ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 14 ศาลาเด็ดจงกล แรกพบใฝ่รัญจวน
“ถูคลึงเค้นคว้าตามใจข้า คนงามแซ่ฮว่าช่างยอดเยี่ยมนัก” บนหลังคาตำหนักจินเสิง ไป๋เฟิงซีเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยแววสะทกสะท้อน สายตามองส่งร่างชดช้อยนั้นจากไป
“ใช้ความสามารถอันเป็นของสตรีได้อย่างใจนึก ช่างเป็นสตรีผู้ฉลาดโดยแท้” เฮยเฟิงซีชื่นชมเช่นกัน แค่ว่าสายตาของเขากลับอยู่บนร่างของผู้ที่เก็บเสาเย่าขึ้น
คนผู้นั้นเก็บเสาเย่าขึ้นแล้วปัดฝุ่นดินออกอย่างเบามือ จ่อปลายจมูกสูดสุคนธาจากดอกไม้ แล้วหลับตาลงราวกับเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง ครึ่งค่อนวันให้หลังถึงบรรจงเก็บเข้าในอกเสื้ออย่างระวังมือ จากนั้นก็มองทั้งสี่ด้านรอบตัว เมื่อแน่ใจว่ามิมีผู้ใดพบเห็นก็สืบเท้าเข้าสู่ตำหนักจินเสิง
“ดูท่าคนผู้นี้จะหลงงมงายในตัวคนงามแซ่ฮว่าขนาดหนักทีเดียว เสียดายเพียงนางมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าแต่ผู้เดียว” ไป๋เฟิงซีเห็นพฤติกรรมคนผู้นั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ
เฮยเฟิงซีมองคนผู้นั้นอย่างละเอียด เขาอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก รูปร่างค่อนข้างสูง สวมเกราะอย่างนักรบ นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปโฉมองอาจห้าวหาญ
คนผู้นั้นก้าวเข้าสู่ตำหนักจินเสิง ตลอดทางไปถึงห้องอักษรทิศใต้ก็ราบรื่นไร้อุปสรรค ดูท่าคงเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากโยวอ๋อง
“กระหม่อมเยี่ยเยี่ยน ถวายบังคมฝ่าบาท!” ในห้องอักษรทิศใต้ ทหารนายนั้นน้อมกายลงกับพื้น
โยวอ๋องมองขุนนางที่หมอบอยู่แทบเท้าโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สีหน้าลึกล้ำยากคาดเดา นายทหารผู้นั้น…เยี่ยเยี่ยนก็ก้มศีรษะคุกเข่าอยู่เช่นนั้น มิกล่าส่งเสียง
“เยี่ยเยี่ยน เจ้าดูนี่!” ล่วงไปเป็นนานโยวอ๋องถึงโยนของสิ่งหนึ่งให้เยี่ยเยี่ยน ในกระแสเสียงอันเรียบเรื่อยแฝงเพลิงโทสะอันร้อนแรง
เยี่ยเยี่ยนเก็บของบนพื้นขึ้น นั่นคือฎีกาลับแผ่นหนึ่ง เขาคลี่ออกอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป ลนลานโขกศีรษะกับพื้น “กระหม่อมรู้ผิดแล้ว ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วย”
“ฮึ!” โยวอ๋องสะบัดแขนเสื้อหยัดกายขึ้น มองเยี่ยเยี่ยนบนพื้น “ข้าฝากความหวังอันหนักหนาไว้กับเจ้า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า!”
“กระหม่อมไร้สามารถ ขอฝ่าบาททรงลงอาญา” เยี่ยเยี่ยนประหวั่นพรั่นพรึง
“ลงอาญาแล้วก็จบเรื่องได้กระนั้นรึ” โยวอ๋องตบโต๊ะ ส่งเสียงลั่นอย่างโกรธกริ้ว “ชวีเฉิงของข้าเสียฉีและซั่งสองสกุลซึ่งร่ำรวยที่สุดไปเช่นนี้! ทรัพย์สินเทียมแคว้นบินหายไปทั้งที่ไม่มีปีก และตกอยู่ในมือผู้ใดก็ถึงกับไร้ผู้รู้เห็นเช่นนี้! ข้าเลี้ยงพวกเจ้าทั้งโขยงไว้เพื่อให้เป็นเศษสวะไร้ค่าอย่างนั้นรึ!”
“กระหม่อม…”
“เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!” โยวอ๋องเคราผมชูชัน ตาพ่นเพลิงโทสะ เขาเดินอ้อมเยี่ยเยี่ยนที่อยู่บนพื้นด้วยฝีเท้าเร่งร้อนอยู่หลายก้าว “ข้าเห็นเจ้าเป็นผู้มีความสามารถที่น่าส่งเสริมแท้ๆ แต่กลับไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าจะโง่เง่าเสียยิ่งกว่าหมู!”
ฎีกาลับฉบับนั้นก็คือเรื่องสกุลหานและเรื่องในชวีเฉิง
หลายเดือนก่อนขณะโยวอ๋องขี่ม้า เขาไม่ทันระวังพลัดตกลงมา ทำให้ศีรษะกระแทกพื้น เนื้อหน้าผากถูกไถไปเป็นแถบ โลหิตไหลเต็มหน้า ชวนหวาดผวาไม่น้อย ตอนนั้นสำนักหมอใช้โอสถผงตำหนักม่วงหนึ่งขวดมารักษา รายงานว่าเป็นโอสถวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลภายนอก ถ้าทาบนแผลไม่กี่วันก็จะสนิทดี ซ้ำยังไม่เหลือรอยแผลเป็นอีกด้วย โยวอ๋องคิดว่าโอสถวิเศษถึงเพียงนี้หากนำมาใช้ในการทหารก็จะสามารถช่วยชีวิตทหารบาดเจ็บได้มากมาย ดังนั้นจึงบัญชาให้หมอปรุงโอสถนี้ให้มากหน่อย ทว่าหมอกลับบอกว่าโอสถนี้เป็นโอสถวิเศษประจำสกุลหานแห่งหร่วนเฉิงแคว้นเป่ยโจว เหตุที่สำนักหมอจ่ายทองมหาศาลซื้อโอสถมา เดิมทีก็เพื่อศึกษาวิเคราะห์สูตรโอสถ แต่จนใจที่ทุ่มเทกำลังหลายปีก็หาได้ผลอันใดไม่
ตอนนั้นเยี่ยเยี่ยนตามอยู่ด้านข้าง ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ก็เป็นฝ่ายขันอาสา
เริ่มแรกเขาเดินทางไปยังสกุลหาน เสนอทองคำมหาศาลเพื่อขอซื้อสูตรโอสถ ทว่าถูกหานเสวียนหลิงประมุขสกุลหานปฏิเสธอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย พอหวนนึกดูอีกครา เรื่องของชาวยุทธ์เช่นนี้ให้ชาวยุทธ์จัดการจะเหมาะกว่า แต่เขาไม่สะดวกจะออกหน้าติดต่อกับชาวยุทธ์โดยตรง ดังนั้นจึงไปหาสกุลฉีและซั่งแห่งชวีเฉิง แม้ฉีและซั่งจะเป็นสกุลคหบดีใหญ่ ทว่าเสียดายที่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในวังอ๋อง มิเคยมีโอกาสเข้าเฝ้าอ๋องแห่งโยวโจว กล่าวกันถึงที่สุดก็เป็นเพียงครอบครัววาณิชไร้ศักดิ์ธรรมดาๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อเยี่ยเยี่ยนติดต่อพวกเขา ทั้งสองสกุลจึงรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว ใต้เท้าเยี่ยตรงหน้าไม่เพียงเป็นที่โปรดปรานเชื่อถือของโยวอ๋อง ซ้ำยังอาจกลายเป็นสามีของฉุนหรานกงจื่อธิดาคนโปรดของโยวอ๋องอีกด้วย นี่เป็นบุคคลที่ฟ้าประทานมาช่วยค้ำชูโดยแท้ ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่รับไว้
ฉีอี๋และซั่งเหยี่ยแรกเริ่มก็ส่งคนขนอัญมณีล้ำค่ามากมายไปยังบ้านสกุลหาน แน่นอนว่าต้องถูกปฏิเสธ จากนั้นพวกเขาก็หาเพื่อนชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งเดินทางไปช่วยเกลี้ยกล่อม แต่ก็ยังคงกลับมามือเปล่า ยืดเยื้อเช่นนี้อยู่สองเดือนโดยมิเกิดผลลัพธ์อันใด เยี่ยเยี่ยนเมื่ออยู่ต่อหน้าโยวอ๋องก็เงยศีรษะไม่ขึ้น ความโกรธนั้นเพียงหมุนกายก็เอาไปลงกับสกุลฉีและสกุลซั่ง ส่วนสกุลหานที่ให้หน้าแต่ไม่ยอมรับไว้นั้นก็ยิ่งชิงชังเหลือประมาณ เยี่ยเยี่ยนตำหนิเอากับฉีอี๋และซั่งเหยี่ยไม่หยุดว่า ‘สกุลหานไม่รู้จักสถานการณ์เช่นนี้ ล้างเสียให้สิ้นแล้วจะทำไม!’
ทันทีที่วาจาเขาเปล่งออกมาฉีอี๋และซั่งเหยี่ยมีหรือจะกล้าไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้นจึงจ้างวานพรรคต้วนหุนด้วยทองคำหนัก ส่วนผลสุดท้ายเป็นอย่างไรใคร่ครวญดูก็จะรู้ได้
เมื่อโยวอ๋องทราบเรื่องก็กริ้วแทบเป็นแทบตาย เขาเสียทรัพย์สมบัติมหาศาลของสกุลฉีและซั่งยังพอทำเนา ทว่าเยี่ยเยี่ยนผู้ทึบเขลาคนนี้ถึงกับรวมหัวกับพรรคต้วนหุนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ทั่วยุทธภพ สังหารหลายร้อยชีวิตในสกุลหานเพื่อสูตรโอสถ พฤติการณ์โฉดชั่วเยี่ยงนี้หากแพร่งพรายออกไปโยวโจวจะต้องถูกคนทั่วหล้าหยามหยันดูแคลนเป็นแน่ แล้วโยวอ๋องเช่นเขาจะวางท่าเป็นผู้ปกครองผู้ปรีชาและเปี่ยมคุณธรรมได้อย่างไร!
“กระหม่อมรู้โทษแล้ว กระหม่อมสมควรตาย ทว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของสกุลฉีและสกุลซั่งทั้งสิ้น…”
“เจ้ายังคิดหาข้ออ้างอีกรึ!” วาจาของเยี่ยเยี่ยนยังกล่าวไม่ทันจบ โยวอ๋องก็เงื้อเท้าถีบเขาจนล้มกลิ้งเค้เก้อยู่บนพื้น ทว่ายังไม่หายโกรธา จึงตามไปซ้ำอีกคราบนใบหน้า “ยามนี้ข้าไม่สนว่าสกุลฉีและซั่งเป็นอย่างไร บัดนี้เจ้าจงเร่งไปเก็บกวาดเรื่องนี้ให้หมดจด หากเรื่องเกิดรั่วไหลไปเพียงนิดเดียว ข้ามิเพียงจะบั่นคอเจ้า ยังจะประหารคนสกุลเจ้าเก้าชั่วโคตรด้วย!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เยี่ยเยี่ยนรีบโขกศีรษะรับคำสั่ง
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!” โยวอ๋องมองเขา อยากจะสังหารทิ้งเสียให้หายแค้น ทว่ายามนี้กลับไม่อาจสังหารได้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนจบเรื่องก่อน
“พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยเยี่ยนรับคำ แต่กลับยังละล้าละลังอยู่บ้าง “แต่ว่า…แต่อีกสามวันให้หลัง…”
ปัง! โยวอ๋องฟาดฝ่ามือกับโต๊ะอักษร ก่อนจะชี้หน้าเยี่ยเยี่ยน โกรธจนดวงตาแดงก่ำ “หรือเจ้ายังละเมอเพ้อพกหมายจะได้แต่งกับบุตรสาวข้าอีก? ประมาณตนเสียบ้างว่าเจ้าคู่ควรหรือไม่ ที่ตอนนี้ข้ายังไม่ประหารเจ้าก็นับว่ากรุณาอย่างวิเศษแล้ว หากยังไม่รีบไสหัวไปก็อย่าโทษว่าข้าแล้งน้ำใจ!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา” เยี่ยเยี่ยนหดศีรษะ ลุกขึ้นถอยออกไป
“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นโยวอ๋องก็ตวาดลั่น
“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยเยี่ยนรีบหมุนกายกลับ
“พรรคต้วนหุนต้องจัดการให้หมดจด!” กระแสเสียงโยวอ๋องเย็นเยียบอำมหิต “เรื่องนี้หากรั่วออกไป ข้าไหนเลยจะปกครองใต้หล้าได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รอจนเยี่ยเยี่ยนจากไปแล้ว โยวอ๋องก็สะบัดแขนเสื้อ ปัดถ้วยชาร่วงไปหนึ่งใบ “ฮึ ช่างโง่เขลานัก!”
บนหลังคา ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าทอดถอนใจ “ความตายกรายถึงหัวยังจะพิสมัยในบุปผา เยี่ยเยี่ยนผู้นี้น่าสนุกจริงๆ” นางหันไปมองเฮยเฟิงซี “นี่ก็คือละครฉากสนุกที่เจ้าจะให้ข้าดู?”
“เช่นนี้เรื่องสกุลหานก็นับว่าแจ่มแจ้งแล้ว” สายตาเฮยเฟิงซียังอยู่บนร่างโยวอ๋อง สีหน้าลึกล้ำเกินคาดเดาแฝงแววยิ้มบางๆ
ไป๋เฟิงซีเอนร่างพิงบนกระเบื้อง สายตาทอดไปกลางท้องนภา แสงอาทิตย์เจิดจ้าพุ่งเข้าสู่ดวงตา แต่กลับมิอาจทะลวงผ่านหมอกทึบในนั้น “สกุลหานหลายร้อยชีวิตต้องตายตกไปเพียงเพราะความโลภของตัวเบาปัญญาผู้หนึ่ง นี่คือผลร้ายของการให้คนโง่กุมอำนาจไว้ในมือ”
“เจ้าจะบอกหานผู่หรือไม่” เฮยเฟิงซีมองโยวอ๋องในห้องเป็นหนสุดท้าย ก่อนจะปิดแผ่นกระเบื้องลง
“ไม่ เขาไม่จำเป็นต้องรู้” ไป๋เฟิงซีคล้ายกับไม่อาจต้านแสงอาทิตย์อันแผดกล้าได้ จึงยกมือขึ้นบดบังดวงตาทั้งคู่ “ที่ควรชดใช้สุดท้ายก็ต้องให้พวกเขาชดใช้!”
เฮยเฟิงซีมองนางอย่างเงียบงัน ครู่ต่อมาก็ทอดสายตาไปยังที่อันแสนไกล
วังโยวอ๋องอันวิจิตรตระการตาอยู่เพียงใต้เบื้องเท้า ทว่าใต้เบื้องเท้านั้นยังมีสิ่งใดอีก มีแค่เรือนแดงงามหรูและสายธารใส หรือโลหิตแดงฉานและกระดูกขาวโพลน?
ณ ศาลาชวีอวี้ (หยกโค้ง) ตำหนักลั่วหวา
ฮว่าฉุนหรานกางกระดาษหยกไหมแผ่นหนึ่งออก ยกพู่กันแตะหมึก จากนั้นก็บรรจงวาด ทุกคราที่พู่กันสะบัดล้วนแต่พิถีพิถัน ด้วยเกรงนักว่าจะพลาดไปสักเศษเสี้ยว อาการตั้งอกตั้งใจอย่างที่สุด ในดวงหน้าทอแววหวามหวานจางๆ
ที่หน้าประตู ไป๋เฟิงซีมาถึงอย่างไร้สุ้มเสียง สายตาเคลื่อนจากบนโต๊ะไปยังบนหน้าฮว่าฉุนหราน แล้วย้ายจากหน้านางกลับมาที่โต๊ะอีกครา แย้มยิ้มน้อยๆ ทว่าในรอยยิ้มกลับเจืออารมณ์สะท้อนใจอยู่
“คนงามแซ่ฮว่า ท่านกำลังวาดอะไรอยู่หรือ”
ปุจฉาเรียบๆ ซึ่งดังขึ้นกะทันหันทำให้ฮว่าฉุนหรานที่มีสมาธิแน่วแน่อยู่กับการวาดภาพสะดุ้งสุดตัว มือสั่นสะท้าน พู่กันในมือร่วงตรงลงสู่ภาพ เมื่อเห็นภาพที่เพิ่งวาดเสร็จกำลังจะถูกทำลาย ฮว่าฉุนหรานก็อดส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกมิได้ “อ้า!”
ในเสี้ยวเวลาอันหมิ่นเหม่ มือข้างหนึ่งก็พลันยืดออกรับพู่กันที่กำลังร่วงใส่ภาพวาดเอาไว้
เมื่อเห็นภาพวาดยังปลอดภัยดีทุกประการ ฮว่าฉุนหรานก็ผ่อนลมหายใจ จากนั้นถึงหันไปกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านจะทำให้ข้าตกใจตายหรือไร เดินมาไม่ให้สุ้มให้เสียงอยู่ร่ำไป ยังชอบส่งเสียงกะทันหันแกล้งให้ตกใจ!”
ทว่าสายตาไป๋เฟิงซีกลับถูกภาพวาดบนโต๊ะดึงดูดไว้ นางยื่นมือคีบภาพขึ้นพิศอย่างละเอียด เมื่อมองแล้วก็อดเอะอะเสียงดังมิได้ว่า “จิ้งจอกดำตัวนั้นไหนเลยจะดีอย่างที่เจ้าวาด ที่เจ้าวาดคือชาวสวรรค์ผู้เปล่งรัศมีเจิดจ้าชัดๆ! เขาหรือจะมีใบหน้าซื่อตรงเที่ยงธรรมเยี่ยงนี้”
“ข้าวาดไม่เหมือนหรือ” ฮว่าฉุนหรานเห็นนางทำท่าพิศวงถึงเพียงนั้นก็อดถามมิได้
“ย่อมไม่เหมือนแน่นอน” ไป๋เฟิงซีมือข้างหนึ่งหมุนพู่กัน มือข้างหนึ่งเขย่าภาพ ส่ายหน้าไม่หยุด
“นี่…” ฮว่าฉุนหรานมองภาพ รู้สึกว่าตนวาดเหมือนยิ่งนัก
“ข้าจะบอกท่านให้ จิ้งจอกดำควรวาดเช่นนี้ต่างหาก” ไป๋เฟิงซีเดินไปถึงข้างโต๊ะ ปูกระดาษขาวอีกใบ จากนั้นก็จรดปลายพู่กันแตะหมึก โบกสะบัดพู่กันไปมา
“โครงหน้าน่ะหรือ ยาวสักหน่อย เหมือนไข่ห่านใบหนึ่ง คิ้วนั้นเล่า ยาวๆ เช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ต้องตวัดขึ้นน้อยๆ คราหนึ่ง ดวงตานี่ เฮ้อ เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับมีดวงตาหงส์ดึงดูดผู้คน ฉะนั้นจิ้งจอกดำตัวนี้ยามเหล่ตามองผู้คน โดยเฉพาะเมื่อมองสตรีก็เท่ากับกำลังถามว่า ‘แม่คนงาม จะไปกับข้าหรือไม่’ ไร้ยางอายเอามากๆ เชียวล่ะ” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งก็วาด ทางหนึ่งก็วิจารณ์อย่างดูแคลนถึงที่สุด “ต่อมาก็คือจมูก เฮ้อ สิ่งเดียวที่เขามีดีก็คือจมูกนี้ เพราะจมูกนี้ที่ทำให้เขาดูมีคุณธรรมอยู่บ้าง แม้แท้ที่จริงแล้วลำไส้ของเขาคดหลายตลบนัก สุดท้ายก็คือริมฝีปาก อืม ริมฝีปากเขาบางๆ คำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ริมฝีปากบางแล้งน้ำใจ’ ก็หมายถึงเขาโดยเฉพาะ คนงามแซ่ฮว่าท่านต้องจดจำไว้นะ อ้อ จริงซี ยังมีอลงกรณ์จันทร์เสี้ยวบนหน้าผาก เสร็จแล้ว ประมาณนี้ แม้จะเกิดมามีหน้าตาไม่เลว แต่ท่านอย่าหลงนึกเป็นอันขาดว่าเขาเป็นคนดี”
นางวาดพลางเอ่ยพลาง เพียงครู่เดียวเฮยเฟิงซีก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษ เมื่อวาดเสร็จนางก็วางพู่กันปรบมือสองสามครั้งแล้วยื่นภาพให้ฮว่าฉุนหราน
ฮว่าฉุนหรานรับภาพมาพิศดูอย่างถี่ถ้วน
เฮยเฟิงซีผู้นี้กับเฮยเฟิงซีที่นางวาดดูผาดๆ เป็นคนเดียวกัน ทว่าก็ไม่ทั้งหมด
มองปราดแรกบุคคลในภาพปลอดโปร่งงามสง่าเหนือสามัญ มองปราดที่สองกลับพบว่าในดวงตาหงส์ที่เบิกน้อยๆ นั้นเร้นเสน่ห์ชั่วร้ายยวนใจคนเอาไว้ คล้ายสามารถทำให้ถลำลึกลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้คนกลับยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อมองเป็นปราดที่สามรอยยิ้มจางๆ อันประดับที่มุมปากนั่นก็มีแววเจ้าเล่ห์โจ่งแจ้ง คล้ายกับทระนงและลำพองที่วางอุบายจัดการคนทั่วหล้าได้โดยมิมีใครรู้ เฮยเฟิงซีผู้นี้แตกต่างกับเฮยเฟิงซีผู้หล่อเหลาสง่างามดั่งราชนิกุลที่นางวาดจริงๆ ทว่าเฮยเฟิงซีผู้นี้กลับเหมือนจริง มีชีวิตชีวา ชวนให้ไม่อาจละสายตาได้ยิ่งกว่า
“ที่แม่นางเฟิงวาดสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีกว่าจริง” ฮว่าฉุนหรานเลื่อมใสจากใจจริง สายตาเคลื่อนจากภาพไปยังไป๋เฟิงซี แฝงแววตรวจสอบเล็กน้อย “สามารถวาดเฟิงกงจื่อได้อย่างถึงแก่นเช่นนี้ เห็นได้ว่าแม่นางเฟิงกับเขารู้จักกันอย่างดียิ่ง”
“ฮิๆ…รู้จักเขามาสิบปี ข้อดีอื่นใดหาไม่มี ข้อดีอย่างเดียวที่มีก็คือหากมองเขาทะลุแล้ว ใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดหลอกลวงข้าได้อีก” ไป๋เฟิงซีโยกคลอนศีรษะหัวเราะอย่างเริงร่า คล้ายกับภูมิใจในตัวเองอยู่พอสมควร
“ตามเสียงที่เล่าลือกันในยุทธภพ ไป๋เฟิงเฮยซีเป็นคู่ฟ้าประทาน เมื่อแม่นางเฟิงและเฟิงกงจื่อรู้จักกันมายาวนานนับสิบปีก็ย่อมต้องมีมิตรภาพลึกซึ้งแน่นหนา ย่อมเข้าใจเฟิงกงจื่อเป็นอย่างถ่องแท้” ฮว่าฉุนหรานหลุบตาเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง นิ้วมือกลับบีบภาพวาดแน่นขึ้น
“อูย!” ไป๋เฟิงซียินดังนั้นก็หนาวสะท้านเฉียบพลัน กอดแขนทั้งสองแน่น นางมองฮว่าฉุนหรานอย่างขนพองสยองเกล้าถึงหมื่นส่วน “คนงามแซ่ฮว่า ขอท่านอย่าได้เอ่ยวาจาพรรค์นี้อีกเป็นอันขาด!”
ฮว่าฉุนหรานกะพริบดวงตางดงาม
ไป๋เฟิงซียื่นมือไปกุมมือนางไว้ กล่าวอย่างจริงจังไร้เปรียบปานว่า “คนงามแซ่ฮว่า หากท่านจะจับคู่ให้ข้ากับใครสักคน ท่านก็พิจารณาผู้อื่นเถิด อืม…อย่างเช่นอวี้กงจื่อผู้เป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า หรือหวงซื่อจื่อที่ผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั่นก็ได้ แต่อย่าเอาข้าไปเกี่ยวข้องกับจิ้งจอกดำตัวนั้น ได้โปรดเถอะ!”
ฮว่าฉุนหรานเม้มปากยิ้ม ในดวงตาเป็นประกายสุกใส “แม่นางเฟิงไยต้องตื่นเต้นเช่นนี้ด้วย ข้าก็เพียงแค่ฟังคำเขาเล่าลือกันเท่านั้น”
“เฮ้อ ชาวยุทธ์เหล่านั้นก็จริงๆ เลย!” ไป๋เฟิงซีออกแรงถูแขน ดวงหน้าเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย “จะจับคู่ข้าไป๋เฟิงซีกับบุรุษสักคนก็หาผู้อื่นมิได้แล้วหรือ ลือไปลือมาจึงมาเหมาลงกับจิ้งจอกดำตัวนี้ เคราะห์ร้ายไปแปดชาติโดยแท้!”
“ฮิๆๆ…” ฮว่าฉุนหรานเห็นสภาพนางเช่นนั้นก็อดหัวเราะเบาๆ มิได้ “เฟิงกงจื่อรูปลักษณ์ไม่สามัญ ทั้งเพียบพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ ผู้คนตั้งเท่าใดใคร่ได้คู่ครองยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุไฉนแม่นางเฟิงกลับไม่คล้อยตาม ซ้ำยังล้อเขาเป็นจิ้งจอกอยู่เสมอ”
“ฮิๆ…” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะหัวเราะ สายตากวาดขึ้นๆ ลงๆ พินิจพิเคราะห์ฮว่าฉุนหราน “กล่าวกันตามจริง ท่านกับจิ้งจอกดำนั่นจึงจะเป็นคู่ฟ้าประทาน”
“พวกเราเอ่ยถึงท่านอยู่นะ ไฉนลากเอาข้าไปเกี่ยวเล่า” ฮว่าฉุนหรานเบือนหน้านี้ทันควันราวกับขวยอาย ทว่าแววยิ้มที่หางตานั้นปิดอย่างไรก็ไม่มิด
“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านเขินหรือ”
ไป๋เฟิงซีกระโดดลงจากโต๊ะ ไถลร่างปราดเดียวก็หมุนไปถึงเบื้องหน้าฮว่าฉุนหราน มือยื่นออก แล้วฮว่าฉุนหรานก็รู้สึกเพียงว่าภาพวาดในมือเหมือนถูกพลังบางอย่างดูดไป พริบตาเดียวก็ไปอยู่ในมือไป๋เฟิงซี
“คนงามแซ่ฮว่า ไฉนท่านต้องเขินด้วยเล่า” มือทั้งสองของไป๋เฟิงซีขยำภาพวาด จากนั้นก็โบกออก เพียงชั่วขณะเศษกระดาษก็ร่วงลงจากฟ้าดุจหิมะ โปรยลงทั่วศีรษะและทั่วร่างของฮว่าฉุนหราน
“พูดอะไร ใครเขินกัน” ฮว่าฉุนหรานเหลือบตามองนาง กิริยานั้นประหนึ่งโบตั๋นดอกหนึ่งซึ่งผลิบานสะพรั่งกลางหิมะ ในความหอมสะคราญอย่างที่สุดเจือแววขลาดอายและเปราะบางอย่างไม่อาจต้านแรงหิมะ ยังให้ไป๋เฟิงซีมองแล้วชื่นชมจากใจจริง ฉุนหรานกงจู่ผู้นี้รูปโฉมเฉิดฉายกว่าเฟิ่งชีอู๋สามส่วน ทว่าเฟิ่งชีอู๋กลับเหนือกว่าหนึ่งส่วนในความบริสุทธิ์หยิ่งทะนง
“ฮ่าๆๆ…หมายถึงท่าน” ไป๋เฟิงซีค้อมเอว ลดศีรษะต่ำ เอียงดวงหน้ามองฮว่าฉุนหรานที่ก้มศีรษะลงน้อยๆ จากด้านล่าง “คนงามแซ่ฮว่า ท่านต้องใจจิ้งจอกดำตัวนั้นหรือ จะให้ข้าช่วยหรือไม่” นางกล่าวพลางขยิบตา “จิ้งจอกดำนั่นไหว้วานข้ามาแล้ว”
“ดูซี เจ้าทำจนข้าเลอะไปทั้งตัว” ฮว่าฉุนหรานใช้แขนเสื้อปัดเศษกระดาษบนร่างราวกับไม่ได้ยินคำพูดตอนท้ายของไป๋เฟิงซี
“มา ข้าจะช่วยท่าน” ไป๋เฟิงซีเข้าไปช่วยนางปัดเศษกระดาษบนศีรษะ
ฮว่าฉุนหรานรออยู่ครึ่งค่อนวันก็หาได้มีวาจาท่อนต่อไปหลุดออกมา จึงได้แต่แสร้งถามคล้ายมินำพาว่า “เขาไหว้วานอะไรท่านหรือ”
ไป๋เฟิงซีกลับคล้ายไม่ได้ยิน มือที่ช่วยปัดเศษกระดาษให้นางถือโอกาสลูบดวงหน้าสักสองครา เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ครั้งหน้าข้าจะเด็ดดอกโบตั๋นมา ถึงเวลานั้นมวลผกาเต็มท้องฟ้าจะโปรยปรายลง ท่านก็เป็นเซียนท่ามกลางบุปผชาติ ต้องงดงามเพริศพรายที่สุดในโลกาเป็นแน่!”
ฮว่าฉุนหรานหมายใจจะสำรวมคำไม่เอ่ยถาม แต่ก็เก็บงำความคำนึงในอกไว้ไม่อยู่จริงๆ สุดท้ายจึงมีแต่เหลือบมองไป๋เฟิงซีอย่างกลัดกลุ้มน้อยๆ เอ่ยถามเสียงอ่อยว่า “เฟิงกงจื่อวรยุทธ์แข็งกล้า ยังจะมีเรื่องอันใดจำต้องไหว้วานผู้อื่นให้ช่วยอีกหรือ”
“เอ่อ” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วอย่างมิใคร่จะเห็นด้วย “จิ้งจอกดำแม้จะมีวรยุทธ์ฉกาจฉกรรจ์ ทว่าบางเรื่องก็ใช่ว่าวรยุทธ์สูงส่งแล้วจะแก้ไขได้นี่ อย่างเช่น…” นางมองฮว่าฉุนหรานแล้วขยิบตา “อย่างเช่นเรื่องคู่ครอง ก็ต้องพึ่งเฒ่าจันทรา มาผูกด้ายให้มิใช่หรือ”
“อ้อ” ฮว่าฉุนหรานหลุบตา “เฟิงกงจื่อมีนางในดวงใจแล้วหรือ มิทราบเป็นคุณหนูบ้านใด”
“เป็นยอดแห่งหญิงงามในบรรดาหญิงงาม!” ไป๋เฟิงซีมองฮว่าฉุนหรานด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ยังคงยั่วให้อยากรู้ไม่ยอมเลิก
ฮว่าฉุนหรานคล้ายกับขวยเขินอยู่บ้างจึงก้มหน้างุด สายตาจับอยู่ที่ปลายเท้า รอไป๋เฟิงซีกล่าวต่อไป ทว่ารออยู่นานสองนาน อีกฝ่ายกลับเอาแต่ยิ้มมองนาง ดวงหน้าเต็มไปด้วยแววกลั่นแกล้ง
สุดท้ายฮว่าฉุนหรานก็เงยศีรษะ แววกระดากอายหายไปหมดสิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนคือรอยยิ้มเปิดเผย “แม่นางเฟิง ท่านยินดีช่วยข้าหรือไม่”
“คนงามแซ่ฮว่า ท่านจะให้ข้าช่วยอันใดหรือ” ไป๋เฟิงซียังมองนางด้วยรอยยิ้มระรื่น
“ข้าต้องใจเฟิงกงจื่อ คิดรับเขาเป็นสามี” ฮว่าฉุนหรานเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำทีละอักษร บนใบหน้าปราศจากแววขวยเขินและลังเล
“เอ้อ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเป็นครู่ จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะลั่น อีกทางยังมิวายปรบมือแรงๆ “ฮ่าๆๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ ไม่เหมือนสตรีทั่วไปในวังลึกดังคาด”
“แม่นางเฟิงยินดีช่วยข้าหรือไม่” ฮว่าฉุนหรานทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่วงท่ายวนใจ
“ท่านตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก่อนได้หรือไม่” ไป๋เฟิงซีกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะ
“โปรดเอ่ยมา” ฮว่าฉุนหรานพยักหน้าอย่างงามสง่า
“ครั้งนี้ผู้ที่เดินทางมาสู่ขอท่านเรียกได้ว่ารวบรวมยอดคนผู้มีความโดดเด่นจากทั่วทั้งแผ่นดินต้าตงไว้จนสิ้น ในบรรดานั้นไม่ขาดแคลนบุคคลผู้เพียบพร้อมไม่ว่าจะในด้านชาติกำเนิด สติปัญญา หรือรูปโฉม อย่างซื่อจื่อแห่งจี้โจว ซื่อจื่อแห่งยงโจว แต่เหตุใดท่านต้องจำเพาะเลือกชาวยุทธ์ฐานะต่ำต้อยผู้หนึ่งด้วย” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองฮว่าฉุนหรานด้วยรอยยิ้ม
ฮว่าฉุนหรานมือเท้าแก้มนวล ยิ้มจางๆ อย่างปลอดโปร่ง “เพราะข้าหวังว่าวันเวลาต่อไปในกาลข้างหน้า รอยยิ้มของข้าจะมีความจริงใจและ…เบิกบานเพิ่มขึ้นบ้าง”
“หืม?” ไป๋เฟิงซีกลับคาดไม่ถึงว่านางจะตอบเช่นนี้
“สิ่งที่ข้าไขว่คว้ามาทั้งชีวิตก็คือได้ครองฐานะสูงสุดและยศถาบรรดาศักดิ์ไม่สิ้นสุดเท่าที่สตรีผู้หนึ่งจะพึงมีได้” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างตรงไปตรงมา นางเงยดวงหน้างามขึ้นน้อยๆ สายตาทอดไปยังโคมผลึกแก้วอันวิจิตรซึ่งแขวนอยู่สูงบนผนัง แสงทิวากรจากด้านนอกสาดเข้ามา ส่องจนโคมทอประกายวิบวับจับตา “อาศัยตัวข้า ไม่ว่าข้าจะแต่งกับผู้ใด ไม่ว่าข้าจะอยู่ในโยวโจว จี้โจว หรือยงโจว ข้าก็ล้วนแต่จะพร้อมด้วยทรัพย์ร่ำรวยยศศักดิ์ไปชั่วชีวิตไม่ต่างกัน” สายตาของนางละจากโคมวิจิตรมาที่ไป๋เฟิงซี ดวงหน้ามีเสน่ห์งามสง่าอย่างผู้มีศักดิ์เพราะความเชื่อมั่นในตน “ท่านเชื่อหรือไม่”
“เชื่อ” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า รอยยิ้มไม่แปรเปลี่ยน แววตาที่มองฮว่าฉุนหรานมีเพียงแววชื่นชม
“ทว่าฐานะสูงสุดมักจะเลี่ยงความอ้างว้างไปไม่พ้น” ใบหน้าฮว่าฉุนหรานทอแววโศกเศร้า
“อืม” ไป๋เฟิงซีพยักหน้าอีกคำรบ
“หลายวันมานี้ได้ใกล้ชิดกับเฟิงกงจื่อ…ข้าเบิกบานใจมากเหลือเกิน” กระแสเสียงของฮว่าฉุนหรานสดใสขึ้นทันตา สีหน้ามีแววปรีดาโลดแล่น “ข้ารู้ว่าต่อไปข้าจะหาผู้ใดเป็นเช่นเขาไม่พบอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังให้เขารั้งอยู่ที่นี่”
ครั้นได้ยินวาจานี้แล้ว ร่างของไป๋เฟิงซีก็เหินขึ้น ทิ้งตัวลงตรงหน้าฮว่าฉุนหราน มือขวายื่นออก ประคองใบหน้านางมาตรวจตราอย่างถี่ถ้วน แต่ต้นจนจบรอยยิ้มบนใบหน้านางก็ไม่ลดถอยลงเลย ส่วนฮว่าฉุนหรานก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจ้องตามใจ
“มีดวงหน้างดงามหาใดเปรียบ ทั้งมีสมองเฉลียวฉลาดและความคิดซับซ้อนแยบคาย ในบางด้านพวกท่านก็คล้ายกันนัก” ไป๋เฟิงซีรำพันแผ่วเบา มองดวงหน้าเลิศภพจบหล้าในอุ้งมือ “หลักแหลมและเชี่ยวชาญในกลอุบาย จอมปลอม เจ้าเล่ห์ สับปลับ อีกทั้งละโมบในอำนาจราชศักดิ์ ทว่า…กลับมีดวงใจอันบอบบางละเมียดละไม”
“เป็นครั้งแรกที่มีผู้วิจารณ์ข้าต่อหน้าโดยไม่ไว้ไมตรีสักนิดเช่นนี้” ฮว่าฉุนหรานแย้มสรวล ยกมือขึ้นทาบมือไป๋เฟิงซีแล้วกุมแน่นขึ้นเล็กน้อย “แต่ข้าก็เป็นสตรีเช่นนั้นจริงๆ”
ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก จากนั้นก็ยกมุมคิ้ว “แต่เหตุใดท่านต้องพูดความจริงกับข้าด้วย ที่จริงแล้วท่านจะหาข้ออ้างอื่นก็ได้ แล้วข้าก็จะไม่สืบสาวหาความโดยเด็ดขาด”
“เพราะว่า…” ฮว่าฉุนหรานยื่นมือทั้งสองประคองดวงหน้าไป๋เฟิงซีไว้อย่างเบามือ จ้องมองตรงไปยังดวงตาซึ่งผ่านการเคี่ยวกรำของโลกทว่ายังสุกใสไร้มลทินคู่นั้นอย่างจริงจัง “ชีวิตนี้ข้าไม่เคยมีสหายที่คบหากันอย่างจริงใจเลยสักผู้เดียว มีเพียงท่าน…เฟิงซี ข้าปรารถนาให้ท่านเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของข้า ไม่ปิดบังหลอกลวงแม้เศษเสี้ยว ไม่วางอุบายหลอกใช้ มีเพียงปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจเท่านั้น”
ไป๋เฟิงซีเองก็มองดวงเนตรทั้งคู่ของนาง จ้องทะลุไปยังหัวใจผ่านทางดวงตาคู่นั้น “เพราะข้าเป็นชาวยุทธ์ จึงไม่มีวันเป็นภัยคุกคามท่านได้?”
“ใช่” ฮว่าฉุนหรานยอมรับอย่างเปิดเผย
“ประเสริฐ ข้าช่วยท่าน” ไป๋เฟิงซียิ้มเป็นประกายสดใส
และในขณะนั้น ฮว่าฉุนหรานกลับนิ่งตะลึงงัน ถึงขั้นมิอาจเรียกสติกลับมาจากรอยยิ้มนั้นของไป๋เฟิงซีได้ รอยยิ้มอันฉายขึ้นเพียงชั่วขณะนั้นเจิดจ้าบาดตา พร่างพรายสยบวิญญาณ เหตุไฉนก่อนหน้านี้นางถึงไม่สังเกตว่าแท้จริงแล้วไป๋เฟิงซีรูปโฉมเฉิดฉายหาใดเปรียบถึงเพียงนี้ มีบางสิ่งที่หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินอย่างนางมิอาจเทียบเทียมได้
“พี่สาว…พี่สาว!” เวลานี้เอง เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้น
ไป๋เฟิงซีโผนร่างกระโดดออกนอกห้องในทันใด แล้วก็พบว่าบนหลังคาศาลาอั้นเซียงมีหานผู่และเหยียนจิ่วไท่นั่งอยู่
“ผู่เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีถามด้วยความสนเท่ห์
“ฮึ ยังมิใช่เพราะท่านทิ้งข้าไว้แล้วหนีมาเที่ยวเล่นอยู่ที่นี่ ตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่กลับ ข้าจึงให้พี่เหยียนช่วยพามาหาท่านอย่างไรเล่า!” หานผู่มุ่ยปาก จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังคาศาลา พุ่งตรงเข้าหาไป๋เฟิงซี
ไป๋เฟิงซีรับหานผู่ไว้ ต่อมาก็เรียกเหยียนจิ่วไท่ที่ยังอยู่บนหลังคา “พี่เหยียน ลำบากท่านแล้ว”
เหยียนจิ่วไท่พยักหน้าทักทาย ร่างกลับไม่เคลื่อนไหว
“แม่นางเฟิง ท่านนี้คือ?” ฮว่าฉุนหรานก็ก้าวออกมาด้านนอก มองอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญสองคนนี้ คิดว่าในวังนี้มีไป๋เฟิงเฮยซีพำนักอยู่ วันหน้าอาจมีอาคันตุกะผู้เหินเหนือชายคาเดินตามผนังมาเยือนมากขึ้น แต่กระทั่งเด็กน้อยเช่นนี้ก็ยังไปมาในวังได้ตามใจ ดูท่าการอารักขาในวังหลวงแห่งนี้ควรต้องถูกกระตุ้นเตือนจริงๆ จังๆ บ้างแล้ว!
“คนงามแซ่ฮว่า นี่คือน้องชายข้าหานผู่” ไป๋เฟิงซีหมุนร่าง ฝ่ามือตบลงบนศีรษะหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ รีบคารวะกงจู่เสียสิ พี่สาวผู้นี้งามใช่หรือไม่”
“ช่างเป็นเด็กที่คมคายดีแท้” ฮว่าฉุนหรานมองหนุ่มน้อยผู้แม้หัวคิ้วจะขมวดมุ่นเพราะถูกไป๋เฟิงซีตบศีรษะ แต่กลับยากจะบดบังความหมดจดหล่อเหลาไว้ได้ จึงออกปากชื่นชม
“เขายังอายุน้อยไปหน่อย มิฉะนั้นหากว่ากันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกกลับพอจะจับคู่กับท่านได้” ไป๋เฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้มชื่นบาน
ฮว่าฉุนหรานได้แต่ใช้รอยยิ้มตอบโต้วาจาเหลวไหลของนาง
“ข้าไม่อยากคู่กับนางเสียหน่อย” ผู้ใดจะรู้ว่าหานผู่กลับประท้วงด้วยท่าทางราวกับถูกสบประมาท สตรีนางนี้มากจริตกระบิดกระบวนนัก มองแล้วรำคาญตาเหลือเกิน จะสดใสได้สักครึ่งของพี่สาวหรือก็ไม่มี!
“ไปไป๊ เด็กบ้าอย่างเจ้าสั่งสมกุศลอีกสามชาติก็ไม่มีบุญญาพอถึงขั้นนั้นหรอก!” สิ่งที่ตอบโต้ความไร้มารยาทของหานผู่ก็คือไป๋เฟิงซีเขกศีรษะเขาอย่างแรงหนึ่งที
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่าเขกหัวข้า จะทำให้หัวทึบได้นะ” หานผู่คลำศีรษะป้อยๆ พร้อมกับร้องขึ้น
“เจ้าก็หัวทึบมากพออยู่แล้ว ทึบขึ้นอีกหน่อยจะเสียหายตรงไหนกัน” ไป๋เฟิงซีเขกอีกครา จากนั้นถึงหันไปกล่าวกับฮว่าฉุนหรานว่า “คนงามแซ่ฮว่า ข้าขอส่งเจ้าผีน้อยนี่กลับไปก่อน วันหน้าค่อยมาหาท่านใหม่”
“น้องชายท่านก็อยู่ด้วยกันเสียในวังสิ พรุ่งนี้เช้าเสด็จพ่อจะให้ท่านกับเฟิงกงจื่อเข้าพบ” ฮว่าฉุนหรานเหนี่ยวรั้ง
“ฮ่าๆๆ…โยวอ๋องทรงมีคำสั่งให้เข้าเฝ้าหรือ พบแค่จิ้งจอกดำตัวนั้นก็พอ ส่วนข้าไม่เจอก็ไม่เป็นไรหรอก” ไป๋เฟิงซีแย้มยิ้ม จูงหานผู่มาแล้วเหินร่างขึ้นเหนือหลังคา จากนั้นถึงเหลียวกลับมาถามว่า “คนงามแซ่ฮว่า ยืนยันเป็นครั้งสุดท้ายทีว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยจริงหรือ”
“ต้องการ” ฮว่าฉุนหรานตอบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ได้ ข้าจะช่วยท่าน” ร่างไป๋เฟิงซีพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็ไม่เหลือแม้เงา เหยียนจิ่วไท่ก็ตามหลังนางไป
รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบหก เดือนสาม วันที่ยี่สิบสี่
ห่างจากวันเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจวหนึ่งวัน เหล่าบุรุษที่มารวมกันในโยวโจวล้วนแต่กำลังถูมือถูไม้ตระเตรียมตัว ผู้ฝึกยุทธ์ก็ฝึกหมัดเท้ามากขึ้นอีกหลายกระบวน หวังว่าเมื่อถึงเวลากงจู่จะเลื่อมใสในท่วงท่าอันองอาจของตน ผู้ร่ำเรียนก็อ่านบทความ เขียนกาพย์กลอนมากขึ้นอีกหลายบท หวังว่าเมื่อถึงเวลากงจู่จะศิโรราบในสติปัญญาของตน
การได้แต่งกับหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินคือความใฝ่ฝันของบุรุษจำนวนมาก
ทว่าเช้าตรู่วันนั้นในตำหนักลั่วหวา เสียงหาวหวอดก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“คนงามแซ่ฮว่า พวกนางทำอะไรบนหัวข้าตั้งชั่วยามแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ ข้านั่งเบื่ออยู่ตรงนี้จนง่วงแล้วนะ!” เสียงเบื่อหน่ายถึงขีดสุดกังวานขึ้น
น้ำเสียงใสนุ่มอ่อนหวานปลอบขึ้นทันที “อีกประเดี๋ยวเดียว จวนจะเสร็จเต็มทีแล้ว”
“สวรรค์ ที่ถืออยู่ในมือเจ้าคือสิ่งใด อย่า…อย่าปัดลงบนหน้าข้าเชียวนะ…ข้าบอกว่าอย่าปัด…หากเจ้าปัดอีกข้าจะถีบแล้วนะ…ข้าพูดจริงนะ!” เสียงอันเบื่อหน่ายข่มขู่ผู้คนอย่างอวดดี
“เอาเถิด อย่าปัดให้นางอีกเลย” เสียงนุ่มนวลรีบเอ่ยขึ้น
“อ๊า มือเจ้าถืออะไรอยู่ เฟิ่งหวงทอง! ใหญ่นัก งามนัก…อะ เจ้าทำอะไรน่ะ อย่าเอามาสวมบนหัวข้า เจ้าของนี้แม้จะสวยดีแต่หนักเกินไป…ข้าบอกว่าอย่าสวม…หนักนะ…หากเจ้าสวมอีกเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักมันเป็นสองท่อน!”
“เอาเถิด หาก ‘เฟิ่งทองเมฆาเพลิง’ หนักเกินไปก็อย่าสวมเลย เช่นนั้นสวม ‘คีรีหิมะเมฆาคล้อย’ นั่นแทนก็แล้วกัน เล็กกว่าหน่อย”
“ข้าขอเตือนพวกเจ้า อย่ามาเที่ยววาดเที่ยวแต้มบนหน้าข้า ข้ายังไม่อยากไปล้างหน้าอีกรอบ…เจ้าถืออะไรมา บอกแล้วว่าอย่าวาด…คนงามแซ่ฮว่า ท่านให้พวกนางหยุดมือที หากไม่หยุดอีกข้าจะกัดนางแล้วนะ!”
“ให้ข้าดูคิ้วหน่อย อืม ไม่เลว คิ้วเรียวยาวตามธรรมชาติ บางหนาเหมาะเจาะ ไม่ต้องเขียนแล้ว”
“กงจู่เพคะ ให้นางสวมชุดไหนดี”
“เอามาให้ข้าดู อืม…ตัวสีเหลืองไข่ห่านนี้ก็แล้วกัน”
“เสร็จหรือยังเล่า คนงามแซ่ฮว่า ท่านคิดทำอันใดกันแน่ ปลุกข้าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่…ฮ้าว…ข้าอยากนอน” เสียงหาวดังขึ้นอีกครา
“เตรียมการเพื่อวันพรุ่งนี้ ข้าอยากดูว่าเครื่องแต่งกายเช่นไรเหมาะกับท่านที่สุด”
“เป็นท่านเลือกคู่หาใช่ข้าเลือกคู่ เหตุใดข้าต้องแต่งตัวด้วย”
“ท่านรับปากจะช่วยข้า”
“เช่นนั้นก็ง่ายมิใช่หรือ ข้าซัดผู้อื่นที่นอกเหนือจากจิ้งจอกดำให้หมอบคาพื้นให้หมดก็เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นผู้ใดก็ไม่มีหน้ามาสู่ขอท่านอีก”
“ฮ่าๆๆ…ท่านช่างคิดออกมาได้ เอาล่ะ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน ให้ข้าดูหน่อยว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
“ให้ข้านอนสักงีบก่อนได้หรือไม่ ข้าง่วงยิ่งนัก…ฮ้าว…” กล่าวไม่ทันจบก็หาวขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ได้ ลงแรงกันไปตั้งมาก จะอย่างไรก็ต้องดูสักหน่อย พวกเจ้าประคองแม่นางเฟิงขึ้นที”
ฮว่าฉุนหรานออกคำสั่งแก่เหล่านางกำนัลให้ประคองไป๋เฟิงซีผู้อ่อนยวบลงกับเตียงประหนึ่งไร้กระดูกขึ้น ทว่าก็จนใจด้วยแม้นางจะถูกประคองขึ้นมาแล้ว แต่กลับศีรษะตกห้อย เอวงอ ตาปิด ทั้งร่างอิงอยู่บนร่างนางกำนัล
“หลิงเอ๋อร์ ยกขนมไข่มุกถาดนั้นเข้ามา” ฮว่าฉุนหรานสั่งอย่างราบเรียบประโยคหนึ่ง
ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมาก็เห็นผลทันควัน ไป๋เฟิงซียืนตัวตรงลืมตาทั้งสองโดยพลัน ไหนเลยจะเหลือแววง่วงเหนื่อยเมื่อยล้าเมื่อครู่ ทำให้คนทั้งหมดในห้องตกตะลึงไปชั่วขณะ
ดูประหนึ่งตุ๊กตาดินเผาตัวหนึ่ง พริบตาที่เบิกเนตรก็ใส่เอาวิญญาณลงไป ชุบให้สีสันเพริศแพร้วมีชีวิตชีวาในบัดดล พลังชีวิตไหลเปี่ยมทั่วร่าง
ขณะที่เหล่าคนในห้องยังมัวตกตะลึงอยู่นั้น ร่างสีเหลืองก็ไหววูบ ในห้องไม่เหลือเงาร่างไป๋เฟิงซี ทว่านอกตำหนักกลับมีเสียงร้องตะโกนอย่างแช่มชื่นดังขึ้น “หลิงเอ๋อร์ เจ้าเดินช้าเหลือเกิน ข้ามารับเจ้าแล้ว! ขนมไข่มุกในมือเจ้าให้ข้าช่วยถือเถิด”
“เฮ้อ!” บรรดานางกำนัลในห้องพากันถอนใจด้วยความเสียดาย
“ไป๋เฟิงซีผู้นี้…” ฮว่าฉุนหรานส่ายหน้ายิ้มปลง ทว่าในใจกลับมีความคิดหนึ่งวูบผ่าน
“แต่ไกลก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของเจ้า เมื่อใดเจ้าจะสุภาพเรียบร้อยขึ้นบ้าง” เสียงอันงามสง่าของเฮยเฟิงซีลอดมาจากนอกตำหนัก
ฮว่าฉุนหรานได้ยินเข้าก็รีบสืบเท้าออกไปด้านนอก เห็นไป๋เฟิงซีกำลังนั่งก้มหน้าก้มตากินอยู่บนราวกั้น หลิงเอ๋อร์ยืนเหม่อมองนางอยู่ด้านข้าง ส่วนเฮยเฟิงซีกำลังก้าวอย่างแช่มช้ามาจากด้านหน้า
“เฟิงกงจื่อ ท่านมาดูแม่นางเฟิงซี ก่อนหน้านี้ข้าไม่นึกเลยว่าแม่นางเฟิงจะเฉิดโฉมถึงเพียงนี้” ฮว่าฉุนหรานเดินเข้าไปหาไป๋เฟิงซี หยิบขนมไข่มุกจากมือนางยื่นคืนให้หลิงเอ๋อร์ ก่อนจะยกมือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเศษขนมที่มุมปากนางออก แล้วดึงนางให้ลงจากราวกั้นมายืนบนพื้น
“จิ้งจอกดำตัวนี้ดีแต่มาทำลายเรื่องดีของข้า” ไป๋เฟิงซีโอดครวญ สายตาจับจ้องขนมไข่มุกในมือหลิงเอ๋อร์อย่างอาลัยอาวรณ์
ฮว่าฉุนหรานจับดวงหน้าของนางให้หันไปทางเฮยเฟิงซีที่กำลังเดินเข้ามา ครั้นเห็นเฮยเฟิงซีที่ใกล้เข้ามาทีละก้าวๆ ดวงตาของไป๋เฟิงซีก็กลอกกลิ้ง พลันยิ้มอย่างหยดย้อยคราหนึ่ง คารวะอย่างสวยงาม “คารวะเฟิงกงจื่อ”
ในหนึ่งยิ้มหนึ่งคารวะนี้สมบูรณ์พร้อมด้วยจริยา
เฮยเฟิงซีหยุดฝีเท้าลงยังตำแหน่งที่ห่างออกไปหนึ่งจั้ง มองไป๋เฟิงซีที่ยืนอย่างแช่มช้อย คิ้วเรียวยาว ดวงตาสุกใส ดวงหน้าผ่องดั่งหยก ริมฝีปากแดง ผมดำสลวยดุจแพรไหมรวบเป็นมวยอันวิลาส ตกแต่งเล็กน้อยด้วยปิ่นมุก ชุดสีเหลืองไข่ห่านอย่างชาววังแทนที่อาภรณ์ขาวหลวมโพรก สายคาดแพรนุ่มๆ คาดเอวอ้อนแอ้นไว้ ขับให้เห็นเรือนร่างโปร่งบางแน่งน้อยของนาง แย้มยิ้มพริ้มเพรา เนตรงามวิบไหวประหนึ่งกล้วยไม้งามในหุบเขาเปลี่ยวร้าง งามผุดผาดอย่างวิเศษ
“เฟิงกงจื่อรู้สึกเป็นเช่นไร” สายตาฮว่าฉุนหรานจับอยู่บนใบหน้าเฮยเฟิงซีนิ่ง หมายจะค้นหาบางสิ่งจากบนนั้น ทว่าจนใจที่ใบหน้าเขาประดับยิ้มจางๆ เสมอ แววตาไร้ระลอกไหว เสมือนว่าไป๋เฟิงซีที่เบื้องหน้าปกติอย่างไม่อาจปกติยิ่งกว่านี้ได้
“มีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ว่า ‘สวมเสื้อคลุมมังกรก็ไม่คล้ายไท่จื่อ’ มิได้หมายถึงคนตรงหน้านี้หรอกหรือ” เฮยเฟิงซีหลุบดวงตา จับขลุ่ยหยกขาวในมือเล่น
“ฮ่าๆๆ…คนงามแซ่ฮว่า เจ้าลงแรงเสียเปล่าแล้ว” ไป๋เฟิงซีเปล่งเสียงหัวเราะ ทำลายบุคลิกสูงสง่านั่นจนสิ้นซาก นางยกมือดึงปิ่นมุกบนศีรษะออก ทันใดนั้นผมยาวสลวยก็สยายลงมา ทรงผมที่ทุ่มเทเวลากว่าครึ่งชั่วยามจัดแต่งขึ้นก็ทลายลงโดยพลัน นางกระโดดกลับขึ้นไปนั่งบนราวกั้น เรียวขายาวที่ลอยอยู่กลางอากาศปัดป่ายไปมา “คนงามแซ่ฮว่า ข้ารับปากว่าจะช่วยท่านก็จะช่วยแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสวม ‘เสื้อคลุมมังกร’ นี้หรอก”
“เฟิงกงจื่อเข้าใจล้อเล่นนัก” ฮว่าฉุนหรานดวงพักตร์ดั่งบุปผา ทั้งบุปผาในใจก็ผลิบาน
“กงจู่มีเรื่องอันใดให้ช่วยหรือ” เฮยเฟิงซีมองไปทางฮว่าฉุนหราน
“ไม่มี เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ฮว่าฉุนหรานยกแขนเสื้อปิดปากแล้วแย้มสรวล ดวงตางามคู่นั้นเหลือบมองเฮยเฟิงซีคราหนึ่ง ความนัยในนั้นเข้มข้นดั่งเมรัยเลิศรสที่จะมอมเมาจิตใจให้เคลิ้มหลง
“อ้อ” เฮยเฟิงซีพยักหน้าราวกับไม่ใส่ใจ โบกขลุ่ยหยกในมือพลางกล่าวว่า “เร็วๆ นี้พบบันทึกทำนองเพลงโบราณซึ่งหายสาบสูญไปแล้วในหอหลินหลาง (หยกอำไพ) ของวังท่าน ขอกงจู่ลองฟังดูสักคราเป็นอย่างไร”
“เป็นโชคดีของฉุนหราน” ฮว่าฉุนหรานยิ้มอย่างชดช้อย
“เชิญกงจู่” เฮยเฟิงซีเบี่ยงกายหลีกทางให้
ครั้นแล้วทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปทางศาลาชวีอวี้
ไป๋เฟิงซีมองเงาร่างที่ห่างออกไปของทั้งสอง หมุนปิ่นมุกในมือเล่นเบาๆ ดวงหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รำพึงรำพันอย่างแผ่วเบาว่า “นี่นับว่าหนุ่มมีจิตสาวมีใจ ฉินเซ่อ บรรเลงประสานได้หรือไม่นะ”
เดือนสาม วันที่ยี่สิบห้า วันเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตง
กล่าวกันว่าผู้ที่เดินทางจากแคว้นต่างๆ ในต้าตงมาสู่ขอกงจู่นับได้ด้วยหลายพัน ทว่าสุดท้ายผู้ที่ผ่านการคัดกรองหลายต่อหลายชั้นจากเจ้ากรมวังบัดนี้เหลือเพียงหนึ่งร้อยคน และทั้งหนึ่งร้อยคนนี้นับได้ว่าเป็นยอดคนในประดายอดคน มียอดชาวยุทธ์ผู้วรยุทธ์สูงล้ำ มีคหบดีใหญ่ผู้มั่งมีเทียมฟ้า มีขุนนางตำแหน่งสูงในราชสำนัก และมีกงจื่อชาติกำเนิดสูงศักดิ์…ล้วนแล้วแต่โดดเด่นทางบุ๋นและบู๊ต่างกันไป และวันนี้กงจู่ก็จะให้ทั้งหนึ่งร้อยคนเข้าเฝ้า ณ ตำหนักจินหวา (จารุจำรัส) ถึงเวลานั้นนางจะทดสอบความรู้และวรยุทธ์ของพวกเขา เฟ้นหาผู้ที่ต้องใจแล้วมอบพู่กันทองคำให้เพื่อเลือกเป็นสามี
ด้วยเหตุนี้ตำหนักจินหวาที่ยามปกติแลดูเงียบเหงาวันนี้จึงครึกครื้นถึงสิบส่วน มองไปทางใดก็มีผู้คนเดินสวนไปมา
บูรพาทิศแห่งตำหนักจินหวามีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง นามว่าทะเลสาบหล่านเหลียน (เก็บจงกล) รอบทะเลสาบสร้างเป็นศาลาราย กลางทะเลสาบมีศาลากลางน้ำสัณฐานหกเหลี่ยมสูงราวสามจั้ง นามว่าแท่นไฉ่เหลียน (เด็ดจงกล) หากดูชื่อแล้วคำนึงถึงความหมายจะต้องหลงนึกว่าทะเลสาบนี้ปลูกดอกบัวไว้เต็มเป็นแน่ แต่แท้ที่จริงหาใช่ไม่ กลางทะเลสาบหล่านเหลียนจะมีปทุมสักดอกก็หามิได้ แต่เป็นแท่นหกเหลี่ยมที่ก่อขึ้นจากศิลาขาว แต่ละด้านมีกลีบโค้งทรงจันทร์เสี้ยวยื่นออกจากผิวน้ำ งอนเข้าหายอดศาลา ลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ขาวหิมะหกกลีบ หลังคาศาลาก็ประดับด้วยกระเบื้องสี ดูประหนึ่งเกสรสีเหลืองของดอกไม้ มองจากไกลๆ ศาลากลางน้ำนี้ก็เป็นดั่งบัวดอกหนึ่งซึ่งบานสะพรั่งอยู่กลางทะเลสาบ
โยวอ๋องสั่งให้สร้างตำหนักนี้ก็เพื่อให้ฉุนหรานกงจู่ธิดาแสนรักใช้เป็นที่อยู่เมื่อแต่งงาน ดังนั้นเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นจึงให้นางตั้งนามแก่ทะเลสาบและศาลากลางน้ำ ฉุนหรานกงจู่จึงตั้งชื่อศาลานี้ว่าแท่นไฉ่เหลียน ทะเลสาบก็ให้ชื่อว่าทะเลสาบหล่านเหลียน
แท่นไฉ่เหลียนตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ ห่างจากริมฝั่งราวห้าจั้ง และหาได้สร้างสะพานเชื่อมไม่ เหตุเพราะฉุนหรานกงจู่กล่าวว่าศาลานี้อยู่กลางทะเลสาบดั่งผลงานธรรมชาติ หากสร้างสะพานจะทำลายเสน่ห์ของมัน ดังนั้นยามปกติก็ล้วนแต่ใช้นาวาลำน้อยเป็นพาหนะ
วันนี้ผิวทะเลสาบหล่านเหลียนมีดอกโบตั๋นดอกแล้วดอกเล่าลอยล่องอยู่ ล้วนแต่เป็นดอกไม้ที่นางกำนัลตำหนักจินหวาเด็ดมาจากอุทยานตั้งแต่เช้าตรู่แล้วนำมาโปรยไว้ยังผิวทะเลสาบ ประดับให้ผิวน้ำเสมือนร้อยบุปผาตระกองจงกล
บัดนี้ศาลารายยาวเหยียดที่ล้อมรอบทะเลสาบไว้เต็มไปด้วยบุรุษผู้ประสงค์มาสู่ขอ ทุกสามเชียะจะจัดที่นั่งไว้หนึ่งที่ แต่ละที่มีบุรุษนั่งหนึ่งคน เบื้องหน้าของทุกคนมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาว ด้านขวาของโต๊ะมีเมรัยเลิศรสอาหารเอมโอช ด้านซ้ายมีสี่สมบัติล้ำค่าในห้องหนังสือ จัดเรียงอยู่ ส่วนแท่นไฉ่เหลียนกลางทะเลสาบมีแพรไหมโปร่งบางห้อยอยู่โดยรอบ ราวกับก่อกำแพงผ้าไว้รอบศาลาชั้นหนึ่ง บดบังคนงามกลางศาลาไว้ สายลมโชยเอื่อย แพรบางเริงระบำ เผยให้เห็นชายอาภรณ์แถบหนึ่งเป็นครั้งคราว เหล่าบุรุษผู้หมายสู่ขอซึ่งอยู่ในศาลารายมิมีผู้ใดไม่ยืดคอใคร่ยล ทว่าคนงามกลับเร้นกายอยู่หลังม่าน ชวนให้คันในหัวใจสุดจะทานทน
“วีรบุรุษผู้กล้าทุกท่าน ฉุนหรานขอคารวะ ณ ที่นี้” เสียงใสกังวานของสตรีดังขึ้นจากกลางศาลา ในม่านแพรโปร่งบางมีเงาร่างอรชรโค้งคารวะอย่างชดช้อย
เมื่อได้ยินเสียงอันเสนาะโสตถึงเพียงนี้ จิตใจของทุกคนก็มีอันต้องหวั่นไหว ลอบคิดว่าเสียงยังไพเราะเช่นนี้ กงจู่จะต้องงามยิ่งกว่า เมื่อคิดจินตนาการถึงดวงพักตร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งไร้ที่สองในใต้หล้าแล้ว ทุกคนก็หัวใจเต้นรัวแรง ตื่นเต้นสุดประมาณ ต่างพากันลุกขึ้นคารวะ
“คารวะกงจู่!”
ในบรรดาผู้คน บ้างก็ลุกขึ้นคารวะ บ้างก็แค่โค้งกายน้อยๆ เป็นการทักทายตอบ
“วันนี้โชคดีได้พบยอดคนจากแคว้นต่างๆ ฉะนั้นฉุนหรานจึงขอบรรเลงสักเพลงเพื่อแสดงความจริงใจ ขอทุกท่านโปรดชี้แนะด้วย” คนงามแย้มวจีดั่งสกุณาขับขาน นุ่มนวลมีมารยาท
“ประเสริฐ!”
หนึ่งในนั้นมีผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดังว่า “แม้ไม่อาจเป็นเขยแห่งโยวอ๋อง ทว่าได้สดับทำนองฉินของกงจู่ก็ไม่นับว่าเสียชาติเกิดแล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงคนผู้นั้น หลายคนก็คล้อยตาม “กล่าวมีเหตุผล!”
“เพียงมิรู้ว่ากงจู่จะบรรเลงบทเพลงใดให้พวกเราได้ฟัง” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น
ในศาลารายหลังที่อยู่ตรงกันข้ามกับแท่นไฉ่เหลียนพอดี บุรุษอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งยืนพิงราวกั้น เมื่อครู่เขาเป็นผู้ส่งเสียงถาม ยามนี้สายตาของเขาพุ่งตรงไปยังศาลากลางน้ำ คมกริบจนคล้ายจะสามารถมองทะลวงผ่านม่านโปร่งบางไปเห็นถึงด้านในศาลาได้อย่างชัดเจน
“ศาลาแห่งนี้มีนามว่าแท่นไฉ่เหลียน ดังนั้นฉุนหรานจะบรรเลง ‘จงกลครวญ’ มิทราบหวงซื่อจื่อเห็นเช่นไร”
กลางศาลา ไป๋เฟิงซีมองผ่านมุมหนึ่งของแพรบางไปยังหวงเฉา แม้จะมีระยะทางเจ็ดจั้งกั้นขวางอยู่ แต่นางกลับเห็นแววหยิ่งทะนงไม่เห็นใต้หล้าอยู่ในสายตาบนใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน จึงอดยิ้มน้อยๆ มิได้
“ยอดเยี่ยม” หวงเฉาพยักหน้าดุจราชันประทานราชานุญาต เขาหมุนร่างกลับไปนั่งที่ ยกมือถือกา ทว่าพลันวางลงแล้วหันหน้าไปยังเบื้องหลัง “อู๋หยวน เจ้าจะไม่ออกมาชมโฉมคนงามผู้มีนามกระเดื่องทั่วหล้าด้วยตาสักหน่อยจริงๆ หรือ”
“ไม่ต้อง อันว่ารูปเกิดจากจิต ข้าย่อมรู้ถึงรูปลักษณ์ของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าได้จากเสียงฉิน” ทางเดินติดศาลารอบทะเลสาบมีม่านไม้ไผ่กั้นไว้ คนผู้นั้นนั่งอยู่ด้านหลังม่าน มองเมฆาที่เคลื่อนคล้อยยังขอบฟ้าอย่างสงบนิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ได้ยินวาจานี้ ไป๋เฟิงซีก็อดสะดุ้งในหัวใจมิได้ สดับจิตแห่งฉินรู้ถึงคน? อวี้อู๋หยวน? เขาก็มาด้วย?
เหตุที่นางมานั่งอยู่ ณ ที่นี้แทนฮว่าฉุนหรานก็เพราะรับปากจะช่วย ทว่าในส่วนลึกของหัวใจคิดจะกลั่นแกล้งคนเหล่านี้ แต่ยามนี้นางกลับอยากจะบรรเลงฉินให้ดีเป็นพิเศษขึ้นมากะทันหัน บรรเลงหนึ่งบทเพลงนี้ด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีแล้วฟังว่าบุคคลผู้นั้นจะตีค่านางเช่นไร
ปลายนิ้วกรีดเบาๆ เสียงฉินแหวกผ่านอากาศ บทเพลง ‘จงกลครวญ’ พลิ้วไหวใสกังวานถูกปลดปล่อยออกมาจากนิ้วดั่งสายน้ำไหล
ชั่วขณะที่เสียงฉินเข้าสู่โสต คนในศาลารายริมน้ำก็รู้สึกประหนึ่งอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นเขียวน้ำใส มวลหมู่บงกชผลิกลีบสะพรั่ง เกสรอ่อนนุ่มส่งกลิ่นหอมมาเป็นสาย ใบบัวเขียวชอุ่มส่ายไหวน้อยๆ ตามแรงลม ผีเสื้อหลากสีบินวนรอบผกา สายลมโชยเอื่อย ชายเสื้อปลิวไหว ขณะกำลังชื่นบานสราญใจก็พลันเห็นนาวาลำน้อยซึ่งมีคนงามอยู่ผู้หนึ่ง เปรียบได้ดั่งบงกช ชดช้อยดุจหิมะปลิดปลิว เลื่อนไหลอย่างมังกรประเปรียว ลีลางามระหงอย่างวิหคผกโผ รอยแย้มยิ้มละมุนละไมถ่ายทอดอารมณ์หวั่นไหว ดูน่าสนิทพิสมัยชวนให้อยากจับจูงมือเนียนขาวและร่วมเคลิบเคลิ้มไปกลางสระจงกล…
ชั่วขณะนั้นทุกผู้ทุกนามล้วนหลงใหลไปกับเสียงฉิน พากันตรึงสายตาอยู่ที่แท่นไฉ่เหลียนอย่างหลงงมงาย ม่านไม้ไผ่ด้านหลังหวงเฉาก็ไหวน้อยๆ สุดท้ายเงาเลือนรางนั้นก็ก้าวออกมาจากหลังม่าน หยัดกายตระหง่านอยู่หน้าราวกั้น
สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่าน เห็นชัดตาในคราเดียว หัวใจนางกระตุกวาบ ปลายนิ้วสั่นสะท้าน ทำให้สำเนียงผิดเพี้ยนไป ไม่ต้องพิศมองก็รู้ว่าคิ้วเรียวยาวของคนผู้นั้นขมวดน้อยๆ
นางสูดลมหายใจ หลับตา สงบจิต
มือมั่นคงดังเดิมในพริบตา หัวใจใสกระจ่างดุจคันฉ่อง เสียงฉินเปลี่ยนจากสูงสง่าละมุนละไมกลายเป็นปลอดโปร่งผ่าเผย เหินสู่กลางหาวอย่างเสรี ไร้กรอบเกณฑ์ให้ยึดติด ไร้ร่องรอยให้เสาะหา สำเนียงอันใสบริสุทธิ์แปลงเป็นลมเย็นพัดโหม แปลงเป็นเมฆาฟูฟ่องล่องลอย แปลงเป็นสายฝนพรำอันเย็นชื่นหอมหวาน แปลงเป็นหิมะแรกอันผุดผ่องปราศจากราคี…โบยบินไปทั่วผืนฟ้าแผ่นดินตามใจปรารถนา…
เมื่อท่วงทำนองจบลง ทั้งทะเลสาบหล่านเหลียนก็มีเพียงความเงียบสงัด หามีผู้ใดกล้าส่งเสียงไม่ ทั้งราวกับดื่มด่ำอยู่ในเสียงฉิน ทั้งราวกับมิกล้าทำลายบรรยากาศงดงามอันเสียงฉินสรรค์สร้างขึ้น
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! บทเพลงนี้สดชื่นเบิกบานไม่สามัญ พลิกแพลงไม่ตายตัว สามารถถ่ายทอดอารมณ์อันเหนือล้ำออกมาได้” หวงเฉาชื่นชมขึ้นเป็นผู้แรก “อู๋หยวน เจ้าว่าอย่างไร”
อวี้อู๋หยวนจับจ้องไปยังแท่นไฉ่เหลียนอยู่เป็นนาน จากนั้นถึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน เสียงฉินไม่เป็นสอง”
หัวใจไป๋เฟิงซีสั่นไหว เหลือบตาขึ้นมอง เบื้องหน้าม่านไม้ไผ่มีเงาร่างสีขาวยืนอยู่ อาภรณ์เรียบไร้เครื่องตกแต่ง คนบริสุทธิ์ดุจหยก