วมื้อหน้าต้องเว้นอีกสิบวันครึ่งเดือนหรือไม่” หานผู่เหล่มองกระเป๋าเงินของนางแล้วถามขึ้น
“เอิ๊ก” ไป๋เฟิงซีอิ่มเต็มที่จนเรอออกมา นางโบกไม้โบกมือ “วางใจเถิด ผู่เอ๋อร์ ครั้งนี้ข้าชนะมาทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแผ่นเงิน พอให้พวกเราใช้ไปอีกสามเดือนห้าเดือนเชียวล่ะ”
“ท่านชนะคราหนึ่งได้เงินมากมายขนาดนี้เชียวหรือ” หานผู่เดาะลิ้น จากนั้นก็รีบดึงแขนเสื้อไป๋เฟิงซีไว้แล้วลากนางกลับไปทางเดิม “ในเมื่อฝีมือพนันของท่านฉกาจฉกรรจ์นัก เหตุใดไม่ชนะให้มากอีกหน่อยเล่า ไป ไปพนันกันอีกสักรอบ อย่างน้อยก็ชนะให้ได้เงินพอใช้ไปอีกสักปีสองปีซี”
“ผู่เอ๋อร์…” ไป๋เฟิงซีลากเสียงยาวเรียกเขา
“อะไรหรือ” หานผู่หันหน้ากลับมา
“ทึ่มนัก!” ไป๋เฟิงซียื่นมือเขกศีรษะเขาหนักๆ “หรือท่านพ่อเจ้าไม่เคยบอกว่าคนเราต้องรู้จักพอ ผู้รู้จักพอจะมีสุขยืนยาว ผู้ละโมบจะพบเคราะห์กะทันหัน! เข้าใจหรือไม่ ต้องรู้จักหยุดในเวลาที่เหมาะ”
“โอ๊ย” หานผู่ปล่อยนางแล้วกุมศีรษะไว้ ครั้งนี้นางเขกหนักจริงๆ ทำเอาหน้าผากของเขาปวดร้อนไม่น้อย
“ว่าแต่…” ไป๋เฟิงซีมือเท้าคาง พิจารณาหานผู่ “ตาเฒ่าหานนั่นโลภในทรัพย์ถึงสิบส่วน เจ้าสืบสันดานเขามาก็เป็นที่เข้าใจได้ เพียงแต่ว่า…” มือยื่นออก ตบลงบนศีรษะหานผู่อีกครั้ง “ต่อไปอยู่ข้างกายข้า เชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับความนับถือจากผู้คนและจนถึงขนาดว่าในแขนเสื้อทั้งสองมีแต่ลม”
“อย่าตบหัวข้าซี” หานผู่ยุดมือนางไว้พร้อมขมวดคิ้วมุ่นมองนาง “ข้าเจ็บมากนะ”
“ก็ได้” ไป๋เฟิงซีไม่ตบอีก เปลี่ยนเป็นลูบหน้าผากเขาแทน “เพื่อชดเชยให้สองโป๊กนี้ของเจ้า ข้าจะพาเจ้าไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นค่อยเลยไปซื้อรถม้าสักคัน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เดินตามถนนตากลมเปียกฝน แม่นางอย่างข้าทนไม่ไหว”
เมื่อได้ฟังวาจาไป๋เฟิงซี มือหานผู่ที่ยุดนางไว้ก็ผ่อนลง ทว่าไม่ได้ปล่อยออก เพียงแต่จ้องมองนางนิ่งๆ
“ไปได้แล้ว ไปหาซื้อชุดใหม่ให้เจ้า” ไป๋เฟิงซีจูงมือเขาไว้ หมุนร่างหาร้านเสื้อผ้า “ผู่เอ๋อร์ เจ้าชอบเสื้อผ้าสีอะไร ข้าขอบอกให้ชัดก่อนนะว่าห้ามเจ้าเลือกผ้าดิ้นเสื้อคลุมแพรที่แพงแทบตายพวกนั้น ทนๆ หน่อย ขอเพียงให้ความอบอุ่นได้และพอดีตัวก็พอแล้ว อืม ส่วนเรื่องสี มิสู้สวมสีขาวเป็นอย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นน้องชายข้าแล้วก็ย่อมต้องสวมสีเดียวกับข้า ข้าคือไป๋เฟิงซี (เฟิงซีขาว) วันหน้าเจ้าก็เป็นไป๋หานผู่ (หานผู่ขาว) เป็นอย่างไร ผู่เอ๋อร์…”
นางพล่ามอยู่ครึ่งค่อนวัน กลับพบว่าผู้ที่อยู่ข้างกายไม่ส่งเสียงสักคำ จึงอดผินหน้าไปมองมิได้ เห็นหานผู่ก้มหน้างุด สาวเท้าตามนางอย่างเงียบงัน มือที่นางจูงอยู่ถึงขนาดสั่นเล็กน้อย
“ผู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดไม่จาเล่า” ไป๋เฟิงซีอดหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ “หรือไม่พอใจที่ข้าไม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ ข้าจะบอกให้นะ ข้าน่ะ…” คำพูดของนางชะงักเพราะเห็นหานผู่เงยหน้ามองนาง ดวงหน้าเล็กจ้อยอันหมดจดคมคายเต็มไปด้วยน้ำตา นางลนลานขึ้นมากะทันหัน “ผู่เอ๋อร์ เจ้า…เป็นอะไรไป หรือเมื่อกี้ข้าเขกเจ้าแรงเกินไป”
“พี่สาว” หานผู่โถมร่างเข้าสู่อ้อมอกไป๋เฟิงซีแล้วกอดนางไว้ ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาก็แนบอยู่บนอ้อมอกนาง “พี่สาว…พี่สาว…ข้ารู้…ข้ารู้ทุกอย่าง”
เขาเกิดในสกุลชาวยุทธ์ ย่อมรู้ว่าหากเป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงถึงขั้นหนึ่งแล้วจะไม่เกรงกลัวอากาศร้อนหนาว และว่าด้วยวรยุทธ์ของไป๋เฟิงซี ต่อให้อยู่ในที่ซึ่งฟ้าเป็นน้ำแข็งพื้นเป็นหิมะ นางก็จะไม่รู้สึกหนาว ดังนั้นทั้งหมดล้วนแต่เพื่อเขา กล่าวได้ว่าหากไม่ต้องการจะซื้อชุดใหม่ต้านลมหนาว รถม้ากั้นลมบังฝน ไป๋เฟิงซีก็ไม่ต้องไปเล่นพนันเอาเงิน หากนางยินดีพนัน ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาก็คงไม่กินกลางลมนอนกลางแจ้งเช่นนั้น ที่ไปชนะเงินพนันเอาจากคนเหล่านั้น คิดดูแล้วนางคงไม่ใคร่จะยินดีนัก
ความจริงนางจะไม่เหลียวแลเขาเลยก็ยังได้ พวกเขามิใช่ญาติมิใช่สหาย ความเกี่ยวพันเพียงอย่างเดียวก็คือสูตรโอสถนั่น แต่ถึงแม้สูตรโอสถจะล้ำค่า ขณะเดียวกันก็อันตรายยิ่ง หากเรื่องรู้ไปถึงผู้อื่นว่าอยู่กับนาง จะต้องดึงดูดให้คนทั่วหล้ามาแย่งชิง อาจมีภัยถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ทว่านางก็ยังรับเขาเอาไว้ ไม่เคยมีคำโอดครวญสักนิด ตลอดทางที่คอยกลั่นแกล้งรังแกก็มีความรักใคร่เอ็นดูอยู่ในนั้นด้วย
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกผู้ชายแต่กลับอ่อนไหวละเอียดลออเยี่ยงนี้ มิรู้จริงๆ ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อเจ้าในวันหน้า” ไป๋เฟิงซีใจอ่อนยวบ ตบหลังคนในอ้อมอกเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง
“พี่สาว ภายหน้าผู่เอ๋อร์จะดูแลท่าน ดูแลท่านชั่วชีวิต” หานผู่มอบคำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นจริงจัง แต่กลับไม่รู้ว่าคำสัญญาของเขานั้นเป็นเรื่องหนักหนาเพียงใด
“ได้ เราไปซื้อเสื้อผ้ากันก่อนเถิด” ไป๋เฟิงซีเชิดหน้าหานผู่ขึ้นแล้วเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้าเขา “ดูสิ เจ้าเป็นลูกผู้ชาย แต่วันเดียวร้องไห้ถึงสองรอบ อายบ้างหรือไม่”
หานผู่หน้าแดง ซุกหน้าเข้ากับอกนางอีกครั้ง เขาชอบอ้อมกอดนี้ เพราะมันทั้งอุ่นทั้งหอม ยามที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดนี้แล้วคล้ายกับโลกทั้งใบล้วนแปรเปลี่ยนไป ร่มเย็นและสุขสงบ
หลายปีให้หลังจะมี ‘จอมยุทธ์เงาหมอก’ ผู้นิยมอาภรณ์ขาว ชมชอบร่ายกวี พิสมัยการรำกระบี่ ผู้ก่อตั้งพรรคเฟิงอู้ (วายุหมอก)…หานผู่ ทว่ายามนี้เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยขี้แย หน้าแดงง่าย ชอบออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกพี่สาวเท่านั้น
“ไปได้แล้ว” ไป๋เฟิงซีจูงเขาเดินต่อ
นางเดินผ่านถนน ไม่ได้ตรงไปหาร้านเสื้อผ้าทันที ทว่าเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่ค่อนข้างเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ท้ายตรอกเป็นบ้านร้าง มีประตูสีแดงสูงใหญ่ที่ลอกล่อนแล้ว ชายคามีหยากไย่หนาแน่น สิงโตหน้าประตูตัวหนึ่งล้มอยู่บนพื้น ตัวหนึ่งยังคงเฝ้าอารักขาหน้าประตู แค่ว่าฝุ่นดินใบไม้แห้งร่วงใส่เต็มร่าง
ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไป โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง กวาดฝุ่นดินบนสิงโตศิลาตัวที่ยังยืนอยู่ออก แล้วสะกิดปลายเท้าพาหานผู่เหินร่างไปอยู่บนสิงโตศิลา จากนั้นก็นั่งลง
ทั้งสองนั่งอยู่บนสิงโตศิลา ดูประหนึ่งภาพวาดโบราณอันหดหู่และเหลืองคร่ำคร่าที่เพิ่มคนมีเลือดมีเนื้อเข้าไปสองคน ดูแปลกแยกอย่างยิ่ง
“พี่สาว พวกเราจะไปซื้อเสื้อผ้ามิใช่หรือ ไฉนมาอยู่ที่นี่เล่า” หานผู่รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นนางชี้แจงสาเหตุที่มานั่งที่นี่ จึงได้แต่ถามเอาเอง
“รอคน” ไป๋เฟิงซีห้อยขาเรียวยาวลงกวัดแกว่งไปมา
“รอผู้ใดกัน” หานผู่ก็ลอกอย่างนาง แกว่งขาทั้งสองไปมา
“รอผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจสะกดรอยตามข้า” ไป๋เฟิงซีหรี่ตาลง “หากเขายังไม่ปรากฏตัวอีก อย่าได้โทษที่ข้าไม่เกรงใจ”
สิ้นกระแสความร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากเงาในมุมมืดทันที เขาก้มศีรษะคุกเข่า กล่าวด้วยเสียงนบนอบว่า “คารวะจอมยุทธ์หญิงเฟิง”
“ข้าหาใช่ผู้อาวุโสของท่านและหาใช่ขุนนางใหญ่ อย่าเอะอะอะไรก็คุกเข่าให้ข้า” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคนผู้นั้นพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า
คนผู้นั้นลุกขึ้น เงยหน้ามองนาง “แม่นางเฟิงยังจำข้าได้หรือไม่”
ไป๋เฟิงซีมองเขา ครู่หนึ่งให้หลังก็พยักหน้า “ที่แท้เป็นท่านหรอกหรือ หลายปีมานี้สบายดีหรือไม่”
คนผู้นั้นเป็นบุรุษอายุราวสามสิบสี่สามสิบห้า ร่างสูงใหญ่กำยำ คิ้วหนาตาโต เดิมทีห้าวหาญถึงสิบส่วน ทว่าบนใบหน้ามีรอยแผลกรีดยาวจากสันจมูกไปถึงคางด้านขวา ส่งผลให้ใบหน้านั้นอัปลักษณ์ชวนพรั่นพรึง
“แม่นางเฟิงจำข้าได้?” บุรุษร่างใหญ่เห็นนางยังจำเขาได้ก็อดแตกตื่นยินดีเป็นล้นพ้นไม่ได้
“ความจำข้ายังไม่แย่นัก” ไป๋เฟิงซีแย้มยิ้ม “เหยียนจิ่วไท่ หัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋น บุคคลผู้ชื่อเสียงเกรียงไกรในยุทธภพเมื่อหกปีก่อน ไฉนเลยข้าจะจำไม่ได้”
“พี่สาว สามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นคือที่เมื่อหกปีก่อนถูกท่านเหยียบราบคาบนั่นใช่หรือไม่” หานผู่ที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วสอดขึ้นทันที วีรกรรมของไป๋เฟิงเฮยซีในยุทธภพนั้นเขาถ่องแท้ประหนึ่งรู้จักนิ้วและฝ่ามือของตน
ฝ่ามือไป๋เฟิงซีตบเข้าศีรษะหานผู่ “ผู้ใหญ่คุยกัน ผีน้อยหุบปาก”
“ข้าไม่ใช่ผีน้อย อีกไม่นานข้าก็จะสูงกว่าท่าน” หานผู่ยืดอก
เหยียนจิ่วไท่กลับแย้มยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่ถือสาคำที่หานผู่เอ่ย
“หัวหน้าค่ายเหยียน ท่านสะกดรอยจากโรงบ่อนเบี้ยมาถึงที่นี่มีธุระสำคัญอันใด คิดจะมาล้างแค้นเรื่องเมื่อหกปีก่อนกระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีหันหน้าไปถามเหยียนจิ่วไท่
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด” เหยียนจิ่วไท่รีบส่ายศีรษะ “ใบหน้าท่วงท่าของแม่นางยังคงเหมือนเดิม ทันทีที่ก้าวเข้าสู่โรงบ่อนเบี้ยก็เป็นจุดสนใจ จิ่วไท่จึงตามมาถึงที่นี่ และหาใช่ต้องการล้างแค้น เพียงปรารถนาจะตอบแทนคุณที่ไว้ชีวิตเมื่อหกปีก่อน”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะใคร่ครวญ จากนั้นถึงยิ้มอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่ท่านก็เป็นผู้เปิดนี่เอง มิน่าเล่าจึงถูกท่านพบเข้า”
“ขอรับ หกปีก่อนข้าพาพี่น้องจำนวนหนึ่งมาตั้งรกรากที่ไท่เฉิงแห่งนี้ ผู้มีพื้นเพเป็นโจรปล้นชิงเยี่ยงพวกเราทำการใหญ่อะไรมิได้ จึงได้แต่เปิดอะไรจำพวกโรงบ่อนเบี้ย โรงรับจำนำ ในเมืองนี้ที่ใดที่มีอักษรจิ่วไท่ล้วนแต่เป็นของพี่น้องเรา” เหยียนจิ่วไท่กล่าว
“นั่นก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง” ไป๋เฟิงซียิ้ม “รอยบากบนใบหน้านี้ข้าเป็นผู้ทิ้งไว้ ชีวิตท่านข้าก็เป็นผู้เหลือไว้ ก็หักล้างกันไป มิต้องเอ่ยเรื่องล้างแค้นและมิต้องเอ่ยเรื่องแทนคุณ”
“ไม่” เหยียนจิ่วไท่กลับส่ายหน้า “บาดแผลนี้ข้าหาเรื่องเอง แต่บุญคุณที่ไว้ชีวิตกลับมิอาจไม่ตอบแทน หาไม่แล้วชั่วชีวิตข้ายากจะสงบสุข”
“อ้อ? ท่านคิดจะแทนคุณเช่นไรเล่า” ไป๋เฟิงซีถาม นัยน์ตาเริ่มกลอกกลิ้งไปมา
หานผู่มองแล้วอดกังวลแทนเหยียนจิ่วไท่ผู้นั้นมิได้ เกรงแต่ว่าบุญคุณนี้เขาจะตอบแทนไม่ได้โดยง่าย
“ข้ายินดีติดตามข้างกายท่าน เป็นทาสเป็นบ่าว ใช้กำลังกายตอบแทนเยี่ยงสุนัขและม้า” เหยียนจิ่วไท่ทรุดกายลงคุกเข่าบนพื้นอีกครั้ง
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีตาเป็นประกาย มือซ้ายเท้าคาง ปลายนิ้วเคาะพวงแก้มเป็นจังหวะ “เดิมทีข้ายังนึกว่าท่านคิดจะมอบของจำพวกทรัพย์สินเงินทองให้ข้าเสียอีก ต้องรู้ไว้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ฐานะยากจนนัก ผู้ใดเลยจะรู้ว่าท่านจะตอบแทนแค่นี้เอง”
หานผู่ฟังแล้วก็ลอบร้องในใจทันทีว่า ‘ว่าแล้วเชียว’ เห็นทีหากเหยียนจิ่วไท่ไม่ตอบแทนจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ส่งเทพองค์นี้ไปไม่พ้นเสียแล้ว
“หือ?” เหยียนจิ่วไท่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาล้วงสัญลักษณ์รูปเสือสีเงินชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “ท่านสามารถนำสิ่งนี้ไปเบิกเงินทองจากโรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่หรือโรงรับจำนำจิ่วไท่สาขาใดก็ได้ในซังโจว”
“สาขาใดก็ได้ในซังโจว?” ไป๋เฟิงซีชักจะสนใจ “ดูท่าหลายปีมานี้กิจการท่านไปได้ไม่เลวทีเดียว ทั่วทั้งซังโจวล้วนแต่มีกิจการของท่านสินะ”
“พอไปได้ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่เอ่ย ในน้ำเสียงกลับมีความกระปรี้กระเปร่าและภาคภูมิใจที่ยากจะเก็บซ่อน “ด้วยคำสั่งสอนของท่าน หลายปีมานี้ข้าร่วมกับพี่น้องเปิดสาขาในซังโจวได้หลายสิบแห่งแล้ว”
“อา!” ไป๋เฟิงซีเดาะลิ้น “แล้วตอนนี้ท่านคิดจะยกกิจการทั้งหมดนี้ให้ข้า?”
ทันทีที่วาจานี้หลุดออกไป หานผู่ก็ลอบร้องในใจว่าโหดเหี้ยมนัก ถึงกับคิดจะฮุบสมบัติทั้งหมดของผู้อื่น คาดว่าเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้ต้องตกใจจนเผ่นหนีไปเสียแล้ว
“ขอเพียงท่านต้องการ ก็สามารถมอบให้ได้ทั้งหมด” ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเหยียนจิ่วไท่จะตกปากรับคำในทันที จะลังเลสักนิดก็หามีไม่
“หืม?” คราวนี้ถึงเป็นทีไป๋เฟิงซีตกตะลึงบ้าง เดิมนางนึกว่าเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้คงจะมอบเงินทองให้นางจำนวนหนึ่งเพื่อขอบคุณที่นางไว้ชีวิต ที่อ้าปากกว้างเป็นสิงโต ขอทรัพย์สินมากมายก็เจตนาเพียงจะไล่เขาไปเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่า…
“ขอท่านโปรดรับปากจิ่วไท่ ให้จิ่วไท่ปรนนิบัติข้างกายด้วย” เหยียนจิ่วไท่คล้ายกับคิดคุกเข่ายาว ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นสักนิด
“พี่สาว ท่านไว้ชีวิตเขาอย่างไรกันแน่” หานผู่มองไป๋เฟิงซีด้วยความข้องใจ อยากรู้ว่านางทำสิ่งใดไปจึงทำให้ผู้อื่นยอมมอบทรัพย์สินให้ชนิดเทหมดถุงเช่นนี้
“เหยียนจิ่วไท่ ท่านใจถึงนัก แต่สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนไม่ต้องการ เมื่อครู่เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีกระโดดลงจากสิงโตศิลาแล้วประคองเหยียนจิ่วไท่บนพื้นให้ลุกขึ้น “ในเมื่อหลายปีมานี้ท่านกับพี่น้องก่อร่างสร้างกิจการได้ เช่นนั้นก็รักษาไว้ให้แข็งแรง ใช้ชีวิตของพวกท่านให้ดี ข้าไปไหนมาไหนเพียงลำพังจนชินแล้ว ไม่คุ้นเคยและไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปรนนิบัติ”
“แม่นางเฟิง ก่อนมาข้าสั่งพี่น้องไว้หมดแล้ว หลังข้าไปกิจการเหล่านี้ให้พวกเขาดูแล” เหยียนจิ่วไท่ลุกขึ้น มองไป๋เฟิงซีอย่างกระตือรือร้น “ยิ่งกว่านั้นจิ่วไท่ตัวคนเดียว ไม่มีภาระทางบ้าน ตั้งแต่หกปีก่อนข้าก็สาบานว่าจะรับใช้ท่านชั่วชีวิตเพื่อทดแทนบุญคุณยิ่งใหญ่ ทว่าตลอดมาก็หาท่านไม่พบ วันนี้เมื่อพบแล้วจิ่วไท่ย่อมต้องติดตามจนถึงที่สุด”
“สวรรค์ ถึงกับเตรียมการพรักพร้อมก่อนมา” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจ จากนั้นถึงกวักมือไปข้างหลังโดยไม่หันหน้ากลับ
หานผู่เห็นก็รีบกระโดดลงมา
ไป๋เฟิงซียื่นมือได้ก็รวบเขาไว้ สำแดงท่าร่างโฉบผ่านเหยียนจิ่วไท่ไปอย่างเร็วรี่ ทางหนึ่งก็หนีทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เหยียนจิ่วไท่ ท่านกลับไปเสียก็ถือว่าตอบแทนข้าแล้ว”
“แม่นางเฟิง ท่านรอก่อน” เหยียนจิ่วไท่เห็นดังนั้นก็สาวเท้ากวดตามทันที
บนถนนผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ทว่าไป๋เฟิงซีจูงหานผู่เหินร่างผ่านไปราวกับใต้เท้าติดกงล้อวายุเพลิง แต่เหยียนจิ่วไท่นั้นกาลก่อนเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋น วรยุทธ์ย่อมเก่งกาจมิใช่ชั่ว ฝีเท้าก็แข็งแรงว่องไวดุจเหาะเหิน ตามอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงหนึ่งจั้ง
วิ่งผ่านถนนเก้าสาย ผ่านทางเลี้ยวสิบหกแห่ง กระโดดข้ามกำแพงสามสิบสองแห่ง แต่พอเหลียวศีรษะกลับไปดู เหยียนจิ่วไท่ก็ยังคงตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่ยอมถอดใจ ในที่สุดไป๋เฟิงซีก็ถอนใจแล้วหยุดฝีเท้าลง
“หากข้าหนีไปเรื่อยๆ ท่านก็จะไล่ตามไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่” ในตรอกเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง ไป๋เฟิงซีปล่อยหานผู่ลง ทรุดนั่งกับพื้น หันหน้ากลับไปถามเหยียนจิ่วไท่อย่างจนใจ
“ชะ…ใช่…” เหยียนจิ่วไท่หอบ “ข้าบอกแล้วว่าจะปรนนิบัติท่านชั่วชีวิต”
“ข้ากลัวท่านแล้ว” ไป๋เฟิงซีโบกมือ มองหานผู่แล้วมองเหยียนจิ่วไท่อีกครา ใคร่ครวญอย่างหนักอยู่เป็นครู่ จากนั้นถึงพยักศีรษะเอ่ยว่า “ก็ได้ ข้าให้ท่านติดตาม”
“จริงหรือขอรับ” เหยียนจิ่วไท่ได้ยินคำนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้านางทันที มือทั้งสองยกมือทั้งคู่ของไป๋เฟิงซีขึ้นแตะที่หน้าผากเบาๆ “นับแต่นี้ไปจิ่วไท่จะภักดีต่อท่าน เพียงมีบัญชา หมื่นตายไม่เกี่ยง!” วาจาดั่งคำสัตย์สาบานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นถึงหมื่นส่วน
ไป๋เฟิงซีมองเขา อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านคืออนุชนแห่งจิ่วหลัว?”
เหยียนจิ่วไท่ก็ตะลึงไปเช่นกัน เขาเหลือบตามองไป๋เฟิงซี จากนั้นก็หลุบตาลงจุมพิตอย่างแผ่วเบา ไม่มีแววล่วงเกินแม้เศษเสี้ยว กล่าวอย่างขึงขังเป็นทางการ “ขอรับ จิ่วไท่เป็นชาวเผ่าจิ่วหลัว” กล่าวจบก็ปล่อยมือนาง
“เผ่าจิ่วหลัว…นึกไม่ถึงว่าผ่านไปหกร้อยปี ข้าจะยังได้พบกับคนเผ่าจิ่วหลัวอีก” ไป๋เฟิงซีจับจ้องเหยียนจิ่วไท่อย่างลึกซึ้ง ในสายตาคล้ายซ่อนเร้นความรู้สึกประหลาดบางอย่างไว้ ทว่านางก็โบกมือทันควัน “เอาล่ะ ท่านลุกขึ้นเถิด ต่อไปอยู่กับข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้อีก”
“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่ลุกขึ้นเอ่ยอย่างนอบน้อม
“พี่เหยียน ในเมื่อท่านกว้างขวางในไท่เฉิงถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ช่วยเตรียมรถม้าให้เราสักคัน ซื้อเสื้อผ้าให้น้องชายผู้นี้ของข้าสักสี่ห้าชุดซี” ไป๋เฟิงซีเกี่ยงงานทันที
“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำทันควัน จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านเรียกข้าจิ่วไท่ก็พอ”
“อันใดกัน ท่านรังเกียจที่ข้าเรียกให้ท่านฟังดูแก่หรือ” ไป๋เฟิงซีเหลือกตา กระโดดผึง “เดิมทีท่านก็แก่กว่าข้า เรียกท่านว่าพี่ก็เหมาะดี หรือคิดจะให้ข้าเรียกท่านว่าน้องชาย? ข้ามิได้แก่ถึงขั้นนั้นกระมัง”
“ไม่ใช่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เหยียนจิ่วไท่โบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว” ไป๋เฟิงซีนั่งลงอีกครั้ง “พี่เหยียน รบกวนท่านรีบไปซื้อเสื้อผ้าและรถม้า แล้วก็ถือโอกาสซื้อของกินมาด้วย เมื่อครู่วิ่งกันยกใหญ่ ของที่เพิ่งกินเข้าไปย่อยจนหมดแล้ว”
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ท่านโปรดรออยู่ที่นี่” เหยียนจิ่วไท่ไม่เถียงกับนางอีก หมุนกายไปทำธุระทันที
ข้างถนนชานเมืองเว่ยเฉิงแห่งเป่ยโจวมีร้านขนาดย่อมแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นหญิงผู้ครองความเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว นางขายอาหารจำพวกซาลาเปา หมั่นโถว โจ๊กเปล่า ทำการค้าเล็กๆ ลูกค้าที่มาอุดหนุนก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านที่เดินทางไปมาระหว่างตัวเมืองและชนบท
เช้าตรู่วันนี้เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งจะจัดเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยไม่ทันไรก็มีลูกค้าเข้ามาในร้าน
“เถ้าแก่เนี้ย ขอหมั่นโถวสี่ลูก โจ๊กหนึ่งชาม”
“ได้เลยเจ้าค่ะ เชิญท่านนั่งก่อน ประเดี๋ยวก็เสร็จ”
เถ้าแก่เนี้ยกำลังเปิดฝาเข่งนึ่งเพื่อดูว่าหมั่นโถวสุกหรือยัง ไอร้อนตลบอบอวล ทำให้มองเห็นผู้มาไม่ชัด ในความพร่ามัวนั้นเห็นเพียงคนชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ทรุดนั่งลงยังโต๊ะข้างหน้าต่าง
“นายท่าน หมั่นโถวและโจ๊กที่สั่งเจ้าค่ะ” ไม่นานนักเถ้าแก่เนี้ยก็ยกอาหารที่มีไอร้อนลอยตลบมา
“ขอบใจมาก” ลูกค้าที่เดิมทีมองออกไปนอกหน้าต่างหันหน้ามาสนทนาด้วย
เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า มองลูกค้าแล้วพลันอาลัยไม่อยากจากไปขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรผู้ที่น่ามองเพียงนี้ชั่วชีวิตนางก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก
“นายท่าน…ยังต้องการอาหารอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้ว เถ้าแก่เนี้ยเชิญทำธุระเถิด” ลูกค้าก้มศีรษะ ยกโจ๊กเปล่าตรงหน้าขึ้น
“เช่นนั้นข้าจะหากับข้าวง่ายๆ มาให้เป็นอย่างไร” เถ้าแก่เนี้ยถามไถ่ อีกทางก็คิดว่าจะไปยกไช้เท้าแห้ง ถั่วฝักยาวดอง หรือหัวผักกาดดองซีอิ๊วที่เพิ่งทำมาให้ดี หาได้คิดว่าจะทำกำไรเท่าไร หวังเพียงได้สนทนากับนายท่านคนนี้ให้นานอีกหน่อย
“ข้าว่าเจ้ามิสู้ไปกับข้าดีกว่า” ขณะนั้นเองเสียงอันทะนงตนเสียงหนึ่งก็สอดขึ้น คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
เถ้าแก่เนี้ยรีบผินหน้าไปมอง ทันทีที่ได้เห็นหัวใจก็เต้นโครมคราม ลอบคิดว่าวันนี้เป็นวันดีอะไรหนอ เหตุใดจึงมีลูกค้าชั้นเลิศเช่นนี้มาอุดหนุน หากกล่าวว่าลูกค้าชุดขาวเมื่อครู่หมดจดสง่างามจนไม่เหมือนมนุษย์สามัญ เช่นนั้นลูกค้าชุดม่วงที่ก้าวเข้ามาก็ประหนึ่งราชาผู้สูงศักดิ์บนโลกมนุษย์ ส่วนบุรุษที่ตามมาด้านหลังอีกคนหนึ่งก็ช่างงดงามจนไร้ซึ่งหนทางที่จะพรรณนาได้
“เจ้ามาแล้ว” ลูกค้าที่กำลังกินโจ๊กยิ้มบางๆ ให้ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่
“อู๋หยวน เจ้ากินของพวกนี้หรือ” หวงเฉากวาดตามองหมั่นโถวสี่ลูกตรงหน้าเขา ส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างไม่ใคร่จะเห็นด้วย
“เจ้าก็ชิมดูบ้างสิ” อวี้อู๋หยวนชี้ที่นั่งตรงกันข้าม “นานๆ ทีกินอาหารธรรมดาบ้างก็ได้รสชาติไปอีกแบบ”
หวงเฉาเดินไปทรุดกายลงตรงข้ามเขา “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“เดินเรื่อยเปื่อยแล้วก็มาถึง” อวี้อู๋หยวนตอบ หันหน้าไปเรียกเถ้าแก่เนี้ย “รบกวนขอโจ๊กเปล่าอีกสองชาม เสี่ยวหลงเปา อีกสิบลูก”
“ได้เลยเจ้าค่ะ นายท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ” เถ้าแก่เนี้ยรีบขานรับ
“เซียวเจี้ยน เจ้าก็นั่งลงเถิด” อวี้อู๋หยวนเอ่ยกับเซียวเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังหวงเฉา เมื่อเห็นเขาถนัดตาแล้วก็อดประหลาดใจมิได้ “ในที่สุดเจ้าก็ยอมสวมชุดสีอื่นนอกจากสีขาวแล้วหรือ”
คนผู้สวมชุดขาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันผู้นี้วันนี้ถึงกับสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้า ทำให้ความเย็นชาลดทอนลงไปหลายส่วน ขับผิวกายขาวราวหิมะของเขาให้ดุจดั่งผลึกแก้วสีฟ้า ในความเย็นมีความบริสุทธิ์ ในความบริสุทธิ์มีความอ่อนโยน ทอประกายไหลเลื่อนไปทั่วร่าง ชวนสนิทชิดเชื้อ ทว่าก็ไม่อาจหักใจสัมผัส
หวงเฉามองเซียวเจี้ยนแวบหนึ่ง โพล่งขึ้นว่า “ข้าว่าเจ้าเรียกเขาเสวี่ยคง เขาจะยินดีกว่า”
“หือ?” อวี้อู๋หยวนมองเขาด้วยความงุนงง แม้เซียวเจี้ยนจะมีฉายาว่าเสวี่ยคง ทว่าแต่ไรมาพวกเขาก็คุ้นกับการเรียกชื่อเขาตรงๆ
“นายท่านทั้งสาม โจ๊กและเสี่ยวหลงเปาร้อนๆ มาแล้วเจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยยกโจ๊กและเสี่ยวหลงเปามาเพิ่ม
รอจนเถ้าแก่เนี้ยวางอาหารเสร็จ หวงเฉาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้นางถอยออกไป จากนั้นถึงมองอวี้อู๋หยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะไป๋เฟิงซีเปรยว่าเขาเหมาะจะสวมอาภรณ์สีฟ้าอย่างสีของท้องนภา วันต่อมาเขาก็เปลี่ยนชุด นอกจากนี้ไป๋เฟิงซียังเอ่ยว่าเขาควรมีนามว่าเสวี่ยคงจึงจะถูก แม้เขาจะไม่ได้พูด แต่เมื่อข้าเปลี่ยนมาเรียกเขาว่าเสวี่ยคง ในดวงตาของเขาก็มีแววยินดีล้นปรี่เชียวล่ะ”
“อ้อ? ไม่นึกเลยว่าไป๋เฟิงซีจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ ข้าชักอยากจะทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว” อวี้อู๋หยวนหันไปมองทางเซียวเจี้ยน…เซียวเสวี่ยคง แล้วพบว่าดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนอย่างน่าอัศจรรย์อีกแล้ว “นามเสวี่ยคงนี้เหมาะกับเจ้ามากจริงๆ นั่นแหละ เข้ากับเจ้าที่สวมชุดสีฟ้าเช่นนี้อย่างยิ่ง เป็นดั่งทุ่งหิมะท้องฟ้าครามโดยแท้ งดงามยิ่งนัก”
สีฟ้าในดวงตาเซียวเสวี่ยคงผู้นั่งอยู่เบื้องซ้ายยิ่งเข้มขึ้นกว่าเก่า ดวงตากลอกไปทางหวงเฉา ปากขยับเล็กน้อย แต่เพราะที่อีกฝ่ายคือนายเหนือหัวของตน จนแล้วจนรอดจึงมิได้เอ่ยคำใดออกมา สุดท้ายเพียงแค่ยื่นตะเกียบไปคีบเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่งมา เคี้ยวกลืนลงไปในคำเดียว
อวี้อู๋หยวนเห็นท่าทีของเขาเป็นเช่นนี้ก็อดเกิดจิตคิดกลั่นแกล้งมิได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คล้ายว่าจี้โจวยังไม่มีผู้ใดสวยกว่าเจ้าเลย หากเจ้าเป็นสตรีไม่แน่ว่าอาจทัดเทียมได้กับฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจว”
“อวี้กงจื่อ ข้าเป็นบุรุษ” เซียวเสวี่ยคงกลืนเสี่ยวหลงเปาหนึ่งลูก มองอวี้อู๋หยวนพร้อมกับเอ่ยเน้นทีละคำ ความนัยที่แฝงอยู่คือบุรุษจะเรียกว่า ‘สวย’ ได้อย่างไร และยิ่งไม่ควรนำไปเทียบกับสตรี…โดยเฉพาะกับฉุนหรานกงจู่ผู้ได้สมญานามว่า ‘หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง’
“ตอนไป๋เฟิงซีนั่นบอกว่าดวงตาของเจ้า ‘สวยยิ่งนัก’ ไฉนไม่เห็นเจ้าโต้แย้งนางเลยเล่า” หวงเฉากลับสอดขึ้น กล่าวจบก็ยกโจ๊กตรงหน้ามาเป่าแล้วกินลงไป
เซียวเสวี่ยคงมองหวงเฉา ปากอ้าเปิดๆ ปิดๆ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้ากินเสี่ยวหลงเปา
อวี้อู๋หยวนแย้มยิ้ม หยอกต่อไม่ลงจึงเปลี่ยนมาถามหวงเฉาว่า “ไปครานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ยอดมาก” หวงเฉาเอ่ยคำง่ายๆ เพียงสองคำ จากนั้นก็มองเขาแล้วกล่าวว่า “กล่าววาจาประเดี๋ยวเดียวห้ามศาสตราวุธสองแคว้นได้ อวี้กงจื่อร้ายกาจนัก”
“ไฉนต้องเพิ่มวิญญาณบริสุทธิ์มากมายถึงเพียงนั้น” อวี้อู๋หยวนคีบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมาลูกหนึ่ง
“โลกนี้วิญญาณที่ตายอย่างคับแค้นมีมากเหลือคณา ยิ่งกว่านั้น…ถึงเวลาก็ต้องมีคนตายเช่นกัน” หวงเฉาจ้องเขาเขม็ง
“เช่นนั้นถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยง” อวี้อู๋หยวนกินเสี่ยวหลงเปาลูกหนึ่งเสร็จก็วางตะเกียบไม้ไผ่ลง เหลือบตามองหวงเฉา “ยิ่งกว่านั้นข้าเท่ากับช่วยบอกใต้หล้าแทนเจ้าว่าป้ายขั้วกาฬเลือกซื่อจื่อแห่งจี้โจวแล้ว นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรอกหรือ หากซังโจวกล้าอ้างเรื่องป้ายขั้วกาฬแล้วมารุกล้ำจี้โจวเช่นเดียวกับเป่ยโจว เจ้าก็สบโอกาสตีเอาเมืองของพวกเขาอีกสักหลายเมือง หรือว่า…กลืนทั้งหมดได้ เช่นนี้ก็ดีมิใช่หรือ”
หวงเฉามิได้เอ่ยคำใด เพียงแค่ว่าสีหน้าที่แสดงออกนั้นชัดเจนว่าเห็นพ้องกับวาจาของอวี้อู๋หยวน
“ส่วนความขัดแย้งระหว่างเป่ยโจว ซังโจว ชาวประมงอย่างเจ้าก็ได้ประโยชน์ ทว่าขุนเขาและสายน้ำที่เหลือเพียงซากหักพัง เจ้าก็ไม่ต้องการมิใช่หรือ” อวี้อู๋หยวนมองหวงเฉา แววตาลึกล้ำ “ดังนั้นเก็บไว้ก็ไม่เสียหาย รอให้เจ้ามาเก็บกวาดเอาเอง”
หวงเฉาเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “คล้ายกับสิ่งใดที่ข้าคิดอยู่ในใจ เจ้าก็มักจะมองทะลุได้ในคราเดียว” ว่าแล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปทางเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังทำงานง่วน
“อย่าแตะต้องนาง” นัยน์ตาอวี้อู๋หยวนสาดประกายคมกริบ มือกดมือของเซียวเสวี่ยคงที่กุมด้ามกระบี่ไว้ “คำพูดเหล่านี้ต่อให้นางได้ยินแล้วจะอย่างไร เหตุใดต้องเที่ยวสังหารผู้บริสุทธิ์ด้วย”
หวงเฉาโบกมือ ส่งสัญญาณให้เซียวเสวี่ยคงหยุดมือ เขามองอวี้อู๋หยวนอย่างจนใจ “นิสัยเยี่ยงโพธิสัตว์เช่นนี้ของเจ้าทำให้ข้าอับจนปัญญา”
อวี้อู๋หยวนยิ้มจางๆ ถามว่า “ก้าวต่อไปคิดไว้เช่นไร”
“แน่นอนว่าต้องกลับไป ข้าออกมาคราวนี้เก็บเกี่ยวอะไรได้มากอยู่” ในวาจาหวงเฉาคล้ายซ่อนนัยลึกล้ำไว้
อวี้อู๋หยวนใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปโยวโจวเถิด”
“โยวโจว?” คิ้วดกหนาของหวงเฉาเลิกขึ้นน้อยๆ
“ใช่ โยวโจวซึ่งมั่งคั่งที่สุดในต้าตง โยวโจวซึ่งมีหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง” อวี้อู๋หยวนเคลื่อนสายตาไปนอกหน้าต่าง
“โยวโจวรึ” สายตาหวงเฉาตกอยู่ที่โจ๊กเปล่าครึ่งชามเบื้องหน้า เขายื่นมือไปยกขึ้นกินรวดเดียวหมด จากนั้นก็วางชามลงบนโต๊ะ ประกายสีทองในดวงตาเจิดจ้า “ใช่ ได้เวลาแล้ว”
“อืม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า “รีบไปจะได้รีบจัดการให้เรียบร้อย”
“ไปโยวโจวก็กลับจี้โจวก่อนได้” หวงเฉาหยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
อวี้อู๋หยวนก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาหันหน้าไปทางเถ้าแก่เนี้ย ยิ้มบางๆ คล้ายจะขอบคุณในการต้อนรับ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
เซียวเสวี่ยคงล้วงแผ่นเงินหนึ่งแผ่นออกจากอกเสื้อ วางไว้บนโต๊ะแล้วตามทั้งสองไป