ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16 – หน้า 17 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16

17 of 17หน้าถัดไป

บทที่ 16 ภูเขาสูง สายน้ำไหล คำนึงเปล่า

“จิ้งจอกดำ เจ้านั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”

ยามอาทิตย์อัสดง ในที่สุดไป๋เฟิงซีและหานผู่ที่เที่ยวเล่นมาทั้งวันก็กลับมา ทันทีที่ก้าวเข้าประตูก็เห็นเฮยเฟิงซีนั่งอยู่กลางสวน หมุนจับบางสิ่งเล่นอยู่ในมือซึ่งสะท้อนประกายวิบวับใต้แสงสายัณห์

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไปอาบน้ำก่อน อาบเสร็จก็ขอให้พี่เหยียนทำอาหารให้กิน กินเสร็จก็ไปนอนเสีย” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งกำชับหานผู่ ทางหนึ่งก็เดินไปหาเฮยเฟิงซี

“พี่สาว อีกเดี๋ยวท่านจะออกไปเที่ยวใช่หรือไม่ ข้าขอไปด้วยคนได้หรือไม่” วันนี้หานผู่เที่ยวเล่นสนุกยิ่งนัก บัดนี้อารมณ์สนุกยังไม่จางหาย

“ไม่ได้!” ไป๋เฟิงซีปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

หานผู่จนใจ ได้แต่มุ่ยปากจากไป

“วันนี้เที่ยวสนุกเต็มที่?” เฮยเฟิงซีเหลือบมองนาง ยังไม่หยุดเล่นของในมือ

“เดินจนขาทั้งสองจวนจะหักอยู่แล้ว เฮ้อ เจ้าผีน้อยมีแรงคึกคะนองยิ่งกว่าข้าเสียอีก” ไป๋เฟิงซีถอนหายใจ เมื่อเห็นวัตถุในมือเขาก็พลันประหลาดใจ “รู้จักเจ้ามาสิบปี ข้าไม่เคยเห็นของใช้ของสตรีพรรค์นี้ในมือเจ้ามาก่อนเลย! ปิ่นมุกนี้เจ้าเตรียมจะกำนัลให้แก่แม่นางเฟิ่งหรือว่าคนงามแซ่ฮว่ากันเล่า” นางกล่าวพลางขยับเข้าไปมองเครื่องประดับมุกรูปดอกไม้ในมือเขา “ในเมื่อยังไม่ได้มอบให้ เช่นนั้นมิสู้ยกให้ข้าดีกว่า อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก ปิ่นมุกนี้ของเจ้าให้ข้าเอาไปแลกสุราเลิศรสสักสองไหก็แล้วกัน”

ได้ยินดังนั้นมือของเฮยเฟิงซีก็ชะงัก เขาเหลือบดวงตาขึ้นมองนาง อากาศปลายเดือนสามอุ่นสบายยิ่ง ทว่าสายตานี้ของเขากลับทำให้ไป๋เฟิงซีสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง นางอดสั่นสะท้านมิได้ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ยอมจำนนว่า “ทำถึงขั้นนี้เชียว ตระหนี่นัก ของชิ้นนี้ราคาค่างวดก็ไม่เท่าไร ไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้ซี”

วาจาของนางกล่าวมิทันจบ ประกายมุกวิบวับก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มือทั้งสองของนางโบกขึ้นทันใด เกิดเป็นเงามือซ้อนกันนับพันชั้น คว้าบรรดาไข่มุกซึ่งซัดเข้าหาไว้ในมือได้ทั้งหมด

“จิ้งจอกดำ วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ท่าทางชอบกลนัก”

ไป๋เฟิงซีมองสิ่งที่อยู่ในมือ แล้วมองเฮยเฟิงซีที่นั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าไม่อนาทรร้อนใจ หากมิใช่มีมุกอยู่เต็มกำมือ นางคงจะได้สงสัยจริงๆ ว่าเมื่อครู่เขามิได้ใช้ไข่มุกโจมตีนาง

“เจ้าจะเอาไปแลกสุราดื่มมิใช่หรือ เช่นนี้แลกได้เยอะกว่า” เฮยเฟิงซีกวาดตามองนางอย่างเฉยชา

“จะว่าไปก็ถูก” ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส คร้านจะสืบเสาะสาเหตุของพฤติกรรมชอบกลของเขาในวันนี้ จึงหมุนร่างจากไป “เที่ยวกับหานผู่มาทั้งวัน เหงื่อเต็มไปหมด ข้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

ที่ด้านหลัง เฮยเฟิงซีมองแผ่นหลังของนางอย่างเงียบงัน ล่วงไปเป็นนานถึงได้ถอนหายใจแผ่วเบา “บนโลกนี้เหตุใดจึงได้มีสตรีเช่นนี้ได้”

 

“ลมวสันต์โชยหวิวหวิว

หยางหลิวมากสิเน่หา

ข้าฝ่าทวนกระแสมา

จูงมือพี่ยาผู้เดียว…”

 

ในแสงแห่งรัตติกาล ดาราและจันทราอ่อนแสง ไป๋เฟิงซีพลิ้วร่างขึ้นลงอยู่เหนือหลังคา ในอ้อมแขนมีเมรัยเลิศรสสองไห นางคลอเพลงอย่างเบิกบาน เมื่อนึกถึงคนที่อีกสักครู่จะได้พบ มุมปากก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็วูบขึ้น คนผู้หนึ่งขวางหน้านางไว้

“หวงเฉา?” เมื่อเห็นผู้มา ไป๋เฟิงซีก็แปลกใจระคนตกใจ

“ข้าเอง” หวงเฉาผู้สวมอาภรณ์ม่วงตลอดร่างดูประหนึ่งราชันผู้เพริศพรายกลางราตรีมืดมิด

ไป๋เฟิงซีมองเขา ดวงตากลอกกลิ้ง เอียงศีรษะถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านมาหาข้า?”

“ใช่” หวงเฉายืนเอามือไพล่หลัง

“มาหาข้ามีเรื่องอันใด” ไป๋เฟิงซีวางไหสุราลงบนหลังคา จากนั้นก็ทรุดลงนั่ง

หวงเฉาก้าวเข้าไปสองก้าว มองพินิจนางผู้อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างถี่ถ้วนคำรบหนึ่ง จากนั้นถึงถามอย่างชัดเจนและจริงจังหาใดเปรียบว่า “ข้ามาเพื่อถามอีกครั้งก่อนท่านไปเขาเทียนจือ ท่านยินดีแต่งกับข้าหรือไม่”

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็แหงนหน้าหัวเราะเบาๆ

“เฟิงซี” หวงเฉายอบกายลงตรงหน้านาง ดวงตาเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงดาราบนท้องนภา “ข้าพูดจริง”

ไป๋เฟิงซีเก็บรอยยิ้ม สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าใต้แสงเดือนนั่น ในคิ้วตาคมคายฉายแววผยอง ทว่าสีหน้ากลับเป็นงานเป็นการอย่างที่สุด หัวใจของนางหวั่นไหวน้อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านพูดจริง เช่นนั้นข้าก็จะถามท่านอย่างจริงจังสักคำ หากข้าแต่งเป็นภรรยาของท่าน เช่นนั้นท่านก็ห้ามรับผู้อื่นเป็นภรรยาอีก ชั่วชีวิตมีข้าได้เพียงผู้เดียว ท่านยินยอมหรือไม่”

คิ้วหวงเฉาขมวดเล็กน้อย เงียบงันอยู่ครึ่งค่อนวัน

“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแผ่วเบา “ท่านไม่จำเป็นต้องตอบหรอก ข้าเองก็รู้ว่าท่านทำไม่ได้” นางยื่นมือตบไหล่หวงเฉา หยัดกายขึ้น “ในวังโยวอ๋องก็มีสตรีอีกผู้หนึ่งที่ท่านคิดหาวิธีต่างๆ นานาจะขอเป็นภรรยาให้ได้”

หวงเฉาก็ลุกขึ้นตาม ยกมือกดหัวไหล่นางไว้ “เฟิงซี ไม่ว่าข้าจะรับสตรีมาเป็นภรรยาสักกี่คน ท่านก็จะเป็นผู้ที่พิเศษที่สุดและสำคัญที่สุดในใจข้า!”

ไป๋เฟิงซีปัดมือเขาออก สายตาทอดมองสู่ท้องฟ้าราตรีอันไกลเวิ้งว้าง “หวงเฉา ข้ากับท่านแตกต่างกัน ท่านสามารถครอบครองสตรีมากมายได้ไม่ว่าจะชอบพวกนางหรือไม่ ทว่าข้าปรารถนาเพียงได้ครองคู่กับผู้ที่ข้าชอบ อีกทั้งเขาก็ชอบข้าแต่เพียงผู้เดียว”

“เฟิงซี ไม่ว่าข้าจะมีสตรีมากแค่ไหน แต่ภรรยาของข้ามีเพียงท่าน กระทั่งภายภาคหน้าหากข้าได้เป็นฮ่องเต้ ตำแหน่งฮองเฮาก็จะเป็นของท่านอย่างแน่นอน!” หวงเฉาดึงแขนไป๋เฟิงซีไว้ “เฟิงซี ข้าหวงเฉาสามารถสาบานต่อฟ้าได้ หากได้เจ้าครองคู่ ชีวิตนี้ข้าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว!”

ไป๋เฟิงซีเหลือบตามองเขา จ้องอยู่เป็นนาน จากนั้นก็เผยยิ้มบาง แววตาใสบริสุทธิ์ดุจสายน้ำ “คำสัตย์สาบานของผู้อื่น ข้าล้วนรู้สึกว่าเป็นวาจาอันว่างเปล่า ทว่าคำสาบานของท่าน ข้าเชื่อ แต่…ข้าไม่ฝันอยากได้ตำแหน่งฮองเฮา ชาตินี้ข้าขอเพียงบุรุษผู้เดียว และทั้งร่างกายและจิตใจของเขาก็มีข้าเพียงคนเดียวที่สามารถครอบครองได้!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวงเฉาก็เม้มปากแน่น จ้องมองนาง กระทั่งผ่านไปพักใหญ่เขาถึงปล่อยมือ ถอนหายใจยาว ผินร่างมองไปยังฟากอัมพรอันไร้ที่สิ้นสุด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมองหดหู่ “จริงแท้ดังที่ท่านกล่าว ตรงหน้ามีฉุนหรานกงจู่ที่ข้าจำต้องคิดหาสารพัดวิธีแต่งด้วยให้ได้ เพราะ…นี่เป็นหนทางที่ข้าต้องผ่านเพื่อให้ได้ครองใต้หล้า”

“ใต้หล้า…ใต้หล้าอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า “หวงเฉา นับแต่เราพบกันที่ซังโจว ข้าก็นึกมาตลอดว่าท่านคือวีรบุรุษที่จะแหงนหน้ากลืนแผ่นฟ้า และวีรบุรุษก็ดูแคลนการหลอกใช้สตรี”

“ข้าหาใช่วีรบุรุษไม่” หวงเฉาหันหน้าขวับ สายตาดั่งอสนีบาต สีหน้าสุขุมและเย็นชา “เฟิงซี ข้าไม่ใช่วีรบุรุษ ข้าคือราชัน!”

ขณะที่สายตาสอดประสาน ไป๋เฟิงซีก็สั่นสะท้านในหัวใจ

“วีรบุรุษในโลก มีที่วรยุทธ์เลิศล้ำ มีที่ยิ้มไม่ใส่ใจความเป็นความตาย มีที่น้ำใจผ่าเผยสง่างาม มีที่สู้กับคนนับร้อยนับพันไม่พ่ายแพ้ เป็นดั่งดาวเดือนบนท้องฟ้าที่คนนับหมื่นเลื่อมใสศรัทธา!” หวงเฉาชี้นิ้วขึ้นฟ้า บนม่านนภามีจันทร์แจ่มและดวงดาวหนาวเหน็บระยิบระยับ

ไป๋เฟิงซีเงยหน้ามองห้วงฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้าง

“แต่ข้าจะเป็นราชัน! นั่นคือการดุลอำนาจ วางแผน เลือกเก็บและสละ แย่งชิง…สู้ศึกนับพันนับหมื่น ทำศึกกับคนทั่วทั้งใต้หล้า!” หวงเฉากางแขนทั้งสองประหนึ่งจะโอบกอดผืนฟ้าแผ่นดิน สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขามนั้นแฝงความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่มีวันเหลียวกลับ “ข้าจะใช้มือทั้งสองของข้ากุมใต้หล้าเอาไว้ การจะกุมใต้หล้าจำต้องได้กำลัง ต้องเป็นกำลังที่เข้มแข็งที่สุด ฉะนั้นข้าจะสั่งสมกำลังของข้าด้วยกลวิธีทุกชนิด ด้วยหนทางต่างๆ จนได้กำลังที่ข้าต้องการ จากนั้นก็ขึ้นเป็นราชันผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองในระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดิน!”

ครั้นได้ยินดังนั้น หัวใจของไป๋เฟิงซีก็สะท้าน นางเอียงศีรษะมองไปทางหวงเฉา

แสงเดือนดาราสาดลงบนร่างเขา เมื่อมองจากมุมของไป๋เฟิงซี ครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในแสง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในเงามืด นางคิดว่าเขาจะกุมใต้หล้าได้ มีชั่วขณะหนึ่งที่จิตใจของนางหนักอึ้งโดยไร้สาเหตุ บางทีอาจเป็นในชั่วขณะนี้เองที่นางสูญเสียบางสิ่งซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่งไป และนางก็ถูกลิขิตไว้ให้ต้องสูญเสีย

ไป๋เฟิงซีข่มกลั้นรสเฝื่อนขมในใจไว้ เบือนศีรษะไปอีกทาง มองผืนดินมืดมิดใต้เท้า จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ที่จริงในกลียุคอย่างปัจจุบัน ผู้มีปณิธานคนใดเล่าจะมิเป็นเช่นนี้ วางอุบายโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของตน เขาเป็นเช่นนี้ เขาก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เป็นเช่นนี้! เช่นนั้น…ในโลกนี้จะมีผู้ใดหรือไม่ที่จะทำสิ่งใดโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ทำสิ่งใดเพราะนึกอยากทำแท้ๆ มิใช่ลงมืออย่างมีแผนการลึกลับซับซ้อน

นางลอบถอนใจเบาๆ ก้มเอวกอดไหสุราบนหลังคาขึ้น ก่อนจะยิ้มกล่าวอย่างแฝงแววหยอกล้อว่า “เฮ้อ เสียหน้านัก เทียบกับใต้หล้าแล้ว ข้าช่างเล็กน้อยด้อยค่าถึงเพียงนี้”

หวงเฉาหันกลับมามองนาง แววตานั้นลึกซึ้งยิ่ง “เฟิงซี ท่านปฏิเสธเพียงเพราะข้าจะมีสตรีมากมาย หรือเพราะใจเจ้ามีผู้อื่นอยู่แล้ว”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็เงียบงันไปชั่วขณะ ลมราตรีเป่าเส้นผมยาวสลวยของนาง บดบังดวงตาไว้ แต่กลับมิได้บดบังรอยยิ้มจางๆ ที่ริมฝีปาก “มีและไม่มี สำหรับท่านก็ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือฮองเฮา ข้าก็ล้วนไม่แต่งกับท่าน เพราะ…”

กระแสเสียงนางชะงัก หวงเฉาเลิกคิ้ว รอคอยวาจาที่เหลือของนาง

“เพราะว่าคนเฉกเช่นท่าน การเป็นสหายข้างกายท่านสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมลิ้มรสหวานขมได้เหนือล้ำกว่าเป็นภรรยาไม่มีปากมีเสียงอยู่เบื้องหลังมากมายนัก” ไป๋เฟิงซีมองหวงเฉาแล้วขยิบตาให้

“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาระเบิดหัวเราะลั่น ยื่นมือเหนี่ยวหัวไหล่ไป๋เฟิงซีไว้ ครั้งนี้นางมิได้ปัดออก “แต่เล็กจนโต หาเคยมีผู้ใดทำให้ข้าต้องพบอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นท่านเลย แล้วข้าก็จนปัญญาที่ไม่อาจทำอันใดท่านได้จริงๆ เสียด้วย”

ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส “บางทีเร็วๆ นี้ท่านอาจได้พบกับอุปสรรคอีกคำรบเพราะสตรีอีกผู้หนึ่ง”

“ฮ่าๆๆ…เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร” หวงเฉาไม่เห็นคล้อย “หากข้าต้องพ่ายแพ้ย่อยยับเพียงเพราะสตรีสองนาง สวรรค์เบื้องบนจะให้ข้าถือกำเนิดมาเพื่อประโยชน์ใด”

“ด้วยเหตุนี้ สำหรับท่านสตรีก็เป็นเพียงอาภรณ์ มีเพียงใต้หล้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด” ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้า แล้วร่างก็เหินไปไกลหลายจั้ง

หวงเฉามองเงาหลังของนางที่ไกลออกไป เอ่ยอย่างทั้งชื่นชมทั้งสะท้อนใจว่า “ผู้ที่ได้ท่านเป็นภรรยาจะต้องเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุดในแผ่นดินเป็นแน่ ทว่าการได้เป็นสหายของท่านก็นับว่ามีโชคเช่นกัน”

“แต่น่าเสียดายที่คนน้อยนักจะเป็นสหายได้ชั่วชีวิต”

ร่างของไป๋เฟิงซีหายลับไปแล้ว ทว่าเสียงกลับลอยมาแต่ไกล ทิ้งให้หวงเฉาขบคิดวาจาสุดท้ายของนางอย่างถี่ถ้วนแต่เพียงผู้เดียวบนหลังคา

 

ภูเขาเทียนจือมียอดตระหง่านมากมายหลายยอด ในจำนวนนั้นยอดที่สูงที่สุดมีนามว่ายอดเกาซาน ที่ข้างผาฝั่งปัจฉิมทิศแห่งยอดเกาซานมีศาลาหินซึ่งก่อจากศิลาภูเขาอยู่หลังหนึ่ง นามว่าศาลาหลิวสุ่ย

สำหรับยอดเกาซานและศาลาหลิวสุ่ยนี้มีเรื่องเล่าหนึ่งซึ่งเล่าสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ในยุคสมัยอันไกลโพ้น มีคีตาจารย์อยู่ท่านหนึ่งนามว่าเกาซาน เขาเชี่ยวชาญศิลปะทางฉิน เล่าขานกันว่าทำนองฉินที่เขาบรรเลงสามารถดึงดูดเสียงขับขานจากสกุณานับร้อย สามารถทำให้มวลผกาผลิบานสะพรั่ง ทว่าฮ่องเต้ในเวลานั้นกลับโปรดเสียงเซิง หากผู้ใดเป่าเซิงได้ดีก็จะทรงตกรางวัลอย่างงาม ดังนั้นเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงเกษมสำราญ ทั่วทั้งแคว้นก็พากันเป่าเซิง เป็นเหตุให้ศิลปะดนตรีอื่นนับร้อยถูกวางทิ้งให้เปล่าดาย

ด้วยเหตุนี้แม้เกาซานจะมีทักษะทางฉินสูงส่ง แต่กลับไร้ผู้ชื่นชม กระทั่งยามบรรเลงฉินยังถูกหยามหมิ่น หาว่าเขาไม่ภักดีเทิดทูนฮ่องเต้ นานวันเข้าเกาซานก็ไม่ดีดฉินต่อหน้าผู้ใดอีกเลย เขาประคองฉินขึ้นสู่ยอดบนสุดแห่งขุนเขาเทียนจือ บรรเลงฉินให้คีรีสูง หุบเขาสงัด เมฆาขาว และสายลมบริสุทธิ์ฟัง

อยู่มาวันหนึ่งขณะเกาซานกำลังดีดฉินอยู่บนยอดเขาเทียนจือเช่นเคย ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ทางหนึ่งก็ปรบมือ ทางหนึ่งก็ขับขานว่า

 

‘วิญญูภูผาโอบเครื่องห้าสาย                     ประจิมผายเทียนจือยอดสิงขร

เพียงมือโบกตามใจไร้อาทร                      ดั่งกันทรหมื่นสนก้องให้ยิน

จิตแปดบงสุ์ชะผ่านด้วยสาคร เสียงสะท้อนสอดซวงจงร่วมผกผิน

ไม่รับรู้สายัณห์กลบศิขริน                         สารทเมฆินทร์หมดแสงมอดอาภา

 

เกาซานซาบซึ้งยิ่งนัก ผูกสมัครเป็นสหายรู้ใจกับคนผู้นี้ คนผู้นี้นามว่าหลิวสุ่ย นับแต่นั้นมาเกาซานก็บรรเลงฉินให้หลิวสุ่ยฟังแต่ผู้เดียว

เวลาล่วงไปอีกหลายปี ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มิได้โปรดเสียงเซิงเพียงอย่างเดียวอย่างพระชนก แต่ทรงโปรดเสียงเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ดังนั้นร้อยวาทิตจึงรุ่งเรืองขึ้นอีกคราในหมู่ชน

ฮ่องเต้ทรงสดับมาว่าเกาซานมีทักษะทางฉินสูงล้ำ จึงมีราชโองการให้เกาซานเข้าวังเพื่อบรรเลงฉิน ทว่าเกาซานกลับปฏิเสธ เขากล่าวว่าในขวบปีที่ยังมีลมหายใจจะขอดีดฉินให้หลิวสุ่ยฟังแต่เพียงผู้เดียว เพราะมีเพียงหลิวสุ่ยเท่านั้นเป็นสหายผู้แจ้งในเสียงสังคีตของเขา

ขุนนางผู้อัญเชิญราชโองการเห็นเขาถึงกับกล้าปฏิเสธฮ่องเต้ก็เดือดดาลอย่างยิ่ง จับตัวเขาไว้แล้วส่งเข้าวัง ทว่าสุดท้ายเกาซานก็ยังคงมิได้บรรเลงฉินให้ฮ่องเต้ทรงฟังอยู่นั่นเอง เหตุเพราะระหว่างทางเขาหักกระดูกนิ้วของตนเสีย ทำให้ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจดีดฉินได้อีกต่อไป!

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงซาบซึ้งในความเด็ดเดี่ยวของเขา จึงทรงปล่อยเขากลับไป อีกทั้งยังพระราชทานทรัพย์สินเงินทองให้จำนวนหนึ่ง ทว่าเกาซานไม่ต้องการสิ่งใดเลย เพียงแต่กลับไปตัวเปล่าเท่านั้น

หลังกลับถึงบ้าน เกาซานเพิ่งรู้ว่าหลังจากเขาถูกจับตัวเข้าวังไป หลิวสุ่ยก็แทงหูทั้งสองของตน ทำให้ชีวิตนี้ไม่อาจยินสรรพสำเนียงได้อีก!

เมื่อเกาซานและหลิวสุ่ยหวนมาพบกันอีกครา ต่างคนก็ต่างประสานสายตาแย้มยิ้ม จากนั้นก็ขึ้นสู่เขาเทียนจือด้วยกัน ทว่าทั้งสองมิได้กลับลงมาจากเขาอีกเลย

บางคนกล่าวว่าพวกเขากระโดดหน้าผาตายไปแล้ว บางคนกล่าวว่าพวกเขาเร้นกายพำนักอยู่บนเขาเทียนจือ ยังมีบางคนกล่าวว่าฮ่องเต้แห่งแดนฟ้าส่งเทวทูตมารับพวกเขาขึ้นสู่ตำหนักสวรรค์ไป…เรื่องเล่าต่างๆ นานาสืบทอดต่อกันมา อนุชนรุ่นหลังที่เลื่อมใสในตัวพวกเขาจึงเรียกขานยอดเขาที่เกาซานดีดฉินว่ายอดเขาเกาซาน พร้อมทั้งสร้างศาลาหินขึ้นหลังหนึ่งบนยอดเขา ให้นามว่าศาลาหลิวสุ่ย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่มิตรภาพระหว่างเกาซานและหลิวสุ่ย

ในคืนนี้บนยอดเกาซาน ในศาลาหลิวสุ่ยมีคนสองคนเดินทางมาพบกันตามนัด

จันทร์กระจ่างกลางนภาทอแสงสีเงินดั่งแพรไหม เสียงฉินวังเวง สุขสันโดษเรียบง่ายงามสง่า สองคนในศาลาล้วนแต่งอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าผ่าเผยเสรี ชวนให้หลงนึกว่าอยู่ในจินตโลกและได้พบกับเกาซานและหลิวสุ่ยอีกครา

“บทเพลงนี้ของท่านแผ่วพลิ้วราวกับมิใช่เพลงของโลกมนุษย์ ข้าฟังแล้วนึกว่าตนอยู่บนขุนเขาแสงมรกต มีบุปผาจินดา สระหยก ผลไม้แก้ว กวางขาว เมฆสีคล้อยเคลื่อน อัปสรลอยล่อง อิสรเสรีไร้จำกัด เกษมสันต์ดั่งเซียน” เมื่อเสียงฉินหยุดลง ไป๋เฟิงซีก็ลืมตาขึ้นมองอวี้อู๋หยวน กล่าวชื่นชมอย่างแผ่วเบา โลกนี้ก็มีเพียงคนผู้นี้ที่สามารถดีดฉินให้เกิดเสียงอันปราศจากธุลีแห่งโลกียะเช่นนี้ได้

“เกาซานหลิวสุ่ย เสียงฉินของเกาซานมีเพียงหลิวสุ่ยจริงๆ ด้วยที่ฟังเข้าใจ” อวี้อู๋หยวนเหลือบตาขึ้นมองนาง คลี่ยิ้มบางเบา

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็จรดสายตานิ่ง เกาซานหลิวสุ่ย เขาและนางจะเป็นได้หรือ

“เพลงฉินเพลงนี้ชื่อว่าอะไรหรือ” นางถาม

“ไม่มีชื่อ” อวี้อู๋หยวนแหงนหน้ามองจันทร์กระจ่างกลางฟ้า “บทเพลงเมื่อครู่ข้าบรรเลงไปตามอารมณ์ในขณะนี้เท่านั้น”

“ฮ่าๆๆ ฉินของท่านไม่มีชื่อ นึกไม่ถึงว่าบทเพลงที่ฉินของท่านบรรเลงก็ไม่มีชื่อเช่นกัน” ไป๋เฟิงซียื่นมือคว้าฉินมา ดีดส่งเดชคราหนึ่ง สายฉินพลันส่งเสียงใสบริสุทธิ์ “ดีดเรื่อยเปื่อยก็เกิดท่วงทำนองอันไม่สามัญได้ มิน่าเล่าคนทั่วแผ่นดินถึงได้ยกให้ท่านเป็นกงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

อวี้อู๋หยวนยิ้มบาง บนโต๊ะศิลามีสุราสองไหที่ไป๋เฟิงซีนำมา เขาประคองไหขึ้นรินสุราสองจอกจนเต็มปริ่ม จากนั้นจึงยื่นจอกหนึ่งให้ไป๋เฟิงซี อีกจอกถือไว้ในมือ เอื้อนเสียงอย่างไม่เร่งร้อนว่า

 

“คืนใสไร้ธุลี ศศีดุจหิรัญ น้ำจัณฑ์รินเมื่อใด ให้จอกไซร้ปริ่มหนัก

เมินศักดิ์เมินยศถา กายใจล้าเปล่าสูญ

อาดูรทอดถอนใจ อาชาไวผ่านช่อง ไฟว่องดับกลางหิน ชั่วสุบินผันผ่าน”

ไป๋เฟิงซีถือจอกในมือ มองอวี้อู๋หยวน จากนั้นก็รับด้วยรอยยิ้มละไมว่า

 

“แม้เชี่ยวชาญพร้อมสรรพ ใครสดับจำนรรจ์ เกษมสันต์แช่มชื่น สราญรื่นเปี่ยมล้วน

เมื่อใดหวนพนา ทำชีวาผ่อนว่าง กางโต๊ะฉินจัดเข้า อีกหนึ่งวางกาเหล้า พิศเส้นเมฆา”

 

“เมื่อใดหวนพนา ทำชีวาผ่อนว่าง…” อวี้อู๋หยวนทวนคำ ถอนหายใจเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน เขาแหงนศีรษะดื่มเมรัยในจอกจนสิ้น จากนั้นถึงหันไปมองผาตระหง่านหมื่นจั้งที่นอกศาลา “หวนคืน…หวนคืน อีกไม่นานแล้ว”

“หืม?” ไป๋เฟิงซีเพิ่งดื่มสุราหมดจอก พอได้ยินเช่นนั้นใจก็กระตุกวาบโดยไม่มีสาเหตุ มือที่วางจอกลงสั่นสะท้าน จอกกระเบื้องกระทบผิวโต๊ะเกิดเสียงเบาๆ “หรืออวี้กงจื่อก็ประสงค์เช่นเดียวกับในคำประพันธ์ ไปเป็นผู้เร้นกายอยู่ในพนา?”

สายตาอวี้อู๋หยวนยังคงมองผาหมื่นจั้ง เพียงเอ่ยเสียงค่อยว่า “ไร้บุญเป็นผู้เร้นกาย ใกล้ต้องกลับไปจริงๆ แล้ว”

ไป๋เฟิงซีตะลึง เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็พลันยิ้ม “หรือคืนนี้จะเป็นการอำลา อวี้กงจื่อต้องกลับไป แต่มิรู้ว่ากลับไปยังที่ใด กลับเมื่อไร และมีผู้ใดกลับไปด้วย”

อวี้อู๋หยวนเหลียวหน้ามามองนาง สายตาเลื่อนลอย น้ำเสียงวังเวง “ไม่มีผู้ร่วมทาง ไปตัวคนเดียว อาจจะในเวลาใกล้มาก หรืออาจจะอีกสักระยะ”

“ตัวคนเดียว?” ไป๋เฟิงซียังคงยิ้ม ยิ้มอย่างเจิดจ้า จากนั้นถึงผลักฉินกลับไปอยู่ตรงหน้าเขา “อย่างน้อยก็ต้องพาฉินนี้ไปด้วย เกาซานไม่ว่าไปที่ใด ไม่ว่าจะมีหลิวสุ่ยเคียงข้างหรือไม่ อย่างน้อยก็มีฉิน!”

รอยยิ้มบนดวงหน้าไป๋เฟิงซีทำให้อกของอวี้อู๋หยวนปวดแปลบ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ สายตาที่มองนางลึกล้ำยากเข้าใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “เฟิงซี ข้าไม่ใช่เกาซาน แต่ไรมาข้าไม่เคยเป็นเกาซาน…” พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักราวกับมีบางสิ่งจุกลำคอไว้ มิอาจเอ่ยวาจาได้อีก

ไป๋เฟิงซีมองเขา มองด้วยสายตาแฝงแววคาดหวังอันเปราะบาง รอคอยคำพูดของเขา รอให้เขาเอ่ยออกมา…

“ข้าก็คืออวี้อู๋หยวน” วาจาสุดท้ายหลุดออกมาอย่างแผ่วเบา คล้ายกับเพื่อเอ่ยคำนี้อวี้อู๋หยวนได้ใช้แรงใจที่มีจนหมดสิ้น สีหน้าเขาซีดขาวอ่อนล้าทันตาเห็น

“ข้ารู้” ไป๋เฟิงซีบรรจงดึงมือออกจากมือของเขา มือเท้าเย็นเฉียบในทันใด นางรำพันว่า “ลมฝนพันสิงขร อวี้สัญจรเดียวดาย ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา ข้าควรรู้นานแล้วมิใช่หรือ”

ครั้นได้ยินดังนั้นอวี้อู๋หยวนก็หลุบตาลงมองฝ่ามืออันว่างเปล่าของตน รอยยิ้มฝาดขมผุดขึ้นบนดวงหน้า “กล่าวได้เหมาะเจาะนัก ผู้ที่คิดคำสี่วรรคนี้มองเห็นชีวิตของข้าอวี้อู๋หยวนจนทะลุได้หรืออย่างไร”

“ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา…” ไป๋เฟิงซียิ้มหมองชืด ยิ้มอย่างยากเย็นแสนเข็ญ อู๋หยวน…อู๋หยวน ก็คือไร้วาสนาอย่างไรเล่า!

“มิใช่ทั่วหล้าปลง เป็นข้าต่างหากที่ปลง” อวี้อู๋หยวนเคลื่อนสายตามายังนาง ในดวงตามีบางสิ่งที่มีทีท่าว่าจะโถมเทระบายออกมา ทว่าเขาพลันเบือนศีรษะหนี มองหุบเขามืดวังเวงไม่เห็นก้นที่ถัดจากหน้าผาไป

“ไม่ว่าผู้ใดปลงก็ล้วนแต่ไร้วาสนา” ไป๋เฟิงซีผุดลุกขึ้น จ้องอวี้อู๋หยวนเขม็ง “แต่หากมีวาสนาแล้วทำเป็นไร้วาสนา เช่นนั้นก็น่าหัวเราะและน่าเศร้า”

อวี้อู๋หยวนยังคงจ้องหุบเขาลึกไม่ขยับ

ไป๋เฟิงซีหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแววอ้างว้างทั้งหมดก็ถูกกวาดทิ้ง “ท่านบรรเลงฉินให้ข้าเพลงหนึ่ง ข้าก็จะมอบบทเพลงหนึ่งให้ท่านเช่นกัน” สิ้นคำก็สะกิดปลายเท้า ทิ้งร่างลงยังที่ว่างกว้างหนึ่งจั้งนอกศาลา มือนางสะบัด ภูษาขาวในแขนเสื้อเหินออก

 

“ฤดูสารทเที่ยวล่อง ท่องลำธารอู่หลิงตฤณเขียวยิ่งหยกงาม

ตามฟากฝั่งวารี ดอกท้อมีสุดนับ ขมิ้นจับเหนือกิ่ง

ข้าหมายยิ่งจะผ่าน หมู่ไม้บานสะพรั่ง ไปถึงยังมรรคา

เชื่อมเวหาเมฆขาว ลึกสู่ด้าววาริท ต้นประดิษฐ์เส้นรุ้ง

เกรงแต่มุ่งเข้าหา พุ่มบุปผาลึกล้ำ จะถูกน้ำค้างแดง ซึมเข้าแฝงอาภรณ์”

 

นางแย้มริมฝีปากขับขาน ร่างก็ร่ายรำตามทำนอง เสียงร้องใสกังวาน ระบำพลิ้วดั่งวิหคโผผิน ภูษาขาวม้วนตลบ ชายอาภรณ์โบกไสว ท่ามกลางสีแห่งรัตติกาลและสายลมชื่นประหนึ่งนางเป็นเทพธิดาที่ลงมายังโลกแล้วเริงระบำขับขานเสียงหวานอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ท่วงท่าชดช้อยตามธรรมชาติ รูปโฉมเลิศหล้า

 

“นั่งเหนือก้อนหินแก้ว อิงหมอนแพร้วจินดา หัตถาดีดฉินหยก

เทพผู้ตกจากฟ้า เร้นกายาที่ใด ข้าไร้ผู้พาที จอกมณีร่วมร่ำ

ข้าหวังอมฤต ละคู่ชิดเชยชม ไม่ต้องตรมหม่นหมอง ไร้เรื่องต้องหวนไห้

คลาไคลรำลงเขา เมาเมรัยฤทธิ์กล้า เดือนแจ่มบนผืนฟ้า ย่างเยื้อง ตามคน”

 

เมื่อถึงประโยคสุดท้ายของบทเพลง ภูษาขาวก็พุ่งตรงสู่เวหา พันรอบไม้สูงต้นหนึ่งไว้ จากนั้นร่างก็โยกไหวอย่างแผ่วเบา พลิ้วผ่านประหนึ่งไกวชิงช้า พริบตาเดียวเงาร่างก็หายลับ เหลือเพียงเสียงใสสะท้อนไปมาในสายลมแห่งราตรีท่ามกลางขุนเขาสูงตระหง่าน

บนภูเขา ดวงเดือนสุกสกาวยังคงเดิม ศาลาหินไม่แปรเปลี่ยน ทว่าสายลมราตรีเปลี่ยวดาย ไอหนาวชำแรกผ่านดังสายน้ำ

ผ่านไปเป็นนานอวี้อู๋หยวนถึงยื่นมือเคลื่อนฉินเข้าหาตัว ทาบมือทั้งสองลง เสียงฉินพลันกังวานขึ้น ความอ้างว้างทุกข์ตรมในใจสอดประสานกับสำเนียงฉิน ระบายสิ้นดั่งจับเท

 

“โค้งเวหาเวิ้งว้าง                                                จันทร์แจ่มพร่างกระจ่างนวล

ฝุ่นแดงตลบอวล                                            เงาทอดด้วนให้เคว้งคว้าง

หมายมุ่งขึ้นอัมพร                                             กลางเมฆจรหานวลนาง

หวังพาดบันไดวาง                                            สู่คคนางค์ครามตา

สามหมื่นหกพันลี้                                             แค้นไม่มีซึ่งรัจฉา

หม่นมองชลนา                                                  ไหลเรื่อยมาเป็นวารี

เรียบดุจคันฉ่องส่อง                                          จันทร์นวลผ่องและมาลี

เดือนเต็มบุปผาดี                                                ตัวข้านี้เคลิ้มงมงาย

โอ้เอ๋ย…

ฟ้าโปรยน้ำแข็งเย็น                                            จันทร์ข้าเป็นอันสลาย

ดินโหมลมแรงร้าย                                           ซัดบุปผาข้าพังภินท์

โอ้เอ๋ย…

เทสิ้นวัสสะเย็น                                                   เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล

ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์  หลงสุบินเพียงเปล่าดาย

โอ้เอ๋ย…

เทสิ้นวัสสะเย็น                                                   เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล

ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์  หลงสุบินเพียงเปล่าดาย…”

 

เสียงเพลงทอดยาวดั่งร่ำไห้ แฝงความสิ้นหวัง เศร้าคับแค้น เดียวดาย และทุกข์ระทม

ณ กลางป่าลึกไป๋เฟิงซีนั่งกอดเข่า สดับเสียงขับขานประสานทำนองฉินอันแว่วมาจากยอดเขา นัยน์ตาพร่าคลอด้วยน้ำ ดั่งคร่ำครวญ ดั่งร่ำไห้

“เทสิ้นวัสสะเย็น เชื่อมจันทร์เพ็ญกับฟ้านิล ดวงมาลย์แค่ภาพจินต์ หลงสุบินเพียงเปล่าดาย…อวี้อู๋หยวน ท่าน…ท่าน…”

คำว่า ‘ท่าน’ ค้างอยู่ที่ไรฟันครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ถูกกลืนลงไป เพียงแค่ถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบภูษาขาวบนพื้นขึ้น สืบเท้ามุ่งหน้าลงเขาไป

บนยอดเขา อวี้อู๋หยวนก้าวออกจากศาลาหิน แหงนศีรษะมองอัมพรอันไร้ที่สิ้นสุด ดวงจันทร์สุกสว่าง จันทร์กระจ่างผู้ไม่รับรู้ทุกข์โศกบนโลกมนุษย์ ไฉนจำเพาะต้องเต็มดวงในวันพลัดพราก

เขาหลับตาลง ตัดขาดกับดวงเดือน ปิดบังอารมณ์ทั้งหมดไว้ แต่กลับมิอาจระงับความจาบัลย์ในอกได้

สุดท้ายก็ปล่อยไปแล้ว สิ่งเดียวในชีวิตนี้ที่ชวนให้หวั่นไหวจนอยากจะคว้ามาครองก็ยังปล่อยมือไปแล้ว!

ท่านนึกว่าข้าสละ ‘คู่ชิดเชยชม’ เพื่อ ‘หวังอมฤต’ กระนั้นหรือ แท้ที่จริงข้ายินดีสละ ‘อมฤต’ เพื่อแลกกับ ‘เทพผู้ตกจากฟ้า’ ที่จะมาร่วมร่ำ ‘จอกมณี’ เหลือเกิน! ทว่า…

เฟิงซี ขอโทษด้วย สุดท้ายก็ทำให้ท่านผิดหวัง!

คนเราหากมีชาติภพหน้า เช่นนั้นขอท่านและข้าอาศัยบทเพลงนี้เป็นพยาน ให้ผันผ่านพันวัฏฏะร้อยสังสาร มหานทีแปรเป็นผืนดิน เราทั้งสองก็ยังจะได้พานพบ

 

เดือนสี่ วันที่สอง

โยวอ๋องเชื้อเชิญยอดคนจากแคว้นต่างๆ มาร่วมงานเลี้ยง ณ ตำหนักจินหวา เทียบเชิญถูกส่งมาให้ไป๋เฟิงซีใบหนึ่งเช่นกัน ทว่าหลังนางกลับจากเขาเทียนจือ อารมณ์ก็หม่นหมอง เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนน้อยไม่ยอมออกมา ล่วงมาจนวันนี้นางก็ยังคงขาดจิตกระปรี้กระเปร่า ไม่อยากขยับเขยื้อน

เข้าวังไปเพื่ออันใด ไปชมฉุนหรานกงจู่มอบพู่กันทองเลือกคู่? เกี่ยวแก่ข้าตรงไหนกัน! นางแค่นเสียงเย็นชาผ่านจมูก

ทว่าเมื่อถึงยามเที่ยง เฮยเฟิงซีกลับเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง ไป๋เฟิงซีมองแผ่นหลังของเขาแล้วยิ้มเย้ยหยัน หัวใจขื่นขมขึ้นเป็นระลอกโดยมิทราบสาเหตุ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมส่ายหน้า สลัดอารมณ์ขุ่นมัวในสมองทิ้ง ก่อนจะย้ายม้านั่งยาวตัวหนึ่งมาวางกลางลานแล้วนอนอาบแดด ทางหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่แสนสบายและอิสรเสรีเหลือเกิน ไยต้องหาความขุ่นมัวมาใส่ตน

ส่วนขุ่นมัวในเรื่องใด ขื่นขมในเรื่องใด นางก็ไม่ยอมขบคิดให้ถี่ถ้วน และไม่ยินดียอมรับ

 

ณ ตำหนักจินหวา เฮยเฟิงซีจิตใจไม่ใคร่จะอยู่กับเนื้อกับตัว

กล่าวตามเหตุผลในตำหนักเวลานี้ด้านบนมีโยวอ๋อง ด้านล่างมีศัตรูแข็งกล้าเช่นหวงเฉา อวี้อู๋หยวน อีกทั้งบรรดายอดคนผู้มีความสามารถแตกต่างกันไป มิพักต้องเอ่ยถึงว่าวันนี้เป็นวันมหามงคลที่จะกำหนดตัวเขยแห่งโยวโจว กล่าวอย่างไรเขาก็ควรรวบรวมสมาธิรับมืออย่างจริงจังถึงจะถูก ทว่านับแต่ก้าวเข้าสู่ตำหนัก เฮยเฟิงซีก็ใจลอย สติไม่อยู่กับตัวมาตลอด

“เฟิงกงจื่อ”

เสียงเรียกดังขึ้นที่ข้างหู เฮยเฟิงซีพลันได้สติ ฉุนหรานกงจู่ก้าวเข้าสู่ตำหนักแล้ว นางกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะของเขานี่เอง ดวงเนตรงดงามจ้องมองอย่างมีความนัยเปี่ยมล้น

ใช่สินะ งานเลี้ยงดำเนินไปถึงครึ่งแล้ว ตอนนี้กงจู่จะเริ่มเลือกสามีแล้ว

ฉุนหรานกงจู่ในวันนี้งามเจิดจ้าและสูงศักดิ์อย่างวิเศษ นางแต่งกายด้วยอาภรณ์แพรไหมสีชมพูเพริศพรายเยี่ยงชาววัง เกศาหวีเป็นมวยเทพธิดาเหินกลางเกศาประดับด้วยจุฑาภรณ์เฟิ่งหวง สองข้างของมวยปักด้วยปิ่นเฟิ่ง ปิ่นมุก ปู้เหยา คิ้วเรียวงามเขียนบางๆ โอษฐ์แดงฉ่ำแต้มชาดน้อยๆ ยามทอดมองมาทางเขา ปรางขาวดั่งหิมะก็ฉาบด้วยเมฆายามสายัณห์อันแดงเรื่อเรือง เฉิดฉายหมดจดเหลือพรรณนา เป็นหญิงงามผู้เลิศโฉมแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่งในโลกมนุษย์

ทว่าหัวใจอันฟุ้งซ่านสับสนกลับสำนึกได้ เขาเยือกเย็นลงในชั่วขณะนี้เอง นางมิใช่นาง! มิใช่นาง!

เฮยเฟิงซีผุดลุกขึ้นยืนทันที เนื่องจากลุกกะทันหันเกินไป โต๊ะจึงถูกเขาชนจนไหวไปมา เสียงกระแทกเบาๆ นั้นทำให้สายตาของทุกคนในตำหนักเบนมาหา บ้างก็ตรวจสอบ บ้างก็คมปลาบ บ้างก็ริษยา บ้างก็งุนงง บ้างก็ดูแคลน…

“เฟิงกงจื่อ” ฮว่าฉุนหรานเห็นเขาพลันลุกขึ้นก็เพียงนึกว่าเขาตื่นเต้น เมื่อคิดเช่นนี้ในหัวใจก็ทั้งขวยอายทั้งหวานชื่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นขึ้นน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว คือเขา คือเขาผู้นี้ไม่ผิด ดวงเนตรดังสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงมองเขาอย่างอ่อนหวาน นางยกแขนขึ้นน้อยๆ แขนเสื้อนุ่มลื่นไหลลง เผยปลายนิ้วเนียนดุจหยกออกมาเล็กน้อย ที่ปลายนิ้วมีประกายสีทองสะท้อนไหววาบ นั่นคือ…

“กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญยังมิได้สะสาง ต้องทูลลาไปก่อน ขอโยวอ๋องและกงจู่โปรดอภัย” เฮยเฟิงซีก้าวออกมาหนึ่งก้าว คารวะโยวอ๋องและฮว่าฉุนหราน จากนั้นก็สาวเท้ายาวก้าวออกจากตำหนักไปโดยไม่รอให้ผู้ใดทันตั้งตัว

เสียงระเบ็งเซ็งแซ่อื้ออึงขึ้นทั่วตำหนัก โยวอ๋องโกรธาอย่างมาก ฮว่าฉุนหรานตระหนกตกใจ กระทั่งหวงเฉาก็ไม่เข้าใจ มีเพียงอวี้อู๋หยวนที่หลุบตาลงถอนใจเบาๆ จากนั้นก็ยกจอกเมรัยขึ้นดื่มจนหมด

“ฮ่าๆๆๆ…” อย่างไรเสียโยวอ๋องก็เป็นถึงเจ้าครองแคว้น เขาคืนสู่อารมณ์ปกติได้อย่างรวดเร็วและยกจอกขึ้น “เฟิงกงจื่อมีธุระต้องขอตัวก่อน ข้าก็ไม่อาจรั้งให้ลำบากใจ ส่วนเมรัยเลิศรสในส่วนของเขา ทุกท่านห้ามเกี่ยงงอน ต้องดื่มแทนเขาด้วย! มา ดื่มให้หมดจอก!”

“โยวอ๋องรับสั่งได้ถูกต้อง พวกเราคารวะโยวอ๋องหนึ่งจอก!” คนทั้งปวงชูจอกอย่างพร้อมเพรียง

ฮว่าฉุนหรานก็ยกจอกบนโต๊ะของเฮยเฟิงซีขึ้น พริบตาที่เงยหน้าดื่มจนหมด รสฝาดขมและเค็มก็ไหลลงสู่ลำคอพร้อมกัน นางวางจอกเมรัยลง หยาดน้ำตาหลั่งรินลงกลางจอก ในตำหนักอันอึงอลนางกลับได้ยินเสียงวังเวงเบาๆ ที่ส่งมาจากจอกได้อย่างถนัดหู หญิงสาวขบริมฝีปากไว้ สะกดกลั้นก้อนสะอื้นแห่งความอาดูรที่กำลังจะหลุดออกมา

ฮว่าฉุนหรานกำพู่กันทองคำในมือแน่น หมุนร่างด้วยท่วงท่าชดช้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครา นางก็เป็นฉุนหรานกงจู่แห่งโยวโจวผู้งดงามไร้เปรียบปาน สูงศักดิ์งามสง่าเช่นเดิม!

รอยแย้มสรวลเรียบๆ อันเหมาะควรผุดขึ้นบนดวงพักตร์หยกไร้มลทิน เท้าเยื้องกรายแช่มช้าไปทางหวงเฉา ซื่อจื่อแห่งจี้โจวผู้สูงส่งหยิ่งผยองผู้นั้น…นางกำพู่กันทองในมือแน่นประหนึ่งเกรงว่ามันจะพลันหลุดมือไป

 

ปัง!

เสียงดังเลื่อนลั่นของประตูจวนที่ถูกผลักออกเต็มแรงปลุกให้ไป๋เฟิงซีผู้กำลังเคลิ้มใกล้หลับเพราะนอนอาบแสงอาทิตย์อุ่นอยู่กลางลานมีอันต้องสะดุ้งสุดตัว นางลืมตาลุกขึ้นนั่ง เห็นเฮยเฟิงซีกำลังยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาเขาจับจ้องมาที่ตน สีหน้ากลัดกลุ้มเหลือล้น

“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้เล่า อะไรกัน โยวอ๋องเลือกเจ้าเป็นเขยแล้วหรือ แต่ด้วยไมตรีที่คนงามแซ่ฮว่ามีต่อเจ้า เรื่องนี้ควรจะราบรื่นดั่งน้ำมาคลองบังเกิด” ไป๋เฟิงซีหยอกเย้าอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เอนตัวกลับลงไปบนม้านั่งยาวอีกครา

เฮยเฟิงซีไม่ตอบคำ เพียงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้านาง จ้องนางไม่วางตาโดยมิส่งเสียงแม้สักคำ

ไป๋เฟิงซีชักจะประหลาดใจ จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ถามอย่างข้องใจว่า “ท่าทางนี้ของเจ้าเหมือนกำลังโมโห? หรือว่าล้มเหลวเสียแล้ว?”

“หึ! ข้าไม่แต่งกับกงจู่แห่งโยวโจวแล้ว เจ้ายินดีมากใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็เงื้อขาเตะม้านั่งยาวจนพลิก ไป๋เฟิงซีไม่ทันระวังกิริยานี้ของเขาจึงร่วงลงไปก้มจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมม้านั่ง

“ฮ้า จริงรึ” ยามนี้ไป๋เฟิงซีลืมโกรธไปหมดสิ้น นางนั่งบนพื้นเงยหน้ามองเฮยเฟิงซี รอจนได้สัญญาณยืนยันจากใบหน้าของเขา มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มปรีดากำลังจะก่อร่าง ทว่าความคิดหนึ่งก็พลันวูบผ่านสมอง ทำให้รอยยิ้มปรีดาแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ฮ่าๆๆๆ…จิ้งจอกดำ หรืออย่างไรโยวอ๋องก็ไม่ชอบให้ชาวยุทธ์ต้อยต่ำอย่างเจ้ามาเป็นเขย แต่ถูกใจหวงเฉา ซื่อจื่อแห่งจี้โจวผู้ครอบครองกองทัพม้าเกราะยี่สิบหมื่นนั่น ดังนั้นเจ้าจึงหน้างอคอตกกลับมา ฮ่าๆๆๆ…ข้าขันจะตายอยู่แล้ว ที่แท้โลกนี้ก็มีสิ่งที่เจ้าทำไม่สำเร็จเหมือนกัน ตั้งใจวางอุบายเสียดิบดี แต่พอถึงเวลาก็เหลวจนได้!”

นางทางหนึ่งหัวเราะ ทางหนึ่งก็ลุกขึ้นจากพื้น มองสีหน้าอึมครึมของเฮยเฟิงซี มิเพียงไม่เก็บอาการ กลับยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “ฮ่าๆๆๆ…จิ้งจอกดำ เจ้าสู่ขอไม่สำเร็จก็มีโทสะถึงเพียงนี้ ช่างผิดจากนาม ‘สูงสง่า’ ของเจ้าโดยแท้ จุ๊ๆๆ ท่าทางปลอดโปร่งผ่อนคลายใจกว้างของเจ้าไปไหนเสียแล้วเล่า”

เฮยเฟิงซีมองไป๋เฟิงซีที่หัวเราะลั่นไม่หยุด ท่วงท่าสง่างามมลายสิ้นไปไม่เหลือเงานานแล้ว ดวงตาเขาจ้องนางเขม็งราวกับจะพ่นไฟได้

“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีเห็นอาการนี้ของเขาก็ยิ่งมองยิ่งเริงร่า กระเถิบเข้าไปหา เหลือบมองในอกเขา จงใจลดเสียงเบากล่าวว่า “จิ้งจอกดำ ที่จริงขอเพียงเจ้าหยิบของบางสิ่งออกมา โยวอ๋องจะต้องรีบรับเจ้าเป็นเขยแน่นอน เหตุใดจึงไม่ควักออกมาเล่า ลำพองตนเกินเหตุจึงเสียโอกาสอันงามไปเปล่าๆ ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปอย่างเปล่าประโยชน์!”

เฮยเฟิงซียังคงไม่เอ่ยคำ เพียงแต่แววตาอึมครึมขึ้นเป็นลำดับ สุดท้ายถึงขั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป

หลังจากเขาไปแล้ว ไป๋เฟิงซียังคงนอนอยู่บนม้านั่งยาว ปากรำพึงรำพันว่า “หาได้ยากนัก จิ้งจอกดำตัวนี้ถึงขนาดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เดือดแล้วก็ไม่ควรมาลงกับข้านี่ ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย ต้องรู้ว่าข้าก็ช่วยเขาไม่น้อย…”

เฮยเฟิงซีเข้าห้อง ผลักหน้าต่างออกก็มองเห็นไป๋เฟิงซีผู้เอนกายหลับตาพักสมองบนม้านั่งยาวท่าทางรื่นรมย์เป็นพิเศษ จึงเคาะกรงนกเหนือหน้าต่างเพื่อหยอกนกแก้วสีมรกตในกรงพร้อมกับเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ควรค่าเลยจริงๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่ ไม่ควรค่าเอาเสียเลย!”

 

วันต่อมาไป๋เฟิงซีอารมณ์ดีถึงสิบส่วนอย่างเห็นได้ชัด แต่เช้าตรู่ก็ปลุกหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ รีบลุกเร็ว วันนี้พี่สาวจะพาเจ้าไปเที่ยว”

“อ้า!” หานผู่ที่เดิมยังเลื้อยอยู่บนเตียงกระโดดผลุงออกจากผ้าห่มทันที

รอจนหานผู่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ไป๋เฟิงซีก็พาเขาออกไปข้างนอก เหยียนจิ่วไท่ก็ติดตามไปกับพวกเขาด้วย

ในจวนสงบลงชั่วครู่ จากนั้นเฮยเฟิงซีก็เปิดประตูก้าวออกมา

“กงจื่อ จะให้เตรียมรถม้าหรือไม่ขอรับ” จงหลีถาม

“ไม่ต้อง พกเงินไปก็พอ ไปเดินตลาดเลือกของขวัญสักชิ้นเพื่อร่วมยินดีในงานแต่งของฉุนหรานกงจู่” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

“ขอรับ”

หลังจากสองพี่น้องสกุลจงติดตามเฮยเฟิงซีออกนอกประตูไปแล้ว ประตูหน้าต่างเรือนตะวันตกก็เปิดออก เผยให้เห็นดวงหน้าอันงดงามอ้างว้างเย็นชาของเฟิ่งชีอู๋ นางมองแผ่นหลังเฮยเฟิงซีที่จากไป สะท้อนใจอย่างเงียบงัน

 

บนท้องตลาดอันครึกครื้นของเมืองหลวงแห่งโยวโจว ไป๋เฟิงซีที่กำลังจูงหานผู่ก็สะท้อนใจน้อยๆ เช่นกัน “โยวโจวมิเสียทีที่มั่งคั่งที่สุดในหกแคว้น สถานที่ที่ข้าได้ผ่านในหลายปีมานี้มีน้อยนักที่จะเทียบความรุ่งเรืองกับเมืองหลวงโยวโจวได้”

“พี่สาว พวกเรายังต้องอยู่ที่โยวโจวอีกนานเท่าไร จะไปเมื่อใด แล้วเราจะไปที่ไหนต่อ” หานผู่ทางหนึ่งก็มองผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ทางหนึ่งก็ถาม

เหยียนจิ่วไท่ยืนอยู่หลังคนทั้งสองอย่างเงียบกริบ

ไป๋เฟิงซีอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผู่เอ๋อร์ วันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ วันนี้เที่ยวอย่างเดียว”

แม้น้ำเสียงนางจะราบเรียบ ทว่าหานผู่กลับฟังออกถึงแววหนักอึ้งในเสียงนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างเคลือบแคลง

“ซีเอ๋อร์!”

ขณะนั้นเอง เสียงดุจกำลังขับขานเพลงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทั้งสามมองตามต้นเสียงทันที

“จิ่วเวย!” ทันทีที่ไป๋เฟิงซีพบคนผู้นั้นก็โผเข้าไปหา คว้าเขามากอดไว้ ร้องเสียงดังอย่างยินดีว่า “จิ่วเวย! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

ชั่วขณะที่ผู้มีนามว่า ‘จิ่วเวย’ ถูกไป๋เฟิงซีกอด ก็สัมผัสได้ถึงสายตาสองคู่ที่ส่งตรงมาจึงเงยขึ้นมอง เขาเห็นบนสองฝั่งของถนนที่ห่างออกไปไม่ไกลมีกงจื่อสองคน หนึ่งอาภรณ์ดำ อีกหนึ่งอาภรณ์ขาวแยกกันยืนอยู่คนละฝั่ง เมื่อผู้แต่งอาภรณ์ขาวประสานสายตากับเขาก็ยิ้มบางๆ ส่วนผู้แต่งอาภรณ์ดำนั้นพยักหน้าน้อยๆ แทนคำทักทาย เขาก้มหน้ามองไป๋เฟิงซีที่กอดตนอยู่ อดยิ้มน้อยๆ มิได้ แววตาช่างดีนัก

“ซีเอ๋อร์ เจ้ารัดคอข้าจนจวนจะหักอยู่แล้ว” จิ่วเวยดึงแขนไป๋เฟิงซีที่รัดรอบลำคอตนออกพร้อมกับร้องขึ้น

“จิ่วเวย ข้าไม่ได้พบเจ้ามานานเหลือเกิน เจ้าไปอยู่ที่ใดมา” ไป๋เฟิงซีปล่อยมือพลางถามขึ้น

“ข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทั้งสี่ทิศ” จิ่วเวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทั้งสี่ทิศเช่นกัน ไฉนพวกเราจึงไม่ได้พบกันระหว่างทางบ้างเลยเล่า” น้ำเสียงไป๋เฟิงซีคับข้องอยู่ไม่น้อย

ด้านข้าง หานผู่และเหยียนจิ่วไท่พากันมองคนผู้มีนามว่าจิ่วเวยอย่างตะลึงตะไล ในดวงตามีแววงุนงงสงสัย พวกเขาใกล้ชิดกับไป๋เฟิงซีมาระยะหนึ่งแล้ว พอคุ้นเคยกับนิสัยนางอยู่บ้าง แม้จะดูไม่ระวังกิริยาวาจา เข้าได้กับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ทว่าเมื่อคบหาผู้ใดแท้ที่จริงก็ยังมีระยะใกล้ไกลอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าไป๋เฟิงซีปฏิบัติต่อคนผู้นี้เป็นพิเศษ นางมีความชิดเชื้อและนิยมชมชอบให้แก่เขา จุดนี้แม้แต่เฮยเฟิงซีที่รู้จักกับนางมานานที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้

หานผู่และเหยียนจิ่วไท่พิเคราะห์คนผู้นี้อย่างถี่ถ้วน ใคร่รู้ว่าเขามีที่ใดพิเศษที่ทำให้ไป๋เฟิงซีมองเขาต่างไปจากผู้อื่น

จิ่วเวยอายุราวสามสิบ รูปร่างผอมสูง หน้าตาธรรมดา สวมชุดสีคราม ผมยาวที่รวบไว้ที่ท้ายทอยด้วยผ้าสีครามห้อยระลงมาตามหัวไหล่และแผ่นหลัง หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นเพียงบุรุษธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อมองซ้ำเป็นคราที่สองกลับรู้สึกว่าเขาผู้นี้พิเศษยิ่ง แต่พิเศษที่ตรงใดก็มิทราบ อาจเป็นเมื่อเขาเลิกคิ้วขยับปาก อาจเป็นเมื่อดวงตาทั้งสองของเขาพิศมองอย่างไม่ตั้งใจ ชวนให้รู้สึกว่าเขามีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์บางประการ คนผู้นี้เป็นจำพวกที่มองคราแรกไม่มีที่ใดดึงดูดสายตา ทว่าเมื่อได้พบเขาเป็นคราที่สอง ก็จะสามารถจำเขาได้ในปราดเดียว

จิ่วเวยดึงไป๋เฟิงซีมามองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็ชื่นชมเสียงแผ่วเบาว่า “สิบปีกลับมาพบ แววสะคราญส่องนัยน์ตาสุกใสไม่มีเปลี่ยน!”

“เจ้าก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเช่นกัน” ไป๋เฟิงซีพิจารณาจิ่วเวย

“พี่สาว!” หานผู่เดินเข้าไปแย่งมือไป๋เฟิงซีกลับมาจับจูงไว้ในมือตนตามเดิม ดวงตาจ้องจิ่วเวยเขม็ง เจตนาของเขามิเอื้อนเอ่ยก็เป็นที่ประจักษ์

ไป๋เฟิงซีท่าทีไม่คล้อยตาม นางผลักหานผู่ไปอยู่ตรงหน้าจิ่วเวย “จิ่วเวย นี่คือหานผู่ที่ข้าเพิ่งรับเป็นน้องชาย เป็นอย่างไรเล่า สวยมากกระมัง” จากนั้นก็เขกศีรษะหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ ท่านนี้คือจิ่วเวย เป็นนายแห่งหอลั่วรื่อที่ฉีอวิ๋น เป็นพ่อครัวใหญ่อันดับ…เอ่อ อันดับต้นๆ ในใต้หล้า ทำอาหารอร่อยอย่างยิ่ง!”

“น้องชาย?” จิ่วเวยมองหานผู่แวบหนึ่ง ย่อมไม่พลาดสีหน้าระแวดระวังบนดวงหน้าจ้อยร่อยนั่น จึงเอ่ยกลั่นแกล้งว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่มีน้องชายน้องสาว นี่คงมิใช่บุตรชายเจ้ากระมัง หืม ให้ข้าดูที ประพิมพ์ประพายคล้ายอยู่หลายส่วนเสียด้วย”

“อ่ะแฮ่ม…” เห็นได้ว่าไป๋เฟิงซีถูกวาจานี้กระทำจนมีอันต้องสำลัก นางเงื้อหมัดได้ก็ทุบลงหัวไหล่จิ่วเวย “รู้จักกับเจ้ามาหลายปี ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าจะกล่าวน้อยแต่ลงมือหนักเช่นนี้”

“โอ๊ย ซีเอ๋อร์เจ้าเบาหน่อยซี” จิ่วเวยคลำหัวไหล่พร้อมกับร้องเจ็บ “ต่อให้ถูกข้าพูดแทงใจดำ เจ้าก็ไม่เห็นต้องร้อนตัวทุบหนักถึงเพียงนี้เลย รู้ไว้ด้วยว่าข้าเป็นคนธรรมดา ต้านทานกระบวนท่าไป๋เฟิงซีไม่ไหวหรอกนะ”

“หึ…ผู้ใดให้เจ้าพูดเหลวไหลกันเล่า” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วเหล่ตามองเขา “บัดนี้ปรับให้เจ้าทำอาหารเลี้ยงข้าหนึ่งโต๊ะเป็นการด่วน มิฉะนั้นข้าจะรับขวัญเจ้าด้วยวรยุทธ์สิบแปดกระบวนท่า!”

“เฮ้อ!” จิ่วเวยมือทาบหน้าผากถอนใจยาว “จะมีสักครั้งหรือไม่ที่เจ้าพบข้าแล้วจะไม่เอ่ยถึงเรื่องกิน ข้าท่องทั่วหกแคว้นก็ไม่เคยพบสตรีตะกละเช่นเจ้าเป็นผู้ที่สองเลย!”

“ฮ่าๆ ผู้ใดให้ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้าก็ไพล่นึกถึงอาหารที่เจ้าทำกันเล่า” ไป๋เฟิงซีมือหนึ่งคล้องแขนเขา มือหนึ่งจูงหานผู่ “ไปได้แล้วๆ ข้ารู้ว่าสถานที่ซึ่งคนอย่างเจ้าพักต้องสบายที่สุดเป็นแน่ เราไปที่พักของเจ้ากัน”

ก่อนจากจิ่วเวยยังเหลียวกลับไปมองคราหนึ่ง กงจื่ออาภรณ์ดำและขาวที่สองฟากถนนหายไปไม่เหลือร่องรอยนานแล้ว ที่แต่งดำต้องเป็นจิ้งจอกดำเฮยเฟิงซีที่ซีเอ๋อร์กล่าวถึงบ่อยๆ เป็นแน่ เช่นนั้นที่แต่งขาวเล่า ท่วงท่าผุดผ่องปราศจากมลทินเช่นนั้น แผ่นดินนี้ไร้ที่สอง คาดว่าคงมีเพียงอวี้กงจื่อ อวี้อู๋หยวนผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นกระมังจึงจะมีบุคลิกเช่นนี้ได้

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม

17 of 17หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com