ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 10 คร่าวิญญาณล้างหนี้วิญญาณแค้น
“พี่สาว เหตุใดให้เขาติดตามมาด้วยเล่า”
ในตรอกแคบไร้ผู้คน หานผู่กระตุกแขนเสื้อไป๋เฟิงซีที่พิงกำแพงหลับตาพักผ่อนอยู่แล้วถามขึ้น
“เพราะเขาอยากตามอย่างไรเล่า” นางตอบทั้งที่ยังหลับตา
“ท่านมิใช่ผู้ที่เจรจาด้วยง่ายปานนี้หรอก” หานผู่เบะปาก “ที่ท่านให้เขาติดตามเพราะมีเป้าหมายอะไรใช่หรือไม่”
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเคยได้ยินชื่อเผ่าจิ่วหลัวบ้างหรือไม่” ในที่สุดไป๋เฟิงซีก็ลืมตามองเขา
“เผ่าจิ่วหลัว?” หานผู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยิน”
“อืม เจ้าไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องธรรมดา” ไป๋เฟิงซีแหงนหน้า สายตาทอดผ่านตรอกแคบขึ้นไปบนฟ้าไกล “ถึงอย่างไรเผ่าจิ่วหลัวก็ถูกสังหารล้างเผ่ามาหกร้อยกว่าปีแล้ว นับแต่วันที่ถูกล้างเผ่ามาก็กลายเป็นคำต้องห้าม คนในใต้หล้าย่อมมิล่วงรู้ว่าบนเขาจิ่วหลัวเคยมีเผ่าจิ่วหลัว”
“เหตุใดจึงถูกสังหารล้างเผ่าเล่า” หานผู่ไม่เข้าใจ
นางนิ่งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “สาเหตุแห่งการสังหารล้างเผ่านั้นถูกลบออกจากประวัติศาสตร์นานแล้ว มิต้องเอ่ยถึงหรอก แค่ว่าหลังจากเหตุวิปโยคครานั้น เผ่าจิ่วหลัวที่หลงเหลืออยู่ก็น้อยยิ่งกว่าน้อย พวกเขาพเนจรไปสุดขอบฟ้ามหาสมุทร ไม่อาจหวนคืนมาตุภูมิได้ตราบสิ้นชีวิต จนกระทั่งไม่กี่ร้อยปีมานี้พวกเขาถึงปรากฏให้เห็นบ้าง ทว่าท้ายสุดกลับเป็นเพียงดอกถาน ที่ปรากฏเพียงชั่วข้ามคืน”
หานผู่หาได้สะเทือนอารมณ์อย่างไป๋เฟิงซีไม่ เขาหวนนึกถึงพฤติกรรมคำพูดคำจาของเหยียนจิ่วไท่เมื่อครู่แล้วก็ถามว่า “เมื่อครู่เขาถวายสัตย์สาบานกับท่านหรือ”
“ใช่ เมื่อครู่เขาสาบานว่าจะมอบความภักดีสูงสุดแก่ข้า ‘เพียงมีบัญชา หมื่นตายไม่เกี่ยง’ ต่อให้ข้าเรียกเขาไปตาย เขาก็จะไป” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะ สีหน้ากลับบรรยายไม่ถูกว่าโศกเศร้าหรือยินดี “ในเมื่อเขาหมายใจแน่วแน่ไว้ตั้งแต่หกปีก่อนแล้วว่าจะติดตามข้า เมื่อวันนี้ได้พานพบถ้าเขาไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่เลิกราเด็ดขาด เขาจะไล่ตามเรื่อยไป ตามจนกว่าข้าจะพยักหน้าหรือ…ถึงวันที่เขาตาย”
หานผู่นึกถึงพลังมุ่งมั่นในการไล่ตามของเหยียนจิ่วไท่เมื่อครู่ก็หวาดหวั่นในใจ
“หลายปีแล้วที่สกุลเฟิงของข้าตามหาอนุชนของเผ่าจิ่วหลัวเรื่อยมา ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้ข้าจะได้พบ” ไป๋เฟิงซียกมือลูบศีรษะหานผู่อย่างเบามือ สายตาเลื่อนลอยราวกับทอดไกลไปยังหกร้อยปีก่อน แฝงไว้ซึ่งอารมณ์เสียดายและสะเทือนใจอย่างหนัก “ฉะนั้นเขาอยากติดตามก็ให้ติดตามมาเถิด บางทีสกุลเฟิงและชาวจิ่วหลัวอาจมีวาสนาเช่นนี้ อีกทั้งวันข้างหน้า…ข้ายังมีเรื่องต้องขอให้เขาช่วยด้วย”
“ในโลกนี้ยังมีเรื่องใดที่ท่านทำไม่ได้อีกหรือ กลับต้องไปขอร้องเขา” หานผู่มิเชื่อ ในใจของเขาไม่มีสิ่งใดที่ไป๋เฟิงซีกระทำไม่ได้
“ฮ่าๆ” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็หัวเราะเบาๆ ปาดจมูกหานผู่อย่างเอ็นดู “โลกนี้มีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้มากมาย” ไม่ทันสิ้นเสียงนางก็พลันหุบยิ้ม ยื่นมืออุ้มหานผู่แล้วเหินร่างถอยไปด้านหลังสามจั้งอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเพียงเสียงฟุ่บอันคมกริบ ตำแหน่งที่พวกเขายืนเมื่อครู่มีลูกศรยาวปักอยู่ดอกหนึ่ง หัวลูกศรปักลึกลงไปยังพื้นศิลา ปลายลูกศรยังสั่นไหว พอให้เห็นถึงความเร็วและอานุภาพรุนแรงของลูกศรดอกนี้
หานผู่มองลูกศรยาวบนพื้น หัวใจแทบกระดอนออกมานอกอก จุดที่ลูกศรนั้นเล็งก็คือตำแหน่งที่เขายืน หากช้าไปสักก้าว เขาจะต้องถูกลูกศรนี้ยิงทะลุศีรษะเป็นแน่
“ผู้ใดกัน” ไป๋เฟิงซีตวาด
ทว่านางเพิ่งจะส่งเสียง ลูกศรยาวก็พุ่งลงมาดั่งสายฝนจากหลังคาทั้งสองฝั่งของตรอก ขณะนั้นนางไม่มีเวลาสนใจว่าผู้มาคือใคร ได้แต่คุ้มกันหานผู่ไว้ในอก ภูษาขาวในแขนเสื้อลอยออก ลมปราณแผ่ตลอดผืนผ้า ม้วนวนรอบร่าง ถักทอเป็นกำแพงปราณอันแข็งแรงอยู่รอบตัว ลูกศรยาวทั้งหมดที่พุ่งมาหากมิใช่ร่วงลงพื้นก็ถูกวายุแรงกล้าที่ภูษาขาวก่อขึ้นสะบั้นจนหัก
เมื่อสายฝนแห่งเกาทัณฑ์สงบ ภูษาขาวของไป๋เฟิงซีก็ผ่อนลง นางหัวเราะเย็นชา “ฮึ! ลูกศรหมดแล้วหรือ” ว่าแล้วนางก็ปล่อยหานผู่ลง จากนั้นก็สะกิดปลายเท้าเบาๆ ทะยานร่างขึ้นกลางเวหาดุจกระเรียนขาว เมื่อทิ้งตัวลงบนหลังคาด้านซ้ายก็เห็นเบื้องหน้ามีเงาดำหลายสายพุ่งหายไป จึงเหินร่างไล่ตามในทันใด
หลังจากไล่ตามศัตรูไปแล้ว บนหลังคาด้านขวาก็มีคนสี่คนกระโดดลงมา ทิ้งตัวลงตรงหน้าหานผู่ ล้อมเขาไว้ตรงกลาง ทั้งสี่ล้วนแต่สวมอาภรณ์ดำ หน้าตาเหี้ยมเกรียม
หานผู่หัวใจสั่นสะท้าน ชักมีดสั้นออกมาขวางไว้ด้านหน้า จ้องมองทั้งสี่อย่างระแวดระวัง แม้ใจจะบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ทว่ากลับห้ามสองขามิให้สั่นไม่ได้
เมื่อทั้งสี่ชักศาสตราวุธ นัยน์ตาของหานผู่ก็หรี่ลง ดวงหน้าซีดขาว เขาตวาดเสียงกร้าวว่า “เป็นพวกเจ้า!”
เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้ แต่จำท่าถือดาบของพวกเขาได้ จำดาบในมือได้ บนดาบสลักสัญลักษณ์หัวกะโหลก ขณะกวัดแกว่งก็ดุจดั่งอสูรร้าย! คือคนพวกนี้เอง! เป็นพวกเขาที่สังหารท่านพ่อท่านแม่! เป็นคนพวกนี้ที่วางเพลิงเผาบ้านของตน! คนพวกนี้ก็คือศัตรูของตน!
“มอบสูตรโอสถออกมา!” บุรุษชุดดำผู้หนึ่งเอ่ยเสียงอำมหิต สายตาจับจ้องหานผู่ประหนึ่งอสรพิษ “หากมิใช่เพราะพวกเจ้าปรากฏตัวในโรงบ่อนเบี้ย พวกเราก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าสกุลหานยังเหลือผู้รอดชีวิตอย่างเจ้า! ในเมื่อตาเฒ่าหานรักษาเจ้าเอาไว้ได้ สูตรโอสถย่อมต้องอยู่กับเจ้า หากฉลาดก็เร่งมอบออกมา จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
“หึ คนชั่วอย่างพวกเจ้ายังคิดอยากได้สูตรโอสถอีกหรือ ถูกพวกเจ้าเผาเป็นจุณไปนานแล้ว!” หานผู่ถลึงตาใส่บุรุษชุดดำอย่างเคียดแค้น “เดิมทีข้านึกว่าจะไม่มีวันตามหาพวกเจ้าพบเพื่อแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่เสียแล้ว คาดไม่ถึงวันนี้พวกเจ้าจะมาเผยตัวอยู่ตรงหน้าข้าเอง สวรรค์มีตา!”
“อาศัยเจ้า?” บุรุษชุดดำอีกคนยิ้มหยัน สาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว โบกดาบเล่มโตในมือ ฟันแสกหน้าหานผู่ “ในเมื่อเจ้าไม่มีสูตรโอสถ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บชีวิตของเจ้าไว้!”
เมื่อเห็นดาบเล่มโตฟันลงมา หานผู่ก็ก้มตัวหลบอย่างว่องไว จากนั้นจึงฉวยโอกาสพุ่งเข้าใส่บุรุษชุดดำตามจังหวะ มีดพกซึ่งหั่นเหล็กได้ดั่งดินโคลนแทงตรงใส่มือที่กุมดาบของคนผู้นั้น สร้างรอยแผลบนข้อมือ เมื่อบุรุษผู้นั้นเจ็บข้อมือ ดาบเล่มเขื่องก็ร่วงกระทบพื้นดังเกรื่องกร่าง
เหตุพลิกผันนี้เกิดอย่างกะทันหัน พริบตานั้นทั้งสี่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
หานผู่ไม่นึกฝันว่าจะลงมือเห็นผลในคราเดียว
ส่วนบุรุษชุดดำผู้นั้นเดิมหลงนึกว่างานนี้เพียงเอื้อมมือก็จะจับได้ มิได้เห็นวรยุทธ์ปลายแถวของหานผู่ในสายตาเลยสักนิดเดียว การย่ามใจประมาทศัตรูส่งผลให้พลาดท่าบาดเจ็บ
“ไอ้เชื้อมั่วสมควรตาย!” บุรุษชุดดำผู้นั้นเห็นข้อมือที่มีโลหิตไหลก็แผดเสียงผรุสวาททันใด
บาดแผลแม้จะไม่ลึก ทว่าเกิดจากน้ำมือทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เป็นความอัปยศอดสูใหญ่หลวง บัดนั้นมือซ้ายจึงเก็บดาบบนพื้นขึ้น เดินลมปราณที่แขน ฟันเข้าใส่หานผู่อีกครา ดาบนี้ควบคู่มากับสายลมแข็งกล้า ชำนิชำนาญและว่องไว กำลังดุดัน
หานผู่ไม่มีทางหลีกพ้นได้เลย ตอนนั้นเขากลับพุ่งเข้าหาประกายดาบ มือขวากำมีดสั้นแน่น แทงตรงใส่หน้าอกคนผู้นั้น ถึงแม้ไม่อาจเอาชีวิตรอด อย่างน้อยก็ต้องสังหารศัตรูให้ได้สักคน!
ขณะที่มีดสั้นของเขาเสียบใส่หน้าอกศัตรู หานผู่ก็หลับตา รอคอยความเจ็บปวดจากการถูกดาบแยกร่าง พร้อมกันนั้นก็มีของเหลวอุ่นๆ สาดกระทบใบหน้า กลิ่นที่คาวจนชวนคลื่นเหียนแผ่กระจาย แต่รออยู่เป็นครู่ก็ไม่มีดาบใหญ่เย็นเยียบฟาดเข้าสู่ร่าง รอบด้านเงียบสงัดดั่งความตาย เขาอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลับได้พบกับใบหน้าที่ดวงตาเหลือกถลน น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง อยู่ห่างจากหน้าของเขาไปเพียงเชียะเดียว
“อ๊าก!” หานผู่ผวาจนรีบถอยหนี ขาไม่มั่นคง ทำให้ล้มก้นกระแทกพื้นในทันใด
ตอนนี้เองเขาถึงพบว่ามือของบุรุษชุดดำผู้นั้นยังคงเงื้อสูง เพียงแต่ดาบในมือถูกภูษาขาวผืนหนึ่งพันไว้ ส่วนบนหน้าอกก็มีมีดสั้นของเขาปักอยู่
“โอ้! มิเสียทีที่เป็นน้องชายข้า!” ข้างหูได้ยินเสียงหัวเราะอันเริงร่าของไป๋เฟิงซี
หานผู่หันหน้าไปมองด้วยความแตกตื่นยินดี “พี่สาว!”
ดังคาด เขาเห็นไป๋เฟิงซีนั่งอยู่บนชายคา แกว่งขาทั้งสองไปมา ในมือกุมภูษาขาว ท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
“ฆ่ามันเสีย!”
ข้างหูยินเสียงตวาดเย็นเยียบอีกครา หลังลำคอมีลมแรงกล้าจู่โจมเข้าใส่
“หึ บังอาจสังหารน้องชายที่รักของข้าต่อหน้าต่อตาข้าเชียวรึ ล้วนแต่เบื่อชีวิตแล้ว!”
หานผู่ตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกเพียงร่างเบาหวิว ลอยขึ้นกลางอากาศ จนเมื่อตั้งสติได้ก็มายืนอยู่บนหลังคาแล้ว ส่วนไป๋เฟิงซีกลับหายไป เมื่อมองลงด้านล่างก็เห็นเพียงเงาสีขาวตลบวนอยู่รอบบุรุษชุดดำทั้งสาม ดาบในมือพวกเขาทอประกายวูบวาบ กระบวนท่าเกรี้ยวกราดดุดัน ทว่าทุกคราที่ฟันสุดแรงใส่เงาสีขาวนั้น กลับเหมือนฟันใส่ห้วงน้ำอันเลื่อนไหล ไม่โดนสิ่งใดทั้งสิ้น ทว่าดาบกลับถูกสายน้ำพัดพาให้ไหลไปตามระลอกคลื่น และเงาสีขาวนั้นก็ม้วนกระชับเข้าไปทุกที บุรุษชุดดำไม่อาจสำแดงกระบวนท่าได้ เพียงอึดใจเดียวทั้งสามก็หอบหายใจเป็นการใหญ่
“ฝีมือมีเพียงเท่านี้ ถึงกับกล้าคุยโตจะสังหารคนต่อหน้าข้า! ให้ข้าปลดอาวุธเสียเถิด!”
ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงอย่างเย็นชา เสียงเคร้งๆๆ ดังก้องขึ้นสามครา ต่อมาก็เห็นดาบเล่มเขื่องร่วงอยู่ที่พื้น จากนั้นเงาร่างสีขาวก็หยุด
การประมือสิ้นสุดลง
บุรุษชุดดำทั้งสามยืนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน ส่วนไป๋เฟิงซียังคงยืนด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย
“ผู่เอ๋อร์ ลงมา” ไป๋เฟิงซีผินหน้าไปกวักมือ
หานผู่กระโดดลงมา เก็บดาบบนพื้นได้ก็ฟันเข้าใส่บุรุษชุดดำ
“ผู่เอ๋อร์!” ยื่นมือไปคว้าดาบไว้ทัน
หานผู่หันหน้ากลับมาแผดเสียงร้องว่า “เป็นพวกเขานี่แหละ! เป็นพวกเขาที่สังหารล้างบ้านข้า!”
“ข้ารู้” ไป๋เฟิงซีออกแรงเล็กน้อยที่มือ ดาบก็เปลี่ยนมาอยู่ในมือนาง “ข้ายังมีเรื่องต้องถามพวกเขา” ว่าแล้วนางก็หันไปทางเหล่าบุรุษชุดดำ เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “พี่ชายทั้งสามท่าน ขอเรียนถามหน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกท่านถึงต้องชิงสูตรโอสถของสกุลหานให้ได้ด้วย เท่าที่ได้ยินมาโอสถมากมายของสกุลหานล้วนถูกพวกท่านกวาดไปจนสิ้นแล้ว ด้วยวรยุทธ์ของพวกท่าน เท่านั้นก็มากพอให้ใช้ได้ไปจนตายแล้วกระมัง”
บุรุษชุดดำทั้งสามหาได้เหลียวแลคำถามของนางไม่ แม้จะถูกสกัดจุดไม่อาจเคลื่อนไหว ทว่าดวงตากลับจ้องนางเขม็ง คนทั้งสามแม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศที่สุด แต่ฝีไม้ลายมือก็ยอดเยี่ยม ทว่าทั้งสามร่วมมือกันก็ยังพ่ายให้แก่สตรีนางนี้ นางคือผู้ใดกันแน่
“พี่ชายทั้งสาม…” ไป๋เฟิงซีลากเสียงยาวอีกครา รอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าเก่า “หากยังไม่พูดอีกอย่าได้โทษที่ข้าตัดลิ้นพวกท่านนะ”
“เจ้าคือผู้ใด” หนึ่งในบุรุษชุดดำตั้งคำถาม
“พวกท่านมิรู้หรือว่าข้าเป็นใคร” ไป๋เฟิงซีร้องเสียงหลงออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจเต็มประดา “ผู่เอ๋อร์ พวกเขาถึงกับไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ไหนว่ากันว่าลักษณะของข้าเป็นเอกลักษณ์นักหนา ชวนตรึงตรามิรู้ลืมไม่ใช่หรือ ไฉนสามคนนี้กลับไม่รู้จักข้าเล่า”
“หึ ให้ข้าบอกพวกเจ้าก็แล้วกันว่านางคือผู้ใด” หานผู่เก็บดาบอีกเล่มขึ้นมา เดินไปตรงหน้าบุรุษชุดดำผู้หนึ่งแล้วจ่อปลายดาบเข้าที่หน้าผากเขา “พี่สาว ข้าวาดจันทร์เสี้ยวที่เหมือนกับบนหน้าผากของท่านไว้ตรงนี้สักรอยดีหรือไม่”
“ไม่ดี” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า “แม่นางอย่างข้าผู้นี้สวมเครื่องประดับจันทร์เสี้ยวชิ้นนี้แล้วได้ชื่อว่า ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ หากพวกเขาก็ประดับจันทร์เสี้ยวด้วยก็ออกจะเป็นการย่ำยีกันเกินไป เทพธิดาแห่งจันทราจะมาคิดบัญชีกับเจ้าเอานะ”
ครั้นได้ยินคำสนทนาของพวกเขาแล้ว บุรุษชุดดำทั้งสามก็มองไปทางหน้าผากไป๋เฟิงซี แล้วเห็นหยกหิมะสัณฐานโค้งชิ้นนั้น ก็พาให้หัวใจกระตุกวูบ
“เจ้าคือไป๋เฟิงซี?”
“ฮิๆ ที่แท้พวกท่านก็รู้นี่ว่าข้าคือผู้ใด” ไป๋เฟิงซียินดังนั้นก็ยิ้มอย่างแสนจะนุ่มนวลชวนชิดเชื้อ เพียงแต่ภูษาขาวในมือเริงระบำอยู่กลางอากาศประหนึ่งพร้อมจะเข้าพันรอบลำคอของทั้งสามได้ทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าไป๋เฟิงซีเป็นผู้มีเมตตา ดังนั้นขอเพียงพี่ชายทั้งสามแห่งพรรคต้วนหุนบอกให้ข้ารู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกท่านคือใคร ข้าก็จะปล่อยพวกท่านไปทันที”
คนทั้งสามพลันฉายสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด มองรอยยิ้มระรื่นงามสดใสตรงหน้าแล้วกลับอกสั่นขวัญหาย ห้าปีก่อนเมื่อครั้งไป๋เฟิงซีกวาดล้างพรรคต้วนหุน ตอนนั้นพวกเขายังมิได้เข้าพรรค ทว่าเคยฟังผู้อาวุโสในพรรคเอ่ยถึง พวกเขายังจดจำสีหน้าพรั่นพรึงยามที่บรรดาผู้อาวุโสซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนโหดเหี้ยมเล่าถึงเหตุการณ์นั้น อีกทั้งยังเตือนพวกเขาว่าเจอยมบาลเข้าก็ยังดีกว่าเจอไป๋เฟิงเฮยซี!
ตึงๆๆ! ทั้งสามทรุดฮวบลงกับพื้น ปากจมูกมีโลหิตสีดำไหลออกมา
“พวกเขา…พวกเขาฆ่าตัวตายแล้ว” หานผู่มองศพของคนทั้งสามบนพื้นที่เมื่อครู่ยังเป็นคนที่มีชีวิตด้วยความแตกตื่นหวาดกลัว
“พวกเขาทั้งไม่อาจหนีรอดและไม่อาจพูด ดังนั้นจึงมีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีมองซากศพบนพื้นอย่างเย็นชา เก็บภูษาขาวแล้วปรบมือ “ฆ่าตัวตายเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องทำมือข้าสกปรก คนพรรคต้วนหุน…หึ ให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่พอชดเชยความผิด!”
หานผู่โยนดาบในมือทิ้ง มองอย่างสะอิดสะเอียน เขาย่อมรู้ดีว่าพรรคต้วนหุนเป็นพรรคที่โหดเหี้ยมและโฉดชั่วที่สุดในแผ่นดิน รับจ้างสังหารผู้คน คร่าชีวิตคนด้วยวิธีอันทารุณที่สุด ทั้งยังซื้อขายย่ำยีสตรีและเด็ก แต่ละคนล้วนแต่ชั่วช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน ตายเสียก็สมควร!
“พี่สาว ท่านทำอะไรน่ะ” หานผู่เห็นไป๋เฟิงซีพลิกซ้ายพลิกขวาซากศพราวกับกำลังมองหาบางสิ่ง
“สิ่งนี้แหละ!” นางล้วงวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่านิ้วมือออกมาจากอกเสื้อบุรุษอาภรณ์ดำผู้หนึ่ง
“คือสิ่งใดหรือ” หานผู่ถามนาง
ไป๋เฟิงซีเปิดฝากระบอก กลิ่นหอมออกไปทางหวานเลี่ยนสายหนึ่งแผ่กำจาย “นี่เรียกว่าหอมร้อยลี้ เป็นสิ่งที่พรรคต้วนหุนใช้สื่อสารกัน”
“ท่านหมายความว่าจะใช้สิ่งนี้ดึงคนของพรรคต้วนหุนกลุ่มที่เมื่อครู่ท่านไล่ตามไม่ทันให้มาหาหรือ” หานผู่คิดเพียงเล็กน้อยก็รู้ได้
“ไม่ใช่ไล่ตามไม่ทัน แต่ไม่ได้ไล่ตามไปต่างหาก” ไป๋เฟิงซีลุกขึ้น “หากข้าไล่ตามไป เจ้ายังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
“ไม่มี” หานผู่ตอบตามจริง เพียงคนใดคนหนึ่งในบุรุษชุดดำเมื่อครู่ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้แล้ว “ท่านล่อพวกเขามาทำไมกัน พวกเขายอมตายก็ไม่ยอมพูดมิใช่หรือ”
“ฮึ จะเปิดเผยข้อมูลหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่จะให้พวกมันแพร่งพรายร่องรอยของเราออกไปไม่ได้เป็นอันขาด อีกอย่าง…ข้าจะไม่ยอมให้คนพรรคต้วนหุนรอดชีวิตไปได้โดยอยู่ใต้จมูกของข้าเด็ดขาด! ปล่อยพวกเขาไปรังแต่จะเพิ่มวิญญาณผู้บริสุทธิ์ที่ต้องตายอย่างคับแค้น!” ไป๋เฟิงซีโยนกระบอกขึ้นกลางเวหา ให้กลิ่นหอมสายนั้นลอยตามลมไปไกลและกว้างยิ่งขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงสวบๆๆ พร้อมกับเงาดำสามสายก็โผนลงจากหลังคา เมื่อเห็นสภาพบนพื้นก็พากันตะลึงงัน เดิมพวกเขาหลงนึกว่าสหายลงมือได้ผล จึงส่งสัญญาณเรียกให้มารวมตัวกัน ผู้ใดจะรู้ว่าสิ่งที่ได้พบกลับเป็นร่างไร้วิญญาณของสหาย
“พวกเจ้ายินดีจะบอกข้าหรือไม่ว่าผู้ที่ซื้อตัวพวกเจ้าคือใคร หรืออยากมีจุดจบเช่นเดียวกับสหายของพวกเจ้า?”
เสียงเย็นเยียบเปี่ยมแววคุกคามกังวานขึ้น หัวใจของทั้งสามเย็นวาบ เพียงพริบตาก็เห็นเงาสีขาวร่างหนึ่งทิ้งตัวลงข้างซากศพ สายลมเย็นโชยผ่านพัดให้ผมดำยาวสลวยพลิ้วขึ้นปิดดวงหน้านางไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นรูปโฉมได้ไม่ชัด ทว่ารังสีอำมหิตแผ่ทั่วร่าง เหมันตฤดูซึ่งหนาวเหน็บเป็นทุนเดิมเย็นเยือกไปถึงกระดูกขึ้นมาอีกหลายส่วนเมื่อเพิ่มจิตสังหารของนางเข้าไป
“แล้วพรรคต้วนหุนกำเนิดจากขี้เถ้าอีกครั้งตั้งแต่เมื่อใด” ไป๋เฟิงซีมองทั้งสามด้วยแววตาเย็นเยียบ
คนทั้งสามไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว มือขยับ ดาบเชิดขึ้น ฟันเข้าใส่ไป๋เฟิงซีจากสามด้านอย่างเข้าขากัน ประกายดาบยะเยือก ทันใดนั้นทั่วทั้งตรอกแคบก็ปกคลุมไปด้วยจิตสังหารอันเกรี้ยวกราด หานผู่ยืนห่างออกไปสามจั้งยังรู้สึกว่าผิวกายและกระดูกเสียวแปลบ
ส่วนไป๋เฟิงซียืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา เผชิญประกายกระบี่ที่จู่โจมจากสามด้านด้วยท่าทีผ่อนคลาย ขณะที่คมดาบกำลังจะต้องตัวนางและหานผู่จวนจะหลุดเสียงร้องนั้นเอง ร่างนางก็พลันพลิ้วไหวเบาๆ ดุจต้นหลิวที่ต้องลม ท่วงท่างามสง่าดั่งภาพวาด กระโดดออกจากวงล้อมของทั้งสามได้ในพริบตา
“ห้าผีคร่าวิญญาณ!” หูได้ยินทั้งสามตวาดลั่นคราหนึ่ง แล้วร่างก็เหินขึ้น ดาบประหนึ่งคลื่นม้วนตลบดุเดือดรุนแรง ซัดเข้าใส่ไป๋เฟิงซีที่ยังอยู่กลางเวหา พลานุภาพดุดันเยี่ยงนั้นคล้ายกับสามารถทำให้คนที่อยู่กลางเวหากลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้!
“พี่สาว!” หานผู่ร้องเสียงหลง หลับตาลงมิกล้ามองอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าจะได้เห็นโลหิตและเนื้อกองหนึ่งสาดกระจายเต็มท้องฟ้า
“นี่น่ะหรือสุดยอดวิชาที่หัวหน้าพรรคของพวกเจ้าเก็บซ่อนตัวห้าปีเพื่อคิดค้นขึ้นมา ก็เพียงเท่านี้เอง!”
เสียงเย็นชาของไป๋เฟิงซีกังวานขึ้นจากกลางท้องฟ้า หานผู่อดลืมตาขึ้นไม่ได้ ขณะนั้นเขาก็เห็นรุ้งขาวสายหนึ่งโน้มลงจากเวหา กลายเป็นมังกรขาวนับไม่ถ้วน ส่วนร่างของบุรุษชุดดำเหล่านั้นก็เห็นได้ไม่ชัดเพราะล้วนแต่ถูกประกายดาบและเงามังกรครอบคลุมไว้
“ห้าผีคร่าวิญญาณมีอันใดน่าหวั่นเกรงกัน!”
เงาสีขาวมากมายสุดจะนับก็รวมตัวกันกลางเวหา ประหนึ่งแปลงร่างเป็นมังกรยักษ์แหงนหน้ากางกรงเล็บ แผ่อำนาจกลืนฟ้าดินและสรรพสิ่ง!
“อา!” ได้ยินเพียงเสียงครวญอันน่าอนาถ จากนั้นดาบหักก็ร่วงลงจากท้องฟ้าดังเคร้งๆ ต่อด้วยร่างคนสามร่างร่วงตามลงมา จากนั้นประกายดาบก็สลายไป เผยให้เห็นคนชุดขาวผู้เท้าเหยียบภูษาขาว ยืนหยัดทระนงอยู่กลางอากาศ ชายเสื้อพลิ้วไหวตามลม ผมดำปลิวไสว หยกหิมะที่กลางหน้าผากทอประกายวาววับจับตา ดุจดั่งเทพเจ้าผู้ทรงมังกร
ขณะที่เงาร่างทั้งสามร่วงจากกลางเวหา ห่างจากพื้นราวจั้งเศษ คนผู้เท้าเหยียบภูษาขาวก็โบกมืออีกครา “ให้ข้าส่งผีร้ายอย่างพวกเจ้าลงสู่ปรโลกเถิด!” ทันใดนั้นภูษาขาวใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งตามคนทั้งสามไป ดวงตายังจับภาพได้ไม่ทันชัดมันก็กลายร่างเป็นอสนีบาตขาว พันรอบลำคอของทั้งสาม เกิดเสียงพลั่กๆๆ! จากนั้นร่างไร้วิญญาณสามร่างก็ร่วงสู่พื้น
“หากพวกเจ้ามิใช่คนพรรคต้วนหุน บางทีข้าอาจละเว้นพวกเจ้าได้ แต่น่าเสียดาย…”
ไป๋เฟิงซีลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา มองร่างปราศจากวิญญาณทั้งสามบนพื้นด้วยสายตาเย็นชา ภูษาขาวที่ร่ายระบำอยู่ก็ร่วงลงอย่างไร้สุ้มเสียง
หานผู่กลั้นหายใจ ปากอ้าตาค้างมองไป๋เฟิงซี ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ ผู้ที่มีจิตสังหารแผ่ทั่วร่าง ใบหน้าเปี่ยมด้วยรังสีฆ่าฟันคือไป๋เฟิงซีจริงหรือ คือไป๋เฟิงซีผู้ตลอดทางมีพฤติกรรมวาจาบ้าบิ่น ประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวโกรธ ทว่ากลับมีคุณธรรมน้ำมิตรผู้นั้นจริงๆ หรือ
เขาสืบเท้าเข้าไปอย่างแช่มช้า เห็นเพียงบนลำคอของสามคนบนพื้นมีรอยโลหิตเล็กละเอียดรอยหนึ่ง ล้วนแต่เป็นรอยอันเกิดจากภูษาขาว จนถึงวันนี้เขาจึงจะนับว่าได้เห็นวรยุทธ์อันล้ำเลิศที่แท้จริงของนาง คราวที่ก่อกวนงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดที่บ้านของเขาเรียกได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเด็กเล่น คราที่ประมือกับหวงเฉา ทั้งคู่ต่างหยุดไว้เพียงแค่แตะถูก ยังมิเห็นฝีมือที่แท้จริง ทว่าครานี้เป็นการสังหาร!
ภูษาขาวอ่อนนุ่มเมื่ออยู่ในมือนางก็คมกล้าเหนือกระบี่ล้ำค่า! วรยุทธ์เช่นนี้สูงส่งจนน่ากลัว ถึงขั้นพ้นวิสัยมนุษย์ปกติไปแล้ว อย่างน้อยก็เป็นขั้นที่กระทั่งคิดเขาก็ยังไม่กล้าคิด!
“ผู่เอ๋อร์ หมดเรื่องแล้ว” ไป๋เฟิงซีเก็บภูษาขาว ครั้นหันไปเห็นหานผู่ทำหน้าแตกตื่นหวาดกลัว สีหน้าของนางก็อ่อนลงในพริบตา
“พะ…พี่สาว วรยุทธ์ของท่าน…วรยุทธ์ของท่านเหตุใดจึงสูงส่งเพียงนี้ นี่คือวิชาอันใดกัน” หานผู่ถามอย่างยังไม่กล้าเชื่อ
วรยุทธ์ของนางสะเทือนยุทธภพขนาดนี้ เช่นนั้นเฮยเฟิงซีผู้ถูกขานนามร่วมกับนางย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่ากัน! มิน่าเล่านางจึงกล้าทำเป็นไม่เห็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวในสายตา จริงซีนะ ไป๋เฟิงเฮยซีมีนามกระเดื่องยุทธภพนานนับสิบปีโดยไร้คู่ต่อกรมิใช่หรือ
“วรยุทธ์ข้าน่ะหรือ ฮิๆ…ผสมผเสไปหมดเชียวล่ะ” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ กลับมาเป็นคนผู้แสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผย มียิ้มมีโกรธดังเดิม “มีที่ถ่ายทอดกันมาในสกุล มีที่ลอบฝึกมา และยังมีที่ถูกบังคับฝึกด้วย เยอะแยะไปหมด”
“เช่นนั้นวรยุทธ์ที่ท่านใช้เมื่อครู่เรียกว่าอะไรหรือ กระบวนท่าเมื่อครู่นี้น่ะ ร้ายกาจยิ่งนัก!” หานผู่ทางหนึ่งเอ่ยทางหนึ่งวาดมือเป็นกระบวนท่า ใบหน้าเปี่ยมแววเลื่อมใส
“กระบวนท่านั้นน่ะหรือ เรียกว่ามังกรคำรามเก้าฟ้า เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนท่าที่สืบทอดกันในสกุลเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะตอบด้วยรอยยิ้ม “สุดยอดวิชาที่เป็นไม้ตายของข้าน่าจะเป็นเฟิ่งคำรามเก้าฟ้ามากกว่า”
“อะไรนะ” หานผู่ร้องอย่างตกใจ “เมื่อครู่ยังไม่นับว่าร้ายกาจที่สุดอีกหรือ ท่านยังมีที่ร้ายกาจกว่านั้น?”
“ใช่แล้ว” นางพยักหน้า “ข้าท่องยุทธภพมาจนวันนี้เคยใช้กับคนเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“เคยใช้กับผู้ใดหรือ เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” หานผู่ห่วงแค่เรื่องนี้เท่านั้น ครั้นหวนนึกว่ากระบวนท่าเมื่อครู่เขาก็คิดว่าร้ายกาจเหลือเกินแล้ว แล้วภายใต้กระบวนท่าเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าอะไรนั่นยังจะมีผู้ใดรอดชีวิตอีกหรือ
“ย่อมยังมีชีวิตอยู่ ก็คือจิ้งจอกดำตัวนั้นอย่างไรเล่า” ไป๋เฟิงซีเบ้ปากราวกับไม่ยอมแพ้ “มีแต่คนผู้นั้นถึงจะรับเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าของข้าได้ ทว่าข้าก็รับกล้วยไม้ดับแผ่นดินของเขาได้เช่นกัน ไม่รู้แพ้ชนะ”
“คิดไว้แล้วเชียว” หานผู่พึมพำ ก็มีเพียงเฮยเฟิงซีผู้นั้นผู้เดียว มิฉะนั้นไหนเลยจะมีฉายาคู่กับนางได้ “พี่สาว เหตุใดท่านจึงชิงชังพรรคต้วนหุนนักเล่า” เขาชังพรรคต้วนหุนเพราะมีความแค้นที่สังหารล้างสกุล ทว่าพอนึกถึงพฤติกรรมของไป๋เฟิงซีเมื่อครู่ก็พบว่าคล้ายกับนางเคียดแค้นพรรคต้วนหุนถึงขีดสุด ราวกับไม่ยินยอมให้คนพรรคนี้มีชีวิตอยู่บนโลกได้แม้แต่คนเดียว ถึงกับแค้นไม่น้อยไปกว่าเขา
ไป๋เฟิงซีแหงนหน้ามองท้องนภา เงียบงันอยู่ครึ่งค่อนวัน จิตใจล่องลอยไปไกล ประหนึ่งดำดิ่งลงสู่ความคำนึงห้วงหนึ่งในอดีต ขณะที่หานผู่กำลังคิดว่าคงมิได้คำตอบแล้ว นางก็ปริปาก น้ำเสียงราบเรียบเป็นที่สุด แผ่วเบาเป็นที่สุด ดุจควันสายหนึ่งที่ล่องลอยในอากาศ
“เมื่อตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพอายุยังไม่มาก ปีนั้นคล้ายจะอายุสิบสองได้กระมัง นั่นเป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลจากบ้าน ไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพเลย หลงนึกว่าจะผดุงคุณธรรม ผลสุดท้ายก็ถูกหลอกเงินไปจนหมด ซ้ำร้ายจับไข้ ทรุดอยู่ข้างทางใกล้ตายอยู่รอมร่อ ภายหลังได้พี่สาวผู้หนึ่งช่วยไว้ นางนำข้ากลับไปยังบ้าน เชิญหมอมารักษา ดูแลข้าเหมือนเป็นน้องสาวในไส้”
หานผู่ได้ยินแล้วความคิดกลับติดอยู่ที่ประโยค ‘หลงนึกว่าจะผดุงคุณธรรม ผลสุดท้ายก็ถูกหลอกเงินไปจนหมด’ หรือไป๋เฟิงซีผู้ที่บัดนี้มิมีสิ่งใดทำไม่ได้ในอดีตก็เคยเขลาอย่างยิ่งมาก่อน
“พี่สาวท่านนั้นนามว่าไป๋อวี้คนเป็นดั่งนาม นางชอบอ่านพวกเรื่องผจญภัย ชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรบุรุษและหญิงงาม ยอดฝีมือผู้ผดุงคุณธรรมทั้งหลาย หลังจากหายป่วยข้าก็ออกท่องยุทธภพอีกครั้ง พร้อมทั้งนัดแนะกับนางไว้ว่าหนึ่งปีให้หลังจะกลับไปเยี่ยม นำประสบการณ์ในยุทธภพตลอดหนึ่งปีไปเล่าให้นางฟัง”
ไป๋เฟิงซีเล่าถึงตรงนี้ดวงหน้าก็ผุดรอยยิ้มจางๆ สายตาสงบอ่อนโยน ทว่าพริบตาต่อมาในดวงตาของนางก็ฉายแววเย็นเยียบดุจน้ำแข็งและหิมะ รอยยิ้มเป็นดั่งหมอกจางใต้ดวงอาทิตย์ ละลายหายไปช้าๆ
“แต่หนึ่งปีให้หลังเมื่อข้ากลับไปถึงได้รู้ว่านางถูกสังหารล้างสกุลเสียแล้ว”
“อา!” หานผู่อดร้องอย่างแตกตื่นมิได้ ขณะเดียวกันก็นึกถึงบ้านของตัวเอง “ฝีมือพรรคต้วนหุนเช่นกันหรือ”
ไป๋เฟิงซีพยักหน้า “สิบกว่าปีก่อนหากเอ่ยถึงสกุลไป๋แห่งโม่เฉิง นั่นคือสกุลคหบดีชื่อเสียงโด่งดังแห่งต้าตง แต่กลับถูกพรรคต้วนหุนสังหารสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน ภายหลังข้าสืบได้ว่าคู่แข่งทางการค้าของบิดานางจ่ายเงินจ้างให้พรรคต้วนหุนลงมือ พรรคต้วนหุนสังหารบุรุษทั้งหมดในสกุลไป๋ และขายนางและญาติที่เป็นสตรีอีกจำนวนหนึ่งให้หอคณิกา กว่าข้าจะหานางพบก็ล่วงไปสามปีแล้ว ระหว่างนั้นนางถูกขายต่อหลายครั้ง ถูกย่ำยีจนแหลกลาญ หาใช่ไป๋อวี้ผู้งดงามดั่งหยกขาวเช่นวันวานอีกแล้ว แต่เป็นดั่งท่อนฟืนผอมซูบ โรคอันโสมมรุมเร้า! ข้ารับนางออกมาจากหอคณิกา แต่ไม่ว่าจะเชิญหมอที่เก่งเพียงไร ใช้โอสถชั้นเลิศเพียงไรก็ไม่อาจช่วยนางได้ ห้าเดือนต่อมานางก็ตายไป”
นางขบริมฝีปาก บนใบหน้าเย็นชาทอแววปวดร้าว ดวงตาซึ่งเจิดจ้าอยู่เสมอก็คลุมด้วยหมอกอันดำมืด
“ในช่วงห้าเดือนนั้นข้าเห็นความทุกข์ทรมานซึ่งโรคร้ายกระทำกับนางด้วยตาตัวเอง แค้นที่ข้ามีต่อพรรคต้วนหุนจึงสลักลงสู่กระดูก ด้วยเหตุนี้หลังฝังศพนางเสร็จข้าก็คิดหาวิธีให้คนจ้างวานผู้นั้นสิ้นเนื้อประดาตัว และก็เหยียบพรรคต้วนหุนจนราบ! ทว่าโลหิตซึ่งไหลเป็นสายน้ำรวมเป็นมหาสมุทรในพรรคต้วนหุนก็หาได้ดับความแค้นในใจข้าให้มอดลงไม่!”
ไป๋เฟิงซีเลื่อนสายตามามองหานผู่ ดวงตาที่เคยสดใสไร้มลทินยามนี้ดุจครอบไว้ด้วยไอหมอกสีเทา พร่าเลือนและห่างไกล
“พี่สาว” หานผู่อดโอบกอดนางเอาไว้มิได้
“ผู่เอ๋อร์ วันนี้เจ้าสังหารคนกับมือไปคนหนึ่งแล้ว นับว่าได้ล้างแค้นให้บิดามารดาและคนในครอบครัว วันหน้าอย่าทำลายชีวิตผู้ใดอีกเลย” นางโน้มร่างลงกอดหานผู่ไว้ รวบเขาไว้ในอ้อมแขนประหนึ่งจะก่อกำแพงกันลมบังฝนให้เขา “ฆ่าคนไม่อาจทำให้สบายใจได้ แม้จะเพื่อแก้แค้นก็ตาม โลหิตล้างโลหิตไม่มีวันล้างได้หมดสิ้น เชื้อชั่วที่เหลืออยู่ของพรรคต้วนหุนข้าจะเป็นผู้เก็บกวาดเอง ฉะนั้นอย่าได้ทำให้มือของเจ้าแปดเปื้อนเลย”
“พี่สาว” หานผู่รู้สึกเพียงว่าจมูกแสบร้อน ดวงตาร้อนผ่าว
“ผู่เอ๋อร์ ข้าปรารถนาให้เจ้าเป็นผู้มีจิตใจดีงามและบริสุทธิ์ เหมือนเช่นพี่สาวผู้นั้นที่ข้าพบในตอนแรก โลกนี้มีคนเยี่ยงนั้นน้อยเหลือเกินแล้ว” ไป๋เฟิงซีย่อกายลง ใช้แขนเสื้อซับคราบน้ำตาและคราบโลหิตบนใบหน้าของเขา คืนความบริสุทธิ์ไร้มลทินสู่ดวงหน้าน้อยๆ อันหมดจดคมคาย
ยามนี้ปากตรอกพลันเกิดเสียงล้อรถบดผ่านผิวถนน รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามาในตรอก เหยียนจิ่วไท่กระโดดลงจากรถม้า เมื่อเห็นสภาพตรงหน้าก็มีสีหน้าแตกตื่นทันที “แม่นางเฟิง!”
“พี่เหยียน ท่านกลับมาแล้ว” ไป๋เฟิงซีเงยหน้า สีหน้ากลับเป็นปกติแล้ว
“แม่นาง เกิดเรื่องอะไรกันนี่” เหยียนจิ่วไท่ถาม
“ก็แค่โจรไม่กี่คน ไม่ต้องสนใจ” นางหยัดกายขึ้นเอ่ยเรียบๆ
เหยียนจิ่วไท่เก็บลูกศรไม้ไผ่บนพื้นขึ้น พิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม้ไผ่ชนิดนี้เรียกว่าไผ่ฉังหลี มีเพียงที่ริมฝั่งทะเลสาบฉังหลีในโยวโจวเท่านั้น ท่านล่วงเกินผู้ใดในโยวโจวเข้าหรือ”
“โยวโจว?” ในดวงตาไป๋เฟิงซีสาดประกายเย็นเยียบ นางเก็บธนูไม้ไผ่บนพื้นขึ้น ล่วงไปครู่หนึ่งถึงเงยศีรษะเอ่ยแก่เหยียนจิ่วไท่ว่า “พี่เหยียน รบกวนท่านเรียกพี่น้องมาจัดการคนเหล่านี้หน่อย พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่”
“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำ
เขาหมุนกายเดินออกจากตรอก ไม่นานนักก็กลับมา เบื้องหลังมีคนสามสี่คนตามมาด้วย
“แม่นางเฟิง ที่นี่ปล่อยให้พี่น้องจัดการ พวกเราออกเดินทางได้แล้ว”
“อื้ม เราไปกันเถิด”
ทั้งสามขึ้นรถม้าออกจากไท่เฉิง ลงใต้ไปตลอดเส้นทาง
หลังออกจากไท่เฉิง เนื่องจากมีรถม้านั่ง ดังนั้นไป๋เฟิงซีจึงสำแดงวิชาหลับอันไร้ผู้ต่อกรของนางอีกครา ทว่าสร้างความลำบากให้หานผู่ผู้ชอบเคลื่อนไหว
รถม้าสี่ล้อที่เหยียนจิ่วไท่หามาสะดวกสบายยิ่ง ตัวรถม้าใหญ่เท่าห้องขนาดย่อมๆ ตรงกลางมีประตูไม้กั้นแบ่งห้องด้านในและด้านนอก ผนังทั้งสี่ด้านแขวนผ้าแพรไหมหนา ทำให้ภายในรถอบอุ่นดั่งวสันตฤดู ท่ามกลางเตียงกว้างสีแดงเข้ม ไป๋เฟิงซีกำลังกอดผ้าห่มแพร เส้นผมยาวสลวยทิ้งตัวระบนที่นอน หานผู่ที่นั่งพิงเตียงอยู่บนพรมคว้าผมปอยหนึ่ง หวังจะดึงให้นางตื่น
“พี่สาว ท่านอย่าห่วงแต่นอนซี”
“ผู่เอ๋อร์…อย่ากวนน่า…ให้…ให้ข้านอนสบายๆ สักงีบ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้น เสียงเคาะประตูไม้ก็ดังขึ้น จากนั้นเหยียนจิ่วไท่ก็ก้าวเข้ามา “แม่นางเฟิง ขนมที่ท่านสั่งข้าซื้อมาเรียบร้อยแล้ว”
ไป๋เฟิงซีผู้เดิมทียังทำสีหน้ากระหายนิทราเมื่อได้ยินว่ามีของกินก็กระโดดผึงทันที “พี่เหยียน ท่านกลับมาได้เวลาเสียจริง ข้ากำลังหิวอยู่พอดี”
“แม่นางเฟิง เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวอย่างหนึ่งมาจากตลาดว่าเดือนสามปีหน้าโยวอ๋องจะเลือกคู่ให้ฉุนหรานกงจู่” เหยียนจิ่วไท่กล่าวพลางยื่นขนมให้นาง
“เลือกคู่ให้หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงผู้นั้นน่ะหรือ” ไป๋เฟิงซีฟังดังนั้น มือที่เดิมยื่นออกไปก็พลันชะงัก
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าโยวอ๋องประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว เลือกคู่ครานี้ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงศักดิ์ต่ำต้อย ขอเพียงกงจู่เลือกมอบพู่กันทองให้ก็จะได้เป็นเขยโยวอ๋อง” เหยียนจิ่วไท่กล่าว
ไป๋เฟิงซีผลักขนมตรงหน้าออก ลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่หาได้น้อยยิ่ง ทำให้เหยียนจิ่วไท่และหานผู่พากันหลากใจ ขบคิดไม่แตกว่าเหตุใดการเลือกคู่ของกงจู่ผู้หนึ่งจึงเรียกความสนใจจากคนผู้ที่แต่ไหนแต่ไรใช้ชีวิตประหนึ่งเล่นสนุกได้ถึงเพียงนี้
“กงจู่แห่งโยวโจวปีนี้ใกล้จะยี่สิบแล้วกระมัง ที่แล้วมาคอยแต่ประวิงเวลาไม่ยอมเลือกคู่ แต่กลับจะมาเลือกสามีในเดือนสามปีหน้า” สายตาไป๋เฟิงซีทอดไปยังเพดานรถม้า รำพึงรำพันกับตัวเอง
“พี่สาว กงจู่นั่นเลือกคู่เกี่ยวอันใดกับท่านด้วย ไยต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้” หานผู่ถาม
“บางทีอาจจะใกล้เริ่มขึ้นแล้ว” นางคล้ายไม่ได้ยินวาจาหานผู่ ยังคงพึมพำ ครู่ต่อมาก็คลี่ยิ้ม ดวงตาฉายแววสนุกเต็มที่ นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหยียนจิ่วไท่ “พี่เหยียน พวกเราไปโยวโจวกัน”
“ขอรับ” เหยียนจิ่วไท่รับคำ หาได้ถามไถ่ถึงสาเหตุไม่ “จะใช้เส้นทางจี้โจวหรือผ่านทางราชอาณาเขตดี”
“ผ่านทางจี้โจวเถิด” ไป๋เฟิงซีกลับมามีท่าทีผ่อนคลายดังเก่า จากนั้นก็หยิบขนมส่งเข้าปาก
“ทำไมพวกเราต้องไปโยวโจวด้วยเล่า” หานผู่ดึงแขนเสื้อนางถามอย่างไม่ยอมถอดใจ
“แน่นอนว่าไปยลโฉมหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงอย่างไรเล่า!” ไป๋เฟิงซีเหล่ตามองเขา “ถือโอกาสไปดูด้วยว่านางจะเลือกคนเช่นไรเป็นสามี”
“หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง? จะงามกว่าท่านหรือไม่” หานผู่ถามต่อ
“แค่กๆ…แค่กๆ…” ไป๋เฟิงซีถูกวาจาหานผู่กระทำจนสะดุ้ง สำลักจนไอไม่หยุด
“ข้าก็ไม่ได้แย่งท่านเสียหน่อย ทำไมต้องรีบกินเช่นนี้ด้วย” หานผู่ลูบหลังนางด้วยท่าทางอย่างคนที่โตแล้ว จริงๆ เลยน้า ตอนนี้ไม่ขาดของกินของใช้ มิจำเป็นต้องกระเบียดกระเสียรแล้ว การให้เหยียนจิ่วไท่ติดตามมาด้วยเป็นเรื่องถูกต้องโดยแท้! ในโลกนี้นอกจากเหยียนจิ่วไท่ผู้นี้ก็ไม่มีบ่าวไพร่คนไหนอีกแล้วกระมังที่จะประเคนทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีมาปรนนิบัติเจ้านายเช่นนี้
“แม่นางเฟิง ดื่มน้ำขอรับ” เหยียนจิ่วไท่มองไป๋เฟิงซีที่สำลักจนหน้าแดงไปหมดก็อดไม่ได้ รีบรินน้ำยื่นส่งให้
ไป๋เฟิงซีรีบดื่มน้ำลงไป เสร็จแล้วก็ตบหน้าอก ผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ ข้าไม่กินแล้ว ข้าจะนอน” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงบนเตียงจริงๆ
“อย่าเพิ่งนอนสิ” หานผู่คว้านางไว้ “ท่านหลับแล้วข้าจะทำอะไร”
“ให้พี่เหยียนเล่านิทานให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ไป๋เฟิงซีหาวหวอด โบกไม้โบกมือ
“จริงด้วย” หานผู่ตาเป็นประกาย “พี่เหยียน ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าปีนั้นพี่สาวถล่มสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นได้อย่างไร”
“เรื่องนั้นมีอันใดน่าเล่ากัน รู้ไว้ด้วยว่าปีนั้นข้าเกือบต้องห่าธนูของพวกเขาจนพรุนเป็นรังต่อ” ไป๋เฟิงซีกอดผ้าห่มส่งเสียงงึมงำ
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็เล่าเรื่องที่พี่สาวเหยียบสิบเจ็ดตำหนักแห่งนิกายครามจนราบเป็นหน้ากลองก็แล้วกัน”
“ยิ่งไม่มีอันใดให้เล่าเข้าไปใหญ่ ครานั้นที่ตำหนักใหญ่ของพวกเขา ข้าเกือบจะโดนเผาเกรียมเป็นถ่านหิน” ไป๋เฟิงซีบ่นกระปอดกระแปดอีกครั้ง ทว่าเสียงเริ่มอู้อี้ ร่างซุกเข้าไปในผ้าห่มเกือบหมดแล้ว
“เช่นนั้นก็เล่าเรื่องที่เมื่อสามปีก่อนพี่สาวขี่อาชาบุกเข้าภูเขาเหนี่ยวซานเพียงลำพัง ช่วยเป่ยโจวชิงเสบียงบรรเทาสาธารณภัยห้าสิบหมื่นตั้นจากพวกโจร”
“นั่นก็ไม่สนุก เกือบถูกดินปืนระเบิดจนกลายเป็นเศษเนื้อ”
“นี่ก็ห้ามเล่า นั่นก็ห้ามเล่า เช่นนั้นยังมีอันใดน่าเล่าอีกเล่า!” หานผู่เบ้ปาก
“ก็ให้พี่เหยียนเล่านิทานจำพวกหมาป่าจงซันพยัคฆ์แทนคุณให้เจ้าฟังสิ”
“ข้าไม่อยากฟัง ข้าอยากฟังแต่เรื่องที่เกี่ยวกับท่านเท่านั้น”
ไป๋เฟิงซียื่นมือข้างหนึ่งออกจากใต้ผ้าห่ม โบกไปซ้ายทีขวาที “จะเล่านิทานก็อย่าเอาข้าไปเกี่ยว นิทานโดยทั่วไปมักจะเป็นเรื่องของคนตาย รอให้ข้าตายไปแล้วถึงเล่าได้”
“แต่ว่า…”
“ฮ้าว…” นางหาวหวอด ชักมือกลับเข้าใต้ผ้าห่ม “อย่ากวนข้า ข้าจะนอนแล้ว”
“พี่สาว” หานผู่เขย่านาง “พี่สาว”
ไป๋เฟิงซีกลับเอาแต่นอน ไม่สนใจเขาอีก
“เหตุใดท่านถึงอยากติดตามพี่สาวเล่า” ครั้นเห็นนางหลับไป หานผู่ก็เดินมาตรงหน้าเหยียนจิ่วไท่แล้วถามขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าผู้ที่ก้าวออกมาก็บารมีสะเทือนทั่วทิศผู้นี้เหตุไฉนจึงยอมลดตัวเป็นบ่าวไพร่ เพียงเพื่อให้ได้ติดตามอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี
เหยียนจิ่วไท่เพียงแต่ยิ้ม ไม่ตอบคำ
“พูดสิ” หานผู่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเงียบ
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยากติดตามนางเล่า” เหยียนจิ่วไท่ย้อนถาม บนใบหน้าอัปลักษณ์มีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งทอแววเจิดจ้า เขาหาได้มองผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเด็กน้อยธรรมดาไม่
หานผู่พูดไม่ออก ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่หานผู่จะเบือนหน้าหนีแล้วเดินกลับไปที่หน้าเตียง “ข้าก็จะนอนเหมือนกัน”
ว่าแล้วก็เลิกผ้าห่ม มุดเข้าไปด้านใน กอดแขนข้างหนึ่งของไป๋เฟิงซีไว้ต่างหมอน
“เจ้า…” เหยียนจิ่วไท่อึ้ง นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ชายหญิงเจ็ดขวบไม่ร่วมเสื่อ’ ทว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าสายตานี้…
หานผู่ถลึงตาใส่เขาแล้วแลบลิ้น ทำหน้าประหลาดพิกล “ตลอดทางที่ผ่านมาข้าก็นอนกอดพี่สาวเช่นนี้ ท่านอิจฉาหรือ อิจฉาไปก็ไม่มีส่วนแบ่งถึงท่านอยู่ดี ท่านไปนอนห้องด้านนอกเถิด”
สุดท้ายเหยียนจิ่วไท่ก็เพียงแค่แย้มยิ้ม ผลักประตูออกไป