ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16 – หน้า 16 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16

บทที่ 15 บุปผางามบนกิ่งสูงใครชิงเด็ด

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” ผู้คนที่เหลือพลันได้สติ ชื่นชมโดยพร้อมเพรียง “ทักษะทางฉินของกงจู่สูงล้ำนัก!”

“ฉุนหรานฝีมืออ่อนด้อย ทำให้หูตาของทุกท่านเป็นมลทิน” ไป๋เฟิงซีนั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะวางฉิน เอ่ยคำอันฮว่าฉุนหรานพึงกล่าว แต่มือทั้งสองอดถูลำแขนที่ขนลุกชูชันไม่ได้

ทว่าเมื่อได้สดับวาจานี้แล้ว หวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็เป็นต้องสบตากัน กงจู่แห่งโยวโจวคนนี้ถึงกับมีกำลังภายในลึกล้ำยิ่ง มิฉะนั้นท่ามกลางเสียงอึงอล เสียงของนางไหนเลยจะยังใสชัดดั่งกระซิบข้างหูเช่นนี้ได้

“กงจู่ทรงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าตงเรา พวกเราเลื่อมใสมานาน ใคร่ได้ยลสิริโฉมของกงจู่กับตาสักครา แต่กลับมิรู้ว่าจะมีโชคหรือไม่” คนผู้หนึ่งพลันเสนอขึ้น

เมื่อวาจานี้หลุดออกไปก็มีเสียงสนับสนุนทันที “ใช่แล้ว ขอกงจู่โปรดให้พวกกระหม่อมได้ยลสิริโฉมสักคราเถิด! เขยแห่งโยวอ๋องมีได้เพียงผู้เดียว หากพวกกระหม่อมไม่ผ่านการคัดเลือก แต่ได้เห็นดวงพักตร์ของกงจู่สักครา เช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้ว!”

ในบรรดาผู้มาสู่ขอก็มีผู้มาเพียงเพื่อหวังจะได้ยลรูปโฉมวิลาสของคนงามสักครั้งอยู่ไม่น้อย

“ทุกท่าน หลังจากฉุนหรานคัดเลือกสามีแล้วก็ย่อมพบหน้ากับทุกท่านเอง ดังนั้นโปรดอดใจรอสักครู่เป็นอย่างไร” เสียงใสกังวานกลบเสียงอื้ออึงจนมิด ก้องไปทั่วทุกมุมของทะเลสาบหล่านเหลียน

“เช่นนั้นก็ขอกงจู่ทรงเร่งพระราชทานโจทย์เถอะ!” คนทั้งปวงเอ่ย

“ได้!” ไป๋เฟิงซีตอบเสียงดังลั่นท่าทางลืมตัว แล้วก็ต้องตกใจรีบยกมือปิดปาก แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าคนนอกศาลาจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางหรือก็ไม่ จึงเอนกายพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ส่วนน้ำเสียงยังคงสง่างาม “แต่ยังเยาว์ฉุนหรานก็ตั้งมั่นไว้ว่าจะเลือกสามีผู้บริบูรณ์ด้วยบุ๋นและบู๊ ด้วยเหตุนี้หากจะเป็นสามีของฉุนหราน จำต้องทำสองเรื่องให้บรรลุ”

“มีแค่สองเรื่องเองรึ เช่นนั้นหากทุกคนล้วนบรรลุได้จะทำเช่นไรเล่า”

ทุกคนได้ยินคำก็รู้สึกคล้ายกับง่ายดายถึงสิบส่วน จึงพากันตั้งปุจฉา

“ทุกท่านขอโปรดฟังฉุนหรานให้จบก่อน” ไป๋เฟิงซีลอบขบฟัน แอบผรุสวาทบุรุษใจร้อนเหล่านี้อยู่ในใจ ขนาดคนงามแซ่ฮว่ามิได้อยู่ที่นี่ยังลืมตัวกันถึงเพียงนี้ หากอยู่จริงขึ้นมาจะมิหนักข้อไปใหญ่หรือ “เรื่องแรกขอให้ทุกท่านกระโดดจากตำแหน่งที่ตนอยู่มายังแท่นไฉ่เหลียนนี้ ระหว่างทางสามารถแตะผิวน้ำเหยียบดอกไม้ยืมแรงข้ามทะเลสาบได้ แต่ห้ามใช้วัตถุสิ่งของอย่างอื่น ผู้ใดตกน้ำก็จะเสียสิทธิ์ทันที”

เมื่อวจีนี้ถูกเปล่งออก คนทั้งหลายก็พากันลุกขึ้นคะเนระยะห่างระหว่างตนและแท่นไฉ่เหลียน มองปราดเดียวก็ใบหน้าไร้สีไปในทันใด

จากศาลารายไปถึงแท่นไฉ่เหลียนอย่างน้อยก็ห่างไปเจ็ดจั้ง ยอดฝีมือในยุทธภพโดยทั่วไปหากฝึกวิชาตัวเบาจนถึงขั้นกระโดดคราเดียวได้สามสี่จั้งก็ถือสำเร็จวิชาขั้นสูงแล้ว ส่วนผู้ที่ฝึกได้ไกลถึงห้าหกจั้งก็เรียกได้ว่าเป็นขั้นเลิศ ส่วนผู้ที่ฝึกได้ไกลถึงเจ็ดจั้งก็น้อยจนงอนิ้วนับได้ ต่อให้สามารถแตะจอกแหนหรือดอกไม้ยืมแรงข้ามน้ำได้ ทว่าหลังจากเจ็ดจั้งนี้ยังมีแท่นไฉ่เหลียนสูงสามจั้งนั่นอีก

เช่นนี้ผู้ใดเล่าจะสามารถทำได้

ชั่วขณะนั้นในศาลาริมน้ำก็เกิดเสียงทอดถอนใจดังขึ้นตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง

ขณะที่ทุกคนกำลังลำบากใจอยู่นั้นเอง เสียงใสก็ดังขึ้นจากศาลากลางน้ำอีกครา “ในกาลก่อนซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจวในวัยสิบปีได้นิพนธ์ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ความสามารถสยบยอดขุนนางฝ่ายบุ๋น ฉะนั้นเรื่องที่สองฉุนหรานจึงขอให้ทุกคนใช้ ‘วิเคราะห์การปกครอง ณ แท่นไฉ่เหลียน’ เป็นหัวข้อ เขียนบทความที่เหนือล้ำกว่า ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ ภายในหนึ่งชั่วยาม” ไป๋เฟิงซีถูลำแขนอีกคำรบ รู้สึกเพียงว่าการเอ่ยวาจาเหล่านี้ชวนให้สั่นสะท้านยิ่ง “ผู้ที่สามารถทำสองเรื่องนี้ให้บรรลุได้จะได้เป็นสามีของฉุนหราน”

เมื่อเอ่ยเรื่องที่สองนี้ออกไป คนทั้งหลายก็ส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่อีกครา

ซีอวิ๋นกงจู่นิพนธ์ ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ เมื่อบทนิพนธ์นี้กำเนิดขึ้น ขุนนางบุ๋นอันดับหนึ่งแห่งชิงโจวก็ยอมศิโรราบ และแต่ไหนแต่ไรมาความรู้ของชาวชิงโจวก็นับว่าเป็นราชาแห่งหกแคว้น แม้ในผู้คนจำนวนนี้จะมีผู้ที่ทระนงในปัญญาความรู้ของตนอยู่ แต่เมื่อนึกถึงว่าต้องเขียนบทความที่ล้ำเลิศกว่าบทนิพนธ์ของซีอวิ๋นกงจู่ผู้มีอัจฉริยภาพเกริกก้องไปทั่วหล้าภายในหนึ่งชั่วยาม ก็ล้วนแต่ใจเต้นดั่งรัวกลอง

“ทุกท่านมีความมั่นใจว่าจะทำสองเรื่องนี้ให้บรรลุได้หรือไม่” ไป๋เฟิงซีนั่งฟังเสียงทอดถอนใจของผู้คนอย่างไม่อนาทรร้อนใจ สายตากวาดไปทางหวงเฉาและอวี้อู๋หยวน คนทั้งสองนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ท่าทางผ่อนคลายชื่นบาน

“ได้! ในเมื่อกงจู่ทรงเสนอ กระหม่อมหมิงเยวี่ยซานก็จะทุ่มเทสุดกำลังลองดูสักครา!” บุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกผู้หนึ่งโผนร่างขึ้นไปยืนอยู่บนราวกั้นของศาลาราย อาภรณ์พลิ้วไหว คิ้วคมคายดวงตาสุกใส โดดเด่นมิใช่ชั่ว

“ที่แท้ก็นายน้อยแห่งสกุลหมิง” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองคนผู้นั้นคราหนึ่งพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้นฉุนหรานก็จะรอต้อนรับการมาเยือนอยู่ตรงนี้”

“ประเสริฐ!” หมิงเยวี่ยซานคำรามลั่น จากนั้นก็ขยับแขนสำแดงกระบวนท่า ท่าร่างของเขาสง่าผ่าเผย กระโดดคราเดียวไกลถึงสี่จั้ง ระหว่างทางร่วงลงยังผิวน้ำ ปลายเท้าแตะโบตั๋น บุปผาจมลงสู่ทะเลสาบ ส่วนร่างของเขากลับทะยานสูง เหินตรงขึ้นสู่แท่นไฉ่เหลียน ทว่าเมื่อจวนจะได้ทิ้งร่างลงบนแท่น แรงส่งกลับหมดสิ้น ร่างดิ่งลงด้านล่าง ในเสี้ยววินาทีสำคัญเขาก็ยื่นฝ่ามือไปพาดบนเสาของศาลา จากนั้นยืมแรงส่งตัว ร่างจึงเหินขึ้นอีกครั้งแล้วทิ้งตัวลงบนราวกั้นของศาลากลางน้ำ

“ฝีมือยอดเยี่ยม!”

ผู้คนในศาลารายเห็นแล้วต่างก็ปรบมือชื่นชม กระทั่งหวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็พยักหน้ายิ้มน้อยๆ

“กงจู่ เยวี่ยซานแม้จะเหยียบลงบนแท่นไฉ่เหลียนได้ ทว่าสุดท้ายกลับจำต้องยืมแรงจากเสา เรื่องแรกนี้จึงนับว่าไม่ผ่านด่าน” หมิงเยวี่ยซานเอ่ยพลางกำหมัดคารวะเงาร่างหลังผ้าม่าน “เยวี่ยซานมาครั้งนี้หาได้เพ้อฝันอาจเอื้อมเป็นเขยแห่งโยวอ๋อง หวังเพียงแต่ได้ยลสิริโฉมงามล่มเมืองของกงจู่ ขอกงจู่ทรงให้พบสักครา เยวี่ยซานแม้ล้มเหลวก็ยังยินดี”

“นายน้อยหมิง” คนงามหลังม่านกระซิบเสียงแผ่วเบา “หลังจากท่านกระโดดครั้งแรกไกลสี่จั้งก็ยืมแรงจากดอกไม้กระโดดอีกสามจั้ง พอให้เห็นได้ว่าที่วิชาตัวเบาแหนครามข้ามวารีแห่งสกุลหมิงของท่านได้สมัญญาเป็นยอดวิชาแห่งยุทธภพหาใช่ชื่อเสียงอันปลอมเปล่า ทว่าพื้นรองเท้าของท่านเปียกจนสิ้น คิดว่าคงฝึกถึงเพียงขั้นที่เจ็ด หาไม่แล้วท่านต้องกระโดดได้จนครบห้าจั้งจึงค่อยยืมแรง เมื่อท่านไม่อาจบรรลุเงื่อนไขของฉุนหราน เช่นนั้นฉุนหรานจึงมิอาจพบกับท่านในเวลานี้ได้”

“ที่แท้กงจู่ก็ถ่องแท้ในวรยุทธ์เช่นกัน เยวี่ยซานละอายนัก” หมิงเยวี่ยซานน้อมกาย “เยวี่ยซานขอลาเพียงเท่านี้”

“ได้ ฉุนหรานขอส่งท่านครึ่งหนึ่ง”

ทันทีที่สิ้นคำก็เห็นเพียงม่านโปร่งบางในศาลาปลิวสะบัด หมิงเยวี่ยซานรู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังสายหนึ่งพัดเข้าใส่หน้า เขาผงะถอยตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าตนถอยมาถึงขอบศาลาแล้วก็รีบเดินลมปราณ สำแดงท่าร่างเหินเข้าริมฝั่ง ระหว่างทางคล้ายมีบางสิ่งดันจากด้านหลังให้เขาเคลื่อนไปข้างหน้า เพียงชั่วพริบตาก็กลับมาถึงศาลารายริมน้ำในตอนแรกได้อย่างราบรื่น

“กงจู่วรยุทธ์สูงล้ำถึงเพียงนี้ เยวี่ยซานขอศิโรราบ”

เวลานี้หมิงเยวี่ยซานรู้แล้วว่าวรยุทธ์ของกงจู่ในศาลากลางน้ำเหนือล้ำกว่าเขามาก ดังนั้นจึงยอมรับหมดหัวใจ ส่วนคนที่เหลือเมื่อเห็นว่านายน้อยสกุลหมิงซึ่งลือนามในยุทธภพด้วยวิชาตัวเบาก็ยังมิอาจทำได้สำเร็จ ก็ประเมินฝีมือของตนแล้วพากันระย่อ

“ฉุนหรานกงจู่ผู้นี้วรยุทธ์ล้ำเลิศขนาดนี้เชียวรึ” สายตาหวงเฉาจับนิ่งอยู่ที่แท่นไฉ่เหลียน

“ไฉนจึงมิเคยได้ยินมาก่อนเลย” อวี้อู๋หยวนก็เคลือบแคลงอยู่บ้าง

“ไม่ทราบทุกท่านมีผู้ใดใคร่ทดสอบวิชาตัวเบาอีกหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเกี่ยวผมปอยหนึ่งมาจับเล่นในมือ กระทั่งหมิงเยวี่ยซานยังไม่ไหว เช่นนั้นในบรรดาคนกลุ่มนี้นอกจากหวงเฉาและอวี้อู๋หยวนก็มิมีผู้ใดมีความสามารถถึงขั้นนี้แล้ว ส่วนหวงเฉานั้น…ไป๋เฟิงซีหัวเราะอย่างแผ่วเบา

คนทั้งหลายได้ยินเสียงกงจู่ถามแต่กลับไม่กล้าตอบ จะให้ตอบว่ามิมีผู้ใดแล้ว เช่นนั้นก็ขลาดเขลาเกินไป ครั้นจะตอบว่ามี ทว่าตนจะมีความสามารถเช่นนั้นก็หาไม่ ชั่วขณะนั้นจึงพากันนิ่งงัน

“แต่ยังเยาว์ฉุนหรานก็ตั้งมั่นไว้ว่าจะตบแต่งให้แก่วีรบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้า หากมิอาจบรรลุได้ ฉุนหรานก็ยอมเดียวดายจนแก่เฒ่า หากทุกท่านมิอาจข้ามทะเลสาบนี้ เห็นทีครานี้ฉุนหรานคงไม่อาจเลือกสามีได้เสียแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจากงจู่ ผู้คนก็อดร้อนใจมิได้ งานชุมนุมเลือกคู่ครั้งใหญ่หรือจะให้สิ้นสุดลงอย่างขลาดเขลาปานนี้?

“กงจู่ กระหม่อมซานเยี่ยเฉิงมีคำถามข้อหนึ่ง” บุรุษหนุ่มแต่งองค์อย่างผู้ชำนาญทางบุ๋นก้าวมาถึงหน้าราวกั้นแล้วส่งเสียงขึ้น

“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีมองคนผู้นั้นแวบหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นท่านอาจารย์ซานผู้โด่งดังแห่งเป่ยโจว มิทราบท่านมีสิ่งใดจะซักถามหรือ”

“โจทย์สองข้อที่กงจู่พระราชทานให้นั้นยากแท้ที่พวกกระหม่อมจะทำให้บรรลุได้ ดังนั้นจึงใคร่ขอถามกงจู่ว่าสองเรื่องนี้มีผู้ใดเคยทำได้หรือไม่ หากมิมีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นพวกกระหม่อมก็ต้องบังอาจสงสัยว่ากงจู่ทรงเพียงแต่ประสงค์จะกลั่นแกล้งพวกกระหม่อมเท่านั้น!” ซานเยี่ยเฉิงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ท่านอาจารย์ซานความคิดละเอียดลออยิ่ง! ทว่าฉุนหรานสามารถแจ้งแก่พวกท่านได้ว่าทั้งสองเรื่องนี้ล้วนแต่มีผู้ทำได้ ไม่นานมานี้ฉุนหรานได้ผูกไมตรีเป็นสหายกับคนผู้หนึ่ง แม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับสามารถกระโดดรวดเดียวจากศาลารายมาถึงแท่นไฉ่เหลียนได้โดยมิต้องยืมแรงจากสิ่งใด” เสียงอันลอดจากหลังม่านโปร่งบางฉายแววขบขันบางอย่าง

“คือผู้ใดรึ” หมิงเยวี่ยซานหลุดปากถามขึ้น วิชาตัวเบาของสกุลเขาเป็นหนึ่งในยุทธภพ แม้แต่เขายังยากจะข้ามทะเลสาบได้ แต่กลับมิรู้เลยว่าจะมีสตรีนางใดที่มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศถึงเพียงนี้

“ไป๋เฟิงซี” ไป๋เฟิงซีถูท่อนแขนอีกคำรบ ที่แท้ความรู้สึกเมื่อยกยอตัวเองก็เป็นเช่นนี้เอง

“เป็นนาง!” ทุกคนล้วนตกตะลึง จากนั้นก็พากันโล่งใจ

จอกสุราในมือหวงเฉาสั่นสะท้าน เมรัยกระฉอกออก

“ที่แท้ไป๋เฟิงซีก็อยู่ในโยวโจวจริง ดูท่าคงยังอยู่ในวังโยวอ๋องด้วยกระมัง” อวี้อู๋หยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง

“เช่นนั้นผู้ใดเขียนบทความที่เหนือล้ำกว่า ‘วิเคราะห์สิบนโยบาย ณ แท่นสังเกตการณ์’ เล่า” ใครคนหนึ่งถามขึ้น

ไป๋เฟิงซีถูแขนต่อไป คนงามแซ่ฮว่าคิดอันใดกันแน่จึงให้นางเอ่ยคำชวนหนาวสะท้านเช่นนี้ “ซีอวิ๋นกงจู่เมื่อครั้งอายุสิบห้าได้นิพนธ์ ‘ถกปณิธาน ณ บ่อน้ำพุชิงไถ’ ใต้เท้าเฉียนฉี่เจ้ากรมคลังแห่งแคว้นเราชื่นชมว่าทำนองแห่งอักษรยอดเยี่ยม เป็นยอดนิพนธ์อันหาได้ยากในแผ่นดิน ผู้ศึกษาในใต้หล้าต่างก็ท่องอ่านกันโดยทั่ว ทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

ผู้คนเงียบงันไปอีกครา

“สตรียังสามารถทำได้ พวกท่านเป็นบุรุษสูงเจ็ดเชียะแท้ๆ แต่กลับไม่อาจเทียบสตรี เช่นนี้ไหนเลยจะทำให้ฉุนหรานต้องใจได้” เสียงจากหลังม่านแฝงแววเย้ยหยัน “ทุกท่านล้วนแต่มองตนเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้มีความรู้ ควรได้หญิงงามเป็นคู่ครอง ฉุนหรานก็คิดว่าตนพร้อมด้วยรูปโฉมจึงควรได้ครองคู่กับวีรบุรุษและผู้มีความรู้ที่แท้จริง!”

“วาจาเดียวของกงจู่ทำให้เยี่ยเฉิงต้องม้วยด้วยความละอาย” ซานเยี่ยเฉิงผู้ฮึกเหิมลำพองแม้ไม่เต็มใจ แต่กลับมิอาจไม่ยอม

บรรดาเหล่าผู้ที่นึกว่าตนไม่ธรรมดาเหล่านั้น เมื่อหมิงเยวี่ยซานและซานเยี่ยเฉิงผู้โดดเด่นยังก้มศีรษะ ก็ย่อมประจักษ์อยู่แก่ใจว่าทุกคนล้วนแต่ไร้ความหวัง

“ทุกท่านแม้ไม่อาจเป็นสามีของฉุนหราน ทว่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนในแผ่นดิน ดังนั้นขอเชิญทุกท่านยังตำหนักใหญ่ เสด็จพ่อทรงให้ทุกท่านเข้าเฝ้าที่นั่น ทรงประสงค์อยากได้ผู้สามารถเป็นนักหนา จะต้องทรงมอบหน้าที่สำคัญแก่ทุกท่านเป็นแน่”

ขณะที่ทุกคนกำลังทดท้อ เหตุการณ์ก็พลันพลิกผัน เบื้องหน้าถึงกับเป็นอนาคตอันสว่างไสว

“ขอทุกท่านตามนางกำนัลไปยังตำหนักใหญ่เถิด”

ทันทีที่สิ้นเสียงตรงหน้าของแต่ละคนก็มีนางกำนัลผู้งดงามดังบุปผาเดินมาหาเพื่อนำทาง ทุกคนพากันลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทว่าก่อนจากกลับยังมิวายมองไปทางแท่นไฉ่เหลียนอย่างอาลัยอาวรณ์

“กงจู่ เมื่อครู่ตรัสว่าจะพบหน้ากับพวกกระหม่อมสักครา มิทราบว่า…” ในที่สุดก็มีคนใจกล้าถามขึ้น

“พบหน้าสักครากระนั้นหรือ ได้สิ”

ในเสียงใสกังวานเจือแววเสียดสีอยู่เลือนราง เมื่อสิ้นคำผ้าม่านโปร่งบางรอบแท่นไฉ่เหลียนก็ปลิวขึ้นดุจหมอกควัน เงาร่างบอบบางสายหนึ่งเหินออกมาจากด้านใน อาภรณ์ขาวราวหิมะ เส้นผมดำดุจหมึก ชายภูษาโบกสะบัด เงาร่างนั้นทิ้งตัวลงบนดอกโบตั๋นซึ่งลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้สุ้มเสียง นุ่มนวลประหนึ่งขนนก

 

“เยียนเจาเทิดคนเก่งยกกัวเหว่ย                     เรือนงามเอยทองคำเอยประทานให้

จวี้ซินจากแคว้นเจ้ามาน้อมไท                       โจวเหยี่ยนไซร้ตามมาขอภักดี

จนใจด้วยขุนนางผู้เป็นใหญ่                            เมินข้าไปดั่งเป็นเศษธุลี

มุ่งแต่ผลาญจินดาหลงโลกีย์                          เลี้ยงผู้มีสามารถด้วยแกลบดิน

จึงแจ้งจิตหวงหูผู้โผลา                                     เปลี่ยวเอกาพันลี้วนเวียนบิน”

 

เงาขาวในทะเลสาบขับขาน เรียบสง่าผุดผาด เสมือนหนึ่งเสียงบริสุทธิ์ในหุบเขาร้าง ปลายเท้านางแตะดอกไม้ ร่ายรำอ่อนช้อย มือเนียนขาวสะบัดน้อยๆ แขนเสื้อกว้างก็แผ่ขึ้นฟ้า บินเหินดั่งสกุณาตื่นไหว กระโดดดุจมังกรท่อง เส้นผมดำขลับยาวสลวยพลิ้วระบำประหนึ่งแพรไหม บดบังดวงหน้าหยกเอาไว้

ชั่วขณะนั้นคนทั้งหลายในศาลารายก็รู้สึกเพียงดวงตาพร่าพราย เห็นเงาร่างสีขาวซึ่งส่งเสียงขับขานร่ายรำอยู่กลางทะเลสาบอย่างชัดเจน แต่กลับมิอาจยลดวงหน้าผู้ที่อยู่กลางน้ำให้ถนัดตาได้ ทว่าลีลากรายบุปผาร่ายรำ หยัดกายเหนือสายธารดั่งนางอัปสรกลับสลักจารอยู่ในห้วงความจำของทุกคน หลายปีให้หลังมีผู้นำการเลือกคู่ของฉุนหรานกงจู่ไปแต่งเป็นนิทาน แพร่หลายสืบทอดไปยังอนุชนรุ่นหลัง แต่ต่อมาก็มีผู้กล่าวว่าฉุนหรานกงจู่ในวันนั้นแท้ที่จริงคือไป๋เฟิงซีปลอมแปลงตัวมา ฉุนหรานกงจู่ตัวจริงแม้รูปโฉมจะงามล่มเมือง ทว่าหาได้มีศิลป์ทางยุทธ์เลิศหล้าเช่นนั้นไม่

“พวกท่านได้เห็นแล้ว ขอเชิญยังตำหนักใหญ่เถิด ให้เสด็จพ่อทรงรอนานจะมิเป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ”

เมื่อเงาสีขาวขับขานจบ ร่างก็เหินขึ้นกลางเวหา สุดท้ายก็ทิ้งร่างลงยังศาลารายที่หวงเฉาอยู่

ครั้นวาจานี้เอ่ยออก แม้คนทั้งหลายจะแสนอาลัยก็มิกล้ารั้งอยู่ต่อ ชั่วครู่ก็เดินไปจนหมด แต่ใจลอบคิดว่าคนในศาลารายที่กงจู่ต้องใจคือผู้ใดกันแน่

และในศาลารายริมน้ำ ยามที่เงาร่างสีขาวทิ้งตัวลงเบื้องหน้าสายตา หวงเฉาและอวี้อู๋หยวนผู้เดิมทีนั่งสงบอยู่กับที่ก็พากันผุดลุกขึ้นยืนโดยมิรู้ตัว

สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่านหวงเฉา จากนั้นค่อยกวาดไปทางอวี้อู๋หยวน เพียงมองปราดแรกก็อดชื่นชมมิได้ มิน่าเล่าถึงได้สมัญญาเป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังไม่ต้องเอ่ยถึงรูปลักษณ์ภายนอก และไม่ต้องเอ่ยถึงท่วงท่ากิริยา แค่ดวงตาคู่ซึ่งประหนึ่งจะสามารถโอบอุ้มแผ่นดินได้ทั้งผืนนั่นก็ไร้ผู้ใดเทียบเทียมแล้ว ในดวงตานั้นปราศจากซึ่งความเห็นแก่ตัวและความมืดดำอย่างมนุษย์โดยสิ้นเชิง มีเพียงความอ่อนโยน สงบ และการุณย์ ราวกับหนองน้ำที่สงบสงัดราบเรียบที่สุดจากครั้งบรรพกาล

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ใครใดๆ ก็ล้วนแต่มีความบกพร่อง เฮยเฟิงซีสำอางเกินไป เสียความผุดผ่องเป็นธรรมชาติ หวงเฉาลำพองเกินไป เสียความสงบสมถะ ทว่าอวี้อู๋หยวนควรเป็นเซียนจากสุราลัยที่จะจรไปร่วมงานเลี้ยงชาวสวรรค์ที่สระทิพย์ แต่กลับมิรู้ว่าร่วงลงสู่โลกมนุษย์ด้วยเหตุใด

หวงเฉามองดรุณีอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาด้วยประกายตาเจิดจ้า เขาจ้องอยู่เนิ่นนาน เนิ่นนานยิ่งนัก สุดท้ายก็ไม่อาจข่มกลั้นความปรารถนาหนึ่งซึ่งไม่เคยบังเกิดมาก่อนได้ เขาเดินเข้าไปใกล้ไป๋เฟิงซี แล้วกระซิบอย่างแผ่วเบาประหนึ่งกำลังมอบสัตย์สาบาน “หากวันใดข้าได้ครองใต้หล้า ท่านยินดีเป็นฮองเฮาของข้าหรือไม่”

“ไม่ยินดี” คำตอบจะแจ้งเรียบง่าย ไม่มีแววละล้าละลังแม้เพียงเศษเสี้ยว แล้วเงาขาวก็ไหววูบ ขยับห่างออกมาสามก้าว

“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาได้ยินดังนั้นก็หามีโทสะสักนิดไม่ แค่หัวเราะลั่นอย่างแช่มชื่น “สตรีในใต้หล้าก็มีเพียงท่านที่ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้!”

อวี้อู๋หยวนมองสตรีตรงหน้าอย่างเงียบงัน

อาภรณ์ขาว เกศาดำ บริสุทธิ์เรียบง่ายดั่งสิงขรดำวารีขาวในภาพวาด

คิ้วยาว ดวงตาแย้มยิ้ม พวงแก้มเร้นความนัย ริมฝีปากแฝงความรู้สึก ดังโลกนี้หามีสิ่งใดย้อมแววระทมทุกข์ลงยังดวงหน้านั้นได้ไม่ มิมีผู้ใดสามารถทำให้ดวงตาสุกใสมีหมอกเศร้าปกคลุม รอยยิ้มดั่งบุปผานั้นก็ราวกับไม่มีวันลบเลือนเหือดหายไปตลอดกาล ประหนึ่งจะทอแววเฉิดฉายไปจวบจนสิ้นกาลสมัย

ทันใดนั้นเขาก็อยากจะปิดดวงตาทั้งคู่ของตนเสีย จะได้ไม่ถูกประกายผุดผาดของนางแผดผลาญให้ต้องทุกข์ทน รอยยิ้มสดใสปราศจากมลทินนั้นก็จะมิอาจกระทำให้หนองน้ำแห่งจิตอันวิเวกดุจบ่อโบราณต้องหวั่นไหว

“ไป๋เฟิงซี” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบาออกมาสามคำ

“ใช่แล้ว ข้าก็คือไป๋เฟิงซี ไม่ใช่ฮว่าฉุนหราน” ไป๋เฟิงซียิ้มเจิดจ้า สายตาเคลื่อนผ่านหวงเฉา “บทเพลงที่ข้าร้องเมื่อครู่ไพเราะหรือไม่”

“ไพเราะ” หวงเฉายกกาสุราขึ้น รินสามจอกจนเต็ม

“บทเพลงของข้าร้องให้พวกท่านฟังนะ” นางยื่นมือไปคว้าจอกใบหนึ่งมา จากนั้นก็เหินร่างไปด้านหลัง นั่งลงบนราวกั้น “ตีเสียว่าเป็นการขอบคุณที่ครั้งก่อนท่านเลี้ยงอาหารข้า”

อวี้อู๋หยวนมองสุราในมือ แล้วก็มองไป๋เฟิงซี ดวงตาที่ใสนิ่งเสมอมายามนี้มีหมอกหนาปกคลุม พึมพำเบาๆ ว่า “ ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ ที่แท้แล้วเป็นความจริง”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะขึ้น สดชื่นเบิกบานดุจสายธารซึ่งไหลหลั่งจากร่องเขา

“ขอเพียงผู้ใดอยู่กับท่านก็จะยิ้มชื่นบานได้จนแก่เฒ่าใช่หรือไม่” หวงเฉามองนาง เขาหาเคยพบผู้ใดซึ่งยิ้มได้อย่างผ่อนคลายเป็นธรรมชาติเช่นนี้ไม่

“มิได้” ไป๋เฟิงซีหุบยิ้ม หมุนจอกสุราในมือ “หวงซื่อจื่อ ท่านควรรู้ว่าสิ่งที่ข้าทำในวันนี้อาจทำให้ท่านเสียโยวโจวไปกึ่งหนึ่ง เช่นนี้ท่านยังยิ้มออกอีกหรือ”

ดวงตาหวงเฉาไหววูบ จากนั้นถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากวันนี้ข้าสามารถได้ท่านเป็นภรรยา เช่นนั้นก็วิเศษกว่ากึ่งหนึ่งของโยวโจว!”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะลั่นอีกครา “เมื่อโยวโจวเชื้อเชิญท่านมาชมความครึกครื้น ณ ที่แห่งนี้ ก็ย่อมต้องมีความนัยลึกซึ้ง เพียงมิรู้ว่าหวงซื่อจื่อมาสู่ขอครั้งนี้มีความเชื่อมั่นกี่ส่วน”

“เดิมมีเพียงห้าส่วน ทว่าต่อมาข้าก็คิดว่ามีสิบส่วน” หวงเฉากล่าวขณะมองสุราที่เต็มปริ่มในจอก

“เพราะหลันซีกงจื่อแห่งยงโจวยังมามิถึงกระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีขยิบตา ยิ้มอย่างมีเลศนัยถึงสิบส่วน “แต่คู่มือของท่านหาได้มีเพียงผู้เดียวนะ”

“นอกจากหลันซีกงจื่อ ในโลกนี้ยังมีผู้ใดเป็นคู่มือของข้าได้อีก” หวงเฉาไม่คิดว่าโลกนี้จะมีคู่มือผู้ที่สอง

“ผู้เย่อหยิ่งทะนงตนเกินเหตุมักจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและน่าอเนจอนาถ” ไป๋เฟิงซีขยับมือ ของเหลวในจอกก็พุ่งตรงเป็นสายดั่งลูกเกาทัณฑ์เข้าหาหวงเฉา

“ผู้มีความเชื่อมั่นจึงจะมีสิทธิ์เย่อหยิ่ง” จอกสุราในมือหวงเฉาก็ปล่อยศรน้ำสายหนึ่งเข้าใส่นางเช่นกัน

ซ่า! ศรน้ำสองสายปะทะกันกลางทาง ต่างกลายเป็นหยาดน้ำนับพันนับหมื่นหยด

“หวงซื่อจื่อ อันมนุษย์ควรทำตนเป็นถ้วยเปล่าดุจหุบเขา” ไป๋เฟิงซีสะบัดแขนเสื้อ หยาดน้ำเหล่านั้นก็ถูกพัดไปทางหวงเฉาจนสิ้น

“เย่อหยิ่งอันจริงแท้ย่อมน่าชื่นชมกว่าอ่อนน้อมอันจอมปลอม” หวงเฉายกแขนเสื้อขึ้นโบก กำแพงปราณชั้นหนึ่งก็สกัดหยดน้ำทั้งหมดที่ปลิวมาหาเขาไว้

ครั้นแล้วหยดน้ำที่น่าสงสารเหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นไอไปภายใต้การปะทะของกำลังภายในอันลึกล้ำหนักแน่นระหว่างไป๋เฟิงซีและหวงเฉา

“ทั้งสองท่านมิสู้นั่งลงเถิด” อวี้อู๋หยวนโบกมือ แล้วไอหมอกที่กางกั้นระหว่างทั้งสองก็ปลิวไปทางผิวทะเลสาบ

“ก็ได้” ไป๋เฟิงซีปรบมือแล้วนั่งลง “หวงซื่อจื่อมาครานี้มุ่งมั่นว่าจะครอบครองคนงามแซ่ฮว่าให้ได้ใช่หรือไม่”

“แม่นางเฟิงเห็นเช่นไร” หวงเฉาก็นั่งลงดุจเดียวกัน

“ท่านยังคงมีโอกาสเพียงห้าส่วน” ไป๋เฟิงซียกมือเสยผมยาว ดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์ “การเลือกคู่ครั้งนี้เรียกได้ว่าโยวอ๋องรวบรวมยอดคนจากทั่วแผ่นดิน ต่อไปหวงซื่อจื่อต้องทุ่มเทความคิดให้มากแล้ว”

วาจานี้มีความนัยแฝงเร้น หวงเฉาย่อมฟังออก ความคิดเขาพลิกหมุน ถามขึ้นว่า “มิทราบแม่นางเฟิงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”

“เพราะข้ารับปากช่วยเป็นธุระให้ผู้อื่น” สายตาไป๋เฟิงซีเลยไปทางอวี้อู๋หยวนผู้รินเองดื่มเองอยู่ด้านข้าง

“ช่วยผู้ใดหรือ เฮยเฟิงซี?” ประกายตาหวงเฉาแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ

“เขา นาง ท่าน” ไป๋เฟิงซีงอนิ้วนับ “คราเดียวสามชั้นเชียวล่ะ มิได้ลำเอียงช่วยผู้ใดมากไปกว่ากัน ยอดเยี่ยมนัก”

“แม่นางเฟิงก็ช่วยข้าด้วยหรือ” หวงเฉาเลิกคิ้ว

“บรรดา ‘วีรบุรุษยอดคน’ เมื่อครู่ล้วนถูกข้าขับไสไปสิ้นแล้ว นี่มิเท่ากับช่วยตัดคู่แข่งให้ท่านไปตั้งมากหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซียิ้มละไมมองหวงเฉาพร้อมกับเอ่ยขึ้น มือก็ยื่นออก “ข้าดีกับท่านมากใช่หรือไม่” ท่าทางนั้นคล้ายกับเด็กน้อยประสงค์ได้ลูกกวาดที่กำลังออดอ้อน

“ดีมาก” หวงเฉาพยักหน้า “กล่าวเช่นนี้ข้าคงต้องขอบคุณแม่นางเฟิงสินะ”

อวี้อู๋หยวนที่ฟังคำสนทนาของทั้งคู่มาโดยตลอดอดหัวเราะเบาๆ มิได้ หวงเฉาผู้ปกติมีแต่ให้ผู้อื่นเชื่อฟังตน ยามนี้ทั้งวาจาและพฤติกรรมล้วนแต่เดินตามไป๋เฟิงซี

ไป๋เฟิงซีได้ยินเสียงหัวเราะของเขาจึงหันมามอง มองอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องเรียกอย่างแผ่วเบาว่า “อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนเหลือบตาขึ้น “แม่นางเฟิงมีสิ่งใดจะกำชับหรือ”

“ข้ายินมาว่าในเมืองหลวงแห่งโยวโจวมีภูเขาเทียนจือ (ค้ำฟ้า) บนเขานั้นมียอดหนึ่งนามว่า ‘เกาซาน’ และมี ‘ศาลาหลิวสุ่ย’ ” ไป๋เฟิงซีจ้องตาเขาแล้วเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว” อวี้อู๋หยวนก็ประสานสายตากับนางในลักษณะเดียวกัน

“เช่นนั้นคืนพรุ่งนี้เราขึ้นเขาไปเยี่ยมชมเสียหน่อยเป็นอย่างไร” ไป๋เฟิงซียิ้มชดช้อย

“เยี่ยม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า

หวงเฉามองคนทั้งสองแล้วอดถามไม่ได้ว่า “แม่นางเฟิงเชิญเพียงอู๋หยวนผู้เดียวหรือ”

“หวงเฉา” ไป๋เฟิงซีหันหน้ามามองเขาด้วยรอยยิ้มชดช้อย

“หืม” หวงเฉาได้ยินนางเรียกชื่อตนโดยตรง ดวงตาก็เป็นประกายทันใด

“ข้าจะไม่เชิญท่านนี่ แล้วจะอย่างไร” ไป๋เฟิงซีทำตาปริบๆ ขณะที่หวงเฉาทำหน้าอึ้งค้างอยู่นั่นเอง นางก็พลิ้วร่างออกจากศาลารายไป ปลายเท้าแตะผกาบนผิวน้ำ พริบตาเดียวก็เหินลับไปจากทะเลสาบหล่านเหลียน พ้นไปจากตำหนักจินหวา เหลือเพียงเสียงซึ่งดังมาจากที่อันห่างไกลว่า “ข้าไม่เชิญท่าน ท่านก็ทำอันใดข้าไม่ได้นี่…”

“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะของอวี้อู๋หยวนดังลอดออกมาจากศาลา

ส่วนหวงเฉาได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ “สตรีเช่นนี้…น่าเสียดาย”

 

ณ ห้องอักษรทิศใต้ ตำหนักจินเสิง

“ฮิๆๆ ลูกชนะแล้ว!” เสียงหัวเราะชื่นบานของฮว่าฉุนหรานดังลอดออกมา

“ก็ได้ๆ เจ้าชนะอีกแล้ว” โยวอ๋องมองกระดานหมากพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ

“เสด็จพ่อ ครานี้จะพระราชทานสิ่งใดเป็นรางวัลแก่ลูกเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเขย่ามือโยวอ๋องอย่างน่าเอ็นดู

“ฮ่าๆๆๆ…” โยวอ๋องตบมือบุตรสาว “ครั้งนี้มอบสามีให้เป็นอย่างไร”

“เสด็จพ่อทรงล้อลูกอีกแล้ว” ฮว่าฉุนหรานผินกายหนีอย่างไม่คล้อยตาม

“ฉุนหราน” โยวอ๋องดึงบุตรีเข้ามา “เจ้าชอบเฮยเฟิงซีผู้นั้นมากจริงๆ หรือ”

ฮว่าฉุนหรานได้ยินคำก็ก้มศีรษะ ฟันขาวเกลี้ยงขบริมฝีปากแดงฉ่ำเบาๆ พวงแก้มหยกมีโลหิตเปล่งปลั่ง ท่าทีชวนพิสมัยอย่างดรุณีที่ขวยอาย

“เรื่องนี้มีอันใดต้องอายกัน” โยวอ๋องลูบศีรษะบุตรีพร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อนโยน “บุรุษเติบใหญ่ต้องมีเหย้า สตรีเติบใหญ่ต้องออกเรือน นี่เป็นเรื่องที่ชีวิตคนเราต้องผ่าน”

“เสด็จพ่อ ลูก…ลูก…” เสียงฮว่าฉุนหรานเบาอย่างยิ่ง จนแล้วจนรอดก็กระดากไม่กล้าเอ่ยตามตรง นางซุกศีรษะเข้ากับอกบิดาเพื่ออำพรางรอยแดงระเรื่อบนใบหน้าและเพื่ออำพรางแววยิ้มในดวงตา

“เอาล่ะ เจ้าไม่พูดพ่อก็รู้ความในใจของเจ้า” โยวอ๋องตระกองกอดบุตรสาวสุดรักในอ้อมอก ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมอยู่พอควร “เฮยเฟิงซีผู้นั้น วันก่อนพ่อเรียกให้เข้าเฝ้าแล้ว ทั้งสติปัญญาและรูปโฉมหาได้ยากโดยแท้ แต่ว่า…” เขาชะงักไว้ไม่เอ่ยต่อ

“เสด็จพ่อ” ฮว่าฉุนหรานเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกโยวอ๋อง พอเห็นสีหน้าบิดายามนี้จริงจัง ในใจก็รู้ได้ว่าไม่เข้าการแล้ว

“ฉุนหราน เจ้าเห็นว่าเฮยเฟิงซีผู้นั้นเป็นบุคคลระดับใด” โยวอ๋องโพล่งถามบุตรี

“เสด็จพ่อก็ตรัสเองว่าทั้งสติปัญญาและรูปโฉมหาได้ยากโดยแท้มิใช่หรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานมองโยวอ๋อง “ลูกมองว่าเขาเป็นอัจฉริยะแห่งยุคที่หาได้น้อยยิ่ง”

“ฉุนหราน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นเด็กฉลาด สายตาที่ดูคนก็ล้ำเลิศถึงสิบส่วน แต่ว่า…แต่ว่าเฮยเฟิงซีผู้นี้ พ่ออยู่มาหลายสิบปี รู้จักคนมากมายเหลือคณา แต่กลับไม่เคยพบบุคคลเช่นนี้ ซ้ำยังมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนเช่นไรกันแน่” โยวอ๋องมองบุตรี สีหน้าจริงจังถึงที่สุด

“หรือเขา…มีอันใดไม่เหมาะสมหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานเห็นสีหน้าบิดาเยี่ยงนี้ก็กังวลขึ้นมาทันที

“เขาไม่มีตรงใดไม่ดี กลับกัน เรียกได้ว่าดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่ว่า…” โยวอ๋องหวนนึกถึงวันนั้นที่ได้พบเฮยเฟิงซี เป็นชาวยุทธ์สามัญผู้หนึ่ง แต่กลับมีบุคลิกสุขุมสูงสง่า กระทั่งเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างเขายังรู้สึกด้อยกว่าอีกขั้น ราวกับว่าอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นอ๋อง ส่วนเขากลับกลายเป็นสามัญชนต่ำต้อย

เขามีชีวิตอยู่มาหลายปี ดวงตาพอมีแววอยู่บ้าง รัศมีชนิดนั้นบนร่างของเฮยเฟิงซี เขาเคยพบบนตัวหวงเฉาผู้เป็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวเท่านั้น หวงเฉาสูงศักดิ์เป็นหน่อเนื้อเชื้ออ๋อง มีรัศมีเยี่ยงนั้นก็สมควรต้องตามเหตุผล ทว่าเฮยเฟิงซีเป็นไพร่สามัญ…คนผู้นั้นชวนให้ระแวดระวังยิ่งกว่าหวงเฉา หากหวงเฉาคือกระบี่ล้ำค่าที่ดึงจากฝัก ประกายเจิดจ้าคมกริบไร้เปรียบปาน แต่ค่าที่มันออกจากฝักแล้ว ทำให้ผู้คนมองปราดเดียวก็เห็นได้ชัดแจ้ง สามารถป้องกันหลบหลีกได้ ส่วนเฮยเฟิงซีผู้นี้เปรียบได้กับมังกรเร้นกายในวังน้ำลึก ซ่อนงำไม่เผยโฉม ทว่าทันทีที่ปรากฏจะต้องทำให้ฟ้าสะท้านดินสะเทือน!

“เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อ?” ฮว่าฉุนหรานเห็นโยวอ๋องเหม่อลอยจึงอดส่งเสียงเรียกมิได้

“หืม” โยวอ๋องได้สติ เขามองบุตรสาวคนโปรด จากนั้นก็พูดว่า “ฉุนหราน หากเจ้าจะเลือกเฮยเฟิงซีเป็นสามี พ่อก็ไม่คัดค้าน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัจริยบุคคลที่หาได้ยากจริงๆ ทว่า…พ่อมีคำพูดหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะรับฟัง”

“เสด็จพ่อโปรดตรัสบอกลูกด้วย” ฮว่าฉุนหรานแนบดวงหน้าลงบนตักโยวอ๋อง

“ยามนี้แผ่นดินอยู่ในกลียุค แคว้นอื่นๆ หามีผู้ใดมิขยายดินแดนเข้าสู่ราชอาณาเขต ทั้งอาณาเขตและความเข้มแข็งของแคว้นเพิ่มขึ้นกว่ากาลก่อนอย่างมิอาจเทียบได้ มีเพียงโยวโจวเราเท่านั้น แม้กล่าวว่ามั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น ทว่าถูกบีบอยู่ระหว่างชิงโจวและจี้โจว จนบัดนี้ดินแดนจะงอกเงยสักชุ่นก็หาไม่ หลายปีมานี้พ่อออกทำศึกกับจี้โจวและชิงโจวอยู่หลายหน แต่ก็ล้วนกลับมามือเปล่า หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไปเกรงว่าปณิธานยิ่งใหญ่ในอกพ่อไม่เพียงจะกลายเป็นความเพ้อฝัน แต่โยวโจวเราช้าหรือเร็วก็จะถูกจี้โจวและชิงโจวผนวกรวม” กล่าวถึงตรงนี้โยวอ๋องก็อดกำหมัดแน่นมิได้ “หากเอ่ยถึงความสามารถและรูปโฉม ซื่อจื่อแห่งจี้โจวไม่ด้อยไปกว่าเฮยเฟิงซี ทว่าหากดองกับจี้โจว ทั้งสองแคว้นก็จะเป็นพันธมิตรกัน อีกทั้งหวงซื่อจื่อเดินทางมาสู่ขอครานี้ก็เคยสัญญาจะช่วยตีชิงโจว หากได้กองทัพชิงฟ้ามาเกื้อหนุน ชิงอ๋องเฟิงสิงเทาไหนเลยจะเป็นคู่มือของพ่อ ยามนั้นชิงโจวจะเป็นดั่งวัตถุในย่ามที่จะฉวยเอาเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น…”

“ดังนั้นเสด็จพ่อทรงประสงค์ให้ลูกเลือกหวงซื่อจื่อเป็นสามี ใช่หรือไม่เพคะ” วาจาโยวอ๋องยังไม่ทันจบก็ถูกฮว่าฉุนหรานต่อให้

“พ่อตั้งใจเช่นนั้น ฉุนหราน…” โยวอ๋องเพิ่งอ้าปากก็เห็นบุตรสาวรักบนตักหลั่งน้ำตานองเสียแล้ว เขาพลันร้อนใจ “ฉุนหราน เจ้าอย่าร้องไห้ซี”

“เสด็จพ่อ ในพระทัยของเสด็จพ่อมีเพียงโยวโจว มีเพียงปณิธานยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีลูกอยู่เลยหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานยกมือขึ้นปาดหางตาเบาๆ สีหน้าหม่นหมองไปถนัดใจ

“ฉุนหราน อย่าร้องไห้เลย” โยวอ๋องเห็นน้ำตาบุตรีเข้าก็ใจอ่อนยวบ แผนการยิ่งใหญ่เบื้องหน้ามลายหายไปชั่วคราว หวังเพียงให้บุตรสาวสุดโปรดหยุดร่ำไห้ “ฉุนหราน พ่อก็แค่เสนอ ยังมิได้กำหนดแน่นอน เจ้านิ่งเสียเถิด”

ฮว่าฉุนหรานสะอึกสะอื้น “ลูกก็แค่อยากจะแต่งให้แก่ผู้ที่พึงใจ และผู้ที่ลูกพึงใจนี้ก็สามารถช่วยเสด็จพ่อในแผนการใหญ่ได้ดุจเดียวกัน แต่เหตุใดเสด็จพ่อจึงทรงไม่ให้ลูกได้สมประสงค์เล่า แต่เล็กมาลูกก็ไม่เคยอ้อนวอนขอสิ่งใด ทว่าครั้งนี้ ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น…ฮือๆๆ…”

“เอาล่ะๆ ฉุนหราน เจ้าอย่าร้องไห้เลย พ่อรับปากเจ้า เรื่องสามีให้เจ้าตัดสินใจเอง เจ้าอยากเลือกผู้ใดก็เลือกผู้นั้น พอใจหรือยัง” โยวอ๋องตระกองกอดบุตรีพร้อมกล่าวปลอบโยน

“จริงหรือเพคะ” ฮว่าฉุนหรานแหงนหน้ามองโยวอ๋อง

“จริงซี!” โยวอ๋องพยักหน้า ลอบคิดในใจว่าไม่แน่เฮยเฟิงซีนั่นอาจจะเหมาะเป็นเขยอ๋องแห่งโยวโจวยิ่งกว่าหวงเฉาก็เป็นได้

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานยิ้มชื่นบานทันตาเห็น

“เฮ้อ บางครั้งพ่อก็เคยคิดว่าหรือใต้หล้านี้จะเทียบไม่ได้กับน้ำตาของเจ้า?” โยวอ๋องมองบุตรสาวพลางถอนใจ

“ในโลกนี้เสด็จพ่อเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก” ฮว่าฉุนหรานกอดบิดาไว้ด้วยความซาบซึ้ง กล่าวคำหวานอันแปดส่วนจริงสองส่วนปลอมว่า “ลูกกับสามีจะช่วยเสด็จพ่อชิงใต้หล้ามาให้จงได้เพคะ”

“อืม ยังคงเป็นฉุนหรานของข้าที่ว่าง่ายที่สุด” โยวอ๋องกอดบุตรสาวไว้

“เสด็จพ่อ บัดนี้ควรไปตำหนักจินหวาให้ยอดคนจากแคว้นต่างๆ เข้าเฝ้าได้แล้วกระมัง” ฮว่าฉุนหรานเห็นเรื่องบรรลุตามเป้าประสงค์ของตนแล้วก็ประคองโยวอ๋องขึ้น “ดูสิเพคะ ครานี้ลูกเฟ้นหาผู้มีความสามารถมาให้เสด็จพ่อไม่น้อยเลยมิใช่หรือ”

“ใช่แล้ว ยังคงเป็นฉุนหรานของข้าฉลาดที่สุด” โยวอ๋องแตะพวงแก้มบุตรีอย่างรักใคร่ “พ่อจะไปตำหนักจินหวาเดี๋ยวนี้ เจ้าก็กลับไปพักผ่อนให้สติแจ่มใสเถิด วันมะรืนพ่อจะเลี้ยงรับรองหวงซื่อจื่อ เฟิงกงจื่อ อวี้กงจื่อ แล้วก็ไป๋เฟิงซีผู้นั้นของเจ้า รวมถึงผู้มีความสามารถที่มาคัดเลือกในวันนี้ด้วย ถึงเวลานั้นเจ้าก็นำพู่กันทองของเจ้ามาเลือกสามีเถิด”

“ลูกน้อมส่งเสด็จพ่อ!” ฮว่าฉุนหรานมองส่งแผ่นหลังที่จากไปของโยวอ๋อง ดวงหน้าเผยรอยยิ้มบาง ในดวงตาฉายแววสมใจ

แม้นางจะเกิดมาเป็นสตรี จึงไม่อาจครอบครองตำแหน่งสูงสุดได้ ทว่าขอเพียงควบคุมผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดเอาไว้ได้ ขอเพียงยึดที่หนึ่งในหัวใจของผู้มีอำนาจสูงสุดไว้ให้มั่นคงได้ เช่นนั้นในโยวโจวนี้ไปจนกระทั่งทั่วหล้าก็ไม่มีสิ่งใดที่นางไม่อาจทำได้แล้ว

ในเมื่อวันนี้สามารถทำให้ท่านพ่อยอมตกลงให้เฮยเฟิงซีเป็นสามีของนางได้ เช่นนั้นกาลข้างหน้านางก็จะสามารถทำให้เขาขึ้นสืบตำแหน่งอ๋องได้เป็นแน่ และบางที…อาจเป็นจริงดังคำเสด็จพ่อ ได้ครองใต้หล้า เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นฮองเฮาอันเป็นตำแหน่งสูงสุดของสตรี!

 

“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว

หยางหลิวมากสิเน่หา

ข้าฝ่าทวนกระแสมา

จูงมือพี่ยาผู้เดียว…”

 

ฝั่งใต้ของเมืองหลวงโยวโจวมีจวนหลังหนึ่ง จวนหลังนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทว่าสวยสง่าและประณีตถึงสิบส่วน บัดนี้มีเสียงขับขานลอดมาจากสวนดอกไม้ เสียงขับขานนั้นแม้จะแผ่วเบา ทว่าจิตใจอันแช่มชื่นของผู้ขับกลับฉายออกมาจนหมดสิ้น

“เรื่องอันใดกันทำให้เจ้าเบิกบานถึงขนาดนี้” เฮยเฟิงซีผลักประตูเข้ามาก็เห็นไป๋เฟิงซีนั่งอยู่ใต้ต้นท้อ ยื่นมือจับผีเสื้อขาวตัวหนึ่ง

“ฮิๆ…วันนี้ข้าได้พบกับอวี้อู๋หยวนแล้ว” ไป๋เฟิงซีหันหน้ากลับมายิ้มให้เขา “อวี้กงจื่อผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้ายอดเยี่ยมกว่าจิ้งจอกดำอย่างเจ้ามากนัก ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลย”

ฝีเท้าที่ก้าวไปทางเรือนตะวันออกของเฮยเฟิงซีพลันชะงัก เขาเหลียวหน้ากลับไปมองไป๋เฟิงซี แล้วก็เห็นเพียงนางเชิดหน้าน้อยๆ ยิ้มมองดอกท้อ

ไป๋เฟิงซีนั้นยิ้มเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ทว่ารอยยิ้มเช่นนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน รอยยิ้มของนางโดยมากจะเป็นการยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มล้อเลียน ยิ้มเย็นชา ยิ้มเหลวไหล แต่ยิ้มในเวลานี้กลับลบเหลี่ยมมุมทั้งหมดไปจนสิ้น เป็นยิ้มแห่งความสุขแท้ๆ สีหน้านางปรีดา มุมปากเม้มน้อยๆ ทั่วทั้งร่างสดชื่นเปล่งปลั่งและอ่อนโยน ในท่วงท่าเรียบง่ายเป็นธรรมชาติแฝงอารมณ์หวานละมุน

“อวี้อู๋หยวน?” เฮยเฟิงซีหมุนร่างกลับมา บนหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ “เขาเป็นพวกเดียวกับหวงเฉากระมัง”

“ใช่” ไป๋เฟิงซีลุกขึ้น ก้าวเข้ามาหาเฮยเฟิงซี พิจารณาเขาทั้งบนล่างซ้ายขวาหนึ่งรอบ “จิ้งจอกดำ ที่แท้ในโลกนี้ยังมีบุรุษเช่นนั้นอยู่ด้วย แตกต่างจากเจ้าโดยสิ้นเชิง เจ้าวางอุบายคนทั่วหล้า ส่วนเขาน่ะหรือ…” นางเอียงศีรษะ ดวงหน้าผุดยิ้มพริ้มเพราที่งามล้ำกว่าดอกท้อ “เขากลับคิดคำนวณเพื่อคนทั่วหล้า…”

“เจ้า…” เฮยเฟิงซีพินิจนางอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ยกนิ้วจิ้มหน้าผากนาง ปลายนิ้วแตะลงยังอลงกรณ์จันทร์เสี้ยวที่หว่างคิ้ว “หรือว่าเจ้า…” วาจาที่เหลือกลับไม่เอ่ยออกมา แค่จับจ้องนางเขม็ง ในดวงตาฉายแววประหลาดสุดคาดเดา

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแล้วถอยร่างออกมา มือชี้ทางตะวันตก “เฟิ่งคนงามรอเจ้า เรียกได้ว่ากระวนกระวายจนนั่งไม่ติดแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าควรไปเยี่ยมนางสักหน่อยหรือ อีกอย่าง…” นางพลันลดเสียงเบา แววตาเจ้าเล่ห์ “เจ้าไม่รู้สึกว่าควรปลอบประโลมนางสักหน่อยหรือ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าจะทำต่อไปก็จะทำร้ายหัวใจของนางนะ”

ขณะกล่าวประตูเรือนตะวันตกก็เปิดออก เฟิ่งชีอู๋ที่กอดพิณผีผาไว้ในอกก้าวออกมา

“แม่นางเฟิง ท่านหัวเราะอย่างเบิกบานเช่นนี้ มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ” สายตาเฟิ่งชีอู๋เหลือบผ่านเฮยเฟิงซี ในดวงตาเฉยชาทอแววอ่อนโยนชั่วขณะ

“ใช่แล้ว มีเรื่องน่ายินดี!” ไป๋เฟิงซีกวาดตาไปทางเฮยเฟิงซี

“อย่างนั้นหรือ” เฟิ่งชีอู๋กลับไม่ถามต่อ สายตาทอดมองเฮยเฟิงซี “กงจื่อมิได้กลับมาหลายวัน วันนี้ชีอู๋เพิ่งแต่งทำนองใหม่ได้เพลงหนึ่ง ชีอู๋ร้องให้กงจื่อและแม่นางเฟิงฟังดีหรือไม่”

“เอาซี!” ไม่รอให้เฮยเฟิงซีตอบ ไป๋เฟิงซีก็ปรบมือร้องขึ้น

เฟิ่งชีอู๋ทรุดกายลงบนม้านั่งศิลากลางสวน มือกรีดพิณผีผา เอื้อนสำเนียงขับขาน

 

“กล้วยไม้ชูใบพร่างกลางวสันต์             กุ้ยเฉิดฉันขาวสล้างกลางเดือนสารท

เปี่ยมชีวาด้วยหมู่บุปผชาติ                       ย่อมวิลาสตามฤดูในหมู่ตน

ใครแจ้งจิตผู้เร้นกายด้วยพนา                   อิ่มอุราสุคนธามากับลม

ไม้ใบหญ้ามีใจใช่ทื่องม                            ไยง้อท่านเด็ดชมให้ตรมทรวง”

 

“ช่างเป็น ‘ไม้ใบหญ้ามีใจใช่ทื่องม ไยง้อท่านเด็ดชมให้ตรมทรวง’ ที่เยี่ยมนัก!”

ไป๋เฟิงซีสดับแล้วถอนใจอย่างสะทกสะท้อน สายตามองไปทางเฮยเฟิงซีอย่างมีความนัยลึกซึ้ง กลับเห็นเขาใจลอยอย่างหาได้ยาก คิ้วขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังขบคิดถึงปัญหาอันตึงมือ

คล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เฮยเฟิงซีเหลือบดวงตาขึ้นมองนาง เป็นครั้งแรกที่นางไม่อาจจับสิ่งใดได้เลยจากนัยน์ตาดำขลับอันลึกล้ำคู่นั้น…

 

วันถัดมาในยามเช้าตรู่ ไป๋เฟิงซีก็ลุกจากเตียงแต่เช้าอย่างหาได้น้อยครั้งยิ่ง

“ผู่เอ๋อร์…ผู่เอ๋อร์! ถ้าเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะไม่พาเจ้าไปเที่ยวแล้วนะ!”

“ข้าตื่นแล้ว พี่สาว! วันนี้ท่านจะพาข้าไปเที่ยวที่ใดหรือ” หานผู่กระโดดโลดเต้นเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง

“เราไปตามทางเรื่อยๆ เห็นที่ใดน่าสนุกก็ไปเล่น” ไป๋เฟิงซีเป็นเช่นนี้เสมอมา

“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด” หานผู่คว้ามือนางได้ก็บ่ายหน้าออกไปข้างนอก

ทันทีที่ไป๋เฟิงซีและหานผู่ออกนอกประตูไป ประตูเรือนตะวันออกก็เปิดออก เฮยเฟิงซีก้าวออกมา มองแผ่นหลังผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ดวงหน้าคมคายสงบสง่าพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

“กงจื่อ รถม้าพร้อมแล้วขอรับ” จงหลีเข้ามารายงาน

เฮยเฟิงซีได้ยินแล้วกลับไม่ขยับ เขาครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นถึงสั่งว่า “ไม่ต้องใช้รถม้าแล้ว” สิ้นเสียงก็เดินออกนอกจวนไป จงหลีและจงหยวนรีบติดตามไปด้านหลัง

เมืองหลวงแคว้นโยวโจวมิเสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่เจริญและพลุกพล่านที่สุด แต่เช้าตรู่ตามถนนหนทางก็มีผู้คนมากมาย ร้านรวงเปิดทำการค้าแล้ว แผงขายของบนถนนก็จัดเสร็จเรียบร้อย พ่อค้าแม่ค้าร้องขายของ ลูกค้าตะโกนต่อราคา บ้านใกล้เรือนเคียงทักทายกัน แม่บ้านส่งเสียงจอแจ…เสียงต่างๆ ผสมปนเปกัน ผู้คนหลากหลายมารวมตัว เกิดเป็นถนนอันครึกครื้นรุ่งเรือง

เฮยเฟิงซีเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนถนน สายตากวาดผ่านฝูงชน รอยยิ้มปลอดโปร่งงามสง่าในยามปกติลดน้อยลงหลายส่วน ใจลอยอยู่บ้าง สมาธิไม่สู้จะอยู่กับตัว

ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาร่างสายหนึ่ง เมื่อเพ่งมองให้ชัด ประกายในดวงตาก็เย็นเยียบลงทันใด ทว่ารอยยิ้มพลันกว้างขึ้นหลายส่วน ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปทักทายคนผู้นั้น

“อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนที่กำลังมองเครื่องประดับมุกรูปดอกไม้บนแผงข้างทางได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “เฟิงกงจื่อ หลังจากจากกันที่หอลั่วรื่อ ไม่นึกเลยว่าจะถึงกับได้เจอท่านอีกครั้งที่โยวโจว”

“ข้าก็ไม่นึกฝันเช่นกันว่าจะมีวาสนากับอวี้กงจื่อถึงเพียงนี้” เฮยเฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สายตามองผ่านเครื่องประดับมุกชิ้นนั้น “อวี้กงจื่อสนใจของเช่นนี้ หรือคิดจะมอบให้นางในดวงใจ”

“เฟิงกงจื่อล้อข้าเล่นเสียแล้ว ข้าตัวคนเดียว จะมีนางในดวงใจมาจากที่ใดได้เล่า” อวี้อู๋หยวนส่ายหน้าน้อยๆ ตามองเครื่องประดับรูปดอกไม้อันทำจากมุก ท่าทางผ่อนคลายนุ่มนวล ไม่สะดุ้งสะเทือน “แค่เห็นดอกไม้มุกชิ้นนี้แล้วก็อดนึกถึงสหายผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งรู้จักมิได้ นางคล้ายจะไม่มีนิสัยติดเครื่องประดับศีรษะ ดังนั้นโดยไม่รู้ตัวข้าก็รั้งอยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว”

“อ้อ ที่แท้ก็พบวัตถุอาวรณ์คน” เฮยเฟิงซีราวกับพลันกระจ่างแจ้ง “แม้ปิ่นมุกชิ้นนี้จะมิได้มีราคาค่างวดอันใด ทว่าก็มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร อวี้กงจื่อมิสู้ซื้อเอาไว้ เหตุที่สหายผู้นั้นของท่านไม่เคยติดเครื่องประดับศีรษะ อาจเพราะมิเคยมีบุคคลเช่นท่านกำนัลให้มาก่อนก็เป็นได้”

อวี้อู๋หยวนได้ยินคำก็มองเฮยเฟิงซีคราหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากหยักลึกกว่าเก่า “บางทีเฟิงกงจื่ออาจจะคุ้นเคยกับสหายผู้นี้ดีกว่าข้า เพราะถึงอย่างไรนางก็ถูกขานนามร่วมกับท่านมาจวนจะสิบปีแล้ว”

เฮยเฟิงซีเลิกคิ้ว “หรือสหายที่อวี้กงจื่อกล่าวถึงคือไป๋เฟิงซี?” เขาไม่รอให้อวี้อู๋หยวนตอบก็เอ่ยว่า “หากเป็นสตรีนางนั้นล่ะก็ ข้าขอแนะนำว่าท่านอย่าซื้อเลย หากท่านกำนัลให้นาง นางจะต้อง…”

“จะต้องเอาไปแลกเป็นสุรามาดื่มเป็นแน่” อวี้อู๋หยวนต่อคำ

“ฮ่าๆๆ ที่แท้อวี้กงจื่อก็เข้าใจนางดีถึงเพียงนี้” เฮยเฟิงซีหัวเราะเบาๆ ทว่ารอยยิ้มของเขาในยามนี้เจือรสขมฝาดอยู่หลายส่วน

“แม้ข้าจะเพิ่งได้พบกับแม่นางเฟิงเป็นครั้งแรกเมื่อวาน แต่กลับเหมือนรู้จักกันมานาน ดังนั้นจึงรู้ว่านางเป็นผู้เสรีไม่ยึดติด ทำสิ่งใดไร้กรอบเกณฑ์ เอาแต่ความสบายใจเป็นที่ตั้ง” อวี้อู๋หยวนกล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง สายตามองอีกฝ่าย

“วาจานี้หากสตรีผู้นั้นได้ฟัง จะต้องยกให้อวี้กงจื่อเป็นผู้รู้ใจแน่นอน” เฮยเฟิงซียังคงยิ้มแย้ม เอ่ยพร้อมกับหยิบปิ่นมุกชิ้นนั้นขึ้น

“กงจื่อ ปิ่นมุกชิ้นนี้เป็นของชั้นดีนะขอรับ ไข่มุกทั้งหมดเก็บมาจากทะเลปี้หยา (ฟากมรกต) กงจื่อซื้อไว้เถิด เหมาะจะมอบให้แก่นางในดวงใจเป็นที่สุด” พ่อค้าที่รออยู่ด้านข้างมองออกนานแล้วว่ากงจื่อสองท่านตรงหน้าต้องเป็นลูกค้าชั้นเลิศ จึงเตรียมคำพูดไว้นานแล้ว บัดนี้เห็นเฮยเฟิงซีหยิบขึ้นมาก็ย่อมกระตุ้นลิ้นเจ้าพาทีให้ทำงานเป็นการใหญ่ “ข้าน้อยหลัวเหล่าเอ้อร์ อยู่ในย่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นหลัวผู้สัตย์ซื่อ ไม่มีทางหลอกลวงกงจื่อเป็นเด็ดขาด นี่คือไข่มุกชั้นดีจากทะเลปี้หยาอย่างแน่แท้…”

หลัวเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นทำท่าจะสาธยายต่อไม่จบไม่สิ้น เฮยเฟิงซีจึงเหลือบตาขึ้นมองเขาเรียบๆ คราหนึ่ง พริบตานั้นเขาก็รู้สึกลำคอตีบตัน คำพูดทั้งหมดถูกกลืนกลับลงท้องไป

“กะ…กง…กงจื่อ…”

“ปิ่นมุกชิ้นนี้ข้าซื้อ” เฮยเฟิงซีซุกปิ่นมุกรูปดอกไม้เข้าในแขนเสื้อ ก่อนจะเหลียวหน้าไปมองจงหลี จงหลีรีบล้วงเงินออกมาจ่ายค่าสินค้าทันที

“เฟิงกงจื่อซื้อปิ่นมุกชิ้นนี้เพื่อกำนัลให้แก่แม่นางเฟิ่งจากหอลั่วรื่อผู้นั้นหรือ” อวี้อู๋หยวนมองพฤติกรรมของเฮยเฟิงซี “ระยะนี้แม่นางเฟิ่งสบายดีหรือไม่”

“สบายดีไม่มีโรคภัย” เฮยเฟิงซีเก็บปิ่นมุก “ข้ายังมีธุระต้องไปศาลาผิ่นอวี้ ไม่ทราบว่าอวี้กงจื่อจะไปที่ใดหรือ”

“ข้ากำลังมุ่งหน้าไปภูเขาเทียนจือ” อวี้อู๋หยวนตอบ

“เช่นนั้นก็ขอลาตรงนี้”

“ขอลา”

ทั้งสองกล่าวคำอำลา คนหนึ่งไปทางตะวันออก คนหนึ่งไปทางตะวันตก ขณะร่างสวนผ่านกัน ริมฝีปากของเฮยเฟิงซีก็ขยับเล็กน้อย ราวกับเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ส่วนอวี้อู๋หยวนผู้เยือกเย็นอยู่เสมอเมื่อได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้า ทั้งตื่นตระหนก ตกตะลึง โศกเศร้า กระทั่งมีแววเคียดขึ้งอยู่เลือนราง ความรู้สึกแต่ละอย่างอันเป็นของมนุษย์สามัญฉายขึ้นบนดวงหน้าอันสุขสงบเยือกเย็นดุจผู้วิเศษ ทว่าพริบตาเดียวอารมณ์เหล่านี้ก็มลายไป ความสุขุมเยือกเย็นกลับมา ทว่าสีหน้าซีดเผือดถึงสิบส่วน

อวี้อู๋หยวนมองเฮยเฟิงซีอย่างตะลึงตะไล ยืนเหม่ออยู่บนถนน ไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน

ส่วนเฮยเฟิงซีก็เก็บเอาสีหน้าของเขาเข้าสู่ส่วนลึกของดวงตาจนสิ้น จากนั้นก็ยิ้มบางๆ แล้วหมุนกายจากไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com