ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 11 ลมวสันต์ ระบำเฉิดฉาย ราตรีเกี่ยววิญญาณ
“ยามร่ำเมรัยแม้นขัดใจ แล้วไยอวดโวโอ่ลำพอง
เฟ้นสรรถ้อยคำพร่ำขานท่อง ทำนองฟ้องอกตรมขมหม่น
มัจฉาเวียนว่ายถึงฝั่งตื้น ทุกข์ขื่นยากรู้ชะตาตน
ห่านไพรร่อนลงผิดแห่งหน กมลแหลกลาญลงง่ายดาย
เสื้อปอดึงดันวาดฝันพราย พลิ้วกรายรำหนีฉังเฉิดฉาย
พฤกษากรอบแห้งอ้างจะคลาย กำจายหอมฮุ่ยจื่อรื่นใจ
ชีพตกต่ำความฝันไม่เหลือ ขึ้นเหนือตามมรรคสู่เผิงไหล
อิงศาลาทอดมองทิศใต้ โสมใสดังหยาดนิศาชล”
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าอายุเท่านี้ ท่องกลอนพรรค์นี้ทำไมกัน เปลี่ยนเป็นบทอื่นเถิด”
ริมฝั่งฉังหลีอันยาวลดเลี้ยว ต้นหลิวเขียวขจี ลมแห่งวสันตฤดูโชยพัด ตะวันคล้อยทอแสงอุ่น ยามนี้คือเดือนสาม ทิวทัศน์แห่งใบไม้ผลิกำลังงดงาม รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่อย่างเอื่อยเฉื่อย เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยขับกลอนลอดออกมาจากตัวรถม้า แทรกด้วยเสียงเกียจคร้านไร้เปรียบปานของดรุณีนางหนึ่ง
“พี่สาว ที่ผู่เอ๋อร์ท่องคือกลอนซึ่งประพันธ์โดยซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจว ผู่เอ๋อร์ท่องเป็นอย่างไรบ้าง”
“กลอนบทนี้รอเจ้าแก่ขึ้นอีกสามสิบปีแล้วค่อยท่อง ตอนนี้เจ้าที่อายุเพียงเท่านี้ไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงรสกลอนได้”
“เช่นนั้นข้าท่องอีกบทให้ท่านฟัง” เสียงไร้เดียงสามีความกระตือรือร้นถึงสิบส่วน แฝงความปรารถนาอย่างเด็กที่หวังนักหนาว่าจะได้รับคำชมจากผู้ใหญ่
“เอาซี” น้ำเสียงนางราบเรียบ ให้ความรู้สึกว่าจะเอาอย่างไรก็ได้
“ราตรีก่อนใครเล่ายินเสียงเซียว
หริ่งหรีดเปลี่ยวเย็นเหงาเฝ้าขานขับ
ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ
ร้องร่ำจับระบำสู่นิทรา”
“พี่สาวๆ ครานี้ท่องได้เป็นอย่างไรบ้าง” ในตัวรถ หานผู่เขย่าไป๋เฟิงซีที่สะลึมสะลือกำลังจะหลับ
“ทารกน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าไหนเลยจะเข้าใจความเหน็บหนาวอ้างว้างของ ‘ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ’ ” ไป๋เฟิงซีอ้าปากหาว มองหานผู่แล้วกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่ท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่เล่า โลกนี้ก็หาใช่มีนางคนเดียวที่แต่งได้ กาพย์กลอนที่เหมาะกับวัยของเจ้ามีตั้งมากมาย”
“ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าซีอวิ๋นกงจู่เป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค ว่ากันว่าเมื่ออายุเพียงสิบปีนางเคยนิพนธ์วิเคราะห์…วิเคราะห์…” หานผู่หลับตา พยายามนึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยบอกเขาอย่างสุดกำลัง แต่กลับ ‘วิเคราะห์’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็นึกไม่ออก
“วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าพร้อมกับต่อคำให้
“ใช่ๆๆ!” หานผู่ผ่อนลมหายใจ “ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ท่านอาจารย์บอกว่าปีนั้นชิงอ๋องทดสอบผู้มีความสามารถในแคว้น ณ แท่นสังเกตการณ์ ให้พวกเขาวิเคราะห์หัวใจสำคัญของการปกครอง ครานั้นซีอวิ๋นกงจู่ตามอยู่ข้างกาย จึงสะบัดพู่กันนิพนธ์ด้วยหนึ่งบท สายตาเฉียบแหลมไม่เหมือนใคร ทัศนะมิใช่สามัญ ความสามารถสยบผู้เป็นอันดับหนึ่งทางบุ๋น แม้เป็นสตรีทว่าท่วงทำนองทางอักษรน่าตกตะลึงนัก ดังนั้นบรรดาลูกพี่ลูกน้องสตรีในบ้านข้าจึงชื่นชอบเลียนอย่างซีอวิ๋นกงจู่ เมื่อได้ยินว่ากงจู่สวมอาภรณ์เช่นใด หวีเกศาทรงไหน สวมเครื่องประดับอย่างไร พวกนางก็จะเอาอย่างทันที”
ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าทอดถอนใจ ทิ้งร่างลงบนเตียง เตรียมนอนต่ออีกสักงีบ แต่แล้วก็พลันผุดขึ้นนั่ง เอียงหูคล้ายกำลังตั้งใจฟังบางสิ่ง ครู่ต่อมาก็ส่ายหน้า “ท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่อีกผู้หนึ่งแล้ว”
“ผู้ใดท่องกลอนของซีอวิ๋นกงจู่หรือ” หานผู่ถาม
“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ได้ยินเอง” ไป๋เฟิงซีไม่นอนแล้ว แต่เปิดหน้าต่างบานน้อยด้านข้างออก มองไปยังด้านนอก ลมเย็นโชยปะทะใบหน้า นางสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก “และข้าก็ได้กลิ่นแล้ว”
“กลิ่นอะไรหรือ” หานผู่พาดร่างบนขอบหน้าต่าง สูดหายใจลึกเช่นกัน ทว่ากลับไม่ได้กลิ่นใดๆ เขาเอียงหูฟังอย่างละเอียด ในสายลมมีเสียงขับขานเสียงหนึ่งลอยมา ยิ่งมายิ่งใกล้ ได้ยินชัดขึ้นทีละน้อย
“มนุษย์ย่อมโรยรา ดวงจันทราย่อมแหว่งเสี้ยว
อิงกายเพียงดายเปลี่ยว กับรั้วหยกบนหอน้อย
ถึงกาลบุปผาร่วง นางแอ่นควงคู่เหินคล้อย
ปุยฝ้ายเดือนสารทลอย ครึ่งเมืองฟ่องดั่งหมอกควัน”*
เสียงใสกังวานของสตรีล่องลอยมาตามสายลมแห่งวสันตฤดู แว่วหวานดุจเสียงสวรรค์ ทว่ากลับแฝงแววรันทด อ้างว้างดั่งจอกแหนไร้รากล่องลอยเรื่อยไป
“ก็กลิ่นของเจ้าจิ้งจอกดำตัวนั้นน่ะซี” ไป๋เฟิงซีพึมพำ เลิกม่านขึ้นแล้วก็กระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ ทอดสายตามอง รถม้าคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนมาทางนี้ “เป็นบุรุษอกสามศอก ทว่าบนร่างมักมีกลิ่นหอมของกล้วยไม้อย่างที่กระทั่งสตรีก็ยังไม่มี”
“อยู่ที่ใดกัน” หานผู่ก็กระโดดตามขึ้นไป แต่หาได้กระโดดอย่างผ่อนคลายเยี่ยงเดียวกับนางไม่ เมื่อทิ้งตัวบนหลังคาก็เกิดเสียงโครมดังสนั่น แม้จะประคองร่างมั่นคงดีแล้ว แต่กลับชวนให้วิตกว่าเขาจะทำหลังคารถทะลุเป็นรูโหว่ไปแล้วหรือไม่
เคราะห์ดีที่เหยียนจิ่วไท่เห็นพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของพี่น้องคู่นี้จนชินตาแล้ว ไม่นั่งในรถแต่ไปนั่งบนหลังคาเช่นนี้ก็หาเป็นครั้งแรก จึงเพียงบังคับรถม้าของเขาต่อไป
ที่ขับเคลื่อนมาจากด้านหน้าคือรถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่ง ใหญ่เกือบสองเท่าของรถที่พวกเขานั่ง รอบตัวรถห้อยไว้ด้วยผ้าลูกไม้สีดำที่พลิ้วไหวในสายลมใบไม้ผลิ เสมือนเส้นผมของดรุณีน้อยในห้วงรักที่ใคร่จะพันรอบเท้าของผู้เป็นดวงใจไว้ แต่กลับรั้งได้เพียงเงาของแผ่นหลังอันว่างเปล่า
เมื่อรถม้าทั้งสองมาพบกัน ต่างคนต่างก็หยุดลง
“ท่านลุงจง พบกันอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีบนหลังคายิ้มจนตาหรี่เล็ก ทักทายสารถีของรถม้าที่อยู่ตรงข้าม ส่วนสารถีของรถตรงข้ามกลับเพียงพยักหน้าน้อยๆ
ประตูรถม้าคันตรงข้ามเปิดออก ผู้ที่เลิกม่านออกมาก่อนคือจงหลีและจงหยวน ทั้งสองยืนอยู่นอกประตู เลิกม่านขึ้น จากนั้นเฮยเฟิงซีถึงค่อยก้าวออกมา
“เมื่อไรเจ้าถึงจะเหมือนสตรีขึ้นบ้าง” เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่นั่งเอียงกระเท่เร่อยู่บนหลังคา ส่ายหน้าทอดถอนใจ
“ในสายตาคนทั่วหล้าข้าก็เป็นสตรีนี่ ยังจะให้เหมือนสตรียิ่งขึ้นได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีเอ่ยพร้อมกับยิ้มเผล่
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เฮยเฟิงซีก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามมายืนบนพื้นหญ้า
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า” ไป๋เฟิงซีฟุบร่างบนหลังคา มองเฮยเฟิงซีที่แหงนหน้ามองนางจากด้านล่าง ความรู้สึกเวลาก้มมองเช่นนี้ช่างดีแท้
เฮยเฟิงซีเพียงยิ้มไม่ตอบคำ สายตากวาดผ่านหานผู่คราหนึ่ง จากนั้นก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มมิได้ว่า “ดูท่าเจ้าผีน้อยนี่โดนเจ้าเลี้ยงได้ไม่เลวนี่”
หานผู่ในยามนี้สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ดวงหน้าหมดจดคมคายบริสุทธิ์อย่างเด็กหนุ่ม สีหน้ามีแววผึ่งผาย และในท่วงท่าก็เริ่มมีเค้าความอิสระที่ไม่ถูกจำกัดอย่างไป๋เฟิงซีขึ้นมาสองสามส่วน
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นน้องชายผู้น่ารักที่ข้าหามาเชียวนะ ย่อมต้องเลี้ยงดูให้ดี” ไป๋เฟิงซียื่นมือตบศีรษะหานผู่ที่ฟุบอยู่กับนางประหนึ่งตบสุนัขน้อยที่เชื่อฟังตัวหนึ่ง
“ข้าเพียงประหลาดใจอยู่บ้างว่าเขาติดตามเจ้าเหตุใดถึงยังไม่อดตาย” เฮยเฟิงซียังคงยิ้มหน้าบาน
“โอ้! หญิงงามนี่!” ไป๋เฟิงซีพลันร้องเอะอะขึ้น ดวงตาจดจ้องสตรีผู้งามล้ำและเย็นชาที่ก้าวออกมาจากรถม้าของเฮยเฟิงซี “เป็นหญิงงามหายากในใต้หล้าทีเดียว!” ไป๋เฟิงซีเหินร่างลงจากหลังคา ทิ้งตัวลงตรงหน้าหญิงงาม เดินวนมองซ้ายมองขวาอยู่รอบนางพลางพยักหน้า “ช่างเป็นยอดโฉมงามในแดนมนุษย์โดยแท้ ข้าว่าแล้วว่าจิ้งจอกอย่างเจ้าไม่ยอมเหงาหรอก ตลอดทางที่มาจะไม่เสาะหาหญิงงามคอยเคียงข้างได้อย่างไร”
เฟิ่งชีอู๋มองสตรีที่วนซ้ายเวียนขวาอยู่ตรงหน้าด้วยอาการตะลึงตะไล บางทีอาจเพราะนางเคลื่อนไหวรวดเร็ว ทำให้เห็นใบหน้าสตรีผู้นี้ไม่ชัด ในความพร่าเลือนเห็นเพียงดวงตาสุกใสดั่งดวงดาราคู่หนึ่ง มีเส้นผมยาวสลวยดำขลับดุจราตรียามจื่อที่พลิ้วไหวในสายลม อาภรณ์ขาวสว่างตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับผมยาวเหยียด กลางหน้าผากมีประกายแสงอบอุ่นแต้มหนึ่ง
“พี่สาว หากท่านยังจะเดินวนต่ออีก ข้าว่านางคงใกล้เป็นลมแล้ว”
หานผู่ก็กระโดดลงจากรถ กวาดตามองสตรีชุดครามเบื้องหน้าหนึ่งคราแล้วเบะปาก อันใดกันนี่ อย่างกับเสาที่ทำจากน้ำแข็ง งามสู้พี่สาวก็ไม่ได้!
ไป๋เฟิงซีกลับหมุนร่างมาเงื้อฝ่ามือตบศีรษะหานผู่ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผู่เอ๋อร์ ภายหน้าเจ้าอย่าได้เที่ยวเด็ดบุปผาเย้าต้นหญ้าไปทั่วอย่างจิ้งจอกดำตัวนี้เชียวนะ แต่แน่นอนว่าหากหญิงงามกำนัลเสื้อผ้ามอบอาหารให้ เจ้าก็จงรับไว้ ต่อให้ไม่ต้องการก็ต้องอย่าลืมเอามายกให้ข้าเป็นการแทนคุณ”
“เจ็บนะ!” หานผู่ลูบศีรษะขมวดคิ้ว “ทำไมมาตีข้าเล่า ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย”
“อ้อ ขอโทษที ผู่เอ๋อร์ เผลอตบเจ้าเพราะนึกว่าเป็นจิ้งจอกดำตัวนั้นเสียแล้ว” ไป๋เฟิงซีรีบลูบศีรษะเขา ก่อนจะเป่าลมให้
หานผู่ถลึงตาใส่เฮยเฟิงซีที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคืองแค้น แต่กลับพบว่าคนผู้นั้นจะเหลียวแลเขาสักนิดก็หาไม่ สายตาเอาแต่จับอยู่บนร่างไป๋เฟิงซีราวกับกำลังค้นหาหรือวางแผนบางอย่าง ส่งผลให้หานผู่อึดอัดใจยิ่งกว่าเก่า
ไป๋เฟิงซีหมุนร่างกลับมา เดินมาตรงหน้าหญิงงาม แล้วถามด้วยรอยยิ้มชื่นบานว่า “แม่นางคนงาม เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ ถูกจิ้งจอกตัวนี้ล่อลวงมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อใด”
พักใหญ่กว่าเฟิ่งชีอู๋จะเห็นสตรีตรงหน้าชัดตา ทันใดนั้นนางผู้ทะนงตนมาตลอดว่าสูงส่งผุดผาดก็เกิดความรู้สึกละอายที่ไม่อาจเทียบเทียมได้
คนผู้อยู่เบื้องหน้านี้มีดวงตาใสบริสุทธิ์ดุจวารี สุกสกาวดั่งดวงดาว ดวงหน้าหมดจด สีหน้าท่าทางสดชื่นปลอดโปร่ง ริมฝีปากประดับด้วยยิ้มสวยเจิดจ้าดุจบุปผชาติ เสมือนหนึ่งนับแต่แรกเบิกฟ้าดินมานางก็แย้มยิ้มอยู่แล้ว ยิ้มมองลมกำเนิดเมฆก่อตัวเรื่อยมา ยิ้มจวบจนมหานทีกลายเป็นผืนปฐพี และผืนปฐพีกลับกลายเป็นห้วงสมุทร
นางยืนอยู่ ณ ที่นั้นอย่างผ่อนคลาย ดั่งจันทร์กระจ่างกลางนภากาศ ผุดผ่องแผ่วพลิ้ว ประหนึ่งฟ้าดินอันไพศาลนี้คือแท่นเวทีของนางแต่เพียงผู้เดียว แขนเสื้อนางโบกไหวราวกับเหยียบเมฆาถลาลม ให้ความรู้สึกอิสรเสรีไร้สิ่งผูกมัด
บุคคลเช่นนี้กำเนิดขึ้นได้อย่างไรกันนะ โลกนี้มีสตรีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร สตรีผู้หมดจดงดงามดั่งดวงจันทร์และเจิดจ้าจับตาดั่งดวงอาทิตย์ผู้นี้คือใคร
“จิ้งจอกดำ คนงามของเจ้าเป็นอะไรไปเสียแล้ว” ไป๋เฟิงซีเห็นเฟิ่งชีอู๋เอาแต่เบิกตาจ้องมองนาง จึงได้แต่ถามเฮยเฟิงซี
“ชีอู๋คารวะแม่นาง” เฟิ่งชีอู๋ได้สติก็รีบแสดงคารวะอย่างชดช้อย
พฤติกรรมนี้มิเพียงผู้อื่นเห็นประหลาด กระทั่งเฮยเฟิงซีก็ยังหลากใจอยู่หลายส่วน
เหตุไฉนเฟิ่งชีอู๋ผู้เย็นชากับผู้คนถึงมีท่าทีเช่นนี้กับไป๋เฟิงซีผู้ไม่อยู่กับร่องกับรอยได้
“อา ชีอู๋คนงาม อย่าได้มากพิธี” ไป๋เฟิงซีปราดเข้าไปประคอง กุมมือเรียวบางอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกนั้นไว้ รู้สึกเพียงว่ามันนุ่มนิ่มดั่งหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้นึกเอ็นดูนัก นางอดลูบคลำอีกสองสามครามิได้ “แม่นางชีอู๋ เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ซ้ำยังมีนามอันไพเราะเช่นนี้ ทว่าเจ้าช่างตาไร้แววเสียจริง”
เฟิ่งชีอู๋ไม่แจ้งในความนัย
“ชีอู๋…ชีอู๋ ย่อมหมายถึงเฟิ่งเกาะบนต้นอู๋ถง หญิงที่งดงามอย่างเจ้าย่อมต้องเสาะหาอู๋ถงต้นที่ดีที่สุด แต่ไฉนมาเลือกจิ้งจอกตัวหนึ่งเสียได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวอย่างเสียดายนักหนา พร้อมกันนั้นก็ชี้ไปยังเฮยเฟิงซีที่อยู่ด้านหลัง
เฟิ่งชีอู๋ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้ม มองไปทางเฮยเฟิงซี
ตลอดทางมานี้เหล่าผู้ติดตามล้วนแต่เคารพนบนอบเขาอย่างยิ่ง ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง ยามนี้สตรีตรงหน้าร้องเอะอะ คำก็จิ้งจอกดำ สองคำก็จิ้งจอกดำ ทว่าเขายังคงยิ้มน้อยๆ อย่างปลอดโปร่งงามสง่า ราวกับคำพูดของสตรีอาภรณ์ขาวผู้นี้ไม่เกี่ยวกับตนแต่อย่างใด ทั้งราวกับยอมลงให้แก่พฤติกรรมและวาจาทั้งหมดทั้งสิ้นของนาง ยามที่สายตากวาดผ่าน นัยน์ตาสีดำขลับล้ำลึกนั้นนิ่งสงบ
“เซี่ยวเอ๋อร์คารวะแม่นางซี” เซี่ยวเอ๋อร์ผู้ตามมาด้านหลังเฟิ่งชีอู๋เข้ามาน้อมคารวะ
“อ้า เซี่ยวเอ๋อร์ผู้น่าพิสมัย ไม่ได้พบดวงหน้าแช่มชื่นที่หวานหยดย้อยของเจ้ามานานเหลือเกินแล้ว ทำเอาข้าคิดถึงแทบแย่!” ไป๋เฟิงซีปล่อยเฟิ่งชีอู๋ ก้าวเข้าไปประคองดวงหน้าน้อยๆ ของเซี่ยวเอ๋อร์ ซ้ายหยิกสักนิด ขวาลูบสักหน่อย อดส่งเสียงจิ๊กจั๊กชื่นชมมิได้ว่า “ยังคงเป็นรอยยิ้มของเซี่ยวเอ๋อร์ที่น่ามองที่สุด ชื่นใจกว่ารอยยิ้มจิ้งจอกจอมปลอมที่แปะอยู่ถาวรเป็นพันปีบนใบหน้าของใครบางคนมากมายนัก”
“แม่นางซี ไม่ได้พบท่านมานานนัก ยังชอบล้อเล่นเหมือนเดิมเลยนะเจ้าคะ” เซี่ยวเอ๋อร์ดึงเอาดวงหน้าสีชมพูระเรื่อออกจากเงื้อมมือมารของไป๋เฟิงซี คว้ามือนางไว้แล้วผินหน้ากลับไปเอ่ยแก่เฟิ่งชีอู๋ว่า “แม่นางเฟิ่ง ท่านนี้คือแม่นางเฟิงซีเจ้าค่ะ คือไป๋เฟิงซีผู้ได้รับการขานนามร่วมกับกงจื่อเป็นไป๋เฟิงเฮยซี”
“ไป๋เฟิงซี?” เฟิ่งชีอู๋เบิกดวงตางดงามกว้างด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่านางเคยได้ยินนามอันโด่งดังปานอสนีบาตฟาดหูนามนี้ สตรีผู้ทำสิ่งใดตามใจดั่งสายลม ที่แท้ก็คือผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้เอง บุคลิกโดดเด่นไม่เป็นสอง ชวนให้ไม่อาจละสายตาได้เลย
“แม่นางเฟิ่ง? เฟิ่งชีอู๋?” ไป๋เฟิงซีมองเฟิ่งชีอู๋อีกครา แล้วถึงหันหน้าไปมองเฮยเฟิงซีแวบหนึ่ง ประกายเจิดจ้าในดวงตาฉายวูบ “ข้าคล้ายกับเคยได้ยินนามนี้จากที่ใดมาก่อน”
“เฟิ่งชีอู๋เคยพำนักอยู่ที่หอลั่วรื่อ” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงเรียบ “เสียงขับขานของนางลือชื่อไปทั่วทั้งราชอาณาเขต”
“เช่นนี้เองหรือ” ไป๋เฟิงซียิ้มพลางพยักหน้า คล้ายไม่ประสงค์จะสืบสาวเรื่องราวให้แจ่มแจ้ง “บางทีข้าอาจเคยได้ยินจากปากของสหายชาวยุทธ์ท่านใดท่านหนึ่งกระมัง”
“หัวหน้าใหญ่ของสามสิบแปดค่ายแห่งลุ่มน้ำอูอวิ๋นกลายเป็นสารถีของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” เฮยเฟิงซีกวาดตาผ่านเหยียนจิ่วไท่ที่นั่งนิ่งอยู่บนรถ
“ฮิๆ เขาบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณที่ไว้ชีวิตเมื่อหกปีก่อน” ไป๋เฟิงซีหัวเราะร่วนแล้วเอ่ยขึ้น สายตาสบกับสายตาของเฮยเฟิงซีราวกับเป็นการเตือน
“เห็นได้ชัดว่าสายตาของเขาก็แย่ยิ่งเช่นกัน” เฮยเฟิงซียิ้ม หมุนกายขึ้นรถไป
“ช้าก่อน จิ้งจอกดำ เจ้ามาทะเลสาบฉังหลีก็เพื่อสิ่งนี้ใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซีร้องเรียกจากด้านหลัง ล้วงลูกศรครึ่งดอกออกจากแขนเสื้อ
“เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร” สายตาเฮยเฟิงซีกวาดผ่านลูกศรนั้น มีแววประหลาดใจเล็กน้อย
“ระหว่างทางข้าถูกคนพรรคต้วนหุนลอบโจมตี พวกเขานอกจากทิ้งชีวิตไว้เจ็ดชีวิตก็ทิ้งเจ้าสิ่งนี้ไว้ด้วย” ไป๋เฟิงซีซัดมือ แล้วลูกศรครึ่งดอกก็พุ่งแหวกอากาศออกไป ร่วงลงสู่ลำน้ำฉังหลี
“อย่างนี้นี่เอง มิน่าเล่าเจ้าถึงได้มาที่นี่” เฮยเฟิงซีพยักหน้า “แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในทะเลสาบหรอก ข้าเพิ่งออกมาจากที่นั่น เหลือแต่รังเปล่าแล้ว”
“หนีไปแล้วหรือ” ไป๋เฟิงซีดวงตาไหววูบ จากนั้นก็จ้องเฮยเฟิงซีเขม็ง “เจ้าค้นพบบางสิ่ง”
“ใช่” เขาว่าแล้วก็เข้าไปในรถ
“หึ คิดไว้มิผิดเลย” ไป๋เฟิงซีก้าวตามหลังเขาขึ้นรถไป ก่อนจะตบไหล่พี่น้องฝาแฝดผู้ยืนอยู่หน้าประตูรถ “จงหลี จงหยวน บนรถพวกเจ้าเตรียมของอร่อยไว้ใช่หรือไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายเดือนมานี้ข้าคิดถึงฝีมือทำอาหารของพวกเจ้าขนาดไหน!”
“มี…มีขอรับ” คู่แฝดตอบด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
“เช่นนั้นก็ดี” ไป๋เฟิงซียิ้มจนตาหยี หันกลับไปกวักมือเรียกเฟิ่งชีอู๋ “ชีอู๋ เจ้ายังไม่ขึ้นมาอีก?”
เฟิ่งชีอู๋กลับตะลึงงัน มองคนสองคนผู้ตรงกันข้ามไปทุกสิ่ง ฟังคำสนทนาระหว่างทั้งสองซึ่งน้ำเสียงคล้ายบวกคล้ายลบ แต่กลับรู้สึกว่า…ผู้อื่นทั้งหมดล้วนเป็นคนนอก พวกเขารวมเป็นภาพขุนเขาขาวสายธารดำได้สมบูรณ์ในตัว ผู้อื่นไม่อาจกระจ่างในน้ำคำของพวกเขา และยิ่งไม่อาจเข้าใจถึงกระแสลึกลับสายหนึ่งซึ่งไหลเกี่ยวกระหวัดระหว่างพวกเขาได้ นางถอนใจอย่างแผ่วเบา รู้สึกผิดหวังอย่างรางเลือน
“จิ้งจอกดำ คนงามของเจ้าชอบพูดด้วยดวงตา แต่นางควรรู้ไว้ว่าผู้ที่สามารถอ่านคำของนางออกมีไม่มาก โดยเฉพาะจิ้งจอกที่ชอบแสร้งทำบื้อโง่งมอย่างเจ้าด้วยแล้ว” ไป๋เฟิงซียิ้มกล่าวกับเฮยเฟิงซีในรถ จากนั้นถึงผินหน้ากลับไปเรียกคนงามผู้ช่างสงวนคำคนนี้ต่อ “ชีอู๋ๆ!”
“เอ้อ” เฟิ่งชีอู๋ได้สติ จากนั้นก็คล้องแขนเซี่ยวเอ๋อร์ขึ้นไปบนรถ ส่วนหานผู่ที่อยู่ด้านหลังนางเห็นชัดว่าหน่ายจะรอ เพียงกระโดดผึงเดียวก็ถึงตัวรถ
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่เหยียนหรือ” ไป๋เฟิงซีกลับคว้าเขาไว้ หมายจะโยนเขากลับไปที่รถม้าคันเดิม
“ไม่เอาๆ! ข้าจะอยู่กับพี่สาว!” หานผู่ตะกายมือเท้าปีนขึ้นไปบนร่างไป๋เฟิงซี คล้ายสัตว์สี่เท้าบางชนิดอย่างยิ่ง
“ก็ได้ๆ ปล่อยได้แล้ว! ข้าไม่ไล่เจ้าแล้ว” ไป๋เฟิงซีรีบแกะเท้าทั้งสี่ของเขาออก โดนพัวพันเช่นนี้ไม่สบายตัวเอาเสียเลย
หานผู่ปล่อยมือเท้า แต่รู้สึกว่าท้ายทอยเย็นเยียบอย่างเฉียบพลัน เมื่อเอี้ยวศีรษะมองไปก็เห็นเฮยเฟิงซีผู้นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถ จงหลีและจงหยวนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของอร่อยให้ไป๋เฟิงซี เฟิ่งชีอู๋เพิ่งจะทรุดกายนั่ง ส่วนเซี่ยวเอ๋อร์เพิ่งปล่อยมือที่คล้องเฟิ่งชีอู๋ไว้ หามีอาการผิดปกติใดๆ ไม่
“พี่เหยียน ต้องขอให้ท่านอยู่คนเดียวก่อนเสียแล้ว ตามมาด้านหลังก็พอ” ไป๋เฟิงซีกำชับคำหนึ่งแล้วสะบัดมือมุดเข้าในตัวรถ
โยวโจวเป็นแคว้นแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งอยู่ ณ ชวีเฉิง
ม่านรัตติกาลโรยตัวลง โคมวิจิตรเริ่มถูกแขวน ธิดาจันทราที่ขอบฟ้าม้วนผ้าโปร่งขึ้น เยี่ยมหน้าออกมาครึ่งดวงโดยไร้สุ้มเสียง อาจประสงค์จะลอบยลโฮ่วอี้ที่นางเฝ้าคะนึงหามานับพันนับหมื่นปี จึงประจงเกี่ยวเอาแสงโคมแห่งโลกมนุษย์มาเสกเป็นเครื่องประทิน แต่งแต้มลงบนดวงหน้านวลผุดผ่องดั่งหยกขาว ส่องแสงสลัวรางอันงามละมุนด้วยความขวยอายและประหม่า
สายลมแห่งวสันตฤดูที่แฝงไอเย็นน้อยๆ โชยตลบขึ้นจากผืนดินราวกับใคร่จะใกล้ชิดธิดาแห่งจันทรา ลมเป่าเอาผ้าโปร่งผืนยาวบนดวงหน้าของนางซึ่งครอบคลุมพสุธากว้างให้เปิดออก ทันใดนั้นตำหนักหยกก็สุกสกาว รุกขชาติแห่งแสงและบุปผาเงินทอประกายเจิดจ้า ส่องให้เห็นสายตาที่ลักลอบมองเครื่องหยกเก้ามังกรซึ่งลืมเลือนไว้หน้าบัญชรเรือนตะวันตกยังมีทำนองอันแผ่วเบาลอยออกมาจากหน้าต่างบานน้อย เบื้องหน้ากระจกสำริดวางไว้ด้วยบทกวีหิมะสุคนธ์…นี่คือคืนใบไม้ผลิที่ออกจะเหน็บหนาวทว่าเปี่ยมสิเน่หา
หอบุปผาที่เลื่องชื่อที่สุดในชวีเฉิงก็คือหอหลีฟาง (ร้างสุคนธ์) ยามนี้หน้าหอมีผู้คนคลาคล่ำไม่ขาดสาย ในหอมีเสียงดนตรีบรรเลง ทั่วทั้งโถงร้องชมระเบ็งเซ็งแซ่ เสียงปรบมือดังลั่นดั่งอสนีบาต
“ข้าก็ประหลาดใจว่าเจ้าลับๆ ล่อๆ ทำอะไร ที่แท้ก็มาชมคนงามเริงระบำที่นี่เอง”
ในโถงที่เสียงดังอึงอล บนคานสูงใต้หลังคามีคนสองคนนั่งอยู่
ไป๋เฟิงซีพิงร่างกับเสาคานอย่างเกียจคร้าน มองฝูงชนที่คลั่งไคล้ใหลหลงไปกับนางระบำอาภรณ์แดงบนแท่นเวทีเพริศแพร้วด้วยสายตาเย็นชา บนดวงหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ เจือแววเยาะหยันอยู่หลายส่วน เฮยเฟิงซีขัดสมาธิตัวตรง ในมือหมุนขลุ่ยหยกขาวเลาหนึ่ง สายตาบางครากวาดผ่านนางระบำบนเวที บางคราเหลือบมองฝูงชนล่างเวที คล้ายกับไม่แยแส ทว่าก็คล้ายกับทั่วทั้งหอหลีฟางล้วนตกอยู่ในความควบคุมของเขา
“นี่ เจ้าจะยลโฉมหญิงงามก็เข้าประตูอย่างผ่าเผยให้ชื่นชมได้เต็มที่ เหตุใดต้องลอบมองจากบนคานด้วยเล่า” ไป๋เฟิงซีเหล่มองเฮยเฟิงซีข้างกายแล้วถามขึ้น
เวลานี้สายตาคนทั้งหลายในห้องโถงล้วนแต่จับจ้องอยู่บนร่างหญิงงาม ไม่นึกฝันและไม่พบว่าบนคานมีคนอยู่
“เห็นคนผู้นั้นหรือไม่” สายตาเฮยเฟิงซีกวาดไปยังฝูงชนด้านล่าง
ไป๋เฟิงซีมองตามสายตาเขาไป นั่นคือบุรุษอายุราวสี่สิบ ใต้คางมีเคราแพะกระจุกหนึ่ง “คนผู้นั้นทำไมหรือ”
“ชวีเฉิงเป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในโยวโจว ส่วนผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในชวีเฉิงก็คือสกุลฉีแห่งเมืองฝั่งใต้และสกุลซั่งแห่งเมืองฝั่งตะวันตก ฉีอี๋ประมุขแห่งสกุลฉีครึ่งเดือนก่อนหายตัวไปโดยไร้สาเหตุ ส่วนคนผู้นั้นคือซั่งเหยี่ย ประมุขสกุลซั่ง” เฮยเฟิงซีกล่าวเสียงเรียบ
ยามนี้บรรยากาศในโถงรื่นเริงถึงขีดสุด นางระบำอาภรณ์แดงบนเวทีหมุนร่าง ผ้าโปร่งบางซึ่งคลุมอยู่บนไหล่ก็หลุดออกจากแขนไป ปลิวละล่องอย่างแผ่วเบา ร่วงลงสู่ด้านล่างเวที ผู้คนแห่ถลันเข้าไปแย่งชิง
ส่วนคนงามบนเวทียังคงร่ายระบำ ผ้าโปร่งบางหลุดไปแล้วก็เหลือเพียงภูษาแดงปกปิดอกและกระโปรงสีแดงสด เผยให้เห็นไหล่เนียนและเนินอกขาวราวหิมะ และเนื่องจากกำลังร่ายรำอย่างร้อนแรง จึงมีเหงื่อบางๆ คลุมอยู่หนึ่งชั้น
สายตาทอดส่ง ลำแขนเรียวบาง นิ้วดั่งเกี่ยวไว้ด้วยใยไหม ระหว่างกรีดกรายก็ผูกเอาสายตาของคนทั้งปวงไว้ ทั้งร่างอ่อนพลิ้วประเปรียวประหนึ่งไร้กระดูก ผิวกายทุกส่วนล้วนแต่กำลังส่ายไหว เอวบางแส่ส่ายดั่งงูน้ำ ท่อนขาหยกเรียวยาวกลมกลึงภายใต้กระโปรงแดงคู่นั้นประเดี๋ยวยืดประเดี๋ยวหด ประเดี๋ยวเร้นประเดี๋ยวเผย…
“ระบำนี้ควรเรียกว่าเกี่ยววิญญาณ คนงามนี้ควรเรียกว่าคร่าดวงจิต เจ้าดูบุรุษที่ดูเหมือนหิวกระหายเหล่านั้นสิ” ไป๋เฟิงซีไม่มีเวลาสนใจว่าซั่งเหยี่ยคือผู้ใด มองหญิงงามที่เริงระบำดั่งเปลวเพลิงอยู่บนเวทีแล้วรำพัน “แม่นางคนงามผู้นี้ช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนโดยกำเนิดแท้ๆ บุรุษใดเห็นเข้าหัวใจเป็นต้องหวั่นไหว”
บรรดาบุรุษที่ด้านล่างเวทียามนี้คอยืดยาว ลูกกระเดือกกระเพื่อมขึ้นลง กลืนน้ำลายที่ไหลมาถึงมุมปากให้กลับลงไป ที่นั่งอยู่ก็กำหมัดทั้งสองแน่น ที่ยืนอยู่ขาทั้งคู่ก็สั่นระริก ล้วนแต่โลหิตสูบฉีด ดวงตาแดงก่ำทุกคู่จ้องหญิงงามเขม็งราวกับหมาป่าหิวโหย ดวงตากลิ้งตามทุกการเคลื่อนไหวของนาง สายตาเปิดเผยประหนึ่งใคร่จะกระชากภูษาแดงผืนสุดท้ายบนร่างหญิงงามทิ้ง
คืนใบไม้ผลิเดิมทีก็เหน็บหนาวอยู่บ้าง ทว่าในโถงกลับดั่งมีเพลิงแผดผลาญ ไอปรารถนาอันอัดอั้นฉุนข้นชวนสำลักสายหนึ่งไหลเวียนอยู่ บางคนกางนิ้วออกเล็กน้อยคล้ายประสงค์จะคว้าบางสิ่งไว้ บางคนแหวกเสื้อออก บางคนยกแขนเสื้อซับเหงื่อซึ่งผุดพรายอยู่ตามหน้าผาก
“ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลินี่ ปกติยิ่ง” เฮยเฟิงซีชายตามองเหล่าคนด้านล่าง ยามนี้แม้พวกเขาพูดเสียงดังขึ้นอีก ฝูงชนที่ถูกคนงามดึงดูดเอาจิตใจและวิญญาณไปแล้วก็หาได้ยินไม่
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไร้ความรู้สึก!” ไป๋เฟิงซีขยับดวงหน้าเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน หมายจะมองสีหน้าของเขาให้ถี่ถ้วนว่าเป็นเฉกเดียวกับบุรุษด้านล่างเหล่านั้นหรือไม่
เฮยเฟิงซีไม่คาดคิดว่านางจะโน้มเข้ามากะทันหันเช่นนี้จึงตะลึงไปเล็กน้อย เห็นเพียงดวงตาทอประกายสุกใส ดวงหน้าเนียนขาวดั่งหยก และริมฝีปากแดงเรื่อซึ่งอยู่แค่ตรงหน้า ราวกับเพียงโน้มไปด้านหน้าเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสถูกได้ ทะเลสาบในใจซึ่งนิ่งดุจวังน้ำลึกพลันมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ
“ดังคาด!” ไป๋เฟิงซีร้องขึ้นเบาๆ แล้วยื่นมือไปแตะใบหน้าเขา “หน้าเจ้าก็แดงด้วย ซ้ำยังร้อนลวกมือ ลมหายใจก็ถี่กระชั้น กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทั้ง…”
สายตานางเลื่อนลงด้านล่าง เฮยเฟิงซียื่นมือผลักนางออก ถลึงตาใส่อย่างทั้งมีโทสะน้อยๆ ทั้งกลัดกลุ้ม “อย่าก่อกวน!”
“เจ้ามันจิ้งจอกมากใจ! มีชีอู๋คนงามไม่พอ ยังจะออกมาเสาะหาบุปผาถามหาต้นหลิว!” ไป๋เฟิงซีเบ้ปาก แค่นเสียงอย่างดูแคลน “หญิงงามภูษาแดงผู้นี้แม้จะไม่เลว ทว่าหากกล่าวถึงรูปโฉมก็ยังเทียบเฟิ่งชีอู๋คนงามของเจ้ามิได้”
เฮยเฟิงซีไม่แยแสนาง เพียงมองบนเวทีอันเพริศแพร้ว หญิงงามภูษาแดงร่ายระบำจบก็คารวะขอบคุณบรรดาลูกค้าที่หมอบราบอยู่ภายใต้กระโปรงสีทับทิมของนาง เมื่อนั้นเขาก็กระโดดอย่างแผ่วเบา ทิ้งร่างลงบนชั้นสองอย่างเงียบกริบประหนึ่งควันสีหมึกสายหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
ไป๋เฟิงซีไหนเลยจะละเว้นเขา นางเร่งติดตามไป
“ช่างเป็นห้องที่ก่อด้วยทองคำและหยกเสียจริง!” ทันทีที่เข้ามาในห้องนางก็อดชื่นชมในความวิจิตรหรูหราภายในมิได้
“ระบำเมื่อครู่เจ้าเห็นชัดแล้วใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีมิได้เหลียวแลเครื่องประดับฟุ่มเฟือยในห้องเลยสักนิด ทว่าตรงเข้าไปยังห้องด้านใน หลังตรวจค้นรอบหนึ่งก็เดินมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบจับเครื่องสำอางและปิ่นมุกบนโต๊ะ
“ระบำเมื่อครู่? ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ในกาลก่อนข้าก็เคยไปเที่ยวตามหอเขียวมาบ้าง ทว่ามิมีผู้ใดเลยที่ทัดเทียมกับคนงามภูษาแดงคนนี้” ไป๋เฟิงซีเดินตามหลังเขา ชื่นชมไม่ขาดปาก
“คาดว่าในโลกนี้สถานที่ซึ่งเจ้าไป๋เฟิงซีไม่เคยไปไม่เคยเที่ยวต้องน้อยนักเป็นแน่ ใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีเหลียวกลับมามองนางคราหนึ่ง ดวงตาทอประกายแห่งอุบาย
“ฮิ จิ้งจอกดำ เจ้าอย่ามาห้าสิบก้าวหัวเราะร้อยก้าวหน่อยเลย” ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไปใกล้ฉากลับแลบานหนึ่ง แล้วเกี่ยวเอาอาภรณ์แพรไหมสีชาดที่แขวนอยู่บนนั้นลงมา “หญิงงามเมื่อครู่เหมาะกับสีแดงโดยแท้ ประหนึ่งโบตั๋นแดงดอกหนึ่ง เฉิดฉายเย้ายวน สรรพชีวิตในโลกียะล้วนศิโรราบ”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก จากนั้นเสียงฉอเลาะของสตรีอันฟังแล้วชวนเนื้อตัวอ่อนระทวยก็ดังขึ้น “ท่านซั่งเชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ ให้บ่าวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน จากนั้นค่อยร่ายระบำให้ท่านดูแต่ผู้เดียวสักเพลง”
“ประเสริฐๆ!” เสียงบุรุษที่ค่อนข้างแหบพร่าเอ่ยติดต่อกัน ยากจะปิดบังความร้อนรนในน้ำเสียง “คนงาม เจ้าเร็วหน่อยนะ”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านดื่มชาโสมก่อน ประเดี๋ยวบ่าวก็มา”
ม่านไข่มุกเลิกขึ้น กลิ่นหอมฉุนของเครื่องประทินโฉมลอยอวลมา หญิงงามในชุดแดงบิดร่างเข้ามาในห้องอย่างยั่วยวน ขณะกำลังจะแก้ชุดออกร่างก็อ่อนยวบ ก่อนกระแทกพื้นก็มีแขนยาวคู่หนึ่งรับไว้ จากนั้นเจ้าของแขนก็วางนางลงบนตั่งนุ่มอย่างเบามือ
“รักหยกถนอมบุปผาไม่น้อยเชียวนะ” ไป๋เฟิงซีขยับริมฝีปาก เสียงเบาราวกับยุงลอดเข้าสู่หูเฮยเฟิงซี
“สวมนี่เสีย” เฮยเฟิงซีชี้ไปยังอาภรณ์สีชาดบนฉากลับแล กล่าวกับไป๋เฟิงซีด้วยเสียงกระซิบกระซาบเช่นเดียวกัน
“ทำไมเล่า” นางมองชุดกระโปรงสีแดงเพลิง
“ร่ายระบำ” เขาเอ่ยเรียบๆ
“ทำไมข้าต้องร่ายระบำด้วย” ไป๋เฟิงซีถามต่อ
“เจ้าอยากหารังของพรรคต้วนหุนมิใช่หรือ ซั่งเหยี่ยด้านนอกก็คือเบาะแส” เฮยเฟิงซีชี้เครื่องประทินโฉมและปิ่นมุกประดับบนโต๊ะเครื่องแป้ง “ลงมือเอง เร็วเข้า”
“จิ้งจอกดำ เจ้าเสียสติไปแล้ว! ให้ข้าร่ายระบำ? ข้าทำไม่เป็นนะ!” ไป๋เฟิงซีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่คาดฝัน ไม่เข้าใจว่าไฉนเขาถึงเกิดความคิดพรรค์นี้ขึ้นได้
“คราวก่อนคนที่ข้าจับได้ที่ทะเลสาบฉังหลีล้วนแต่ยอมตายไม่ยอมแพร่งพราย ฉะนั้นจะทำให้ซั่งเหยี่ยรู้ตัวไม่ได้ ต้องให้เขาเอ่ยถึงร่อยรอยของฉีอี๋โดยสิ้นความระแวง มิฉะนั้นเจ้าก็ไม่มีวันหาพรรคต้วนหุนและผู้บงการเบื้องหลังพบไปตลอดกาล” เฮยเฟิงซีมิแยแสนาง กล่าวจบก็หมุนกายไปอยู่นอกฉากลับแล พริบตาที่หมุนกายยังไม่วายผินหน้ากลับมายิ้มกล่าวว่า “ส่วนเจ้าจะร่ายระบำเป็นหรือไม่นั้น เจ้าและข้าต่างก็แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ไป๋เฟิงซีเฉลียวฉลาดเป็นที่สุด หากผ่านตาจะไม่ลืมเลือน ยิ่งกว่านั้นระบำพรรค์นี้ไหนเลยจะเทียบได้กับในวัง…”
ถ้อยคำที่เหลือกล่าวไม่จบ สายตาของทั้งสองประสานกัน ต่างก็คมปลาบเจิดจ้าประหนึ่งสามารถมองเห็นทั้งภพก่อนและภพนี้ของอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“เจ้ามันจิ้งจอกดำมากเล่ห์สมควรตาย!” ไป๋เฟิงซีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ผู้ที่อยู่ด้านนอกอดใจรอไม่ไหวแล้วนะ” เฮยเฟิงซีชี้ไปทางซั่งเหยี่ยที่อยู่ด้านนอก เลี้ยวออกจากฉากลับแลไป ให้ไป๋เฟิงซีมีที่เปลี่ยนเสื้อผ้า
“ร่ายระบำยั่วยวน ชีวิตนี้ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นี้มาก่อนเลยจริงๆ” ไป๋เฟิงซีพึมพำ หยิบอาภรณ์เจิดจ้าดั่งเพลิงเฉิดฉายดั่งแสงอัสดงนั้นมา ดวงตานางพลันฉายแววยิ้มพริ้มเพราออกมา “เรื่องพรรค์ที่บางทีชาตินี้คงได้ทำแค่ครั้งเดียวเยี่ยงนี้ ข้าเฟิงซีย่อมต้องทำให้ดีและต้องทำให้สมบูรณ์แบบปราศจากคำตำหนิจึงจะถูก! หึๆๆ…”
“คนงาม เจ้ายังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จอีกหรือ” เสียงเร่งเร้าของซั่งเหยี่ยลอดมาจากนอกม่าน
“มาแล้วๆ”
เสียงหวานเสนาะโสตดังมา จากนั้นม่านมุกก็เลิกขึ้นอย่างแผ่วเบา ประกายเฉิดฉายวูบไหว คนงามขวยอาย มวยผมรวบสูง แพรบางบดบังดวงหน้า กายคลุมอาภรณ์แดงบางเบา มือเกี่ยวผืนภูษาสีมรกต เท้าเปลือยเปล่าดั่งดอกบัวเยื้องกรายชดช้อยเดินนวยนาดเข้ามาหา…ชั่วพริบตาพรมสีแดงเรื่อราวกับกลายเป็นสายธารแดงซึ่งประคองบงกชสีชาดอันงดงามล้ำหล้าดอกหนึ่งเอาไว้
ซั่งเหยี่ยผู้ฟุบอยู่บนม้านั่งเห็นเข้าก็ถวายวิญญาณโดยพลัน
เสียงขลุ่ยสั้นแว่วขึ้นจากหลังม่าน แรกเริ่มประหนึ่งนิ้วหยกเคาะกำไลอย่างแผ่วเบา ติงๆ ตังๆ ชวนให้ใจรื่นรมย์ ทว่าครู่เดียวเสียงใสก็แปรเปลี่ยนเป็นพิลาสละมุน ยั่วเย้าจรุงจิต ประหนึ่งคนงามขับขานทำนองหวาน พัวพันรัดรึงถึงกระดูก
แล้วบงกชสีชาดดอกนั้นก็ร่ายระบำพลิ้วไหวรับกับเสียงขลุ่ย เอวอ้อนแอ้นโยกย้าย มือเรียวบางยื่นอย่างนุ่มนวล ภูษาสีมรกตตลบม้วนกลางเวหา สีสันแห่งวสันตฤดูแผ่ขจายไร้ขอบเขต เปี่ยมน้ำใจหวานละมุนนับหมื่นสาย
เพียงเท้าหยกนั้นย่างเบาๆ ขาเรียวยกน้อยๆ ก็เกี่ยววิญญาณ เพียงคิ้วเรียวดั่งใบหลิวเลิกน้อยๆ ระลอกคลื่นในตากระเพื่อมไหวก็คร่าดวงจิต
แพรบางบนใบหน้าแผ่วพลิ้วชวนให้คันยุบยิบในหัวใจ กระโปรงแดงโบกปลิวดั่งลูกคลื่น เกศาดำขลับลอบโลมไล้พวงแก้ม เหงื่อหอมละมุนผุดพรมลำคอขาวราวหิมะ ร่างแน่งน้อยหมุนคล้อยอย่างเย้ายวนเป็นที่สุดดุจดอกท้อเดือนสาม ร่ายระบำเผยร้อยเสน่ห์พันชดช้อยจากดวงหน้าและเรือนกายจนสิ้นดุจดอกโบตั๋น ร่ายระบำขับความงามแห่งแผ่นดินและสุคนธรสแห่งแดนฟ้าจนหมดดุจดอกไห่ถังอันพร่างพราว ร่ายระบำฉายอารมณ์ความรู้สึกนับหมื่นโดยไม่เก็บกัก…
“คนงาม มาให้ข้ากอดหน่อยเร็ว! เลิกเต้นได้แล้ว ให้ข้ากอดหน่อย!”
ซั่งเหยี่ยผุดลุกขึ้นก้าวเข้าหาคนงามอย่างอดใจไม่อยู่ ปากส่งเสียงอู้อี้ เวลานี้วิญญาณของเขาหมุนตามดวงตา ดวงตาหมุนตามคน ทั้งจิตใจทั้งหัวสมองมีเพียงคนงามตรงหน้าเท่านั้น ประสงค์เพียงจะกอดสิ่งวิเศษแห่งยุคตรงหน้าเอาไว้
ทว่าคนงามตรงหน้ากลับยังคงร่ายระบำ หมุนร่างไปมา ชั่วขณะที่มือเขากำลังจะสัมผัสถูกก็มักจะกระโดดออกห่างทุกครั้งไป ยึดหัวใจของเขาไปกุมไว้แน่นถนัด ร่างเขาเกร็งเขม็งด้วยอารมณ์ใคร่อันเร่งเร้า แลดูเงอะงะงุ่มง่าม
“ท่านซั่ง” เสียงหวานนุ่มฉอเลาะของคนงามกังวานขึ้นอย่างละมุนละไมดุจเสียงนางแอ่นและนกขมิ้น “ท่านรีบร้อนอันใดกัน รอข้าร่ายระบำเสร็จจะมิให้ท่านกอดจนหนำใจหรืออย่างไร อย่างคราวก่อนนายท่านแห่งสกุลฉีมาก็ชมระบำของผู้อื่นถึงสองเพลงเต็มๆ ท่านรีบร้อนเช่นนี้ด้วยเหตุใด หรือระบำของบ่าวไม่ควรค่าแก่การชมสักครา?”
“คนงาม ข้ารอไม่ไหวแล้วจริงๆ” ซั่งเหยี่ยจับจังหวะเหมาะพุ่งเข้าใส่ เดิมทีนึกว่าต้องได้คนงามมาอยู่ในอ้อมอกเป็นแม่นมั่น ผู้ใดจะรู้ว่ากลับโถมใส่ความว่างเปล่า ทำให้โซเซเสียหลักจนแทบจะล้มลงกับพื้น
“ท่านซั่งเจ้าคะ ไฉนท่านจึงมิอาจชมระบำนี้ของบ่าวจนจบก่อนเช่นเดียวกับท่านฉีเล่า” คนงามกลับตำหนิเสียงกระเง้ากระงอด “คราก่อนท่านฉียังออกปากชมบ่าวไม่ขาดปากทีเดียว”
ซั่งเหยี่ยหมุนร่างมาโถมใส่คนงามอีกคำรบ อีกทางก็กล่าวว่า “คนงามของข้า คนแซ่ฉีมีอันใดดี เจ้าจึงเอาแต่พูดถึงเช่นนี้ ตอนนี้มันยังถูกขังอยู่ในเรือนฉีเสวี่ย (ขอหิมะ) นั่น สู้ข้ามิได้…” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ร่างก็สั่นกระตุกแล้วทรุดลงกับพื้น ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเปี่ยมแววพรั่นพรึง
“มือเท้าเจ้าช่างไวดีแท้” ไป๋เฟิงซีหยุดร่ายรำ นั่งลงบนตั่งนุ่ม นางกระชากแพรบางบนใบหน้าออกแล้วบิดเอวอย่างปวดเมื่อย ผ่อนลมหายใจยาว ระบำเมื่อครู่ทำให้หมดเปลืองเรี่ยวแรงไปไม่น้อย เพราะนางเกรงว่าหากร่ายรำไม่เหมือนแล้วจะเผยพิรุธ
เฮยเฟิงซีก้าวออกมาจากหลังม่าน ใบหน้าประดับยิ้มบางอันปลอดโปร่ง ทว่าดวงตาที่ลึกล้ำยากคาดเดาเสมอมาบัดนี้จับจ้องซั่งเหยี่ยบนพื้นประหนึ่งดาบเย็นเยียบ
ซั่งเหยี่ยถูกจ้องจนหนาวสะท้านไปทั้งร่าง รู้สึกเพียงว่าสายตาคู่นั้นคล้ายจะแทงร่างเขาทะลุเป็นรูโหว่สองรู ทั้งประหนึ่งหมายจะควักลูกตาของเขาออกมา ทั้งเกรี้ยวกราดดุดันและอำมหิต เขาลนลานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งหวาดกลัวเป็นทบทวี หน้าผากผุดเหงื่อเย็นเยียบเท่าเม็ดถั่ว
สองคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดข้าถึงกับไม่รู้ตัวเลย พวกเขามีจุดประสงค์อันใด เพื่อทรัพย์? ซั่งเหยี่ยมีข้อข้องใจแน่นเต็มอก แต่จนใจที่มิอาจเคลื่อนไหวมิอาจส่งเสียงได้
“เฮ้อ ผู้มั่งคั่งที่สุดในโยวโจวมีสภาพเช่นนี้หรือ” ไป๋เฟิงซีนั่งเอียงอยู่บนตั่ง เหลือบตามองซั่งเหยี่ยที่สั่นเทาไปทั้งร่าง
เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นสายตาก็ทอดไปทางนาง
อาภรณ์ดั่งเปลวเพลิง ลมหายใจกระชั้นนิดๆ มวยผมที่ม้วนไว้หลวมๆ ยุ่งเหยิงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งรองอยู่หลังศีรษะ มือข้างหนึ่งโบกพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาหรี่ลง ประหนึ่งบงกชแดงที่รมด้วยเมรัย ต้านทานฤทธิ์สุรามิใคร่จะได้ มีแววอ่อนล้าและเกียจคร้าน
“รู้จักเจ้ามาหลายปี เหมือนนี่จะเป็นหนแรกที่เห็นเจ้าแต่งตัวเยี่ยงนี้” เฮยเฟิงซีเดินเข้าไปใกล้ โน้มกายลงเล็กน้อยเพื่อมองไป๋เฟิงซีบนตั่ง นัยน์ตาคล้ายไฟดุจน้ำแข็ง เขายื่นมือเกี่ยวภูษาสีมรกตที่พันอยู่บนแขนนางออก “ที่แท้…”
“ที่แท้อะไรหรือ” ไป๋เฟิงซีหมุนข้อมือ ม้วนภูษามรกตทีละท่อน ทว่าเฮยเฟิงซีหาได้ปล่อยมือจากภูษาไม่ หากแต่โน้มเข้าใกล้ทีละน้อยตามภูษาที่ถูกม้วนดึง ดังนั้นนางจึงจ้องเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เอ่ยเสียงฉอเลาะว่า “กงจื่อ ดวงหน้านี้ของบ่าวพอจะเข้าตาท่านได้หรือไม่”
เฮยเฟิงซีกำภูษามรกตในมือแน่น หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเฉิดฉายดั่งบุปผา ผุดผ่องดั่งวารี”
ยามนี้ทั้งสองคน ผู้หนึ่งแหงนหน้าน้อยๆ ผู้หนึ่งโน้มกายลงจ้อง ผู้หนึ่งวิลาสดั่งอรุณรุ่ง ผู้หนึ่งสง่าละมุนละไมดั่งหยก ผู้หนึ่งอรชรนุ่มนวลชวนพิสมัย ผู้หนึ่งดวงตาสื่ออารมณ์อันเปี่ยมล้น ผู้หนึ่งมือเรียวบางยื่นขึ้นน้อยๆ ราวคิดจะน้อมคนตรงหน้าลงมา ผู้หนึ่งเอื้อมวงแขนราวคิดจะรวบคนงามบนตั่งไว้ ภูษามรกตเชื่อมกลาง ทั้งสองห่างกันไม่ถึงหนึ่งเชียะ สัมผัสได้ถึงลมหายใจจากปลายจมูก ดวงตาสอดประสาน เกือบเป็นภาพวาดบุรุษเปี่ยมปัญญากับหญิงงามอันสมบูรณ์แบบ
แควก!
ทันใดนั้นเสียงผ้าขาดก็ทำลายบรรยากาศอันงดงามลง ทั้งสองคนผู้หนึ่งหงายตึงกลับไปบนตั่ง ผู้หนึ่งเซถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าล้วนแต่ซีดขาวราวกระดาษในพริบตา
ผ่านไปนานไป๋เฟิงซีถึงโยนภูษามรกตครึ่งแถบในมือทิ้ง สูดหายใจลึก สงบเลือดลมที่สูบฉีดในร่างให้เป็นปกติ “ฮ่าๆๆ ยังคงไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ ดังนั้นฉายา ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ นี้เจ้าก็ยอมรับเสียเถิด หวังจะให้เป็น ‘เฮยซีไป๋เฟิง’ หรือ กลับไปฝึกฝนมาใหม่ก่อนดีกว่า”
“แฮ่ม” เฮยเฟิงซีกระแอมคราหนึ่ง ลมปราณสับสนเล็กน้อย ดวงหน้าคมคายประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว “มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่า ‘มีพิษที่สุดคือใจหญิง’ เจ้าถึงขั้นใช้เฟิ่งคำรามเก้าฟ้า”
“เจ้าเองก็ใช้กล้วยไม้ดับแผ่นดินมิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีไร้แววละอาย “จิ้งจอกดำ เจ้าว่าในโลกนี้ยังมีผู้ใดสามารถรับเฟิ่งคำรามเก้าฟ้าของข้าและกล้วยไม้ดับแผ่นดินของเจ้าได้หรือไม่ ใช้ได้กับเจ้าผู้เดียวอยู่ร่ำไป ไม่สนุกเอาเสียเลย”
“ครั้งหน้าเจ้าลองใช้กับอวี้อู๋หยวนดูได้” เฮยเฟิงซีนึกถึงอวี้กงจื่อผู้ไม่แปดเปื้อนธุลีแห่งโลกียะผู้นั้น “ดูว่าฉายาหนึ่งในใต้หล้าของเขาคู่ควรกับฝีมือหรือไม่”
“อวี้อู๋หยวนกระนั้นหรือ ผู้อื่นได้ชื่อเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หาใช่เพียงกล่าวถึงวรยุทธ์ของเขา ยังกล่าวถึงนิสัยใจคอด้วย” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นตาก็จับจ้องเฮยเฟิงซี ประหนึ่งคิดจะมองหาบางอย่างจากในตาเขา “เจ้ากำลังวางอุบายอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าถามข้าก็ตอบเท่านั้นเอง เอ่ยถึงอุบายอันใดกัน นี่เจ้าก็คิดว่าอวี้อู๋หยวนนั่นเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วยหรอกหรือ” เฮยเฟิงซีถาม
“ฮ่าๆๆ เจ้าคับข้องใจสินะ” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นหาว นางเดินเข้าไปยังห้องด้านใน แหวกม่านแดงบางเบาออก “เอาล่ะ เจ้าไปตามหาฉีอี๋เถิด ข้าจะนอนสักงีบ วุ่นวายมาตั้งครึ่งคืน ง่วงยิ่งนัก ฮื้ม ที่นอนนี่สบายอย่างยิ่ง ทั้งหอมทั้งนุ่ม มิน่าเล่าเหล่าบุรุษอย่างเจ้าจึงชมชอบมากันนัก”
“สตรี เจ้าจะนอนก็กลับไปนอน ที่นี่คือที่นอนอย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีมองนางอย่างจนใจ ครั้นเห็นนางไม่ขยับก็ได้แต่ถอนหายใจ “ต้องมีสักวันที่เจ้าจะตายเพราะนิสัยตะกละขี้เซานี่”
“เว้นแต่จิ้งจอกดำอย่างเจ้าคิดสังหารข้า หาไม่แล้วข้าไหนเลยจะตายง่ายดายเช่นนั้น” ไป๋เฟิงซีเลิกผ้าห่มแล้วซุกร่างเข้าไป
“เจ้าสืบหาพรรคต้วนหุนที่หลงเหลืออยู่มาตลอดมิใช่หรือ คราวนี้ใกล้เพียงเบื้องหน้าสายตาแล้ว เหตุใดถึงกลับห่วงแต่นอนเล่า” เฮยเฟิงซีส่ายหน้า
“ฉีอี๋ต้องถูกขังอยู่ในเรือนฉีเสวี่ยอะไรนั่นเป็นแน่ อาศัยความสามารถของเจ้าย่อมต้องเอื้อมมือไปก็จับมาได้ ไฉนข้าต้องไปด้วย ถึงเวลาเรียกเจ้ามาถามก็ค่าเท่ากัน ส่วนซั่งเหยี่ยกับหญิงงามอาภรณ์แดงนั่นถูกเจ้าสกัดจุด อย่างน้อยก็ต้องสี่ชั่วยามถึงจะคลาย ฉะนั้นข้าจึงสามารถนอนอย่างสบายใจได้หนึ่งงีบ” ไป๋เฟิงซีอ้าปากหาว พลิกร่างแล้วตั้งหน้าตั้งตานอน
เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่อยู่หลังม่านโปร่งบาง ทั้งร่างของนางซุกอยู่ในผ้าห่มแล้ว เหลือเพียงผมยาวสลวยปอยหนึ่งที่โผล่พ้นผ้าห่ม ห้อยลงมานอกเตียง เขาถอนหายใจเบาๆ ละสายตามองไปยังซั่งเหยี่ยที่นอนขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่บนพื้นแวบหนึ่งแล้วผลักประตูออกไป
หลังจากเฮยเฟิงซีจากไปครู่หนึ่ง ซั่งเหยี่ยทางหนึ่งก็รวบรวมกำลังทั้งหมดจะขยับแขนขาอย่างระมัดระวัง ทางหนึ่งก็ครุ่นคิดว่าเหตุใดพวกเขาต้องตามหาฉีอี๋ด้วย หาฉีอี๋ไปเพื่ออะไร หรือว่า… ซั่งเหยี่ยแตกตื่นโดยพลัน เย็นวาบไปทั้งร่าง หรือว่าเป็นเพราะ…
“หึๆ ซั่งเหยี่ย แบบนี้ไม่สบายเอาเสียเลยใช่หรือไม่”
ในห้องเงียบสงัดมีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นกะทันหัน ซั่งเหยี่ยพยายามหันศีรษะไป ทว่าอับจนหนทางด้วยยังเคลื่อนไหวไม่ได้ แค่ว่าหางตาเหลือบเห็นมุมหนึ่งของอาภรณ์ขาว
“ซั่งเหยี่ย บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้ากับฉีอี๋ต้องซื้อตัวคนพรรคต้วนหุนไปชิงโอสถสังหารล้างสกุลหานด้วย” ไป๋เฟิงซีเข้าใจในความลำบากของเขา จึงเป็นฝ่ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาเอง
“อ้อ ข้าลืมไปว่าเจ้าถูกสกัดจุด” เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ นางก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง คลายจุดที่ถูกสกัดให้เขา “ตอนนี้บอกทั้งหมดที่เจ้ารู้ให้ข้าฟังเถิด”
“เจ้าเป็นใครกัน” ซั่งเหยี่ยถาม
“นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าควรถาม” ไป๋เฟิงซีชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วโบกไปมาเบาๆ “ตอบคำถามของข้าอย่างว่าง่ายจะดีกว่า เจ้ากับฉีอี๋ล้วนแต่เป็นคหบดีมั่งคั่ง หาใช่ชาวยุทธ์ไม่ ไฉนจึงประสงค์อยากได้สูตรโอสถของสกุลหาน ถึงขั้นต้องสังหารคนสกุลหานทั้งสกุลเพื่อสูตรโอสถ นี่ชวนให้ข้าขบคิดไม่แตก”
ซั่งเหยี่ยเงียบไม่ตอบคำ
“ตอบข้า…” รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋เฟิงซีไม่เปลี่ยนแปลง “จะเอาสูตรโอสถสกุลหานไปเพื่อการใด”
ซั่งเหยี่ยยังคงไม่ส่งเสียง อีกทั้งยังหลับตาลง
“ซั่งเหยี่ย ข้ามิใช่คนจิตใจดีงามนักหรอกนะ” เสียงไป๋เฟิงซีเปลี่ยนเป็นทั้งเบาทั้งอ่อนหวาน ซ้ำยังลากเสียงยาว ชวนอดขนพองสยองเกล้ามิได้ “บางคราเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ ก็จะต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติ”
ซั่งเหยี่ยยังคงไม่พูดจา
“ซั่งเหยี่ย เจ้าเคยได้ยินชื่อ ‘หมื่นมดแทะหัวใจ’ บ้างหรือไม่ หากไม่เคยก็ไม่เป็นไร” นางยิ้มหวานหยดย้อย ปลายนิ้วแตะบนร่างซั่งเหยี่ยอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็มองอย่างสบายอารมณ์ “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วกระมัง”
บนพื้น สีหน้าซั่งเหยี่ยพลันแปรเปลี่ยน หลังจากร่างสั่นสะท้านแล้วก็ขดงอเป็นก้อน บิดไปมาอย่างห้ามไม่อยู่ องคาพยพบนใบหน้าย่นเข้าหากัน เขาขบฟันแน่นสุดชีวิต ทรมานถึงสิบส่วน
“ข้าคิดว่าเบื้องหลังพวกเจ้าน่าจะยังมีผู้อื่นกระมัง ด้วยทรัพย์สินของเจ้าสองคนที่มั่งคั่งจนเทียบได้กับท้องพระคลังก็สามารถซื้อพรรคต้วนหุนได้จริงๆ แต่พวกเจ้าไม่มีเหตุผลให้ซื้อนี่” ไป๋เฟิงซีทรุดนั่งลงกับพื้น ขยับเข้าใกล้ซั่งเหยี่ย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาในฉับพลัน “คนผู้นั้นเป็นใคร ผู้ที่สังหารสกุลหานสองร้อยเจ็ดสิบกว่าชีวิตเพื่อสูตรโอสถผู้นั้นมันเป็นใคร!”
ซั่งเหยี่ยเงยหน้าขวับ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ เขาเอ่ยปนหอบว่า “เจ้าสังหารข้าเสียเถิด ข้าพูดไม่ได้เด็ดขาด!”
“ยอมตายก็ไม่ยอมพูดกระนั้นรึ” ไป๋เฟิงซียิ้มบางๆ “หมื่นมดแทะหัวใจนี้ทรมานกระมัง ข้ายังมีวิธีการที่ทรมานยิ่งกว่าอีกนะ หรือเจ้าคิดจะทดลองทีละชนิด”
ซั่งเหยี่ยสดับดังนั้นม่านตาก็หรี่ลงคล้ายกับหวาดกลัว แต่เมื่อคิดถึงว่าหากแพร่งพรายความลับออกไป นั่นมิเพียงตนต้องตายไร้ที่ฝัง เกรงว่าผลลัพธ์ที่สกุลซั่งและสกุลฉีจะได้รับต้องอเนจอนาถยิ่งกว่าสกุลหาน!
“เจ้าไม่กลัว? จะลองอย่างอื่นใช่หรือไม่” น้ำเสียงของไป๋เฟิงซีนุ่มนวลยิ่งกว่าลมวสันตฤดู ทว่าฟังด้วยหูของซั่งเหยี่ยแล้วกลับน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าผีปีศาจ
ซั่งเหยี่ยมองสตรีผู้มีรอยยิ้มหวานเบื้องหน้า ข่มกลั้นความทุกข์ทรมานดั่งมีมดนับหมื่นกัดแทะในร่างกายไว้ วิงวอนอย่างสิ้นหวัง “แม่นาง ข้าขอร้องเจ้า ให้ข้าได้ไปอย่างปลอดโปร่งทีเถอะ!”
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีพลันระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่หวั่นเกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นในหอหลีฟางได้ยิน แขนเสื้อสะบัดคราหนึ่ง คลายความทุกข์ทรมานให้ซั่งเหยี่ย “ซั่งเหยี่ย ข้าจะไม่สังหารเจ้าหรอก”
ซั่งเหยี่ยได้ยินดังนั้นในใจก็ยินดี แต่ยินดีได้ไม่เท่าไร วาจาต่อมาของไป๋เฟิงซีกลับซัดเขาลงสู่ขุมนรก
“แม้เจ้าจะไม่เปิดเผยข้อมูลใดให้ข้าเลย แต่เมื่อคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังเจ้าล่วงรู้ว่าเจ้าเคยถูกพวกเราจับตัวได้ ถึงตอนนั้น…เจ้าว่าเขาจะจัดการกับเจ้าเช่นไร” ไป๋เฟิงซีปรบมือแล้วลุกขึ้น ปัดปอยผมที่บดบังครึ่งดวงหน้าออก แล้วจันทร์หิมะที่กลางหน้าผากก็เผยสู่สายตา
“เจ้า…เจ้า…เจ้าคือ…” ซั่งเหยี่ยร้องเสียงสะท้าน
“ตอนนี้เจ้ารู้แล้วกระมังว่าข้าคือผู้ใด เจ้าไปบอกกับนายของเจ้าได้เต็มที่เลยนะ เพียงแต่…ข้ากลับกังวลแทนเจ้าว่าไม่แน่คนผู้นั้นจะมาเอาชีวิตเจ้าไปก่อนก็เท่านั้นเอง” ไป๋เฟิงซียิ้มเบิกบานยิ่งกว่าเก่า นางเอียงหูตั้งใจฟัง ในแววตาทอประกายนึกสนุก “ชู่ เจ้าฟังซี มีเสียงฝีเท้ามากมายกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกไม่นานผู้คนทั้งชวีเฉิงก็จะรู้ว่าท่านซั่งถูกคนจับขังไว้ในห้อง”
“ไม่…” ซั่งเหยี่ยมองนางผลักหน้าต่างออก อดร้องอย่างหวาดผวามิได้ ยามนี้เขายอมตายไปเสียดีกว่าปล่อยให้คนผู้นั้นล่วงรู้
ไป๋เฟิงซีหันศีรษะกลับมา มองซั่งเหยี่ยบนพื้นที่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางหัวเราะอย่างบริสุทธิ์ไร้พิษภัย “คิๆๆ…ซั่งเหยี่ย เดิมทีเจ้าสามารถเสวยสุขได้อย่างสงบ น่าเสียดายนัก…ถือเสียว่านี่เป็นการลงโทษที่เจ้าทำให้สกุลหานถูกสังหารล้างบ้านก็แล้วกัน!”
สิ้นคำนางก็พุ่งร่างออกไปอย่างแผ่วผิว ชั่วพริบตาก็หายลับไปในราตรีอันมืดมิด สายลมโชยเอาเสียงกระซิบซึ่งเจือความไม่สมัครใจจางๆ มาว่า “เดิมนึกว่าจะได้เงื่อนงำอะไรจากปากซั่งเหยี่ย สุดท้าย…เฮ้อ เห็นท่าข้ายังต้องไปถามจิ้งจอกดำนั่นอยู่ดี”