ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 13 ในลั่วหวา ฉุนหรานเอ่ยไร้เสียง
ณ ตำหนักลั่วหวา หลิงเอ๋อร์นางกำนัลที่ฉุนหรานกงจู่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุดวันนี้มิเบิกบานเท่าไรนัก ทั้งก็เบิกบานอยู่บ้างเล็กน้อย
สาเหตุที่ไม่เบิกบานก็เพราะคนผู้เวลานี้ยึดครองแท่นนอนของกงจู่มานอนอย่างมีความสุข เมื่อคิดถึงไป๋เฟิงซีที่ปรากฏมาจากที่ใดก็ไม่ทราบผู้นี้ หลิงเอ๋อร์ก็ให้ขุ่นเคืองอยู่เต็มอก
ผู้ที่กงจู่เรียกอย่างเทิดทูนถึงสิบส่วนว่า ‘จอมยุทธ์หญิงเฟิง’ อยู่ในวังมาก็หลายวัน แต่กลับไม่เห็นมีจุดโดดเด่นเหนือสามัญที่ตรงไหน โดยรวมแล้วพฤติกรรมของนางในช่วงหลายวันนี้บรรยายได้เพียงว่าเป็น ‘ตัวเกียจคร้านตะกละขี้เซา’ เวลากว่าครึ่งในแต่ละวันนางก็ใช้ไปกับการนอนและกิน ส่วนเวลาอีกครึ่งวันก็หัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่เหล่านางกำนัลในวัง
เช่นจู่ๆ ก็โผล่มาทางด้านหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง แกล้งให้ตกใจแทบตาย พร้อมกันนั้นก็เสียบบุปผางามให้บนมวยผมราวกับเล่นกล หรือไม่ก็พร่ำชื่นชมรูปโฉมอันงดงาม กลางวันก็บอกว่าชีวิตในยุทธภพมีสีสันน่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ ให้คันในจิตใจยากจะต้านทาน แต่พอตกค่ำกลับเล่าเรื่องผีทั้งหลายแหล่ให้ฟัง ทำให้คนฟังไม่กล้านอนไปทั้งคืน
อาศัยที่นางเคยท่องทั่วทุกแคว้น ดังนั้นวันนี้จึงสอนเขียน ‘คิ้วหมอกคลุม’ พรุ่งนี้สอนปัด ‘แก้มสายน้ำตา’ วันมะรืนชี้แนะให้หวี ‘มวยวิหคเหิน’ ยังบอกว่าใช้อำพันทะเล* อบร่ำเสื้อผ้าเป็นการย่ำยีพัสตราภรณ์ สตรีควรรู้จักว่าสิ่งใดคือสุคนธ์ฟ้าร่ำอาภรณ์…
ดังนั้นวันทั้งวันก็จะได้ยินเพียงถ้อยคำจำพวก ‘แม่นางเฟิง วันนี้ข้าเขียนคิ้วสวยหรือไม่’ ‘แม่นางเฟิง ปู้เหยาชิ้นนี้บนศีรษะข้าเป็นอย่างไร’ ‘แม่นางเฟิง ข้าเก็บแขนเสื้อเข้ามาหน่อยจะดีกว่าหรือไม่’ ‘แม่นางเฟิง นี่คือชาที่ชงจากน้ำค้างดอกไม้ที่ข้าเก็บมาเมื่อเช้าท่านลองชิมดู’ ‘แม่นางเฟิง นี่คือขนมที่ข้าทำ ท่านรีบกินตอนร้อนๆ’ …
กระทำจนทั่วทั้งตำหนักลั่วหวาจวนจะลืมไปแล้วว่านายที่แท้จริงของที่สถานที่นี้คือผู้ใด
ส่วนเรื่องที่ทำให้หลิงเอ๋อร์เบิกบานน่ะหรือ หางตานางเหลือบอย่างเงียบงันไปทางเฟิงกงจื่อผู้กำลังเดินหมากอยู่กับกงจู่ในศาลาอั้นเซียง (เร้นสุคนธ์) กลางอุทยาน เมื่อเห็นเงาร่างที่ประหนึ่งพฤกษชาติหยกต้องลมนั่น หัวใจดวงน้อยของนางก็เต้นโครมครามไม่หยุด
จำได้ว่าหนแรกที่นางพบเฟิงกงจื่อท่านนี้ยังหลงนึกว่าเป็นกงจื่อของอ๋องแคว้นใดเดินทางมาเยือน ปกติเชษฐาและอนุชาไม่กี่คนของกงจู่ก็หล่อเหลาผึ่งผายดี ทว่าเมื่อเทียบกับกงจื่อท่านนี้ก็ประหนึ่งเอานกกานกกระจอกไปเทียบกับหงส์เจิดจรัส มิพักต้องเอ่ยถึงท่วงท่าอันชวนให้รู้สึกเหมือนอาบอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลินั่น
นอกจากนี้เขายังถึงพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ โต้กาพย์กลอนกับกงจู่ บรรเลงฉิน และขลุ่ยร่วมกัน เดินหมากและวาดรูปคู่กัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อกงจู่ขับขานทำนองสั้นเพลง ‘ออกด่าน’ เขาก็ชักกระบี่ออกร่ายรำ
บุรุษสมบูรณ์แบบอย่างที่ปรากฏเพียงในความฝันของหญิงสาวเช่นนี้นึกไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริงในโลก ดังนั้นเหล่านางกำนัลในตำหนักลั่วหวาพอพบเขาเข้าก็จะหน้าแดง ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้องก็จะทำตัวไม่ถูก…ในสายตาหลิงเอ๋อร์สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่อภัยให้ได้ เพราะนางเองก็เป็นเช่นนั้นด้วย
ระหว่างที่หลิงเอ๋อร์คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น สายตาก็จ้องนิ่งอยู่ที่ศาลาอั้นเซียง
ฮว่าฉุนหรานและเฮยเฟิงซีที่ถูกห้อมล้อมอยู่ท่ามกลางมวลบุปผชาติ มองจากไกลๆ ก็ช่างดูเป็นคู่มนุษย์หยกที่เหมาะสมทั้งสติปัญญาและรูปโฉม ราวกับเป็นคู่รักเทพเซียนในภาพวาด ชวนให้เห็นแล้วตราตรึงจิตและเลื่อมใสจากใจจริง ทำให้หลิงเอ๋อร์มองจนเหม่อ ทว่า…ภาพวาดนี้คล้ายกับมีวัตถุเสียดแทงตาเพิ่มเข้ามา นางตั้งสติมองแล้วก็ให้เดือดดาลยิ่งนัก ไป๋เฟิงซีผู้นี้เข้าไปตั้งแต่เมื่อใด รบกวนกงจู่และเฟิงกงจื่ออีกแล้ว!
“คนงามแซ่ฮว่า ไม่ควรเดินเช่นนี้นะ”
ตัวหมากที่ฮว่าฉุนหรานกำลังจะเดินถูกชิงไปกลางคัน ตกไปอยู่อีกตำแหน่งแทน
“คนงามแซ่ฮว่า เจ้าควรเดินเช่นนี้ จากนั้นจิ้งจอกดำตัวนี้จะต้องเดินมาที่นี่เป็นแน่ ส่วนเจ้าก็เดินตรงนี้ต่อ เขาจะเดินมาตรงนี้ จากนั้นเจ้าก็เดินอย่างนี้ สุดท้าย…ดูซี เท่านี้ก็ล้อมเขาไว้ได้หมดแล้วมิใช่หรือ ทำให้เขาหมดทางถอย! ฮ่าๆๆ…นี่เรียกว่า ‘จับเป็นจิ้งจอกดำ’ ฮ่าๆๆๆ…” มือทั้งสองของไป๋เฟิงซีหยิบหมากเดินบนกระดาน เพียงครู่เดียวหมากก็ถูกนางเดินเองคนเดียวจนจบ
ฮว่าฉุนหรานมองกระดานหมาก จากนั้นก็ชื่นชมจากใจว่า “ที่แท้ฝีมือเดินหมากของแม่นางเฟิงก็ล้ำเลิศถึงเพียงนี้”
วิชาหมากของนางมีนักเดินหมากชื่อดังแห่งโยวโจวถ่ายทอดให้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ทระนงในฝีมือของตน ทว่าหลายวันมานี้ได้เดินหมากกับเฮยเฟิงซีเกือบสิบกระดาน กลับไม่ชนะเลยแม้แต่กระดานเดียว หมากตาที่อยู่ตรงหน้าเดิมก็ตกเป็นรอง เมื่อไป๋เฟิงซียักย้ายตัวหมากเช่นนี้ก็ถึงกับพลิกจากแพ้เป็นชนะ
“ฮิๆ…ไม่ใช่ข้าล้ำเลิศ แต่เพราะข้าคุ้นเคยกับสันดานจิ้งจอกดี” ไป๋เฟิงซีฟุบอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มละไม เอียงศีรษะมองฮว่าฉุนหราน ความเคยชินนี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ตามคำกล่าวของนางคือมองดวงหน้าคนงามช่วยบำรุงสายตาได้
และไกลออกไป หลิงเอ๋อร์กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บิดมือ กระทืบเท้า มองไป๋เฟิงซีอย่างเคียดแค้น แน่นอนว่านางจะไม่มีวันยอมรับหรอกว่ากำลังอิจฉาริษยา
“เล่ากันว่ายุทธภพป่าเถื่อนยิ่ง แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วย” ฮว่าฉุนหรานมองคนทั้งสองตรงหน้า ดวงตาเปี่ยมแววชื่นชม “ชาวยุทธ์ทั้งหลายล้วนแต่ชำนาญอักษรโคลงกลอน แจ้งในศิลปะทั้งหก รอบรู้ร้อยสำนัก เชี่ยวชาญศาสตราวุธเช่นท่านทั้งสองหรือไม่ ต่อให้เป็นผู้เกิดในสกุลอ๋องยังเทียบพวกท่านมิได้เลย”
“ฮิๆ…” ไป๋เฟิงซียิ้ม โผนร่างกระโดดขึ้นไปนั่งบนราวกั้นของศาลา ขาที่ห้อยอยู่กวัดซ้ายแกว่งขวา “ข้าก็อยากถามเช่นกันว่ากงจู่ทั้งหลายล้วนแต่ใจกล้า อาจหาญรับชาวยุทธ์ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้าไว้ในตำหนักเช่นท่านหรือไม่”
ฮว่าฉุนหรานเหลียวศีรษะกลับไปมองเฮยเฟิงซี เห็นเขาก็กำลังจ้องนางเช่นกัน คล้ายกับสงสัยเช่นเดียวกับไป๋เฟิงซีอยู่ไม่น้อย
ยามนั้นนางก็แย้มสรวลอย่างงดงาม ปลายนิ้วเกี่ยวผมยาวปอยหนึ่งซึ่งห้อยอยู่ตรงอก เอ่ยเสียงเนิบนาบแผ่วเบา “ฉุนหรานกล้ารั้งทั้งสองท่านไว้เป็นแขกในตำหนักเพราะเชื่อมั่นว่าตาคู่นี้มองคนไม่พลาด” นางชะงักเล็กน้อย สายตาทอดไปยังกลางทะเลบุปผานอกศาลา แววตาเลื่อนลอยราวกับมองเห็นอนาคตอันไกลห่าง “บุคคลที่อัศจรรย์เช่นท่านทั้งสอง สำหรับฉุนหรานที่ตราบชั่วชีวิตต้องอยู่แต่ตำหนักลึกวังกว้าง นี่เป็นการพานพบอันวิเศษ บางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด คู่ควรให้หวนรำลึกถึงที่สุดในชีวิตก็เป็นได้ ฉะนั้นเมื่อได้พบแล้ว ข้าจะต้องถนอมรักษา”
เฮยเฟิงซีก้มหน้ามองกระดานหมาก คีบหมากขาวขึ้นมาตัวหนึ่ง ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยว่า “ได้มาจะถนอม ไม่ได้มาข้าจะไขว่คว้า”
“ใช่” ฮว่าฉุนหรานแย้มสรวลพยักหน้า มองเฮยเฟิงซี ประกายตาดั่งวารี
“คนงามแซ่ฮว่า ท่านว่าชีวิตนี้ท่านต้องติดอยู่ในตำหนักลึกวังกว้าง เช่นนั้นเคยคิดออกไปข้างนอกดูบ้างหรือไม่” ไป๋เฟิงซียิ้มชั่วร้าย คล้ายกับจิ้งจอกหมายล่อลวงกระต่ายน้อยสีขาว “หากก้าวพ้นตำหนักลึกแห่งนี้ ท่านจะพบว่าไม่ว่าต้นไม้ใบหญ้าหรือท่วงทำนองนับร้อยของชีวิตมนุษย์ล้วนแต่มีสีสันกว่าในวังมากมายนัก”
“ไม่” ผู้ใดจะรู้ว่าฮว่าฉุนหรานกลับส่ายหน้า รอยยิ้มบนดวงพักตร์ไม่ลบเลือน นางหยัดกายขึ้นเดินไปถึงรั้วกั้น ประคองโบตั๋นดอกหนึ่งที่ยื่นช่อมาถึงรั้ว “ข้าก็เป็นเหมือนดอกไม้นี้ เหมาะจะเติบโตกลางอุทยานงามวิจิตร” ว่าแล้วนางก็ปล่อยโบตั๋น มองทางไป๋เฟิงซี ดวงตาสุกใสดุจกระจก “ข้าจะออกไปข้างนอกเพื่ออันใดเล่า เพียงเพื่อไปดูต้นไม้ใบหญ้าและผู้คนแบบต่างๆ กระนั้นหรือ บางทีเริ่มแรกอาจรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าโลกนี้ขอแค่เป็นสถานที่ซึ่งมีมนุษย์ ไหนเลยจะแตกต่างกันไปได้”
ครั้นเห็นใบหน้าไป๋เฟิงซีมีแววประหลาดใจ นางก็เพียงแย้มยิ้มกล่าวต่อว่า “ข้าทั้งไม่รู้วิธีทอผ้าและไม่รู้งานหว่านไถ ยิ่งไม่คุ้นกับชาหยาบอาหารเรียบง่าย จะปรับตัวเข้ากับชีวิตชาวบ้านสามัญได้อย่างไร ข้าเป็นแต่เรื่องสัพเพเหระทั้งหลาย ข้าชมชอบอาภรณ์งามหรู ชมชอบอาหารอันประณีต ชมชอบระบำรำฟ้อนและดนตรี ข้ายังต้องมีข้ารับใช้กลุ่มใหญ่คอยปรนนิบัติโดยเฉพาะ…แต่เล็กจนโต สิ่งที่ข้าเรียนรู้ก็คือจะเอาตัวรอดอย่างไรในวังลึก”
คิ้วเรียวยาวของไป๋เฟิงซีเลิกขึ้น จากนั้นก็ปรบมือยิ้มชื่นชม “ยอดเยี่ยม! เดิมข้าหลงนึกว่าท่านจะเป็นอย่างคุณหนูในห้องหอบางนางที่เอ่ยอย่างห้าวหาญว่า ‘สละทิ้งยศถาดั่งธุลี แลกเสรีไร้กรอบจนหงอกเฒ่า’ คนงามแซ่ฮว่าแม้จะอยู่ในวังลึก แต่กลับมีปัญญาและสายตาเฉียบคม ประจักษ์ในคน แจ่มแจ้งในตน”
เฮยเฟิงซีทางหนึ่งแยกหมากขาวและหมากดำเก็บลงกล่อง ทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “ดูคล้ายท่านปรับหาคีรี แท้จริงคือคีรีปรับหาท่าน”
ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำ ดวงตาก็ฉายแววผิดปกติ มองเฮยเฟิงซีคล้ายสะท้อนใจคล้ายยินดี
ส่วนไป๋เฟิงซีกลับไม่กล่าววาจาใดอีก เพียงแต่นั่งอยู่บนราวกั้น มือข้างหนึ่งเท้าคางมองคนทั้งคู่ แววตาลึกล้ำทว่าสีหน้าเรียบเฉย
ดังนั้นในศาลาอั้นเซียงจึงเงียบสงัด
“กงจู่ ฝ่าบาทให้หาเพคะ” ทันใดนั้นหลิงเอ๋อร์ก็เข้ามารายงาน
“อ้อ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ ทั้งสองท่านตามสบาย”
“เชิญกงจู่เถิด” ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีล้วนแต่ยิ้มส่งด้วยสายตา
เมื่อกลับถึงตำหนัก ฮว่าฉุนหรานก็เปลี่ยนมาแต่งกายอย่างเฉิดฉาย ทางหนึ่งก็ถามหลิงเอ๋อร์ที่เฝ้าปรนนิบัติว่า “รู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อหาข้ามีเรื่องอันใด”
“หม่อมฉันสอบถามจากผู้ที่มาส่งข่าวแล้ว เหมือนจะเกี่ยวกับอาคันตุกะสองท่านที่กงจู่รั้งไว้โดยพลการเพคะ” หลิงเอ๋อร์ตอบคำ
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าห้ามให้เรื่องที่พวกเขาอยู่ที่นี่แพร่งพรายออกไป เหตุใดเรื่องนี้จึงล่วงไปถึงพระกรรณได้” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นแววตาก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา กราดสายตาไปยังหลิงเอ๋อร์
หลิงเอ๋อร์หัวใจกระตุกวาบ ตะลีตะลานหมอบลงเอ่ยว่า “กงจู่ หม่อมฉันเตือนนางกำนัลและองครักษ์ทั้งหมดในตำหนักลั่วหวาตามที่ทรงสั่งแล้วจริงๆ นะเพคะว่าห้ามมิให้แพร่งพรายเรื่องที่เฟิงกงจื่อและแม่นางเฟิงอยู่ในวังออกไป หม่อมฉันเองก็หาได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้แก่ผู้ใด ขอกงจู่ทรงตรวจสอบให้กระจ่าง!”
ฮว่าฉุนหรานมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นถึงโบกมือ “ลุกขึ้นเถอะ ข้าก็มิได้โทษเจ้าเสียหน่อย ลนลานอันใดกัน”
“ขอบพระทัยเพคะ” หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้น มองนางอย่างหวาดหวั่นเล็กน้อย จากนั้นถึงกล่าวเสียงค่อยว่า “กงจู่ หม่อมฉันขอบังอาจคาดเดาว่าไม่แน่เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับซูฮูหยิน แห่งตำหนักหลิงปัว (คลื่นไหว) หลายวันนี้กงจู่ล้วนแต่อยู่ในตำหนักเพื่อรับรองอาคันตุกะทั้งสองท่าน เมื่อวานซืนบ่าวเห็นคนตำหนักหลิงปัวเดินเตร่อยู่นอกตำหนัก ยังถามเอากับหม่อมฉันว่าเหตุใดหลายวันนี้จึงไม่เห็นกงจู่ออกนอกตำหนัก หม่อมฉันจึงได้แต่บ่ายเบี่ยงไปว่าวันสองวันนี้ติดขัดด้วยเรื่องสุขภาพพระวรกายของพระองค์ กำลังพักฟื้นอยู่”
“อ้อ?” ฮว่าฉุนหรานชายตามองหลิงเอ๋อร์ ล่วงไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ไปเถิด อย่าให้เสด็จพ่อรอนาน”
นางสะบัดอาภรณ์เดินนำหน้าไป ด้านหลังตามมาด้วยหลิงเอ๋อร์ เหล่าข้ารับใช้ และองครักษ์
ในศาลาอั้นเซียง ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซีด้วยรอยยิ้มชื่นบาน ส่วนเฮยเฟิงซีเอาแต่ถือตัวหมากสีขาวเล่นอยู่ในมือ หลุบตาลงน้อยๆ ท่าทางแช่มชื่นพึงใจ
“เจ้าว่าคนงามแซ่ฮว่าผู้นี้เป็นอย่างไร” ไป๋เฟิงซีถาม
“ดีมาก” เขาตอบคำอย่างไม่ใส่ใจ
“เท่านี้เองหรือ” ไป๋เฟิงซีโผนร่างขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา
“หากเจ้าถามข้าว่าเรื่องสังหารล้างบ้านสกุลหานมีนางเป็นผู้บงการหรือไม่ เช่นนั้นข้าก็บอกเจ้าได้ว่ามิใช่” เฮยเฟิงซียังคงจับตัวหมากในมือเล่น ศีรษะไม่เงยขึ้นสักครา “อาจมีกำลังทำได้ ทว่าไม่มีจิตใจที่จะทำ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็รู้” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า สายตาจ้องเขาเขม็ง “ข้าจะถามว่าเจ้ากำลังวางแผนอันใดอยู่”
ในที่สุดเฮยเฟิงซีก็เงยหน้าขึ้นมองนาง แย้มยิ้มพร้อมเอ่ย “สตรี ว่าไปแล้วสิบปีมานี้เจ้าติดค้างน้ำใจข้ามากมายนัก”
“อะไรกัน เจ้าคิดจะให้ข้าทำงานให้เจ้าเพื่อชดใช้น้ำใจ?” ดวงตาไป๋เฟิงซีหรี่ลงน้อยๆ รอยยิ้มบนดวงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่มีทาง! ตั้งแต่แปดร้อยปีก่อนข้าก็บอกเจ้าแล้ว หากคิดจะได้สิ่งตอบแทนใดๆ จากข้านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าล้มเลิกความคิดเสียโดยไว ใต้หล้านี้เจ้าจะวางแผนเล่นงานผู้ใดก็ได้ตามแต่ใจ แต่อย่ามาวางแผนเล่นงานข้า”
“คิดให้เจ้าตอบแทนข้า? ข้าไม่เคยมีความคิดนี้เลย” เฮยเฟิงซีส่ายหน้า เก็บตัวหมากทั้งหมดในฝ่ามือคืนเข้ากล่อง “ข้าหวังเพียงให้เจ้าวางตัวออกจากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงโยวโจว เจ้าก็ห้ามมาทำลายแผนการของข้า นี่หาใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเจ้า”
“อันใดกัน คิดจะให้ข้าชมละครอย่างเดียว ห้ามก้าวขาเข้าไปยุ่ง?” ไป๋เฟิงซีฟุบอยู่กับโต๊ะ เงยหน้ามองเขา
ปลายนิ้วเฮยเฟิงซีเคาะผิวโต๊ะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เมื่อข้าไปหอลั่วรื่อก็ได้กินอาหารหลายชนิดที่ไม่เลวเลย…”
“เจ้าจะทำให้ข้ากิน?” ทันทีที่ได้ฟังไป๋เฟิงซีก็คว้ามือเขาไว้ มองด้วยดวงตาเป็นประกาย เหลือแค่มุมปากที่ยังมิได้มีน้ำลายไหลย้อย ด้านหลังมิได้กระดิกหางเท่านั้น
“หากบางครั้งบางคราเจ้ายอมช่วยข้าเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็อาจจะพิจารณาดู” ท่วงท่าเฮยเฟิงซีผ่อนคลายงามสง่า
“เจ้ามันจิ้งจอก ข้ารู้จักเจ้ามาสิบปี แต่เจ้ากลับทำอาหารให้ข้ากินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!” ไป๋เฟิงซีกล่าวโทษเขา มือเพิ่มแรงขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
“ทว่าครั้งนั้นกลับทำให้ใครบางคนน้ำลายหกมาจนวันนี้” เฮยเฟิงซียกมือซ้ายขึ้น ปลายนิ้ววาดผ่านข้อมือนาง ช่วยชีวิตมือขวาที่จวนเจียนจะถูกบีบหักออกมา
“ใช่แล้ว” ไป๋เฟิงซีแม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่กลับมิอาจไม่ยอมรับ “ของที่จิ้งจอกหัวจิตหัวใจดำมืดอย่างเจ้าทำออกมากลับเป็นของที่เลิศรสที่สุดที่ข้าเคยกิน”
“เช่นนั้นเจ้ารับปากหรือไม่เล่า” เฮยเฟิงซีถามอย่างไม่รีบร้อน
ไป๋เฟิงซีไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มหวาน สายตาจ้องเขาด้วยแววคมปลาบประหนึ่งคมหนาม ล่วงไปครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะแต่งกับคนงามแซ่ฮว่า เป็นเขยอ๋องแห่งโยวโจว?”
“เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีถามด้วยรอยยิ้มละมุน ดวงตาจับจ้องนางดุจเดียวกัน
“ฮ้าว…ง่วงยิ่งนัก” ไป๋เฟิงซีหาวหวอด ยืดแขนทั้งสองฟุบลงนอนบนโต๊ะ
ชั่วขณะนั้นในศาลามีเพียงความเงียบงัน เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่คล้ายกับหลับไปแล้ว ผ่านไปเป็นนาน เขาก็โน้มศีรษะลงกระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “แต่งกับกงจู่แห่งโยวโจว เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร”
ในศาลาเงียบงัน ไร้ซึ่งคำตอบ
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ” ในห้องอักษรทิศใต้ของตำหนักจินเสิง ฮว่าฉุนหรานคารวะอย่างชดช้อย
“ฉุนหรานรีบลุกขึ้นเถิด” โยวอ๋องลุกมาประคองบุตรสาวสุดรักด้วยตัวเอง
โยวอ๋องผู้มีอายุห้าสิบต้นๆ บำรุงรักษาร่างกายอย่างดีเยี่ยม ดูผาดๆ เหมือนสี่สิบสี่สี่สิบห้าเท่านั้น ร่างกายกลางๆ ไม่พ่วงพีไม่ซูบผอม ยามนี้เขาสืบตำแหน่งอ๋องได้สิบเอ็ดปีแล้ว ในใบหน้าสั่งสมบารมีแห่งผู้ครองแคว้น
“ไม่ทราบเสด็จพ่อทรงหาลูกมีเรื่องอันใดหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานลุกขึ้นถาม
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ไม่เห็นเจ้ามาหลายวัน จึงอยากเห็นหน้าลูกสาวที่รักของพ่อเสียหน่อยเท่านั้น” โยวอ๋องมองบุตรสาวอย่างเปี่ยมไปด้วยเมตตา “พอดีกับเร็วๆ นี้อาณาจักรซานโหยวส่งทูตมา มอบบรรณาการเป็นแพรไหมหมอกอรุณชั้นเลิศ ประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกที่ถูกใจสักหลายพับไว้ตัดเป็นเสื้อผ้าเถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานคล้องแขนโยวอ๋อง ท่าทางเหมือนบุตรีไร้เดียงสาผู้ออดอ้อน “ลูกก็อยากมาถวายการรับใช้เสด็จพ่อทุกวัน แต่เสียดายที่เสด็จพ่อทรงมีงานมากมาย ปกติยากจะมีเวลามาพบลูกๆ อย่างพวกเรา”
“นี่ยังมิใช่เพราะพี่ชายทั้งหลายของเจ้าไร้สามารถ มิอาจแบ่งเบาภาระของพ่อ ต้องให้พ่อจัดการเองทุกเรื่องไปหรอกหรือ” โยวอ๋องมองบุตรสาวอย่างรักใคร่ เขามีบุตรชายและหญิงทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน แต่คนที่รักที่สุดก็คือบุตรสาวคนที่หกผู้นี้ “หากฉุนหรานเป็นบุรุษก็คงดี”
ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำก็แย้มสรวล กล่าวว่า “เสด็จพ่อ หาใช่พี่ๆ ไร้สามารถ เพียงแค่ว่าหากเทียบกับเสด็จพ่อแล้วก็ย่อมเทียบกันไม่ติด ด้วยเหตุนี้เสด็จพ่อจึงรู้สึกว่าเหล่าพี่ชายมิอาจรับการใหญ่ได้ ทว่าพ่อพยัคฆ์ไร้ลูกสุนัข เพียงให้เวลาอีกสักหน่อย พวกพี่ชายต้องเรียนรู้จนได้ความรู้ความปรีชาของเสด็จพ่อ กลายเป็นยอดบุรุษผู้สามารถเช่นเดียวกับเสด็จพ่อได้แน่นอนเพค่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ…ยังเป็นฉุนหรานของข้าที่วาจาน่าฟัง” ไม่กี่ประโยคก็กล่อมจนโยวอ๋องแย้มสรวลอย่างสำราญ
“เสด็จพ่อ” หลังจากฮว่าฉุนหรานประคองบิดาให้นั่งลงแล้ว มือนุ่มเนียนก็ทุบไหล่ให้ด้วยแรงเหมาะเจาะ จนโยวอ๋องสบายไปทั้งกาย “เรื่องหยุมหยิมในราชสำนักทรงมอบให้พวกขุนนางไปจัดการก็พอ เหตุใดต้องทรงจัดการด้วยพระองค์เองทุกเรื่องเล่า หากเสด็จพ่อทรงตรากตรำเกินกำลัง ลูกก็จะปวดใจนะเพคะ”
“ได้ๆๆ!” โยวอ๋องสำราญฤทัยนัก ยื่นมือตบมือธิดารักเบาๆ “ให้ยุ่งแค่ไหนพ่อก็จะหาเวลามาอยู่กับลูกสาวของพ่อ”
“เสด็จพ่อ เสวยชาเพคะ” ฮว่าฉุนหรานประคองชาบนโต๊ะถวายให้โยวอ๋อง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เสด็จพ่อ ยามปกติฉุนหรานเคยได้ยินพวกพี่ชายพูดว่าใต้เท้าเฉียนฉี่ ใต้เท้าหวังชิ่ง และใต้เท้าเซี่ยงหย่า ล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ภักดีและมีความสามารถ บางคราลูกจึงคิดว่าในเมื่อใต้เท้าหลายท่านนี้สามารถยิ่งนัก เสด็จพ่อก็ทรงควรมอบภาระสำคัญให้ เช่นนี้จะได้แสดงว่าเสด็จพ่อทอดพระเนตรเห็นความสำคัญของผู้มีปัญญา อีกทั้งจะได้ทรงมีเวลาอยู่กับพระสนมทั้งหลายในวังให้มากขึ้น” พอเอ่ยถึงตรงนี้นางก็พลันถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
โยวอ๋องได้ยินถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงนิ่งงัน พอหันไปก็เห็นคิ้วเรียวดั่งหลิวของบุตรสาวขมวดมุ่น แฝงความกลัดกลุ้ม ทันใดนั้นหัวใจก็ดั่งถูกใครบีบเค้น เขาถามอย่างเปี่ยมด้วยความห่วงใยว่า “ฉุนหราน เป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไรเพคะ” ฮว่าฉุนหรานฝืนแย้มยิ้ม “แค่ว่าแต่ยังเล็กลูกก็ไม่มีมารดา ดังนั้นจึงมองพระสนมทั้งหลายในวังเป็นดั่งมารดา ไปเยี่ยมคารวะพวกนางอยู่เนืองๆ ทว่าเหล่าพระสนมล้วนแต่เฝ้าคิดถึงเสด็จพ่อ ลูกไปหาก็กลับเป็นว่า…” นางกล่าวถึงตรงนี้หางเสียงก็หายไป ก้มหน้าลงอย่างสะทกสะท้อน ดูน่าเวทนาเหลือกำลัง
ดังคาด โยวอ๋องฟังถึงตรงนี้ก็รีบถามต่อว่า “ฉุนหราน ผู้ใดทำให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจ”
“ลูกไหนเลยจะน้อยเนื้อต่ำใจได้” ฮว่าฉุนหรานเบือนหน้า “เสด็จพ่อเอ็นดูลูกถึงเพียงนี้ เหล่าพี่ชายและพี่สาวรักใคร่ปรองดองเป็นที่สุด ในวังนี้หาเคยมีผู้ใดตีสีหน้าหรือเอ่ยคำกระทบกระเทียบฉุนหรานไม่”
“ตีสีหน้า? เอ่ยคำกระทบกระเทียบ?” สีหน้าโยวอ๋องเคร่งขรึม ขนคิ้วตั้งชูชัน “ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้ กล้ารังแกฉุนหรานของข้า!”
“เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หาได้มีผู้ใดทำเช่นนั้นไม่” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยอย่างลนลาน ดวงหน้าเบือนไปอีกทาง กระแสเสียงเบาบางราวกับอดสูอย่างเหลือแสน
โยวอ๋องเชยดวงหน้าบุตรสาวกลับมา เห็นบนแก้มดุจหยกมีคราบน้ำตาเป็นสาย ทันใดนั้นหัวใจก็ปวดร้าวเกินต้านทาน “ฉุนหราน ใจพ่อรู้ดี เจ้าก็ไม่ต้องปิดบังให้พวกเขา ต้องเป็นเพราะพ่อรักเจ้ามากกว่าจึงมีคนตาร้อนริษยา!”
“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานโผเข้าสู่อ้อมแขนโยวอ๋อง ร่ำไห้เสียงสะอื้น “ไม่มีผู้ใดรังแกลูกหรอกเพคะ เสด็จพ่อทรงมีงานมากมาย ลูกไม่อยากทำให้เสด็จพ่อทรงกังวล ลูกก็แค่ไม่มีมารดา ในใจไร้ที่พึ่งจึงรู้สึกอ้างว้างอยู่บ่อยๆ เท่านั้นเอง”
“ลูกหญิงคนดีของพ่อ อย่าได้ร้องเลย” โยวอ๋องแปลงเป็นบิดาผู้การุณย์ ครานี้เพื่อปลอบประโลมธิดาสุดรักให้เบิกบานก็แทบอยากจะนำเพชรนิลจินดาทั้งแผ่นดินมาประเคนให้ “เจ้ายังมีพ่ออยู่อย่างไรเล่า พ่อก็คือที่พึ่งพิงของเจ้า จะไม่ยอมให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้แน่นอน”
“ลูกเข้าใจดีเพคะ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าอยู่ในอ้อมแขนโยวอ๋อง จากนั้นก็ปล่อยมือ ดวงหน้าประหนึ่งผกาชโลมด้วยฝน ผู้ใดเห็นเป็นต้องเวทนา มิพักต้องเอ่ยถึงโยวอ๋องที่รักนางปานดวงใจ
“ลูกหญิง ไม่ร้องนะ” โยวอ๋องตระกองบุตรีนั่งลงด้วยกัน อีกทางก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้ “ในจำนวนลูกหญิงมากมาย พ่อรักฉุนหรานที่สุด ขอเพียงเห็นหน้าเจ้า เรื่องกลัดกลุ้มทั้งหมดในใจก็สลายไป แต่เมื่อเจ้าร้องไห้เช่นนี้ ใจของพ่อก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง เจ็บปวดแทบขาดใจ”
ได้ยินดังนั้นฮว่าฉุนหรานก็เปลี่ยนน้ำตาเป็นรอยยิ้ม เอ่ยเสียงฉอเลาะว่า “เสด็จพ่อทรงล้อเลียนลูกนี่เพคะ เดิมทีลูกมีเรื่องดีจะกราบทูลให้ทรงฟัง แต่ตอนนี้ลูกไม่เล่าแล้ว”
“เอาล่ะๆ พ่อไม่พูดแล้ว ให้ฉุนหรานของพ่อเล่าดีกว่า” โยวอ๋องลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่ “ฉุนหรานมีเรื่องดีอันใดจะเล่าหรือ”
ฮว่าฉุนหรานทำสีหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ไม่ทราบว่าทรงเคยได้ยินนามไป๋เฟิงเฮยซีหรือไม่เพคะ”
“ไป๋เฟิงเฮยซี?” โยวอ๋องประกายตาไหววูบ มองบุตรสาวสุดรัก “พ่อเคยได้ยินว่าสองคนนี้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ แต่ไฉนจู่ๆ ฉุนหรานถึงยกขึ้นมาเอ่ยเล่า”
ฮว่าฉุนหรานกล่าวด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ลูกกำลังจะบอกเสด็จพ่อว่าบัดนี้ไป๋เฟิงเฮยซีเป็นอาคันตุกะอยู่ในตำหนักของลูกเพคะ!”
โยวอ๋องได้ยินดังนั้นคิ้วก็ขมวดโดยพลัน ความจริงเขารู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เดิมก็ประสงค์จะเอ่ยเรื่องนี้กับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าบุตรีจะแจ้งแก่เขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขามองบุตรสาวแล้วว่า “ฉุนหราน เจ้าเป็นกงจู่สูงศักดิ์ ไหนเลยจะคบหากับชาวยุทธ์หยาบกร้านเหล่านี้ได้ ยิ่งกว่านั้นเฮยเฟิงซีก็เป็นบุรุษ หากให้รั้งอยู่ในตำหนักเจ้าแล้วเรื่องรั่วออกไปจะมิเป็นการทำลายชื่อเสียงของเจ้าหรอกหรือ”
“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานเขย่าแขนโยวอ๋องอย่างไม่ยอมตาม “ไป๋เฟิงเฮยซีหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษอยู่ในตำหนักลูกทั้งคู่นะเพคะ ลูกนับถือในความสามารถเด่นล้ำของพวกเขา จึงรับรองพวกเขาเป็นอาคันตุกะ ในตำหนักมีนางกำนัลและองครักษ์นับร้อย ลูกเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่กลัวคนถ่อยใส่ความ อีกทั้งเสด็จพ่อก็เคยตรัสว่าในหมู่ชาวยุทธ์หยาบกร้านก็ยังมียอดคนมหาบุรุษเช่นกัน หลายวันที่รู้จักคบหากันมา ลูกรู้สึกว่าไป๋เฟิงเฮยซีเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากโดยแท้ หากเสด็จพ่อทรงมีพวกเขาช่วยเหลือจะต้องสามารถสำแดงปณิธานเกรียงไกรได้เป็นแน่ โยวโจวของเราวันหน้าก็ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของจี้โจวและยงโจวอีก!”
“อ้อ?” ดวงตาโยวอ๋องฉายแววประหลาดใจ “หากกล่าวเช่นนี้ ฉุนหรานหมายจะชักนำให้คนทั้งสองมาเป็นกำลังให้พ่อ?”
“เพคะ” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้า อีกทางก็รินชาให้โยวอ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ลำพังแค่ความสามารถที่ทั้งสองเข้ามาในวังได้ตามใจโดยไม่เป็นที่ล่วงรู้แก่องครักษ์ ลูกก็คิดว่าเสด็จพ่อทรงสามารถใช้พวกเขาได้แล้วเพคะ อีกทั้งความสามารถของทั้งสองหามีเพียงเท่านี้ไม่ ดังนั้นลูกจึงเค้นสมองหาทางผูกมิตรกับพวกเขา หมายจะรั้งพวกเขาไว้ในโยวโจวเพื่อเป็นกำลังให้เสด็จพ่อ ไม่แน่ว่า…” พอเอ่ยถึงตรงนี้น้ำเสียงของนางก็แผ่วเบา ทว่าสีหน้ากลับจริงจังเป็นที่สุด “เสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าสองคนนี้อาจช่วยให้เสด็จพ่อได้ครองใต้หล้า!”
ถ้วยชาในมือโยวอ๋องสะท้านคราหนึ่ง เขาเหลือบตาขึ้นมองฮว่าฉุนหราน สายตาฉายประกายคมกริบ ครู่ต่อมาก็วางถ้วยชา กล่าวด้วยแววสะท้อนใจว่า “ฉุนหราน แต่เยาว์วัยเจ้าก็เฉลียวฉลาด ความในใจของพ่อก็มีแต่เจ้าที่พอมองออกได้หลายส่วน กลับเป็นบรรดาพี่ชายของเจ้าที่…เฮ้อ!”
“เหล่าพี่ชายยังเยาว์วัย มิอาจแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อก็เป็นที่อภัยให้ได้” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เสด็จพ่อจะทรงเรียกให้ทั้งสองเข้าเฝ้าหรือไม่เพคะ”
“อืม…” โยวอ๋องใคร่ครวญพักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ยังไม่พบ ชาวยุทธ์พวกนี้อัชฌาสัยยากคาดเดา ซ้ำหากนึกดูอีกที เขาทั้งสองอยู่ในตำหนักเจ้ามาห้าวันแล้ว เจ้าสูงศักดิ์เป็นถึงกงจู่ ไหนเลยจะพำนักร่วมกับไพร่สามัญเช่นนั้นได้ ให้พวกเขาย้ายไปพักนอกวังเถิด”
“หืม?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ถอนใจเบาๆ กล่าวอย่างเสียใจอยู่พอควรว่า “ที่แท้เสด็จพ่อก็ทรงรู้อยู่แล้วว่าสองคนนี้อยู่ในตำหนักลูก ทรงส่งคนไปคอยจับตาดูลูกหรือเพคะ เสด็จพ่อไม่ไว้ใจลูกอย่างนั้นหรือเพคะ”
โยวอ๋องย่อมรู้ว่าตนเผลอหลุดปาก จึงรีบปลอบบุตรสาวแสนรักว่า “ฉุนหราน พ่อหาได้ส่งคนไปจับตาดูเจ้าไม่ เพียงแค่ซูฮูหยินเป็นห่วงเจ้าจึงได้มาบอกให้พ่อรู้”
“ที่แท้…” ฮว่าฉุนหรานกล่าวมิทันจบขอบตาก็แดง น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย นางรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่คิดให้บิดาเห็น
“ฉุนหราน ลูกหญิงคนดี อย่าร้องเลย” ทันทีที่โยวอ๋องเห็นบุตรสาวหลั่งน้ำตาก็รีบโอบไว้แล้วลูบปลอบอย่างเบามือ “ฉุนหราน เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไป พ่อหรือจะไม่ไว้ใจเจ้า พ่อเป็นห่วงเจ้าต่างหาก”
ฮว่าฉุนหรานกลับเบี่ยงร่างหันหลังให้โยวอ๋อง หัวไหล่สะท้านน้อยๆ ด้วยแรงสะอื้น พร้อมกันนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับขอบตา “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้เสียใจ ทรงอย่า…อย่าได้เป็นห่วง”
“ฉุนหราน” โยวอ๋องหมุนร่างบุตรสาวให้หันมา กลับพบว่าดวงหน้าของนางนองไปด้วยคราบน้ำตา เขาอดกลัดกลุ้มมิได้ “ฉุนหราน อย่าร้องซี หากเจ้าร้องอีก หัวใจของพ่อก็จะถูกเจ้ากระทำจนแหลกสลายหมดแล้ว”
“เสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานโผเข้าสู่อ้อมแขนโยวอ๋องอีกครา ร่ำไห้สะอึกสะอื้น อีกทางก็ระบายปนสะอื้นเบาๆ ว่า “แต่เล็กลูกก็เสียมารดา มีเพียงอาศัยความรักเอ็นดูจากเสด็จพ่อ สิบกว่าปีในวังแม้จะบอกว่ารอบกายล้วนแต่เป็นญาติกัน ทว่าแต่ละคนล้วนเห็นลูกเป็นตะปูในดวงตา คิดแต่จะกำจัดให้สาใจ เสด็จพ่อ ลูกอยู่อย่างลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ไม่รู้ว่าวันใดจะทำชีวิตหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว เสด็จพ่อทรงขับลูกให้พ้นวังไปเถิด ไม่แน่ว่าเมื่อลูกอยู่อย่างสามัญชนอาจจะอยู่อย่างสุขสงบได้สักหลายวัน”
“ไม่ร้องนะลูกหญิงคนดีของข้า เลิกร้องได้แล้ว” หัวใจของโยวอ๋องถูกน้ำตาฮว่าฉุนหรานชโลมจนอ่อนยวบปวดร้าว เขาทั้งกอดทั้งโอบ ทั้งลูบทั้งตบ ปลอบประโลมสารพัด หวังเพียงให้บุตรีผู้เป็นแก้วตาดวงใจหยุดหลั่งหยาดน้ำตาอันสลายจิตใจผู้คนนั่น “ฉุนหราน อย่าร้อง วันหน้าไม่ว่าผู้ใดขอเพียงกล่าวถึงฉุนหรานในทางมิชอบ ข้าจะบั่นคอโดยไม่ต้องพูดจาปราศรัยอันใดอีก!”
ฮว่าฉุนหรานแหงนหน้าขึ้นจากอ้อมแขนโยวอ๋อง ยังคงหลั่งน้ำตาดั่งสายฝน ประหนึ่งบุปผาไหวระริกกลางสายลมเย็นเยียบ ชวนให้เวทนานัก “ครั้งนั้นเสด็จพ่อมอบตำหนักลั่วหวาที่ซูฮูหยินต้องใจให้แก่ลูก ซูฮูหยินไม่ชอบลูก ประสงค์ร้ายต่อลูก เรื่องเหล่านี้ลูกล้วนแต่เข้าใจได้จึงไม่นำพา ทว่า…ทว่าเสด็จพ่อถึงกับเชื่อพวกนาง ไม่เชื่อลูก…นี่…นี่ต่างหากที่ทำให้ลูกเสียใจอย่างแท้จริง! ลูกมีแต่จิตคิดช่วยเสด็จพ่อ แต่…ฮือๆๆ…” กล่าวไปกล่าวมาก็ยกผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้นอีกคำรบ
“ฉุนหราน…ฉุนหราน…” บัดนี้โยวอ๋องอับจนหนทางแล้ว เขามิรู้ต้องทำเช่นไรจึงจะปลอบบุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจในอ้อมอกได้ จึงร้อนรนดั่งอวัยวะภายในทั้งห้า ถูกแผดเผา “ฉุนหราน อย่าร้องไห้อีกเลย วันหน้าพ่อจะไม่เชื่อวาจาเหลวไหลไร้สาระของพวกนางอีกต่อไป พ่อจะฟังฉุนหรานเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”
“จริงหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ดวงตาแดงก่ำ ปลายจมูกก็แดงก่ำ บนแก้มยังมีหยาดน้ำไหลผ่าน นางมองโยวอ๋องอย่างแฝงไว้ด้วยความหวังอันเลือนราง ดูประหนึ่งดอกไห่ถังหลั่งน้ำตา ในความงามเฉิดฉันแฝงความเปราะบางอยู่สามส่วน ความนุ่มละมุนอีกห้าส่วน ทำเอาโยวอ๋องทั้งเอ็นดูสงสารทั้งปวดใจ
“แน่นอนๆ!” โยวอ๋องรับรองไม่ขาดปาก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้นาง แล้วก็พบว่าผ้าชุ่มไปทั้งผืนแล้ว ยามนี้จึงไม่สนใจสิ่งใด ยกแขนเสื้อซับหยาดน้ำที่ยังหลงเหลือบนดวงพักตร์บุตรีคนโปรด ก่อนจะถอนหายใจยาว “เฮ้อ ในบรรดาสตรีทั้งหมด พ่อกลัวน้ำตาเจ้าที่สุด”
“นั่นเพราะเสด็จพ่อทรงรักลูกจากใจจริงอย่างไรเล่าเพคะ” ฮว่าฉุนหรานอิงอยู่ในอ้อมอกบิดาอย่างฉอเลาะ
“ใช่แล้ว” โยวอ๋องกอดบุตรสาวไว้ “ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสิบเจ็ดคนของเจ้า พ่อก็รักเจ้ามากที่สุด”
“ลูกจะไม่มีวันทำให้ความรักของเสด็จพ่อต้องเสียเปล่าเป็นอันขาด จะกตัญญูต่อเสด็จพ่อเป็นอย่างดีเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นเอ่ย ดวงหน้าฉายแววจริงใจอย่างเปี่ยมล้น ส่งผลให้โยวอ๋องทั้งซาบซึ้งทั้งอิ่มเอม
“พ่อรู้” โยวอ๋องพยักหน้า ครั้นเห็นว่าปลอบบุตรีจนนิ่งลงแล้วก็รีบกล่าวถึงเรื่องสำคัญ “ฉุนหราน ที่พ่อเรียกเจ้ามายังมีอีกเรื่องจะปรึกษากับเจ้า”
“เรื่องคัดเลือกสามีให้ลูกหรือเจ้าคะ” ฮว่าฉุนหรานถาม สิ้นคำก็ซุกหน้าเข้าสู่อ้อมอกโยวอ๋อง
“ฮ่าๆๆ…ฉุนหรานของข้าเขินอายเสียด้วย!” โยวอ๋องเห็นดังนั้นก็แย้มสรวลดังลั่น เชิดศีรษะของบุตรสาวขึ้นพิศมองดวงหน้านั้นอย่างถี่ถ้วน ยิ่งพิศก็ยิ่งพอใจ ยิ่งพอใจก็ยิ่งทระนง “ฉุนหรานของข้ามีรูปโฉมงามล่มเมือง โยวโจวเรามิรู้มีบุรุษเท่าใดใฝ่ฝันอยากได้เป็นคู่ครอง เพียงแต่พ่อตัดใจไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ยอมจับเจ้าตบแต่งออกไป แต่บัดนี้ฉุนหรานสิบเก้าแล้ว พ่อหวงเจ้าเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นจะเป็นการหน่วงเหนี่ยวฤดูใบไม้ผลิของเจ้าให้เสียไป”
“ลูกไม่แต่ง ลูกจะปรนนิบัติเสด็จพ่อไปชั่วชีวิต!” ฮว่าฉุนหรานซบหน้าลงบนไหล่โยวอ๋องอย่างขวยเขินพร้อมกับเอ่ยคำหวานอันบุตรีที่ยังมิออกเรือนของทุกบ้านล้วนแต่ยกมาประจบบิดามารดา
โยวอ๋องได้ยินดังนั้นก็แย้มสรวลอย่างแสนสำราญดุจดั่งได้ลิ้มชิมน้ำผึ้ง “ฮ่าๆๆ ผู้หญิงนั้นสุดท้ายก็ต้องออกเรือนมีบุตร แม้พ่อจะตัดใจไม่ได้ กลับมิอาจไม่ตัดใจ” เอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาดึงให้บุตรสาวนั่งตัวตรง “ฉุนหราน เรื่องที่พ่อจะคัดเลือกคู่ให้เจ้านั้นประกาศออกไปแล้ว บุรุษผู้หลงใหลใฝ่ฝันในตัวฉุนหรานจะแห่แหนกันมามากมาย มีทั้งบุตรแห่งผู้มีบรรดาศักดิ์ มีทั้งผู้กล้าในยุทธภพ เรียกได้ว่ารวบรวมยอดคนจากทั่วหล้า อีกสามวันให้หลังจะเป็นวันเลือกคู่ของเจ้า ฉุนหราน บอกพ่อได้หรือไม่ เจ้าคิดจะเลือกสามีเช่นไร”
ฉุนหรานได้ยินคำก็ปิดปากยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิใช่ฉุนหรานคิดเลือกสามีเช่นไร แต่เป็นเสด็จพ่อทรงคิดอยากได้ลูกเขยเช่นไรมากกว่า”
“ฮ่าๆๆ…” โยวอ๋องหัวเราะลั่น “ฉุนหรานของข้าฉลาดที่สุดไม่ผิดเลย”
“เช่นนั้นเสด็จพ่อคิดอยากได้ลูกเขยเช่นไรเล่าเพคะ” ฮว่าฉุนหรานมองโยวอ๋อง แย้มยิ้มอย่างหลักแหลมและเจ้าเล่ห์
โยวอ๋องหุบยิ้ม กล่าวอย่างจริงจังว่า “แม้พ่อจะอยากได้ลูกเขยที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นสามีที่ดีของเจ้าด้วย” กับบุตรีสุดที่รักผู้นี้ เขาจะไม่ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด
“ลูกรู้” ฮว่าฉุนหรานก็เก็บรอยยิ้ม ทำหน้าจริงจังเช่นกัน
“ในโลกนี้ผู้ที่คู่ควรกับฉุนหรานมีไม่มากเลยจริงๆ” โยวอ๋องกล่าวพลางพิศมองรูปโฉมอันเลิศหล้าของบุตรีอย่างถนอมรัก “ผู้ที่ชาติกำเนิด ฐานะ สติปัญญา และรูปโฉมคู่ควรกับฉุนหราน พ่อต้องตาอยู่สองคน ท่านแรกคือหลันซีกงจื่อแห่งยงโจว อีกท่านคือหวงเฉากงจื่อแห่งจี้โจว” ขณะเอ่ยก็หยัดกายขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง มือไพล่หลังทอดสายตาไปยังฟ้าเขียวที่ด้านนอก “ทั้งสองท่านนี้มิเพียงเป็นซื่อจื่อผู้วันหน้าจะสืบทอดตำแหน่งอ๋อง แต่ยังเป็นผู้ก่อตั้งกองทัพปีกกาฬและกองทัพชิงฟ้า ล้วนแต่มีความสามารถโดดเด่นอย่างหาได้น้อยนักในใต้หล้า หากพ่อได้หนึ่งในสองคนนี้มาช่วย ไหนเลยต้องกังวลว่าใต้หล้าจะไม่ตกอยู่ในมือ!”
“เสด็จพ่อหมายความว่ากงจื่อทั้งสองมาถึงเมืองหลวงแล้ว และมาเพื่อหาคู่เช่นกัน?” ฮว่าฉุนหรานคาดเดา เมื่อนึกถึงว่าบุคคลเช่นสองท่านนี้ต่างก็มาเพราะมุ่งหมายในตัวนาง ในใจก็อดลอบยินดีและทะนงตนอยู่หลายส่วนมิได้
“ฉุนหรานมิเพียงเป็นกงจู่แห่งโยวโจวเรา แต่ยังเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าด้วย ขอเพียงเป็นบุรุษก็ล้วนแต่ประสงค์จะได้เจ้าเป็นคู่ครองทั้งนั้น พวกเขาสองคนก็ไม่ยกเว้น” โยวอ๋องกล่าวอย่างภาคภูมิ “หวงเฉากงจื่อบัดนี้อยู่ในเมืองหลวง เมื่อเช้าพ่อให้เขาเข้าพบแล้ว ช่างเป็นชายชาตรีผู้ถึงพร้อมด้วยสติปัญญาและรูปโฉมโดยแท้ ส่วนหลันซีกงจื่อนั้นก็เคยส่งสารถึงพ่อ ในสารแสดงความประสงค์จะสู่ขอเช่นกัน ทว่าจนถึงวันนี้ก็ยังเดินทางมาไม่ถึง น่าประหลาดอยู่เหมือนกัน”
“กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเสด็จพ่อทรงต้องพระทัยซื่อจื่อแห่งจี้โจว?” ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นแววตาก็สั่นไหว ถามเสียงนุ่ม
“พ่อย่อมถูกใจแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าฉุนหรานคิดเช่นไร” โยวอ๋องมองบุตรีที่หลบสายตาคล้ายขวยอาย
“เสด็จพ่อทรงต้องพระทัยหวงซื่อจื่อ เรื่องอัชฌาสัยเขาเป็นเช่นไรนั้นวางไว้ข้างๆ ก่อน ที่เสด็จพ่อต้องใจที่สุดคงเป็นกองทัพชิงฟ้ามากกว่ากระมัง” ฮว่าฉุนหรานเงียบงันอยู่นาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองโยวอ๋อง สีหน้าก็เหลือเพียงความสุขุมเยือกเย็น “แต่ฉุนหรานได้ยินมาว่าหวงซื่อจื่อนิสัยแข็งกร้าวและมีปณิธานจะชิงใต้หล้าเช่นกัน จี้โจวมีกำลังเข้มแข็งกว่าโยวโจว หากรับเขาเป็นสามี ลูกเกรงว่าถึงเวลากลับจะทำให้เสด็จพ่อทรงลำบากไปด้วย”
โยวอ๋องได้ยินดังนั้นก็สะท้านในใจ หันไปมองบุตรี
ฮว่าฉุนหรานยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของลูก ไม่แน่ว่าเขาอาจยอมอ่อนน้อมให้แก่พระปรีชาอันโดดเด่นและปณิธานยิ่งใหญ่ของเสด็จพ่อ แล้วถวายความภักดีแก่เสด็จพ่อก็เป็นได้ แค่ว่า…” พอเอ่ยถึงตรงนี้นางก็ชะงักคำไว้
“ฉุนหราน พูดต่อไป” โยวอ๋องมองนางด้วยสายตาใคร่ครวญ
“เสด็จพ่อทรงเคยคิดหรือไม่ว่าหากสามีของลูกหาใช่ผู้มีชาติกำเนิดจากสกุลอ๋องอย่างหลันซีกงจื่อและหวงเฉากงจื่อ แต่เป็นสามัญชนผู้ถึงพร้อมด้วยความสามารถอันล้ำเลิศ เช่นนั้นเขาก็จะทั้งช่วยเหลือเสด็จพ่อ ทั้งจะไม่เกิดจิตละโมบคิดกลืนโยวโจว…” ฮว่าฉุนหรานกล่าวถึงตรงนี้ก็เก็บเสียง เอาแต่ก้มหน้า สายตาอยู่ที่ปลายรองเท้าซึ่งโผล่ออกมาจากใต้กระโปรง
“ฉุนหราน เจ้าต้องใจเฮยเฟิงซีผู้นั้นที่อยู่ในตำหนักใช่หรือไม่” ดวงเนตรโยวอ๋องสาดประกายคมกริบ เขาหาได้เลอะเลือนไม่ “หรือเจ้าคิดรับเขาเป็นสามี?”
เมื่อความในใจถูกมองทะลุ ฮว่าฉุนหรานก็อดหน้าแดงมิได้ นิ้วบิดม้วนผ้าเช็ดหน้าในมือ เงียบงันอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงเห็นเป็นเช่นไรเพคะ”
“ไม่ได้!” โยวอ๋องกลับปฏิเสธเด็ดขาด “เฮยเฟิงซีผู้นั้นเป็นชาวยุทธ์ต่ำต้อย ไหนเลยจะคู่ควรกับลูกหญิงของข้า!”
ฮว่าฉุนหรานได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าโดยพลัน ประกายเกรี้ยวกราดฉายวูบ ทว่าก็สลายหายไปในพริบตา นางผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจะทอดเสียงอ่อนกล่าวว่า “แต่ในราชโองการของเสด็จพ่อแจ้งว่าไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ขอเพียงลูกเลือกมอบพู่กันทองให้ก็จะได้เป็นเขยแห่งโยวอ๋องมิใช่หรือเพคะ”
“เอ่ยก็ต้องเอ่ยเช่นนั้น แต่ด้วยฐานะกงจู่ผู้สูงศักดิ์ หรือเจ้าจะครองคู่กับไพร่สามัญจริงๆ” โยวอ๋องกล่าวเสียงทุ้ม คิ้วเข้มขมวดมุ่น มีแววโกรธกริ้วแฝงอยู่
ฮว่าฉุนหรานเห็นเหตุการณ์ก็พลันหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปหาโยวอ๋อง คล้องแขนเขาอย่างนุ่มนวลแล้วซบศีรษะลงกับไหล่ “เสด็จพ่อทรงเป็นอะไรไป ลูกมิได้บอกเสียหน่อยว่าจะรับเฟิงกงจื่อเป็นสามี เพียงแต่บอกว่าหากลูกเลือกสามัญชนสักคน เสด็จพ่อจะเห็นเช่นไร ในเมื่อเสด็จพ่อไม่โปรด เช่นนั้นไม่เลือกก็ได้เพคะ”
“ฉุนหราน” โยวอ๋องประคองบุตรีให้นั่งลงที่เก้าอี้ “แม้ข้าจะบอกว่าไม่สนยากดีมีจน แต่นั่นก็เป็นเพียงวิธีซื้อใจทวยราษฎร์เท่านั้น ลูกหญิงของข้าไม่ว่าจะเอ่ยถึงสติปัญญาหรือรูปโฉมก็ควรได้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินจึงจะถูก!”
“กล่าวเช่นนี้ลูกก็เลือกได้เพียงผู้ใดผู้หนึ่งระหว่างหลันซีกงจื่อและหวงเฉากงจื่อ?” ฮว่าฉุนหรานก้มหน้าถามเสียงค่อย
“อืม ทั้งสองเป็นตัวเลือกที่ดีเลิศที่สุด” โยวอ๋องพยักหน้า “ทว่าที่ฉุนหรานพูดมาเมื่อครู่ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน บางทีสองคนนั้นอาจช่วยเหลือพ่อได้ แต่ก็อาจคุกคามพ่อได้เช่นกัน!”
“เช่นนั้นเสด็จพ่อยิ่งควรพบไป๋เฟิงเฮยซีสักหน่อย” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าเอ่ย “ลูกจะไม่รับเฟิงกงจื่อเป็นสามี แต่สติปัญญาของเขาจะเป็นแขนอันสามารถให้แก่เสด็จพ่อได้จริงๆ นะเพคะ”
“หืม?” โยวอ๋องเห็นบุตรเทิดทูนคนทั้งสองถึงเพียงนี้ก็นึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาหลายส่วน เขาตริตรองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าพ่อจะเรียกทั้งสองเข้าเฝ้าก็แล้วกัน”
“เสด็จพ่อทรงพบแล้วจะไม่เสียพระทัยเป็นแน่เพคะ” ฮว่าฉุนหรานกล่าวด้วยความปรีดา นางเชื่อมั่นว่าขอเพียงเสด็จพ่อได้พบเฮยเฟิงซี จะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน ดังนั้นขอเพียงได้พบก็จะมีโอกาส!
ณ จวนตงไถ (แท่นบูรพา) เมืองหลวงแห่งโยวโจว
จวนตงไถแห่งนี้คือสถานรับรองอาคันตุกะแห่งโยวโจว ดังนั้นเรือนนี้จึงก่อสร้างอย่างหรูหราโอ่อ่าถึงสิบส่วน เวลานี้เรือนเหลียนกวง (ถนอมภัสสร) เป็นที่พำนักของซื่อจื่อแห่งจี้โจวและคณะผู้ติดตาม
หากผลักหน้าต่างชั้นสองของเรือนเหลียนกวงออก ทอดสายตามองไปก็จะเห็นพลับพลาประดับประดา มวลผการายล้อมถนนสายน้อย ศาลากลางน้ำและทางเดินคดเคี้ยวเลี้ยวลด มีสายลมโชยมาเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้มาด้วย วสันตฤดูมักจะสดชื่นสะคราญตาและเปี่ยมชีวิตชีวาเช่นนี้ โดยเฉพาะวสันตฤดูในโยวโจวซึ่งเลื่องชื่อไปทั่วแผ่นดินเรื่องความมั่งคั่ง ในความงามสะคราญก็ยังมีความวิจิตรตระการตา
“มองอะไรหรือ” หวงเฉาถามอวี้อู๋หยวนผู้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมาครึ่งชั่วยามแล้ว
“ไม่เห็นเสวี่ยคงมาหลายวันแล้ว ได้ยินว่าเจ้าส่งเขาไปเค่อเฉิง?” อวี้อู๋หยวนยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อืม” หวงเฉาซึ่งเอนกายอยู่บนตั่งนุ่มรับคำ เขานอนกลางวันเพิ่งตื่น เส้นผมสยายระบนที่นอน สวมเสื้อคลุมหลวมสีม่วงอ่อนอยู่บนร่าง สีหน้าเยือกเย็น แววระห่ำบนใบหน้าจางลง เปี่ยมเสน่ห์แห่งการปล่อยใจไปตามสบาย
“เค่อเฉิง…เขาจะมาก็ต้องผ่านเค่อเฉิงกระมัง” อวี้อู๋หยวนเอ่ยพร้อมถอนหายใจน้อยๆ
“เหมือนจะใช่” หวงเฉายังคงตอบเสียงเรียบเรื่อย
“เจ้าส่งเสวี่ยคงไปผู้เดียว? ดีชั่วอย่างไรเขาก็คือผู้ได้รับการขนานนามร่วมกับเจ้าและข้า หากประมาทศัตรูเช่นนี้ เกรงว่าจะเสียเปรียบ” อวี้อู๋หยวนยกมือปัดปอยผมที่ถูกลมพัดมาบดบังดวงตา
“วางใจเถิด ข้าส่งจิ่วซวงไปช่วยเขาด้วย”
“คนอื่นๆ เล่า” สายตาอวี้อู๋หยวนทอดไปไกลแสนไกล
“คู่มือของข้ามีเขาผู้เดียว คนอื่นที่เหลือไม่มีอะไรให้ต้องกังวล” หวงเฉาลุกขึ้นนั่ง
“ข้ายินมาว่าบัดนี้ไป๋เฟิงเฮยซีอยู่ในโยวโจว” อวี้อู๋หยวนหมุนร่างกลับมาในที่สุด สายตาตกอยู่บนร่างเขา
“เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร” หวงเฉาเผยอยิ้มบางๆ นิ้ววาดผ่านหัวคิ้ว “หรือพวกเขาก็ยังจะแย่งกับข้า? ไป๋เฟิงซีเป็นสตรี ส่วนเฮยเฟิงซี…ด้วยอุปนิสัยของโยวอ๋องจะไม่เลือกเขาเด็ดขาด”
“ในการก่อนเทพพยากรณ์แห่งยุทธภพเยวี่ยชิงเยียนเคยวิเคราะห์พวกเราสี่คนไว้ แบ่งเป็น ‘อวี้สมาน’ ‘หลันซ่อนเร้น’ ‘หวงลำพอง’ ‘ซีสูงสง่า’ แปดคำ” อวี้อู๋หยวนเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกายเขา สายตากลับลอยผ่านหวงเฉาทอดไปเบื้องหน้าอันแสนไกล “คำว่า ‘สมาน’ ‘ซ่อนเร้น’ ‘ลำพอง’ อย่างน้อยก็เอ่ยถึงนิสัยด้านหนึ่งของพวกเรา มีเพียง ‘สูงสง่า’ ที่คาดเดายากที่สุด”
“สูงสง่า? ดูแล้วคล้ายจะเรียบง่ายที่สุด” หวงเฉาเท้าคาง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“หมายถึงเขานิสัยสูงสง่า วาจาสูงสง่า หรือพฤติกรรมสูงสง่า?” อวี้อู๋หยวนยิ้มเยื้อน “หากเป็นเพียง ‘สูงสง่า’ อันธรรมดาสามัญก็ไร้พิษภัย ไหนเลยจะดึงให้ทั่วหล้าเหลียวมองได้”
“กล่าวเช่นนี้เฮยเฟิงซีผู้นี้ข้าต้องป้องกันเอาไว้เสียแล้ว” หวงเฉาลุกขึ้น จัดแต่งอาภรณ์ที่ยับยุ่งเล็กน้อย “เจ้าเคยพบเขาที่หอลั่วรื่อคราหนึ่ง มองออกหรือไม่ว่าเขาเป็นบุคคลเช่นไร”
“รับคำว่า ‘สูงสง่า’ ได้โดยไร้ความละอาย” อวี้อู๋หยวนกระหวัดถึงกงจื่ออาภรณ์สีหมึกบนหอลั่วรื่อผู้มักประดับรอยยิ้มบางไว้บนใบหน้า ท่วงท่าผ่อนคลายงามสง่าดั่งราชนิกุลผู้นั้น
“อ้อ?” หวงเฉาลุกขึ้นยืน “ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้จากเจ้าเห็นได้ว่าจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ พูดจากใจจริง ข้าปรารถนาจะได้พบกับหลันซีกงจื่อและเฮยเฟิงซีสักคราเหลือเกิน ทว่า…”
“ทว่าเพื่อการใหญ่ที่เจ้ามุ่งมาดไว้ ทางที่ดีพวกเขาไม่ควรได้ถือกำเนิดขึ้นมาตลอดกาล ใช่หรือไม่” อวี้อู๋หยวนต่อคำเสียงเรียบ
“ฮ่าๆๆ…” หวงเฉาหัวเราะสดใส สีหน้าฉายแววระห่ำลำพองออกมาโดยธรรมชาติ “พวกเขาเกิดมาก็ดี ไม่เกิดมาก็ดี เส้นทางสู่เขาชังหมังนั้น ข้าจะมิยอมให้ผู้ใดขัดขวางเป็นอันขาด!”
อวี้อู๋หยวนมองหวงเฉาอย่างเงียบงัน แรกเริ่มที่รั้งอยู่ข้างกายเขา ทั้งรับปากช่วยเหลือก็คงเป็นเพราะถูกรัศมีอันเปล่งอยู่ทั่วร่างนี้ดึงดูดกระมัง รัศมีแห่งราชันอันสามารถค้ำเวหาเหยียบพสุธาเช่นนี้ จวบจนปัจจุบันเขายังมิเคยพบเป็นผู้ที่สอง
“ไป๋เฟิงเฮยซี…ข้ากลับตั้งตาอยากพบไป๋เฟิงซีผู้ทำให้เสวี่ยคงเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ทั้งยังทำให้เจ้าชื่นชมในบุคลิกอันล้ำหล้า” อวี้อู๋หยวนหลุบตาลงมองฝ่ามือของตน บรรจงวาดนิ้วตามลายบนนั้น กระแสเสียงเรียบเรื่อยไร้ระลอกอารมณ์ “ผู้ที่ถูกขานนามร่วมกับเฮยเฟิงซีผู้นั้นมานับสิบปีจะต้องมิใช่สตรีธรรมดาเป็นแน่”
“ไป๋เฟิงซีน่ะรึ…” มุมปากหวงเฉายกขึ้นน้อยๆ แววยิ้มบางๆ อย่างจริงแท้ทอออกมาทางดวงตา “ข้าก็ตั้งตาอยากพบไป๋เฟิงซีที่ชำระคราบฝุ่นดินออกแล้วเช่นกัน ดูว่าอาภรณ์ขาว จันทร์หิมะที่แท้รูปลักษณ์เฉิดโฉมปานใด!”
“กงจู่”
ทันทีที่ฮว่าฉุนหรานก้าวออกจากตำหนักจินเสิง หลิงเอ๋อร์ก็ปราดเข้ามาหา
“เผาทิ้งเสีย” ฮว่าฉุนหรานยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำตาผืนนั้นให้หลิงเอ๋อร์
“เพคะ” หลิงเอ๋อร์รับมาอย่างสงบ เห็นชัดว่าพบจนชาชินแล้ว
“ให้เผาทิ้ง หาใช่ให้เจ้า ‘เผลอ’ ทำหายไปอีกผืน” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองนาง
“เพคะ” หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงอย่างลนลาน
ทั้งสองก้าวลงจากบันไดหน้าตำหนักจินเสิง ทางซ้ายคืออุทยาน ทางขวาคือทางไปสู่ตำหนักหลิงปัวของซูฮูหยินผู้ปัจจุบันเป็นที่โปรดปรานที่สุดของโยวอ๋อง สายตาฮว่าฉุนหรานทอดไปทางตำหนักหลิงปัวเนิ่นนาน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ สายหนึ่ง บางจนดูประหนึ่งสายหมอกที่เส้นขอบฟ้า
“กงจู่จะเสด็จไปตำหนักหลิงปัวหรือเพคะ” หลิงเอ๋อร์เห็นนางมองไปทางตำหนักหลิงปัวจึงถามขึ้น
“ไม่” ฮว่าฉุนหรานสืบเท้าไปทางซ้าย ตัดผ่านอุทยานที่สามารถเชื่อมไปถึงตำหนักลั่วหวาได้ “ข้าแค่กำลังคิดว่าตำหนักหลิงปัวควรเปลี่ยนเจ้าของได้หรือยัง” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบายิ่ง เบาจนหลิงเอ๋อร์หลงนึกว่าตนหูฝาดไป
“กงจู่รับสั่งว่า…” หลิงเอ๋อร์ตื่นตระหนก ครึ่งประโยคหลังกลับถูกสายตาที่ฮว่าฉุนหรานเหลียวกลับมามองกวาดกลับไป
“ช่างเถอะ ยังไม่ต้องสนใจ” ฮว่าฉุนหรานเด็ดดอกเสาเย่า* ที่ยื่นเลยกระถางออกมา ก่อนจะใช้นิ้วขยี้ ดอกไม้กลายเป็นซากแหลกเหลวในทันใด “ดอกไม้นี้บานได้งามนัก แต่กลับไม่รู้ว่าหากล้ำเขตมาจะถูกคนสวนตัดเล็มออก”
หลิงเอ๋อร์ได้ยินวาจาก็ก้มศีรษะต่ำ มิกล้ามองบุปผาดอกนั้น
“หลิงเอ๋อร์ จงจำไว้ว่าคนมีกฎของคน นกหรือสัตว์เดรัจฉานก็มีกฎของมัน ดอกไม้ก็มีกฎของดอกไม้ สรรพสิ่งล้วนแต่ไม่อาจก้าวล้ำกฎไปได้ รู้หรือไม่” ฮว่าฉุนหรานชูมือ โปรยเศษเสาเย่าดอกนั้นไปไกล
“เพคะ หม่อมฉันจะจดจำไว้” หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะรับคำ
“กลับกันเถิด” ฮว่าฉุนหรานสาวเท้าจากไป
หลิงเอ๋อร์รีบตาม
รอจนพวกนางออกจากอุทยานไปแล้ว ดอกเสาเย่าซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่บนพื้นก็ถูกมือคู่หนึ่งเก็บขึ้นมาอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม