ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 12 โยวโจวมีนาง ดั่งบูรพาใกล้
บนโต๊ะกลมซึ่งปูด้วยผ้าสีฟ้าวางไว้ด้วยของสองสิ่ง แผ่นทองคำที่ส่องประกายแวววาวหนึ่งแผ่นและผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูหนึ่งผืน
“สองอย่างนี่น่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าได้มา”
ในห้องพักที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในชวีเฉิง ไป๋เฟิงซีวนรอบโต๊ะกลมหนึ่งรอบ ทว่าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนวัตถุสองชิ้นนี้จึงทำให้จิ้งจอกดำตัวนั้นทำท่าเหมือนมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
“มองให้ละเอียดสิ” เฮยเฟิงซียกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ อืม ไม่เลว ชาเลื่องชื่อของโยวโจว ‘วรุณข้น’ หอมยิ่งนัก
“มีอันใดพิเศษหรือ” ไป๋เฟิงซีมือซ้ายหยิบแผ่นทองคำแผ่นนั้นขึ้น มือขวาคีบผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้น “แผ่นทองนี้ก็เป็นแผ่นทองธรรมดา กลับเป็นลวดลายสองลายที่ปักบนผ้าเช็ดหน้านี้ที่พิเศษยิ่ง อืม อีกอย่างฝีมือเย็บปักนี้ไม่เลวเลย”
“เส้นสายบนแผ่นทองนั้นเจ้าดูชัดหรือยัง” เฮยเฟิงซีวางถ้วยชาลงแล้วเดินเข้ามาหา หยิบแผ่นทองคำนั้นไปจากในมือนาง “แผ่นทองที่หลอมในต้าตงไม่ว่าจากแคว้นใดก็ล้วนมีแปดรอย แต่เจ้าดูแผ่นทองนี้สิ ตรงฐานมีรอยสั้นๆ อีกเส้น แผ่นทองที่ออกโดยร้านแลกเงินฉีจี้แห่งโยวโจวล้วนแต่มีสัญลักษณ์นี้”
“ข้าหาได้มีความชำนิชำนาญด้านเงินทอง อัญมณีล้ำค่า รถอันวิจิตร และหญิงงามเช่นเจ้าไม่” ไป๋เฟิงซีกล่าวขณะกระเถิบเข้ามามองใกล้ๆ แผ่นทอง บริเวณฐานมีรอยสั้นๆ อีกรอยจริงดังว่า หากไม่ตั้งใจมองก็จะไม่เห็น “แผ่นทองแผ่นนี้เจ้าได้มาจากทะเลสาบฉังหลี?”
“เมื่อข้าไปถึงทะเลสาบฉังหลีก็สายไปก้าวหนึ่ง คนพรรคต้วนหุนทิ้งรังหนีไปนานแล้ว แม้จะจับสมุนที่หลงเหลืออยู่ได้คนหนึ่งก็กลับฆ่าตัวตายไป ข้าค้นร่างเขาได้มาเพียงแผ่นทองแผ่นนี้” เฮยเฟิงซีกล่าวพลางขยับแผ่นทองในมือเล่น
“ฉะนั้นเจ้าจึงตามมาจนถึงชวีเฉิง คิดตามหาฉีอี๋ผู้เป็นนายแห่งสกุลฉี?” ไป๋เฟิงซีคาดเดา
เฮยเฟิงซีพยักหน้า วางแผ่นทองในมือลง “ผู้ใดจะรู้ว่าสายไปก้าวหนึ่งเช่นกัน ฉีอี๋หายตัวไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาหาซั่งเหยี่ย”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าซั่งเหยี่ยเกี่ยวพันกับเรื่องนี้” ไป๋เฟิงซีถามต่อ หามีเงื่อนงำใดที่บ่งชี้ว่าซั่งเหยี่ยก็เกี่ยวพันกับพรรคต้วนหุนไม่
“ข้าไม่รู้” ผู้ใดจะรู้ว่าเฮยเฟิงซีกลับตอบเช่นนี้ “ข้าเพียงแค่เดาสุ่ม เลียบเคียงดูท่าทีของซั่งเหยี่ยเท่านั้นเอง”
ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วมองเขา
เฮยเฟิงซีแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ผู้ที่จ้างวานพรรคต้วนหุนได้จะต้องเป็นคหบดีผู้มั่งมี ทรัพย์สินของสกุลซั่งไม่ด้อยไปกว่าสกุลฉี ทั้งสองล้วนแต่อยู่ในชวีเฉิง อีกทั้งไปมาหาสู่กัน ท่าทางต้องมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และเรื่องสกุลหานก็มีพิรุธนัก ไม่แน่ว่าสองครอบครัวอาจมีส่วนร่วมทั้งคู่ ผู้ใดจะรู้ว่าข้าจะเดาถูกจริงๆ”
ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตรึกตรองอย่างหนัก จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ข้าแค่ขบคิดไม่แตกอยู่เรื่องหนึ่ง ถึงแม้โอสถของตาเฒ่าหานจะขายได้ราคาสูง ทว่าด้วยกำลังเงินของฉีอี๋และซั่งเหยี่ย อยากได้เท่าไรก็ซื้อได้เท่านั้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องได้สูตรโอสถนั่นสักนิด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสังหารล้างสกุลหาน หรือว่า…” สายตาของนางตกอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้าไหมบนโต๊ะ
“ข้าคิดว่าหาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนี้พบก็คงพอจะรู้สาเหตุแล้ว” เฮยเฟิงซีกางผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูออก ปลายนิ้วชี้ที่ลายปักบนผ้า
“เจ้าไม่พบตัวฉีอี๋หรือ” ไป๋เฟิงซีมองลวดลายบนผ้าแล้วถามขึ้น
“ในห้องลับของเรือนฉีเสวี่ยพบเพียงศพของเขาเท่านั้น” ดวงตาเฮยเฟิงซีมีประกายเย็นเยียบสาดวูบ “และผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ระหว่างข้าค้นห้องลับก็พบมันในกลไกลึกลับแห่งหนึ่ง บรรจุอยู่ในกล่อง เมื่อฉีอี๋ซุกซ่อนไว้ก็ย่อมต้องมีสาเหตุ”
“เจ้าเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นชู้รักสักคนที่ฉีอี๋ต้องใจมอบให้ก็เป็นได้” ไป๋เฟิงซีหยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะมาลูบคลำ เนื้อผ้านุ่มนิ่มถึงสิบส่วน เห็นชัดว่าทำจากผ้าชั้นเลิศ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกสูงสง่าเจืออยู่จางๆ สีชมพูนวลเนียนเช่นนี้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะชมชอบ นึกภาพบุรุษอกสามศอกใช้สิ่งนี้มิออกเลย “อีกอย่างต่อให้เจ้าของผ้าเช็ดหน้าเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ทว่าอาศัยเพียงผ้าผืนนี้ เจ้าจะตามหาเจ้าของพบได้อย่างไร”
เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางๆ พร้อมส่ายศีรษะ “สตรี เจ้าทึบเขลาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน มองตั้งครึ่งค่อนวันยังมองมิออกอีกหรือ”
“เจ้าหมายถึงลวดลายนี้?” ไป๋เฟิงซีเพ่งสายตามองลวดลายบนผ้าอย่างถ้วนถี่ “สิ่งนี้คล้ายเป็นสัตว์บางชนิด เพียงแต่มองไม่ออกจริงๆ ว่าคืออะไร”
“เจ้าและข้าต่างก็รู้ว่าครอบครัวคหบดีใหญ่อย่างสกุลฉีและซั่งทั้งมิใช่ชาวยุทธ์ทั้งไม่มีความแค้นกับสกุลหาน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้จ้างคนไปชิงโอสถ” เฮยเฟิงซีหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือนางกางลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นที่จ้างวานพรรคต้วนหุนไปก่อหายนะสังหารล้างสกุลหานจะต้องมีผู้อื่นบงการเบื้องหลังพวกเขาเป็นแน่ และด้วยฐานะอันมั่งคั่งของพวกเขา ทั่วทั้งชวีเฉิงหรือกระทั่งทั่วทั้งโยวโจวก็มิมีผู้ใดไม่สอพลอปอปั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบงการ”
ไป๋เฟิงซีพลันกระจ่างแจ้ง “ดังนั้นผู้ที่จะบงการเบื้องหลังพวกเขาได้จะต้องเป็น…”
เฮยเฟิงซีพยักศีรษะ “สิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาประเคนทรัพย์สมบัติออกมาและติดต่อกับพรรคต้วนหุนที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวหลบเลี่ยงได้นั้นก็มีเพียงอำนาจแล้ว” นัยน์ตาสีหมึกทอประกายลึกล้ำวูบหนึ่ง “พวกเขาแม้จะมีเงิน แต่เหนือกว่าเงินยังมีอำนาจ!”
“ดังนั้นผู้ที่บงการพวกเขาได้จะต้องเป็นผู้กุมอำนาจในโยวโจว ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้านี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างมากกับผู้มีอำนาจที่ว่า” ไป๋เฟิงซีจ้องเฮยเฟิงซีตาไม่กะพริบ คล้ายกับเกรงว่าจะพลาดข้อมูลเสี้ยวหนึ่งเสี้ยวใดในดวงตาของเขาไป
“คนผู้นี้หาได้ต้องการเพียงโอสถสกุลหาน แต่ต้องการสูตรโอสถ ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ปรารถนาให้โลกนี้มีบุคคลอื่นมีสูตรโอสถเฉกเขา ดังนั้นจึงบงการให้ฉีอี๋และซั่งเหยี่ยซึ่งร่ำรวยที่สุดในโยวโจวออกหน้าติดต่อกับพรรคต้วนหุน ชิงสูตรโอสถและทำลายล้างสกุลหาน” เฮยเฟิงซียิ้มอย่างผ่อนคลาย “ทว่าแม้เขาจะชิงโอสถได้จำนวนหนึ่งและก็ล้างสกุลหานได้สำเร็จ แต่ไม่นึกฝันว่าตาเฒ่าหานยอมตายไม่ยอมมอบสูตร กลับเอามายกให้คู่เวรคู่กรรมอย่างเจ้าเสียได้”
ไป๋เฟิงซีหวนนึกถึงโศกนาฏกรรมสกุลหานก็อดขมวดคิ้วมิได้
เฮยเฟิงซีกล่าวต่อว่า “คนผู้นั้นสังหารฉีอี๋ต้องเป็นเพราะฉีอี๋รู้มากเกินไป เขาทำเพื่อปิดปากฉีอี๋และเพื่อเตือนซั่งเหยี่ย ที่เก็บชีวิตซั่งเหยี่ยไว้ หนึ่งเพราะซั่งเหยี่ยเกี่ยวพันไม่มาก สองเพราะหากวาณิชใหญ่ทั้งสองครอบครัวมีอันเป็นไปกันหมดจะเป็นที่สนใจเกินไป อีกทั้งห่วงว่าการล่มสลายของสองสกุลจะกระทบถึงความมั่นคงทางการคลังของโยวโจว” เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย สายตามองผ้าเช็ดหน้าไหม “ส่วนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อาจเป็นสิ่งที่เขามอบให้ฉีอี๋แทนคำสัญญา หรือเขาอาจเผลอทำหล่น ฉีอี๋เก็บได้จึงซ่อนไว้ คนผู้นี้ทำอะไรทิ้งช่องโหว่มากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นลูกน้องข้า ข้าเฉดไล่เลิกใช้ไปนานแล้ว” สุดท้ายเขาก็วิจารณ์อย่างราบเรียบหนึ่งประโยค
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือผู้ใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะ
“เจ้าไม่รู้จริงหรือว่าลวดลายบนผ้าคือสิ่งใด” เฮยเฟิงซีไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม
ลวดลายบนผ้าเช็ดหน้ามีเอกลักษณ์โดดเด่น มองปราดแรกคล้ายเป็นสัตว์โบราณ มองอีกคราเหมือนมีสองตัว ไป๋เฟิงซีมองอยู่เป็นนาน แต่แล้วก็ยังส่ายหน้า
เฮยเฟิงซีทอดถอนใจอย่างติดจะผิดหวัง “น่าเสียดายนัก เจ้าถึงกับไม่รู้”
ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วหรี่ตา คว้าเอาผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมือ “เลิกวางท่าอวดรู้ได้แล้ว ถ้าเจ้ายังไม่พูดอีกข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วนะ!”
เสียดายเพียงว่าผู้ที่นางเผชิญหน้าคือเฮยเฟิงซีผู้รู้จักมักคุ้นกับนางมานับทศวรรษ ดังนั้นเขาจึงหมุนร่าง กรายเท้ากลับไปนั่งลงที่เก้าอี้อย่างแช่มช้า ยกถ้วยชาขึ้นลิ้มรสอย่างไม่อนาทรร้อนใจแม้แต่น้อย
ส่วนไป๋เฟิงซีนั้นกับผู้อื่นอาจจะใจกว้างและอ่อนโยนยิ่ง ทว่ากับเขาแล้วแต่ไรมาก็หามีความอดทนไม่ ร่างนางไหววูบมาตรงหน้าเขาราวกับสายลม มือซ้ายยื่นออก ชิงถ้วยชาไปวางคืนบนโต๊ะ มือขวายื่นออก คว้าคอเสื้อเขาไว้ นิ้วทั้งห้ารวบแน่น โน้มเอวก้มศีรษะเข้าใกล้ดวงหน้าคมคายนั้น “จิ้งจอกดำ รีบพูดมา!”
การเคลื่อนไหวและน้ำเสียงของนางหมดจดรวดเร็วต่อเนื่องเป็นจังหวะเดียว คิดว่าคงผ่านการฝึกฝนมานานปี
เห็นได้ชัดว่าเฮยเฟิงซีชินเสียแล้ว แขนทั้งสองของเขายื่นไปรั้งหัวไหล่ทั้งสองของนาง สองฝ่ามือกดลง ลมปราณสายหนึ่งก็ส่งให้ไป๋เฟิงซียืนไม่อยู่ ล้มเข้าสู่อ้อมอกเขา ทันใดนั้นทั้งสองก็อิงแอบแนบชิด เขาเอ่ยคำอย่างผ่อนคลายว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าตอนนี้เราดูคล้ายลวดลายบนผ้า”
ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคราหนึ่ง “ก็คล้ายอยู่บ้าง แต่…เช่นนี้เหมือนยิ่งกว่า!” ระหว่างกล่าวสองเข่าของนางก็งอเข้า แล้วทั้งร่างก็นั่งอยู่บนตักเฮยเฟิงซี โอบมือคราหนึ่ง จากนั้นลำคอของเขาก็โน้มมาด้านหน้า ทั้งสองแนบชิดกันยิ่งกว่าเก่า
ขณะที่นางนั่งลงมา ตักของเฮยเฟิงซีก็เหมือนได้รับแรงกระแทกหนักๆ จึงสะท้านน้อยๆ ขึ้นมาคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นดวงหน้าหล่อเหลาก็ซีดขาว ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย ทว่าขณะเดียวกันนั้นเอวของไป๋เฟิงซีก็คล้ายกับมีขุนเขาหนักอึ้งทาบทับ ไม่อาจยืดตรงได้ แทบทั้งร่างอิงเข้าหาอ้อมอกเขา หัวไหล่ประเดี๋ยวโน้มไปข้างหน้า ประเดี๋ยวหงายไปข้างหลัง ท่าทางโงนเงนไปมาคล้ายจะปฏิเสธทว่าก็ยังต้อนรับ
หากคนนอกมองมาตอนนี้จะรู้สึกเพียงว่าทั้งสองดูประหนึ่งยวนยางคู่ที่อิงแอบแนบชิดไม่อาจแยกจากกันได้
หญิงอรชรนุ่มนวลซบอยู่ในอ้อมกอดชายผู้เป็นที่รัก ดวงหน้าแหงนขึ้นน้อยๆ บุรุษผู้งามสง่ามือตระกองกอดนางในดวงใจ ดวงหน้าคมคายเอียงนิดๆ แววตาดั่งสายน้ำ ไม่ว่าให้ผู้ใดมองก็ต้องรู้สึกว่านี่ช่างเป็นคู่ฟ้าประทานดินอุ้มสมเป็นแน่ แน่นอนว่าต้องมองข้าม…ขาทั้งสองที่ถูกกดทับจนสั่นสะท้าน หัวไหล่ที่ถูกบีบจนกระดูกปวดแปลบ ถูกรัดจนหายใจไม่ออกกระทั่งสีหน้าบัดเดี๋ยวขาว บัดเดี๋ยวแดง บัดเดี๋ยวเขียว บัดเดี๋ยวดำ
“ลายที่…ปักบนผ้าคือ…ฉงฉง…และจวี้ซวี…ตามตำนาน…เป็นสัตว์ประหลาดรูปลักษณ์คล้ายกัน อยู่คู่กันดั่งเงาตามตัว…” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา ทว่ากลับคล้ายมีบางสิ่งรัดลำคอเขาไว้ ทำให้แค่ส่งเสียงไม่กี่คำก็ต้องทอดจังหวะพัก
“ฉงฉง…จวี้ซวี…” ไป๋เฟิงซีทวนคำอย่างสนเท่ห์ เอ่ยทีละคำอย่างเชื่องช้าเช่นกัน ข้อนิ้วบนมือขาวเนียนทั้งสองกลายเป็นสีม่วง
“พี่สาว ท่านอยู่หรือไม่”
ทันใดนั้นนอกประตูก็มีเสียงร้องเรียกของหานผู่ดังขึ้น ถัดมาประตูก็ถูกผลักออกโดยพลัน นอกห้องมีหานผู่ เฟิ่งชีอู๋ เซี่ยวเอ๋อร์ จงหลี และจงหยวนยืนอยู่ ขณะที่ทั้งห้ายังมิทันได้ส่งเสียงร้องแตกตื่นเพราะท่าทางอันคลุมเครือของทั้งสอง ก็เกิดเสียงโครมพร้อมกับเงาร่างคนตรงหน้าเหินวูบพร้อมกัน
รอจนทั้งห้าเห็นชัดเจนก็พบเพียงว่าเก้าอี้ตัวที่เฮยเฟิงซีนั่งอยู่เมื่อครู่หักกระจายเป็นสี่ห้าส่วนอยู่บนพื้น ส่วนคนทั้งสองกลับยืนอยู่กลางห้องอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หน้าไม่แดง หายใจไม่หอบ ผู้หนึ่งปัดๆ แขนเสื้อ ผู้หนึ่งเสยปอยผมยาว ท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ สีหน้าสงบเยือกเย็น ราวกับเมื่อครู่หามีอันใดเกิดขึ้นไม่
พี่น้องตระกูลจงและเซี่ยวเอ๋อร์เจอเรื่องพิลึกพิลั่นจนชินตาแล้ว มีแค่หานผู่และเฟิ่งชีอู๋ที่ผู้หนึ่งเบิกตากว้างจ้องมองสองคนในห้องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ผู้หนึ่งสีหน้าซีดขาวราวกระดาษในทันที
“สองคนนี้ไม่ว่าไปที่ใดก็ต้องประลองกันสักยกทุกทีสิน่า” เซี่ยวเอ๋อร์พึมพำ
“เฮ้อ ประเดี๋ยวต้องชดใช้ค่าเก้าอี้ให้โรงเตี๊ยมอีกแล้ว” สองพี่น้องสกุลจงคิดถึงค่าเสียหายพร้อมกัน
“พี่สาว พวกท่านทำอะไรกัน” หานผู่ก้าวเข้ามาในห้อง
“ดูว่าเฟิ่งคำรามเก้าฟ้ากับกล้วยไม้ดับแผ่นดินผู้ใดแข็งผู้ใดอ่อน” ไป๋เฟิงซีขยิบตาเอ่ย
“อ้อ” หานผู่ยินดังนั้นก็นึกสนใจ “แล้วผลเล่า”
“เฮ้อ ยังเป็นเช่นเดิม” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“จงหลี จงหยวน พวกเจ้าเก็บของที อีกครึ่งชั่วยามออกเดินทาง” เฮยเฟิงซีบัญชาสองพี่น้องสกุลจง จากนั้นสายตาก็กวาดผ่านเฟิ่งชีอู๋อย่างเรียบเฉย “เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้าตามแม่นางเฟิ่งไปเก็บสัมภาระที”
“เจ้าค่ะ”
พี่น้องสกุลจงกลับไปเก็บของ ส่วนเซี่ยวเอ๋อร์ก็ประคองเฟิ่งชีอู๋จากไป
“คนงามแซ่เฟิ่งของเจ้าคล้ายจะเข้าใจบางอย่างผิด เหมือนจะเสียใจพอสมควร” ไป๋เฟิงซียิ้มอย่างนึกสนุกเมื่อหวนคิดถึงดวงหน้าขาวซีดนั่นของเฟิ่งชีอู๋
“พวกเรามีอันใดให้คนเข้าใจผิดด้วยหรือ” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง
“หืม?” ไป๋เฟิงซีชะงักเล็กน้อย วาจานี้หมายความว่าอย่างไร
“อย่าขยำจนผ้าเช็ดหน้าในมือขาดเสียล่ะ” เฮยเฟิงซีเตือนนางผู้ออกแรงกำผ้าในมือแน่น
“อ้อ” ไป๋เฟิงซีคลายมือ มองสัตว์โบราณที่อิงแอบแนบชิดกันอยู่บนผ้า “เจ้าว่านี่ก็คือฉงฉงและจวี้ซวีในตำนานหรือ”
“อืม” เฮยเฟิงซีพยักหน้า ดวงตาลึกล้ำราวกับจมสู่ภวังค์ความหลัง “หากข้าจำไม่พลาด สิบห้าปีก่อนข้าน่าจะเคยพบสัตว์โบราณสองตัวนี้มาก่อน”
“เจ้าเคยพบ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินเข้าก็เบิกตากว้าง ของที่มีอยู่แต่ในตำนานเช่นนี้เขาถึงกับเคยพบด้วย?
“ควรพูดว่าพบหยกสลักรูปสัตว์โบราณสองตัว” เฮยเฟิงซีกล่าว
“ที่ใดกัน” ไป๋เฟิงซีถามต่อ
“ตำหนักอ๋องแห่งโยวโจว” เฮยเฟิงซีเอ่ยคำเสียงราบเรียบ
ทันใดนั้นทั้งสองต่างไม่เอ่ยวาจา สายตาประสานกัน ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
“ความจริงข้าก็ไม่อาจแน่ใจเต็มสิบส่วน เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว” เวลาล่วงผ่านไปเป็นนาน เฮยเฟิงซีจึงเอ่ยต่อ
“ไปดูสักหน่อยก็รู้แล้ว” ไป๋เฟิงซีดวงตาทอประกายเจิดจ้า
“พี่สาว ท่านดูสิ คนเหล่านี้รีบร้อนวิ่งถึงเพียงนี้ พวกเขาจะไปไหนหรือ” หานผู่ที่มิมีผู้ใดเหลียวแลได้แต่ฟุบอยู่ที่หน้าต่าง มองผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน “ไหนว่าโยวโจวคือแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น ไฉนถึงมีคนจนมากมายขนาดนี้เล่า”
“เด็กโง่ ต่อให้ร่ำรวย ผู้ที่ร่ำรวยก็ไม่มีวันเป็นชาวบ้านสามัญพวกนี้ไปได้หรอก” ไป๋เฟิงซีเดินไปเยี่ยมหน้ามองนอกหน้าต่าง พบว่าผู้คนที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นจำนวนมากกำลังบ่ายหน้าไปยังสถานที่เดียวกัน
“เช่นนั้นผู้ที่ร่ำรวยคือใครเล่า” หานผู่ถามต่อ
“วาณิช ขุนนาง ข้าราชการฉ้อฉล ผู้มีอำนาจ ชนชั้นสูง” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีเจือแววสะทกสะท้อน “ชาวบ้านที่อยู่ดีขึ้นมาหน่อยก็แค่มีเสื้อผ้าอุ่นมีข้าวกินอิ่ม”
“อ้อ” หานผู่ยังมิใคร่แจ้งแก่ใจนักถึงความลำบากยากเข็ญของโลกมนุษย์จากถ้อยคำไม่กี่ประโยคนี้ ทว่าเมื่อมองผู้คนบนท้องถนนพวกนั้นแล้วก็ให้สงสารจับใจ “พี่สาว ในเมื่อคนเหล่านั้นมีเงินมากนัก และคนเหล่านี้ก็ยากจนข้นแค้น เช่นนั้นมิสู้ให้คนมีเงินแบ่งให้คนจนสักหน่อย เท่านี้ทุกคนก็สามารถกินอิ่มมีเสื้อผ้าอุ่นใส่แล้วมิใช่หรือ”
ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปทันใด จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ…ผู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมีความคิดไร้เดียงสาเช่นนี้ได้”
“ท่านหัวเราะอะไร” หานผู่ถูกไป๋เฟิงซีเยาะเย้ยจนดวงหน้าคมคายแดงก่ำ “ทุกคนล้วนมีข้าวกินมีเสื้อผ้าสวมใส่ก็มิใช่ดีมากหรอกหรือ”
“ผู่เอ๋อร์ ความคิดเจ้าดีมาก” ไป๋เฟิงซีหุบยิ้ม ยื่นมือลูบหัวหานผู่ “แค่ว่าในโลกนี้จะไม่มีผู้ใดเห็นด้วยกับความคิดของเจ้า ต่อให้เป็นคนจนพวกนั้น บางคนขอเพียงวันหนึ่งมีอำนาจขึ้นมาก็จะเปลี่ยนท่าทีทันควัน เจ้าต้องรู้ไว้ว่าใจคนล้วนแต่มักได้เห็นแก่ตัวทั้งสิ้น”
ด้านข้าง เฮยเฟิงซีมองหานผู่ สะท้อนใจอยู่บ้าง “ประหนึ่งกระดาษขาวให้เจ้าแต่งแต้มตามใจ”
“ข้าวาดรูปไม่เป็น ข้ายอมให้เป็นกระดาษขาวเรื่อยไป” ไป๋เฟิงซีมองหานผู่ ในดวงตามีอารมณ์สะเทือนใจลึกซึ้งที่ไร้ผู้เข้าใจ “หากเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ควรปล่อยให้เขานำตัวไปย้อมกับสีสันของโลกนี้ด้วยตัวเอง”
“พวกท่านพูดอะไรอยู่หรือ” หานผู่ไม่เข้าใจ จึงมองคนทั้งสองอย่างหงุดหงิด
“คนจนพวกนี้ มันเรื่องอันใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีไม่ตอบหานผู่ แต่กลับถามเฮยเฟิงซี
“คืนวานเมืองฝั่งตะวันตกเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ เผาผลาญบ้านเรือนไปหลายถนนแต่เจ้าถึงกับไม่รู้เรื่อง หลับสนิทเป็นตายแท้ๆ เจ้ามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาจนวันนี้ได้ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์จริงๆ” เฮยเฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม สายตาทอดไปยังผู้คนบนท้องถนน “พวกนี้ต้องเป็นคนที่ไร้บ้านให้กลับหลังจากเกิดเพลิงไหม้เป็นแน่ บางส่วนน่าจะเป็นขอทานในเมืองกระมัง”
ไป๋เฟิงซีอดรวมสมาธิตั้งใจฟังถ้อยคำที่ลอยมาจากถนนมิได้ ครู่ต่อมาก็ถลึงตาใส่เฮยเฟิงซี ในสีหน้ามีแววตระหนกอันยากจะปิดบัง “เจ้าทำอันใดลงไปอีกแล้ว”
“พี่สาว เป็นอะไรไป” หานผู่เห็นนางมีสีหน้าผิดปกติจึงรีบถามขึ้น “คนจนเหล่านี้เหตุใดถึงพร้อมใจกันไปทางนั้นเล่า”
“เพราะทางนั้นมีผู้แจกจ่ายเสบียงให้พวกเขา” ไป๋เฟิงซีจับจ้องมองเฮยเฟิงซี
“อ้อ ผู้ใดกันนะ ช่างมีจิตใจดีงามนัก” หานผู่ชื่นชม
“ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้ามีเมตตากรุณาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซี แววตาเปี่ยมแววกระทบกระเทียบ
“ข้าว่าบัดนี้คนทั้งชวีเฉิงล้วนแต่ใคร่รู้ว่าเพลิงไหม้ครั้งใหญ่อันไร้สาเหตุที่บ้านสกุลซั่งเกิดจากอะไร” เฮยเฟิงซีเดินไปยังชั้นวางดอกไม้ข้างหน้าต่าง ยื่นมือไล้กล้วยไม้กระถางหนึ่งบนชั้น “ไฟนั้นมิเพียงเผาบ้านสกุลซั่งจนวอดวาย แต่ยังทำให้มีคนตายคนเจ็บมากมาย ทั้งยังเดือดร้อนถึงเพื่อนบ้านอีกทั้งถนน”
“เผาบ้านสกุลซั่งจนวอดวาย?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ทว่าพอเห็นท่าทางผ่อนคลายของเฮยเฟิงซีเข้าก็รวบรวมความคิดอีกครั้ง ลากเก้าอี้ยาวมานั่งลง คิดเพียงครู่ก็เข้าใจ “เพลิงนั่น…หรือว่าซั่งเหยี่ยเผาตัวตาย?”
“อื้ม” เฮยเฟิงซีปลิดใบที่เหลืองแห้งใบหนึ่งออกจากต้นไม้ นิ้วหุบเข้าน้อยๆ เมื่อคลายออกอีกครั้งใบไม้ก็กลายเป็นเศษธุลีร่วงลงสู่กระถาง “เพลิงนั้นวางจริง ทรัพย์สมบัติมหาศาลนั้นก็ไหม้จริง สกุลซั่งบาดเจ็บล้มตายมากมายก็เป็นเรื่องจริง มีเพียงเผาตัวตายที่ปลอม”
“เขาหนีไป?” ไป๋เฟิงซีเข้าใจในทันที ก่อนจะเสียดสีเสียงเรียบว่า “มิน่าเล่าจึงกล่าวกันว่าไร้วาณิชใดไม่กลับกลอก สับปลับกลับกลอกอย่างเอกอุทีเดียว”
“คืนก่อนหลังเจ้ากับข้าก่อเรื่อง ซั่งเหยี่ยไหนเลยจะกล้ารั้งรออยู่ในชวีเฉิง ย่อมต้องฉวยโอกาสที่ผู้บงการเบื้องหลังยังไม่รู้ตัวเผ่นหนีไป กลางดึกเขาก็พาภรรยาเอกและบุตรคนโตเร่งขึ้นรถม้าจากไปอย่างเงียบเชียบด้วย ก่อนไปก็วางเพลิง หมายจะใช้อุบายแกล้งตาย น่าเสียดายที่ผู้ตายกลับเป็นนางเล็กๆ และบ่าวไพร่สกุลซั่งที่ยังอยู่ในห้วงนิทรา” เฮยเฟิงซีปรบมือ คล้ายกับคิดจะปัดเศษใบไม้ที่ยังเหลือในมือทิ้ง ทั้งคล้ายกับปรบมือให้ลูกไม้นี้ของซั่งเหยี่ย มุมปากเผยยิ้มบางที่ชวนครุ่นคิด
“ซั่งเหยี่ยสามารถตัดสินใจอย่างรวดเร็ว จัดการเรื่องได้อย่างเด็ดขาด พาภรรยาและบุตรไปด้วย มนุษยธรรมยังไม่สิ้น ส่วนทรัพย์สินเทียมท้องพระคลังเมื่อควรสละก็สละ เป็นคนกล้าตัด มิน่าเล่าถึงได้เป็นคหบดีใหญ่แห่งโยวโจว!” ไป๋เฟิงซียิ้มอย่างเย็นชา
“คนเฉกเช่นเขาจึงจะสามารถอยู่ดีมีสุขได้ในโลกที่ผู้เข้มแข็งอยู่รอดผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อนี้” เฮยเฟิงซีเด็ดใบแห้งทิ้งอีกใบ “เขาฉลาดยิ่งนัก ขอเพียงเหลือชีวิตไว้ย่อมสามารถสร้างกิจการขึ้นมาใหม่ได้ ต้องมีชีวิตก่อนจึงจะมีทุกอย่างที่เหลือได้”
“ราวกับเจ้าเห็นพฤติกรรมทุกขั้นทุกตอนของเขากับตาตัวเอง” ไป๋เฟิงซีนิ่วหน้า สายตาที่ตกอยู่บนร่างเขาพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบเจิดจ้า
“ข้าไปที่เรือนฉีเสวี่ย ไหนเลยจะเห็นกับตาตัวเองได้” เฮยเฟิงซียิ้มจางๆ ทิ้งใบแห้งลงในกระถาง “แต่เป็นผู้ที่ข้าส่งไปอยู่ในบ้านสกุลซั่งต่างหากที่เห็นกับตาแล้วรายงานให้ข้าฟัง”
สิ้นเสียงเขาในห้องก็นิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ
“เจ้า…ฮ่าๆๆๆ…นึกไว้ไม่ผิด!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะกะทันหันพร้อมกับลุกขึ้น นางยกมือทาบกลางหน้าผาก ห้านิ้วกางออกน้อยๆ ราวกับประสงค์จะบดบังดวงตาทั้งคู่ “ข้ายังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าถึงใส่ใจเรื่องบ้านสกุลซั่งเช่นนี้ ความจริงข้าควรจะคิดได้ เจ้าทำสิ่งใดก็ล้วนแต่มีเป้าหมาย ก่อนทำสิ่งใดก็วางแผนล่วงหน้าอย่างชัดเจน! ข้าโง่เอง ยามนี้ถึงเพิ่งจะคิดออก”
“พี่สาว…” หานผู่เห็นไป๋เฟิงซีหัวเราะเสียงดังก็แตกตื่นหวาดกลัวขึ้นมา อดยื่นมือไปดึงมือของนางมิได้
ไป๋เฟิงซีราวกับไม่สังเกตว่าหานผู่ดึงมือนางไว้ สายตาจ้องตรงไปยังร่างเฮยเฟิงซี น้ำเสียงแผ่วเบาจนเหมือนรำพึงรำพัน “เมื่อเจ้าวางคนไว้ในบ้านสกุลซั่งแต่แรก เช่นนั้นทรัพย์สมบัติสกุลซั่งต้องไม่ถูกเผาไปกับกองเพลิงเป็นแน่ ในสิบส่วนต้องมีอย่างน้อยแปดส่วนตกอยู่ในมือเจ้า! จากนั้นเจ้าค่อยแบ่งสมบัติสกุลซั่งออกมาหยิบมือหนึ่ง บริจาคให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะเหตุเพลิงไหม้ เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าใจบุญสุนทาน ฟังดูสิ…ตอนนี้ผู้คนทั้งถนนล้วนแต่ชื่นชมพฤติกรรมอันเปี่ยมคุณธรรมของเฮยเฟิงซีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่บริจาคเสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยมิใช่หรือ ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไม้นี้ล้ำเลิศนัก!”
“ฮ่าๆๆๆ…” เฮยเฟิงซีลูบมือหัวเราะ “สตรี ในโลกนี้เจ้าคือผู้ที่เข้าใจข้ามากที่สุดจริงๆ”
“ใช่สิ” ไป๋เฟิงซีทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้อย่างหมดกะจิตกะใจ “เจ้าเป็นจิ้งจอกมากเพทุบาย ปลิ้นปล้อน อำมหิต เห็นแก่ตัว เลือดเย็น แล้งน้ำใจชัดๆ ไฉนคนในโลกจึงมองเจ้าไม่ออก ไฉนยังสรรเสริญเจ้าเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ดวงตาของผู้คนเป็นอันใดไปหมด”
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็มิเคยบอกว่าตนเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม แต่ชาวโลกกลับคิดว่าข้าเป็นจอมยุทธ์ผู้มีเมตตาธรรม เฮยเฟิงซีคล้ายกับมีภาพแห่งคุณธรรมเหนือกว่าไป๋เฟิงซีเสียอีก” เฮยเฟิงซียังคงแย้มยิ้ม ในรอยยิ้มกลับเจือแววเยาะเย้ย “เจ้าว่าเป็นข้าที่ใช้ชีวิตได้ประสบความสำเร็จเกินไป หรือชาวโลกแยกแยะคนได้ล้มเหลวเกินไปกันเล่า”
“ชาวบ้านในชวีเฉิงกำลังสรรเสริญเจ้า ทว่าระหว่างความมั่งคั่งกับการช่วยคน เจ้ากลับเลือกอย่างแรก! เดิมทีเจ้าสามารถช่วยผู้ที่อยู่ในกองเพลิงเหล่านั้นได้ แต่เจ้ากลับยินดีขนย้ายทรัพย์สินเงินทองที่ไม่มีชีวิตเหล่านั้นแต่ไม่ยินยอมยื่นมือสงเคราะห์คนเป็นที่อยู่ในกองไฟ! เหตุใดเจ้าถึงเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้!” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีแผ่วเบาเหือดแห้ง นางอิงร่างอยู่บนเก้าอี้ ห้านิ้วปิดดวงตา “หากรู้แต่แรก เมื่อคืนข้าก็ควรจะสังหารซั่งเหยี่ยเสีย!”
“เมื่อเลือกได้เพียงหนึ่งจากสอง ข้าย่อมต้องเลือกทางที่เป็นประโยชน์กับข้า” เฮยเฟิงซีสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้สึกผิดสักเศษเสี้ยวกับคำกล่าวโทษของไป๋เฟิงซี “ยิ่งกว่านั้นข้าก็เอาสมบัติของสกุลซั่งมาช่วยประชาชน หากทิ้งสมบัติช่วยคนก็ช่วยได้เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น”
“คำนวณได้จะแจ้งนัก!” นิ้วไป๋เฟิงซีที่ปิดอยู่เหนือดวงหน้าสั่นสะท้านน้อยๆ “คืนที่ผ่านมาเจ้าทำสิ่งต่างๆ ไปกี่อย่างกันแน่”
“สิ่งที่ทำเมื่อคืนไม่น้อยเชียวล่ะ” เฮยเฟิงซีสืบเท้ามายังเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับนางแล้วนั่งลง สายตาจับจ้องอยู่บนร่างนางคล้ายกำลังค้นหาบางสิ่งและก็คล้ายกำลังวางอุบาย “แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงพอนึกออกแล้ว”
“ในเมื่อทรัพย์สินสกุลซั่งล้วนตกอยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นทรัพย์สินสกุลฉีก็คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือเจ้าเช่นกัน” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีฉายแววอ่อนล้า
เฮยเฟิงซียิ้มโดยไร้สุ้มเสียง ดวงตาเป็นประกายมองนางราวกับมองเหยื่อในอุ้งมือ “บัวหิมะหยกเป็นโอสถวิเศษที่ทองคำพันชั่งก็ยากจะซื้อได้ แต่เมื่อข้าใช้มันแก้พิษให้เจ้า ข้าก็ถึงกับไม่ลังเลสักนิด บัดนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าให้เจ้าตายไม่ได้จริงๆ หากเจ้าตายไปบนโลกนี้ยังจะมีใครรู้ใจและเข้าใจข้าเช่นเจ้าอีก ชีวิตเยี่ยงนั้นอ้างว้างน่าเบื่อหน่ายเกินไป”
ไป๋เฟิงซีแสยะยิ้มเหน็บแนม “สกุลซั่งและสกุลฉีเสียผู้นำไปแล้ว ทั้งสองสกุลสับสนวุ่นวาย ซ้ำยังมีจิ้งจอกอย่างเจ้าคอยวางอุบายอยู่ข้างๆ ทรัพย์สมบัติตกอยู่ในมือเจ้าข้าก็ไม่ประหลาดใจ แต่ร้านแลกเงิน โรงจำนำทั่วทั้งต้าตงที่อยู่ในการดูแลของทั้งสองสกุลล้วนตั้งผู้ดูแลไว้ บัดนี้เมื่อขาดผู้เป็นหัวหน้า พวกเขาจะต้องตั้งตนเป็นใหญ่ ร้านเหล่านั้นต่างหากที่เป็นขุมสมบัติของสกุลซั่งและฉี เจ้าหรือจะยอมสละได้ แล้วเจ้าจะทำเช่นไรเพื่อให้ได้มา”
“ใช้อำนาจบีบผลประโยชน์ล่อ ขอแค่เป็นคนก็ไม่อาจรอดพ้น” เฮยเฟิงซีมือซ้ายแบออก ห้านิ้วทำท่าคว้ากุม “ทุกสิ่งทุกอย่างของสกุลซั่งและฉีล้วนแต่อยู่ในกำมือของข้า!”
“โยวโจวเป็นยอดแห่งความมั่งคั่ง และความมั่งคั่งอยู่ ณ ชวีเฉิง ชวีเฉิงโกลาหล โยวโจวจะต้องเคลื่อนไหว” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจยาว “สกุลฉีและซั่งตกเป็นของเจ้า ก็เท่ากับว่าโยวโจวครึ่งแคว้นตกเป็นของเจ้า นี่ต่างหากคือสาเหตุที่เจ้ามาที่โยวโจว แม้ข้าจะรู้จักเจ้ามานาน แต่เจ้าก็ทำให้ข้าหลั่งเหงื่อเย็นเยียบชุ่มร่างได้ทุกครั้งไป”
“หวงเฉาได้ป้ายขั้วกาฬ ข้าได้ความมั่งคั่งครึ่งโยวโจว เจ้าว่าเราสองคนผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ” เฮยเฟิงซียิ้มบางๆ ปลอดโปร่งสง่างามดุจราชัน
“ยุทธภพ การบ้านงานเมืองล้วนแต่ถูกเจ้าควบคุมเล่นอยู่ระหว่างนิ้วและฝ่ามือ จิตใจที่ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ กลอุบายที่แยบคายเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะเทียบเจ้าได้!” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังเบื้องหน้านาง โน้มกายเข้าใกล้ ใกล้จนลมหายใจผะผ่าวรดลงบนดวงหน้านาง เขาปัดมือที่อำพรางดวงตาของนางออก จ้องตรงไปยังดวงตาคู่นั้น
“สตรี ที่เจ้าโกรธเคืองเสียใจนั้นเพื่อสกุลฉีและซั่ง หรือเพื่อ…ข้า?”
นัยน์ตาไป๋เฟิงซีลึกล้ำดั่งวังน้ำลึก มองไม่เห็นก้น สงบไร้คลื่นลมแม้สักระลอก
สายตาเฮยเฟิงซีเจิดจ้าดุจคมกระบี่ คล้ายกับจะทิ่มแทงเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุด คล้ายกับจะตรวจตราให้กระจ่าง
สายตาคนทั้งสองประสานกัน สบกันอย่างเงียบงัน ในห้องเงียบสงัดชวนหายใจไม่ออก มีเพียงเสียงลมหายใจตื่นเต้นของหานผู่
ผ่านไปพักใหญ่ไป๋เฟิงซีถึงลุกขึ้น จูงหานผู่ผู้ทำตัวไม่ถูกอยู่ด้านข้างเดินออกนอกประตูไป ก่อนที่จะปิดประตู นางก็เหลียวหน้ามามองเฮยเฟิงซีแวบหนึ่ง
“เจ้า…สิบปีไม่มีเปลี่ยน!”
ขณะที่เซี่ยวเอ๋อร์กำลังเก็บสัมภาระมีค่า สายตาก็เหลือบไปเห็นเฟิ่งชีอู๋ที่นั่งตะลึงตะไลอยู่ข้างโต๊ะ แม้นางจะยังมีสีหน้าเฉยชาดังเดิม ทว่าดวงตาทั้งสองกลับฉายอารมณ์อันซับซ้อนมากมาย
“แม่นางเฟิ่ง” เซี่ยวเอ๋อร์ร้องเรียกเสียงเบา
“อือ” เฟิ่งชีอู๋เหม่อลอยราวกับไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดไปชั่วขณะ
เซี่ยวเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็สะท้อนใจ ทว่าใบหน้ายังคงคลี่ยิ้ม “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ คิดจนเหม่อลอยเช่นนี้”
“แม่นางเฟิง” เฟิ่งชีอู๋ยอมรับตามตรง หัวคิ้วขมวดมุ่น “สตรีเช่นนั้นข้ายังมิเคยได้พบได้รู้จักมาก่อนเลย”
“แต่ละวาจาแต่ละกิริยาล้วนแต่ไม่ต้องกับธรรมเนียม ระห่ำไร้กฎเกณฑ์ยิ่งกว่าบุรุษ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยออกมาเบาๆ มองเฟิ่งชีอู๋ด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้า สายตาทอดไปยังท้องฟ้า “ทั้งที่ช่างไร้มารยาท ทว่ามองแล้วกลับชวนให้รู้สึกน่าทึ่งและเกิดความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ”
“เซี่ยวเอ๋อร์ติดตามข้างกายกงจื่อมาห้าปีแล้ว เมื่อยังไม่ทันได้พบกับแม่นางซีกลับรู้ว่ามีแม่นางซีผู้นี้อยู่ตั้งแต่วันแรก ต่อมาก็ได้พบกับนางไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้เจอก็จะเห็นนางทะเลาะกับกงจื่อ หลายปีผ่านมาแล้วพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย” เซี่ยวเอ๋อร์มองเฟิ่งชีอู๋ ในน้ำคำแฝงความนัยลึกซึ้ง
เฟิ่งชีอู๋ยินดังนั้นก็อดมองไปทางเซี่ยวเอ๋อร์มิได้ นางเองก็ฉลาดความรู้สึกฉับไว ตลอดทางมานี้ได้พบคนรอบกายเฮยเฟิงซีมาบ้าง แม้นางไม่พูด ทว่าก็รู้ว่าล้วนแต่เป็นยอดคน แม้แต่เซี่ยวเอ๋อร์ จงหลีและจงหยวนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ดูเหมือนอายุยังน้อย ทว่าแต่ละคนกลับมีความสามารถไม่สามัญ จัดการสิ่งใดไม่เหมือนธรรมดา
“เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้าคิดจะบอกสิ่งใดแก่ข้า”
เซี่ยวเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้ม เปลี่ยนมาถามว่า “ท่านรู้สึกว่ากงจื่อเป็นคนเช่นไร”
เฮยเฟิงซีเป็นคนเช่นไร
เฟิ่งชีอู๋เงียบอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะเอ่ยตอบ “ข้ามองไม่ออก”
ใช่ แม้จะอยู่ใกล้กันมาหลายเดือน แต่นางกลับยังไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงแม้จะเป็นชาวยุทธ์ ทว่ามีผู้ติดตามมากมาย พฤติกรรมคำพูดคำจางามสง่ามีมารยาท การกินการอยู่ประณีตบรรจงหามีผู้ใดเทียบ มากพิธีรีตองยิ่งกว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง แม้จะอยู่เพียงตรงหน้าแต่กลับไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดของเขา ลึกล้ำยากคาดเดาดุจดั่งรัตติกาลอันมืดมิดกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต โอบอุ้มได้ทั้งผืนฟ้าและแผ่นดิน แต่กลับหามีผู้ใดมองออกสักเศษเสี้ยว
“มองไม่ออกก็ย่อมยากจะคิดให้กระจ่างได้ ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องคิดให้มากความ กงจื่อเชื้อเชิญท่านร่วมทางก็ย่อมต้องดีต่อท่านเป็นแน่” เซี่ยวเอ๋อร์ประคองนางขึ้น “ของเก็บเสร็จหมดแล้ว คิดว่ารถม้าคงรออยู่ด้านนอก พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินออกนอกห้องก็เห็นประตูห้องเฮยเฟิงซีเปิดผลัวะ ไป๋เฟิงซีและหานผู่ก้าวออกมา
พริบตาที่สายตาประสานกันก็เห็นได้ถึงความผิดหวังและเย็นชาในส่วนลึกของดวงตาของสตรีผู้งามสง่าเป็นธรรมชาติดั่งสายลม เมื่อมองอีกครากลับกลายเป็นรอยยิ้มละไมทั่วใบหน้า ชวนให้สงสัยใจว่าเมื่อครู่ตาฝาดมองพลาดไปเอง เมื่อสายตากวาดต่อไปยังเบื้องหลังไป๋เฟิงซี เฮยเฟิงซีที่อยู่ในห้องมีสีหน้าสุขุมราบเรียบ แค่ว่าดวงตาหลุบลงน้อยๆ อำพรางนัยน์ตาดุจหยกดำนั้นไว้
“แม่นางเฟิ่งคนงาม” ไป๋เฟิงซียิ้มทักคนงามที่ยืนร่างระหงราวกับดอกเหมยแห่งเหมันต์กลางหิมะ หยิ่งทะนงและบริสุทธิ์ผุดผาด
“แม่นางเฟิง” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย
“เฮ้อ เพียงได้เห็นดวงหน้านี้ของเจ้า ต่อให้มีโทสะแน่นอกก็มลายหายไป” ไป๋เฟิงซีมือซ้ายดึงมือเฟิ่งชีอู๋ มือขวาเกี่ยวคางนางอย่างเบามือ คึกคะนองราวกับบุรุษเสเพลไปเยี่ยมเยียนแหล่งเริงรมย์ “ชีอู๋ เจ้าอย่าติดตามจิ้งจอกดำตัวนั้นเลยจะดีกว่า มาอยู่ข้างกายข้าเถิด เช่นนี้เราจะได้สบตากันทุกเช้าค่ำ หากได้มองดวงหน้าดั่งเทพธิดาของเจ้าทุกวัน ข้าต้องอายุยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่าเป็นแน่”
“แม่นางซี วาจานี้ของท่านต่อให้เป็นบรรดาบุรุษที่เที่ยวหอเขียวทุกวันก็ยังกล่าวไม่ออกเลยเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์อดลอบยิ้มมิได้
“เจ้าเด็กน้อย” ไป๋เฟิงซีปล่อยเฟิ่งชีอู๋ มือยื่นออก ปลายนิ้วก็เคาะลงบนหน้าผากเซี่ยวเอ๋อร์ “ถ้าข้าเป็นบุรุษจะแต่งพวกเจ้าเข้าบ้านทั้งสองคนเสียเลย ผู้หนึ่งงามเฉิดฉายไร้เปรียบปาน ผู้หนึ่งมีลักยิ้มพริ้มเพราไร้มลทิน เรียกได้ว่าโอบซ้ายตระกองขวา สุขสมหาใดเปรียบ”
“ฮิๆ มิกล้าคิดเลยว่าถ้าแม่นางซีเป็นบุรุษจะเป็นเช่นไร” เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มเบิกบานกว่าเก่า กระทั่งเฟิ่งชีอู๋ก็ยังเผยรอยยิ้มบางๆ
“ถ้าข้าเป็นบุรุษหรือ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นบุรุษผู้งามสง่า ทั้งคุณธรรมและรูปลักษณ์เป็นหนึ่งในใต้หล้าน่ะซี!” ไป๋เฟิงซีคุยโวอย่างไม่ละอาย
“เอาสิเจ้าคะ ถ้าท่านเป็นบุรุษเซี่ยวเอ๋อร์ต้องติดตามไปกับท่านแน่” เซี่ยวเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ย พร้อมกันนั้นก็ประคองเฟิ่งชีอู๋เดินไปทางประตูหน้า
“เฮ้อ เสียดายที่สวรรค์ให้ข้าเกิดมาเป็นสตรี ทำให้คนงามต้องเสียของ” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างเสียดายเป็นหนักหนา ใบหน้ายิ่งฉายแววโศกาอาดูร
“พี่สาว ท่าทางนี้ของท่านจะทำให้สวรรค์นึกเสียใจที่ให้ท่านถือกำเนิดมานะ” โดยมิทันระวัง หานผู่ที่อยู่ด้านหลังก็สาดน้ำเย็นมาทั้งกะละมัง เฮ้อ บางคราเขาก็สำนึกเสียใจในภายหลังจริงๆ ที่นับคนผู้นี้เป็นพี่สาว
“ผู่…เอ๋อร์…” ไป๋เฟิงซีหมุนกายไปลากเสียงยาวเรียกอย่างอ่อนหวาน
“พี่สาวเฟิ่ง ข้าจะช่วยประคองท่านลงบันได” หานผู่เห็นเหตุการณ์ก็เผ่นแน่บไปยังข้างกายเฟิ่งชีอู๋ ประคองนางอย่างขมีขมัน
“เรื่องเห็นลมหมุนพวงมาลัยเรือ พลิกแพลงตามสถานการณ์ล่ะเรียนรู้ไวนัก” ไป๋เฟิงซีที่ด้านหลังทางหนึ่งลงบันได ทางหนึ่งบ่นเสียงอุบอิบ
“การถูกขานนามร่วมกับเจ้าช่างเสียหน้าโดยแท้” โดยมิทันระวัง ประโยคหนึ่งก็ลอยมาจากด้านหลัง
ไป๋เฟิงซีถลึงตาใส่เฮยเฟิงซี จากนั้นก็หันหน้ากลับ มองไปยังรถม้าสองคันหน้าประตู พริบตานั้นก็ยิ้มสดใสไปทั้งหน้าอีกครา “จงหลี จงหยวน พวกเจ้ากับจิ้งจอกดำนั่นนั่งรถพี่เหยียนไปนะ รถคันนี้ก็ให้ข้ากับแม่นางเฟิ่งคนงามนั่งก็แล้วกัน”
นางสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว กระโดดอย่างแผ่วเบาก็พลิ้วร่างขึ้นไปอยู่บนรถ จากนั้นก็ลากเฟิ่งชีอู๋ เซี่ยวเอ๋อร์ และหานผู่ขึ้นรถไปทีละคน ต่อมาก็ปิดประตูรถ ทิ้งให้จงหลีจงหยวนยืนอึ้งอยู่นอกรถ
“กงจื่อ” จงหลีจงหยวนหันหน้ากลับมามองเฮยเฟิงซีอย่างพร้อมเพรียง
เฮยเฟิงซีชายตามองรถม้าอีกคันซึ่งในสายตาผู้อื่นควรนับว่าดีเลิศ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ “จูงม้าของข้ามา”
“ขอรับ กงจื่อ”
กลางเดือนสามเป็นช่วงเวลาที่ทิวทัศน์แห่งฤดูใบไม้ผลิงามสะพรั่งอย่างเต็มที่
ยามเช้าตรู่ ลมแห่งวสันตฤดูที่หนาวเย็นอยู่บ้างเป่าเอาหมอกจางดั่งแพรโปร่งบางให้กระจายออกไป เป่าหยาดน้ำค้างยามเช้าอันใสบริสุทธิ์ให้ร่วงหล่น ม้วนเอากลิ่นหอมกรุ่นแห่งรุกขชาติสีเหลืองเมื่อราตรีก่อนให้อบอวล แล้วเกี่ยวเอาแสงแดงสดใสแห่งรุ่งอรุณสายหนึ่งให้ผิวผ่านศาลากลางน้ำ อ้อมผ่านทางเดินคดเคี้ยว ลอดเข้าสู่ตำหนักซึ่งปูด้วยกระเบื้องมรกต จุมพิตปลุกโฉมวิลาสผู้หลับสนิทอยู่หลังม่านโปร่งบางอย่างแผ่วเบา
นางกำนัลทยอยเข้าสู่ตำหนัก เกี่ยวม่านเปิด ประคองดอกไห่ถังผู้หลับใหลขึ้น คลุมอาภรณ์สีม่วงให้ ก่อนจะย้ายคันฉ่องสำริดเข้าหา ประคองน้ำบาดาลอันหอมหวานมาชำระล้างดวงหน้าอันอาจล่มเมืองได้นั้น แล้วหยิบหวีสางหยกมรกตขึ้น รวบผมงามสลวย ปักปู้เหยาทองคำ* ติดเตี้ยน** รูปปะการัง วาดคิ้วเรียวงามบางๆ ทาแป้งประทินสีชาดอ่อนจาง เมื่อแต่งแต้มเสร็จก็กลายเป็นโฉมงามผู้เฉิดฉายกลบรัศมีแห่งอรุโณทัย งดงามกว่าร้อยบุปผชาติ
“โลกนี้มิมีผู้ใดจะงามไปกว่ากงจู่อีกแล้วเพคะ!”
ณ ตำหนักลั่วหวา (โศภิตเนา) ทุกเช้าก็จะมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ดังขึ้น ขอเพียงเป็นผู้ที่อยู่ในวังอ๋องแห่งโยวโจวได้ยินเข้าก็จะรู้ว่าวาจานี้มาจากปากของหลิงเอ๋อร์นางกำนัลผู้ปรนนิบัติฉุนหรานกงจู่
กงจู่แห่งโยวโจวผู้ได้สมัญญาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง…ฮว่าฉุนหรานหลุบตามองดวงหน้างดงามไม่มีสองในคันฉ่องสำริด นางเม้มปากยิ้มน้อยๆ โบกมือเป็นสัญญาณให้เหล่านางกำนัลที่มาแต่งหน้าทำผมถอยออกไป
นางกรายเท้าออกนอกตำหนัก แสงตะวันยามเช้ากำลังทะลวงผ่านหมอกบาง ส่องแสงทองอ่อนๆ ลงมา สายลมโชยผ่าน มวลบุปผชาติแห่งวสันตฤดูต่างพากันพยักหน้า
“กงจู่จะไปเสวยพระกระยาหารเช้ากับฝ่าบาทที่ตำหนักจินเสิง (พวนทอง)หรือไม่เพคะ” หลิงเอ๋อร์ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังถามขึ้น
“ไม่ แจ้งให้ตั้งอาหารที่ศาลาเสี่ยวเยียน (หมอกอรุณ) ข้าจะไปอุทยานหมิงเซ่อ (สีสายัณห์) ก่อน เมื่อคืนต้นหิมะหมึกนั่นออกดอกแล้ว เช้านี้อาจบานแล้วก็เป็นได้” ฮว่าฉุนหรานเหยียบย่างไปตามขั้นบันไดซึ่งชื้นเพราะต้องหมอกยามเช้า นางหันกลับไปบัญชากับหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมาหรอก ไปทำงานเถิด”
“เพคะ” หลิงเอ๋อร์และเหล่านางกำนัลถอยออกไป
อุทยานหมิงเซ่อคืออุทยานดอกไม้ที่โยวอ๋องให้สร้างขึ้นเพื่อฉุนหรานกงจื่อธิดาคนโปรดโดยเฉพาะ อุทยานนี้ไม่เหมือนกับอุทยานดอกไม้อื่นๆ เพราะภายในปลูกเพียงโบตั๋นเท่านั้น โดยจะรวบรวมสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วแผ่นดินไว้ แม้กวาดตามองทั่วต้าตงก็หามีแห่งที่สองไม่ และยามปกติเว้นแต่ผู้ที่มีหน้าที่เพาะปลูกและบำรุงรักษา หากมิได้รับอนุญาตจากกงจู่ ผู้ใดก็มิอาจเข้าสู่อุทยานได้
เดือนสามเป็นช่วงเวลาที่โบตั๋นจะทยอยผลิดอก ในอุทยานจึงเต็มไปด้วยดอกตูมรอวันเบ่งบานและดอกที่บานสะพรั่งเต็มที่แล้ว แดง ขาว เหลือง ม่วง สีสันพร่างพราวละลานตา หากเดินอยู่กลางหมู่มาลีก็เหมือนดังอยู่กลางทะเลแห่งพฤกษชาติ กลิ่นหอมกำจรไปทั่ว กำซาบเข้าสู่สรรพางค์กาย อบร่ำอาภรณ์
ฮว่าฉุนหรานอ้อมผ่านพุ่มดอกไม้ไปพุ่มแล้วพุ่มเล่า เดินมาถึงหน้าแปลงเล็กๆ ที่กลางอุทยาน ในแปลงปลูกโบตั๋นไว้เพียงต้นเดียวเท่านั้น
“บานแล้วจริงๆ ด้วย”
ครั้นเห็นโบตั๋นกลางแปลงดอกนั้นบานสะพรั่ง ฮว่าฉุนหรานก็แย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว
โบตั๋นต้นนี้ไม่เหมือนกับต้นใดๆ ในอุทยาน มันสูงราวสามเชียะ กิ่งก้านเหยียดตรง กลางกิ่งใบสีเขียวมรกตมีดอกไม้ขนาดเท่าชามใบโตชูช่ออยู่ กลีบดอกดั่งหมึก เกสรดุจหิมะ บนเกสรหิมะแต้มดวงดาราสีเหลือง แปลกเด่นสะดุดตายิ่งนัก
“หิมะหมึก…ช่างเป็นดุจหมึกและคล้ายหิมะนัก” นางรำพึงรำพันเบาๆ แล้วก็ยื่นนิ้วไล้กลีบดอกอย่างเบามือ เพียงใช้ปลายนิ้วแตะเล็กน้อยประหนึ่งกลัวมันจะสลายไป ก่อนจะโน้มเอวก้มศีรษะ ดอมดมกลิ่นหอมจรุงใจสายนั้น
“เฮ้อ…ที่แท้บนโลกนี้ก็มีผู้ที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วย” ทันใดนั้นเสียงใสกังวานไร้มลทินก็ดังก้องขึ้น ราวกับมาปลุกโบตั๋นทั่วทั้งอุทยานที่ยังหลุบโฉม และก็ปลุกฮว่าฉุนหรานที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ นางเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน บุปผชาติดั่งมหานที ร่องรอยของมนุษย์สักนิดก็หามีไม่
“กล่าวกันว่าโบตั๋นคือความงามแห่งแผ่นดิน คือสุคนธรสแห่งแดนฟ้า แต่ข้าว่าคนงามผู้นี้กลับเหนือล้ำกว่าราชาแห่งบุปผชาติเสียอีก!” เสียงใสกังวานนั้นดังขึ้นอีกครา แฝงอารมณ์ทึ่งอันยินดีปรีดา
ฮว่าฉุนหรานมองตามเสียงในทันใด แล้วก็ได้เห็นว่าที่เหนือหลังคาสูงมีบุรุษอาภรณ์ดำและสตรีอาภรณ์ขาวนั่งอยู่ แสงอรุโณทัยสาดลำนับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสอง ขับหมอกเช้าบางๆ ให้สลายไป ทว่ากลับยังเหลือบางสายที่ม้วนวนอยู่รอบกายทั้งสองราวกับอาลัยอาวรณ์ ทำให้ดวงหน้าของพวกเขาพร่ามัว ขณะนั้นฮว่าฉุนหรานหลงนึกไปว่าตนพบเงาร่างของเซียนในโลกมายา
“จิ้งจอกดำ เจ้าว่าที่หนังสือเขียนไว้ว่า ‘มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทราหลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง’ก็หมายถึงคนงามเช่นที่อยู่ตรงหน้านี้ใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซียื่นขาเขี่ยเฮยเฟิงซีที่อยู่ด้านข้าง
“ที่เรียกว่าหญิงงามนั้น มีมวลผกาเป็นรูปโฉม มีจันทราเป็นสีหน้า มีต้นหลิวเป็นท่าทาง มีหยกเป็นกระดูก มีหิมะเป็นผิว มีวารีแห่งสารทฤดูเป็นท่วงท่า และคนงามผู้นี้ก็เป็นได้โดยไร้ความละอาย” เฮยเฟิงซีเองก็พยักหน้าชื่นชมจากใจจริง สุดท้ายยังเติมอีกประโยคว่า “เจ้าควรจะเอาอย่างผู้อื่นบ้างจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮว่าฉุนหรานได้พบกับไป๋เฟิงเฮยซี หลายปีให้หลังเมื่อวัยเยาว์ของฮว่าฉุนหรานผ่านเลยไปและเผชิญกับดวงหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยในคันฉ่องทองเหลือง นางกลับยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า หวนรำลึกถึงเช้าวันนี้ที่อากาศเย็นฉ่ำ เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมของมวลผกาและความน่าอัศจรรย์ใจนี้ได้อย่างผ่อนคลายแช่มชื่น
หลังอารมณ์แตกตื่นในตอนแรกจางไป นางหาได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าความสามารถที่คนทั้งสองพาตัวเองมายังเบื้องหน้านางได้โดยไม่ทำให้องครักษ์ที่คอยเฝ้าทั้งนอกวังในวังอย่างแน่นหนารู้ตัวเป็นสิ่งที่อันตรายเพียงไร เพียงแค่ถามอาคันตุกะผู้มาจากขอบฟ้าด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายว่า “ท่านทั้งสองบินมาจากท้องฟ้าหรือ หรือถูกสายลมพัดมาจากต่างโลก?”
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ “คนงามเอ๋ย เจ้าไม่กลัวบ้างหรือไรว่าพวกเราจะเป็นโจรเถื่อน มาปล้นทรัพย์ปล้นโฉม”
“หากโจรเถื่อนล้วนแต่มีท่วงท่ามิสามัญเช่นท่านทั้งสอง เช่นนั้นฉุนหรานก็ใคร่อยากเป็นโจรเถื่อนดูบ้าง” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างไม่ลนลาน
“ดีๆๆ!” ไป๋เฟิงซีปรบมือชื่นชม “รูปโฉมเลิศล้ำ ทว่าถ้อยปราศรัยยิ่งวิเศษกว่า ช่างชวนพิสมัยแท้ๆ สมัญญาหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงนี้เป็นได้โดยไร้ความละอาย”
สุดท้ายหมอกแห่งอรุณก็ต้านทานแสงอาทิตย์ไม่ไหว สลายหายไปอย่างเงียบงัน แม้จะไกลจนไม่อาจมองรูปลักษณ์ของคนบนหลังคาให้ถนัดตาได้ ทว่ากลับเห็นเครื่องประดับจันทร์เสี้ยวสีดำและขาวที่กลางหน้าผากคนทั้งสองอย่างชัดเจน มันสะท้อนรับกับแสงอรุโณทัย ส่องประกายวิบวับสะดุดตา
“หากฉุนหรานแยกไม่ผิด ทั้งสองท่านจะต้องเป็นไป๋เฟิงเฮยซีผู้โด่งดัง” ฮว่าฉุนหรานสายตาจับอยู่ที่เครื่องประดับทรงจันทร์เสี้ยวสองชิ้นนั้น เอ่ยอย่างปลอดโปร่ง
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีส่งเสียงหัวเราะ “ผู้อยู่ในวังลึกถึงกับมีสายตาเช่นนี้ ไม่เลว ได้พบกับท่านการมาครั้งนี้ก็มิเสียเที่ยวแล้ว”
“หาใช่ฉุนหรานสายตาดี แค่ว่าชื่อเสียงของท่านทั้งสองระบือลือไกล ไม่ว่าตามหัวถนนตรอกซอยหรือในวังลึกก็ล้วนแต่เคยได้ยินนาม” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้า สง่างามดุจกระเรียนขาวสยายปีก ทิ้งร่างลงตรงหน้าฮว่าฉุนหรานอย่างชดช้อย พินิจพิเคราะห์นางจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างอย่างละเอียด
เห็นเพียงคนงามยืนประคองบุปผา ดวงตาดั่งสายน้ำฤดูใบไม้ร่วง ดวงพักตร์ดุจดอกท้อ เรือนร่างเหมาะเจาะพอดี ท่วงท่ากิริยาน่าพิสมัย มิเคยพบผู้ใดเทียบเทียมได้!
“ช่างเป็นดวงหน้าที่งดงามเหลือเกิน!” นางมองแล้วอดไม่ได้ มือลูบคลำพวงแก้มหยกอันนุ่มนิ่มของคนงามโดยไม่รู้ตัว “อยากเก็บดวงหน้านี้ไว้ในแขนเสื้อยิ่งนัก จะได้หยิบมาชื่นชมทุกเช้าค่ำ”
“เฮ้อ พฤติกรรมคึกคะนองนี้ของเจ้าจะทำให้หญิงงามแตกตื่น” เฮยเฟิงซีมองพฤติกรรมไร้มารยาทนั่นของไป๋เฟิงซีแล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ เขาขยับร่างคราหนึ่ง แล้วกลางอากาศก็คล้ายกับสะพานไร้รูปลักษณ์พาดให้เขาก้าวลงมาอย่างสง่างาม
“จิ้งจอกดำ อย่ารบกวนข้าชมคนงาม” ไป๋เฟิงซีโบกมือซ้ายไปด้านหลังราวกับปัดไล่แมลงวัน มือขวายังหยุดอยู่บนดวงหน้าหญิงงาม โยกไหวศีรษะ กล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งคืนเต็ม เดิมทีหิวถึงขีดสุดแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อได้เห็นหน้าท่าน ข้าถึงกับไม่หิวสักนิด นี่ต้องเป็นที่ในตำรากล่าวไว้ว่างามจนชมโฉมแทนภักษาหารได้เป็นแน่”
ฮว่าฉุนหรานปล่อยให้ไป๋เฟิงซีทั้งลูบทั้งมองตามอำเภอใจ นางเพียงแค่ยืนอย่างสงบนิ่ง ตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆ
“เฮ้อ! เหตุใดข้าจึงไม่เกิดมาเป็นบุรุษนะ จะได้แต่งเอาคนงามทั้งหลายเข้าบ้านให้หมด!” สุดท้ายไป๋เฟิงซีก็คลายกรงเล็บออกอย่างอาลัยอาวรณ์
ฮว่าฉุนหรานเม้มปากยิ้ม จากนั้นก็คารวะอย่างชดช้อย “ไป๋เฟิงเฮยซีมิใช่สามัญเลยจริงๆ วันนี้ฉุนหรานโชคดี ได้ทำความรู้จักกับทั้งสองท่าน”
“อ๊ะ! กงจู่คารวะราษฎรธรรมดาอย่างพวกเรา นี่มิใช่ทำให้พวกข้าอายุสั้นหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซีกระโดดโหยง หลบไปอยู่หลังเฮยเฟิงซี แล้วยกเท้าถีบขาพับเขา “จิ้งจอกดำ เจ้าก็คารวะกงจู่สักสองคราสิ ตีเสียว่าคารวะตอบแทนข้าด้วย”
ไม่เห็นเฮยเฟิงซีขยับร่างกาย ทว่าร่างกลับเคลื่อนออกไปหนึ่งก้าว หลบเท้านั้นพ้น จากนั้นเขาก็แสดงคารวะอย่างผ่อนคลาย สง่าผ่าเผย ท่วงท่าชวนแช่มชื่น “เฟิงซีคารวะกงจู่”
“ได้ยินว่าไป๋เฟิงเฮยซีแต่ไหนแต่ไรไปมาร่องรอยไม่แน่นอน ยากพบพาน กลับมิรู้ว่าเหตุไฉนวันนี้จึงมาถึงที่นี้ได้” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองทั้งสอง
“ข้าก็มาเพื่อชมโฉมคนงามแซ่ฮว่าเช่นเจ้าอย่างไรเล่า” สายตาของไป๋เฟิงซีถูกโบตั๋นหิมะหมึกต้นนั้นดึงความสนใจ อดเดินเข้าไปหามิได้ พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “ที่จิ้งจอกดำตัวนี้มาหาเจ้ากลับมีสาเหตุอื่น”
“อ้อ?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็มองไปทางเฮยเฟิงซี เมื่อสายตาประสานกัน หัวใจนางก็พลันเต้นรัว กงจื่อในสกุลผู้มียศถาบรรดาศักดิ์นางก็เคยพบมาตั้งไม่รู้เท่าไร แต่กลับมิมีผู้ใดสูงส่งและหมดจดงดงามเช่นนี้เลยสักผู้เดียว ในอุทยานแห่งวังอ๋อง เขาก็ประหนึ่งยืนอยู่ในสวนบ้านตัวเอง ท่วงท่ามั่นใจและผ่อนคลาย
เฮยเฟิงซีล้วงผ้าเช็ดหน้าไหมสีชมพูออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นส่งให้ “กงจู่เคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่”
“นี่คือ?” ฮว่าฉุนหรานรับผ้าเช็ดหน้ามา อดประหลาดใจมิได้ “นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของข้า กลับมิทราบว่าไปอยู่ในมือของท่านได้โดยทางใด”
“นี่คือของของท่านจริงหรือ” เฮยเฟิงซีย้อนถาม ประกายตาอ่อนโยน
“แน่นอน” ฮว่าฉุนหรานมองผ้าผืนนั้นอย่างถี่ถ้วน ชี้ไปยังลวดลายบนผ้าแล้วกล่าวว่า “นี่คือลายที่ข้าปักเองกับมือ ข้าย่อมจดจำได้”
“ที่แท้ฉงฉงและจวี้ซวีนี้ท่านเป็นผู้ปัก” เฮยเฟิงซีทำท่าเพิ่งเข้าใจอย่างกระจ่าง
“ท่านทราบด้วยหรือว่านี่คือฉงฉงและจวี้ซวี” ฮว่าฉุนหรานฟังแล้วหัวใจกระตุกวูบ ต้องทราบว่าฉงฉงและจวี้ซวีเป็นสัตว์ประหลาดในตำนานโบราณ อย่าว่าแต่จดจำออกเลย กระทั่งผู้ที่เคยได้ยินชื่อของมันก็น้อยนักน้อยหนาแล้ว จึงไม่นึกว่าเขาจะรู้เช่นกัน
“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าผ้าเช็ดหน้านี้ไปอยู่ในมือเขาได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีสอดขึ้นกะทันหัน อีกทางก็เดินวนรอบโบตั๋นต้นนั้น พิศซ้ายแลขวา
“ฉุนหรานนึกประหลาดใจอยู่บ้าง แม่นางเฟิงสามารถบอกกล่าวได้หรือไม่” ฮว่าฉุนหรานเหลียวหน้าไปมอง และก็กลับเห็นใบหน้าของไป๋เฟิงซีโน้มลงห่างจากดอกไม้ไม่ถึงสามชุ่น นิ้วมือยังแตะเกสรเล่น ท่าทางราวกับหมายจะนับเกสรให้ครบทุกเส้น
“หึๆ…ย่อมได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวปนหัวเราะ เงยหน้าสบตาตอบ แววตาเจ้าเล่ห์ “ก็สายลมมันพัดไป พัดไป พัดไป…พัดผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ลอยไปถึงริมฝั่งทะเลสาบฉังหลีซึ่งห่างออกไปหลายร้อยลี้ จากนั้นก็ร่วงลงจากฟากฟ้า ตกลงสู่มือของจิ้งจอกดำตัวนี้อย่างไรเล่า”
“ฮิๆ…แม่นางเฟิงช่างเข้าใจล้อเล่นจริงๆ” ฮว่าฉุนหรานใช้แขนเสื้อปิดปากหัวเราะ ดวงหน้าก้มลงน้อยๆ อากัปกิริยางามชดช้อย ท่วงท่าตรึงใจ
“เฮ้อ คนงามแย้มสรวล ล่มเมืองล่มแคว้น” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างสะทกสะท้อน โบกมือคราหนึ่ง ลมบางเบาก็โชยมาหนึ่งระลอก พริบตานั้นโบตั๋นทั้งอุทยานก็ร่ายระบำ “ต่อให้เป็นโบตั๋นที่ได้ชื่อว่าเป็นความงามแห่งแผ่นดินก็ยังต้องศิโรราบ”
โบตั๋นที่ส่ายไหวในสายลมยิ่งเพิ่มความงดงามจับใจกว่าเมื่อครั้งชูช่อสงบนิ่ง ทว่ายามนี้ฮว่าฉุนหรานกลับเหม่อมองไป๋เฟิงซี โบตั๋นเต็มอุทยาน แต่สตรีในอาภรณ์ขาวดุจหิมะกลับสามารถกลบรัศมีแห่งโบตั๋นทั้งอุทยานได้
ตะลึงตะไลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วฮว่าฉุนหรานก็ชื่นชมเสียงแผ่วเบา “บุคคลเช่นแม่นางเฟิงต่างหากที่ชวนให้ศิโรราบจากใจ”
ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็มองไปทางเฮยเฟิงซี “ได้ยินหรือไม่ นี่คือคำอันออกจากปากหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงเชียวนะ วันหน้าเจ้าพูดอะไรทำนองว่าถูกขานนามคู่กับข้าเป็นเรื่องขายหน้าให้น้อยลงหน่อย เป็นข้าต่างหากที่ลดตัวลงมา เจ้าควรจะจุดธูปไหว้ขอบคุณสวรรค์ทุกเช้าค่ำที่ได้รับการขานนามร่วมกับข้าผู้นี้”
เฮยเฟิงซียังตั้งตัวไม่ทัน ส่วนฮว่าฉุนหรานหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “หากได้แม่นางเฟิงเคียงข้าง ข้าจะต้องยิ้มกว้างได้ทั้งชีวิตเป็นแน่”
“โถ่ เช่นนั้นก็ไม่ดีหรอก จะมัวแต่ยิ้มไม่ต้องกินข้าวแล้วหรือ หากทำให้ท่านต้องหิว ข้าจะเจ็บปวดใจเอาได้” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า มือลูบหนังท้อง “พวกเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ยังต้องการธัญญาหารทั้งห้ามาหล่อเลี้ยงกายเนื้ออยู่ คนงามแซ่ฮว่า ท่านเลี้ยงอาหารข้าสักมื้อได้หรือไม่”
“ฮ่าๆๆๆ…” ในที่สุดฮว่าฉุนหรานก็กลั้นไม่อยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมา “ในเมื่อสายลมพัดผ้าเช็ดหน้าของข้าไปตกอยู่ในมือท่านทั้งสอง ซ้ำยังพัดท่านทั้งสองมาส่งถึงตรงหน้า นี่ก็นับเป็นวาสนาอันอัศจรรย์ ให้ฉุนหรานได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้าน รับรองทั้งสองท่านเป็นอย่างไร”
“โอ้ ท่านมิเพียงรูปโฉมงดงาม ถ้อยปราศรัยก็วิเศษนัก” ไป๋เฟิงซีปรบมือเอ่ยขึ้น
“เฟิงกงจื่อจะให้หน้าหรือไม่” ฮว่าฉุนหรานถามเฮยเฟิงซีที่กำลังพิจารณาโบตั๋นต้นนั้นอยู่ด้านข้าง
“โบตั๋นต้นนี้คาดว่าท่านคงบำรุงดูแลอย่างใส่ใจยิ่ง” เฮยเฟิงซีแตะกลีบดอก เอ่ยอย่างสะท้อนใจน้อยๆ “ดุจหมึกคล้ายหิมะ อัศจรรย์อย่างเอกอุ เพียงแต่ไม่เหมาะจะปลูกในอุทยานโบตั๋นแห่งนี้”
“หืม? เพราะเหตุใดเล่า” ฮว่าฉุนหรานมองเขา พลันรู้สึกว่าคนเบื้องหน้าคล้ายบุปผาดอกนั้นเหลือเกิน
“ดอกไม้นี้ หากไม่ชูช่อพ้นโลกียะโดยลำพังก็ต้องประกาศโฉมให้เลื่องลือทั่วหล้า” เฮยเฟิงซีผินหน้ากลับ นัยน์ตาดำดั่งรัตติกาล
หัวใจฮว่าฉุนหรานพลันกระตุกไหว เยื่อแก้วหูสั่นสะท้าน นั่นคือเสียงของหัวใจเต้น สะท้อนอยู่เนิ่นนานไม่จางหาย สายตาของนางมองเฮยเฟิงซี เงียบงันอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน
“นี่ ทั้งสองท่าน กินข้าวสำคัญกว่านะ”
ข้างหูได้ยินเสียงไป๋เฟิงซีร้องเรียก พอหมุนร่างไปมองก็เห็นนางกระโดดเหินอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ผกา อาภรณ์ขาวโบกสะบัด ผมยาวสลวยพลิ้วไหว ปลายเท้าสะกิดผ่าน ทว่าบุปผายังคงเดิม กิ่งใบมิแปรเปลี่ยน ปากยังคลอบทเพลงนิรนาม
“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว
หยางหลิวมากสิเน่หา
ข้ากรายเหนือบุปผามา
เพื่อยลน้องยายิ้มเดียว…”