ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 1 อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน
รัชศกจิ่งเหยียนที่ยี่สิบห้า เดือนเจ็ด
เพิ่งล่วงเข้าสู่ฤดูสารท อากาศยังคงร้อนระอุถึงสิบส่วน ยามเที่ยงยิ่งเป็นเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน แสงอาทิตย์แรงกล้าดั่งอัคคีแผดเผาผืนดิน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหลบร้อนอยู่ในเคหสถานหรือใต้ร่มไม้
ทว่า ณ เชิงเขาเซวียนซานซึ่งตั้งอยู่ทางปัจฉิมทิศของเป่ยโจวกลับมีคนมากมายไล่ล่ากันภายใต้แสงตะวันร้อนแรง ผู้ที่วิ่งตะบึงอยู่ด้านหน้าคือบุรุษสวมชุดสีดำ
“เยียนอิ๋งโจว เจ้าไร้ทางหนีแล้ว!”
หลังจากบีบให้บุรุษชุดดำเข้าสู่ป่าทึบในเขา คนทั้งกลุ่มก็เข้าโอบล้อมไว้อย่างแน่นหนา ในบรรดานั้นบ้างเป็นทหารสวมเครื่องแบบ บ้างแต่งกายเยี่ยงบัณฑิต บ้างสวมชุดอย่างวาณิช ยังมีผู้ที่ดูเหมือนชาวนา…อาภรณ์หลากหลาย ท่วงท่ากิริยาแตกต่าง ทว่าที่พ้องต้องกันก็คือดาบและกระบี่ในมือซึ่งล้วนแต่ชี้ไปยังผู้ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง
บุรุษที่ถูกล้อมอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด มือถือกระบี่ยาว บนร่างกายมีบาดแผลหลายแห่ง โลหิตสดๆ ไหลไม่หยุด ย้อมให้พื้นหญ้าใต้เท้าแดงฉาน แต่เขายังคงยืนเหยียดร่างตรง มองกลุ่มคนเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่คล้ายกับผู้หนีตายที่จนตรอกสิ้นหนทางสักนิดเดียว กลับเหมือนขุนพลที่ใคร่สู้แลกชีวิตกับศัตรู
คนกลุ่มนั้นแม้จะล้อมเขาไว้ได้ ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ห่อผ้าซึ่งบุรุษผู้นั้นสะพายอยู่
“เยียนอิ๋งโจว ทิ้งของเอาไว้ แล้วพวกเราจะเหลือทางรอดให้เจ้า!” ผู้แต่งเครื่องแบบอย่างทหารคนหนึ่งชูดาบเล่มเขื่องในมือ ชี้ใส่บุรุษชุดดำ…เยียนอิ๋งโจว
บุรุษผู้ถูกขานนามว่าเยียนอิ๋งโจวผุดรอยยิ้มจางๆ แฝงท่าทางเสียดสีอันเย็นชา “เคยสดับว่าขุนพลเจิงฝู่แห่งเป่ยโจว ทุกครั้งที่ตีเมืองแตกจะต้องสังหารล้างเมืองสามวัน ใต้ดาบมีวิญญาณคับแค้นเหลือคณานับ แต่วันนี้ถึงกับการุณย์แก่ข้าผู้แซ่เยียนอย่างน่าอัศจรรย์ใจนัก”
วาจานี้กระทบกระเทียบว่าคำกล่าวของเจิงฝู่เชื่อไม่ได้ อีกทั้งยังบ่งสันดานอำมหิตของเขา ใบหน้าเจิงฝู่ฉายโทสะดังคาด ขณะคิดจะส่งเสียง บุรุษในชุดบัณฑิตข้างกายก็โบกพัดพับหนึ่งครา เอ่ยอย่างสุภาพมีมารยาทว่า “เยียนอิ๋งโจว วันนี้ท่านยากจะหนีเอาชีวิตรอดเป็นแน่ หากรู้สถานการณ์ก็ทิ้งของไว้ พวกเราสามารถให้ท่านตายอย่างฉับไวตรงไปตรงมาได้บ้าง”
“ข้าผู้แซ่เยียนย่อมรู้ว่าวันนี้ยากจะหนีพ้นความตาย” เยียนอิ๋งโจวเอ่ยอย่างเยือกเย็น พร้อมกับใช้มือข้างที่มิได้กุมกระบี่ดึงห่อผ้าบนหลังให้กระชับ “เพียงแต่ว่า…กงอู๋ตู้ พิษในพัดของเจ้าทำร้ายลูกน้องข้าไปยี่สิบคน ข้าย่อมต้องเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้าก่อน จึงจะไปอย่างวางใจได้” สิ้นคำกระบี่ยาวก็ชี้ไปยังกงอู๋ตู้ แววตาคมกริบเย็นเยียบยิ่งกว่ากระบี่ล้ำค่าในมือ
พัดของกงอู๋ตู้คร่าชีวิตมานับไม่ถ้วน ทว่าบัดนี้พอเผชิญแววตาเช่นนี้ก็ถึงกับหนาวสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ผู้คนโดยรอบพากันกระชับอาวุธในมือแน่นโดยมิรู้ตัว พร้อมระวังด้วยสมาธิทั้งหมด
สี่ขุนพล ‘วายุ น้ำค้าง หิมะ พิรุณ’ แห่งจี้โจวนามกระเดื่องทั่วแผ่นดิน และบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งกาลก่อนทำศึกที่ฉาเฉิงจนชื่อเสียงลือเลื่องคือ ‘ขุนพลวายุกล้า’ เยียนอิ๋งโจว ผู้นำแห่งสี่ขุนพล…ตลอดทางมานี้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาเห็นความดุดันกล้าหาญชนิดหนึ่งสู้ร้อยของอีกฝ่ายมาแล้ว
“เยียนอิ๋งโจว วันนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ใดชนะผู้ใดแพ้ก็ชัดเจนนานแล้ว” บุรุษฉกรรจ์ผู้แต่งกายคล้ายชาวนาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว สายตาจับจ้องเยียนอิ๋งโจวพร้อมเงื้อดาบตวาดร้อง “ทุกท่าน ไยต้องกริ่งเกรงมันด้วย เราเคียงไหล่กันลงมือ หั่นร่างมันแล้วแบ่งไปคนละชิ้น กลับไปรับความชอบโดยสะดวก!”
“ประเสริฐ! ท่านจอมยุทธ์หลินไหวกล่าวมีเหตุผล สังหารเยียนอิ๋งโจวเสีย ของย่อมตกเป็นของเรา!” ผู้สวมชุดอย่างวาณิชปลดแส้อ่อนลงจากเอว ไม่ทันสิ้นกระแสความแขนของเขาก็สะบัด แส้ยาวเหินออกไปเร็วรี่ พุ่งเข้าจะชิงห่อผ้าบนหลังเยียนอิ๋งโจว
“ลุยพร้อมกัน!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตวาดออกมาประโยคหนึ่ง คนทั้งหมดลงมือ ศาสตราวุธล้วนแต่พุ่งใส่ร่างเยียนอิ๋งโจว
เยียนอิ๋งโจวแม้จะบาดเจ็บ ทว่าการเคลื่อนไหวยังคงปราดเปรียว เพียงเบี่ยงร่างเล็กน้อย ยกแขนซ้ายขึ้นก็คว้าแส้ยาวที่พุ่งเข้ามาพัวพันจากด้านหลังไว้ในมือได้ จากนั้นเขาก็หมุนร่างอย่างรวดเร็ว กวาดมือหนึ่งครา บุรุษท่าทางเหมือนวาณิชก็ถูกกระชากเข้ามารับดาบที่เจิงฝู่ฟันเข้าใส่ ต่อมามือขวาก็ไหวโบก กระบี่ยาวขวางรับอาวุธทั้งหลายที่ฟันเข้าด้านข้าง เขาเกร็งกำลังที่แขน ตวาด “ไป” เสียงเย็นชา สรรพาวุธที่ปะทะอยู่บนกระบี่ก็สั่นสะท้านอย่างพร้อมเพรียง สามสี่คนที่ถืออาวุธรู้สึกเพียงง่ามมือปวดสาหัส แทบจะกุมอาวุธไม่อยู่ จึงจำต้องชักมือกลับ ถอยร่างไปหนึ่งก้าวถึงหลีกเลี่ยงความอัปยศอันเกิดจากอาวุธหลุดมือไปได้
ในเวลาเพียงชั่วครู่ เยียนอิ๋งโจวก็คุกคามจนคนกลุ่มนั้นล่าถอยไปหลายคน ท่าร่างของเขาหมดจดว่องไวจนผู้ที่ชมดูอยู่ด้านข้างอดละล้าละลังมิได้ว่าควรรั้งเป็นผู้เฒ่าหาปลาได้ผลประโยชน์ หรือจะร่วมลงมือเข้าประจันให้เรื่องจบโดยไว
“พวกเรา ลุยเข้าไป!” กงอู๋ตู้โบกพัดหนึ่งครา โผนร่างเข้าห้ำหั่น คนที่เหลือก็พากันลงมือตาม ชั่วขณะนั้นเห็นเพียงประกายดาบเงากระบี่ ยินเพียงเสียงโลหะดังเกรื่องกร่าง
ขณะที่กลุ่มคนกำลังล้อมสังหารเยียนอิ๋งโจว กลับมีทหารหนุ่มสวมเสื้อคลุมขาวถือทวนชมดูอยู่ด้านข้าง เบื้องหลังเขามีผู้ติดตามอยู่สี่คน
แม้จะถูกสิบกว่าคนโอบล้อม เยียนอิ๋งโจวกลับไร้ซึ่งอาการหวั่นเกรงแม้เศษเสี้ยว เมื่อกระบี่ล้ำค่าพลิกเหินก็ก่อให้เกิดประกายสีครามเสียดแทงนัยน์ตา ตำแหน่งที่กระบี่ยาวไปถึงจะบังเกิดเสียงครวญคราง จะมองเห็นเลือดหยาดหยด
ฝีมือฉกาจนัก! ทหารหนุ่มผู้เสื้อคลุมขาวลอบพยักศีรษะ ดวงตาสุกใสเปี่ยมด้วยความชื่นชม
ทางเยียนอิ๋งโจวที่อยู่กลางวงล้อมย่อมประจักษ์ว่าวันนี้ยากจะรอดชีวิต จึงรุกอย่างเดียว ไม่ตั้งรับ สู้ด้วยวิธีแลกชีวิตโดยสมบูรณ์ ทว่าผู้ที่ล้อมสังหารเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ทั้งยังมีจำนวนมาก ดังนั้นไม่นานนักบนร่างเขาก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง โลหิตฉีดพุ่ง ทุกที่ที่เท้าเหยียบย่างล้วนถูกย้อมจนแดงฉาน
“เฮ้อ!” ทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาวส่ายศีรษะเบาๆ ครั้นเห็นว่าท่าร่างของเยียนอิ๋งโจวช้าลงเพราะอาการบาดเจ็บทบทวีก็เผยสีหน้าเสียดาย
“เยียนอิ๋งโจว มอบชีวิตมา!” เสียงตวาดอันเย็นชาดังขึ้น กงอู๋ตู้เห็นโอกาสจึงใช้พัดเหล็กต่างดาบ เสือกแทงเข้าใส่หน้าอกเยียนอิ๋งโจว
พัดเหล็กจู่โจมถึงตรงหน้า เยียนอิ๋งโจวเบี่ยงร่างเล็กน้อย มีเจตนาจะหลบหลีก ทว่ายังช้าไป ทำให้พัดเหล็กแทงเข้าที่ชายโครง
ขณะกงอู๋ตู้เห็นว่าลงมือเป็นผลและกำลังลำพองใจอยู่นั้น อาการปวดสาหัสก็แล่นมาจากอก เมื่อก้มลงมองก็พบว่ากระบี่เหล็กครามของเยียนอิ๋งโจวฝังอยู่ตรงหน้าอกเขาจนถึงด้ามเสียแล้ว
“ข้าบอกแล้วว่าต้องเอาชีวิตสุนัขของเจ้าให้จงได้!” เยียนอิ๋งโจวขบฟันเอ่ย เขาถึงกับยอมให้พัดของกงอู๋ตู้ทำร้ายก็จะสังหารอีกฝ่ายให้ได้
“เจ้า…” กงอู๋ตู้เพิ่งปริปากเอ่ยได้คำเดียว เยียนอิ๋งโจวก็ชักกระบี่กลับอย่างรวดเร็ว โลหิตพุ่งทะลักปานสายฝน สาดชโลมทั่วร่างเขา กงอู๋ตู้ตาเหลือก ทรุดฮวบไป
เยียนอิ๋งโจวดึงกระบี่ได้ก็วาดไปต้านรับการจู่โจมจากด้านหลัง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว หัวไหล่ซ้ายเขาเจ็บแปลบ ดาบของเจิงฝู่เสียบจากข้างหลัง โลหิตพุ่งทะลักดั่งน้ำพุในทันที อาบทั้งร่างให้กลายเป็นมนุษย์โลหิต
“ถึงขั้นลอบโจมตีข้างหลัง…เสียทีที่เจ้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น!” เยียนอิ๋งโจวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง จ้องมองด้วยแววตาโกรธแค้น
“ฮึ ยามนี้ใครบ้างเล่าจะเป็นวิญญูชน” เจิงฝู่แค่นเสียงเย็นชาอย่างไร้ความละอายแม้แต่น้อยนิด ดาบยังฝังอยู่ในร่างเยียนอิ๋งโจว เมื่อเห็นใต้คมดาบคือคนที่มีแผลฉกรรจ์รอถูกเชือดก็อดพึงพอใจมิได้ มือซ้ายเขายื่นตรงเข้าฉวยห่อผ้าบนหัวไหล่เยียนอิ๋งโจว “ทางที่ดีเจ้า…อ๊าก!”
เห็นเพียงประกายกระบี่สาดวูบ จากนั้นเจิงฝู่ก็โหยหวนอย่างอนาถ ล้มลงกับพื้นสิ้นชีพ มือทั้งสองของเขาถึงกับถูกตัดขาดเสมอข้อ!
ครั้นลงมือเป็นผลแล้ว เยียนอิ๋งโจวก็ถอยหลังหนึ่งก้าว พลิกมือไปดึงดาบที่ปักอยู่บนหลังออกโยนลงพื้น บนด้ามดาบยังมีมือที่ขาดของเจิงฝู่ติดอยู่ กลุ่มคนที่ล้อมโจมตีเห็นเข้าก็สั่นสะท้านทั้งที่อากาศไม่หนาว พากันถอยหนีไปหนึ่งก้าว
ทางด้านเยียนอิ๋งโจวผู้ถูกทำร้ายสาหัสสองครั้งสองคราก็สิ้นกำลังทรงกาย ร่างโงนเงนจวนจะทรุดฮวบอยู่รอมร่อ เขาใช้กระบี่ยาวยันพื้น คุกเข่าข้างหนึ่ง เงยหน้ากวาดตามองอริที่รายล้อม ดวงตาทั้งคู่คมดุกระหายเลือด ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ร้ายที่กำลังบาดเจ็บและคลุ้มคลั่ง ผู้คนโดยรอบล้วนถูกรัศมีอันเหี้ยมหาญข่มทับ ไม่กล้าบุ่มบ่าม
เยียนอิ๋งโจวผ่อนลมหายใจชั่วครู่ จากนั้นถึงหยัดกายขึ้นช้าๆ บรรดาผู้ที่ล้อมอยู่ผงะถอยอย่างควบคุมตัวเองมิได้
“มาเถิด! วันนี้ข้าเยียนอิ๋งโจวได้พบกับวีรบุรุษมากหน้าหลายตาจากแว่นแคว้นต่างๆ นับเป็นกุศลอันสั่งสมมาสามชาติ…บนหนทางสู่สัมปรายภพมีทุกท่านร่วมทางก็ไม่เดียวดายอีกต่อไป!”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเยียนอิ๋งโจวคือหลินไหว เสี้ยวขณะนี้ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นลง มอง ‘ขุนพลวายุกล้า’ ผู้เหมือนอสูรอาบโลหิตเบื้องหน้าด้วยใบหน้าเปี่ยมความพรั่นพรึง เขาอดถอยเท้าหนีมิได้…
แปะๆๆ!
ขณะที่หลินไหวกริ่งเกรงไม่กล้าบุกเข้าไป ในป่าก็พลันเกิดเสียงปรบมือที่แปลกแยกอย่างยิ่งในบรรยากาศยะเยือกอึมครึมนี้ คนทั้งหลายตะลึงลาน หันหน้าไปมองผู้ปรบมือ แล้วก็พบว่าเป็นทหารหนุ่มในเสื้อคลุมขาวซึ่งเอาแต่ชมดูอยู่ด้านข้าง
ทหารหนุ่มผู้นั้นก้าวมาด้านหน้าอย่างแช่มช้า สายตาจ้องตรงไปยังเยียนอิ๋งโจวที่ถือกระบี่ต้านรับศัตรู เขาเอ่ยเสียงใสกังวานว่า “เยียนอิ๋งโจว เจ้าเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้าโดยแท้! แทนที่จะตายใต้เงื้อมมือชนชั้นมุสิกไร้สามารถเหล่านี้ มิสู้ให้ข้าช่วยเสริมส่งนามเกริกเกียรติของเจ้า!”
สิ้นวาจาร่างของเขาก็เหินขึ้น ทวนเงินในมือประหนึ่งลำแสงสีขาวทะลวงเมฆหมื่นลี้ รวดเร็วและงดงาม มันม้วนตลบมากับความเกรี้ยวกราดไร้ใดเปรียบ แทงเข้าใส่เยียนอิ๋งโจว
เยียนอิ๋งโจวนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ มือขวากระชับด้ามกระบี่แน่น รอคอยทวนแหวกอากาศแยกวายุนี้ เขาไม่อาจหลบและก็หลบไม่พ้น ได้แต่ยืนรออย่างเดียว รอให้ทวนเงินเสียบเข้าสู่แผ่นอก…จากนั้นกระบี่ของเขาก็จะเสียบเข้าสู่แผ่นอกของศัตรูอย่างแน่แท้เช่นกัน!
ทวนเงินระยับจับตาจวนจะแทงเข้าสู่ร่างของเยียนอิ๋งโจวในอึดใจ ทว่าฉับพลันนั้นมีอสนีบาตสีขาววูบผ่านกลางเวหา เร็วจนไม่ทันได้เห็นชัดถนัดตาก็หายไป ทว่าที่สาบสูญไปพร้อมกับอสนีบาตคือเยียนอิ๋งโจวที่บาดเจ็บสาหัส
ความพลิกผันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่ง ไม่เพียงคนทั้งหลายที่นิ่งอึ้ง กระทั่งทหารอาภรณ์ขาวคนนั้นก็ดำรงท่าร่างเดิม พุ่งทวนเงินราวกับจะแทงเข้าสู่ร่างศัตรู…ทว่าแท้ที่จริงเขาแทงไม่ถูกสิ่งใดเลย ดวงตาเขาจ้องคมทวนเขม็งราวกับมิกล้าเชื่อว่าภายใต้การแทงด้วยกำลังทั้งหมดของตนจะถึงกับพลาดเป้า มิหนำซ้ำอีกฝ่ายคือผู้ใดอยู่หนไหนก็ยังไม่รู้
“ฮ่าๆๆๆ…”
ขณะที่ผู้คนกำลังพรึงเพริดอยู่นั้น กลางป่าอันร้อนอ้าวและคาวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดก็พลันมีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น เพียงพริบตากลางป่าก็เสมือนมีสายลมเย็นชื่นพัดผ่าน ทั้งเหมือนตาน้ำใสพิสุทธิ์สายหนึ่งที่ผุดทะลัก ทำให้กลิ่นคาวเบาบางลง ไอร้อนอบอ้าวเจือจางลง กระแสเย็นชื่นใจสายหนึ่งซึมขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ
“น่าสนุกนัก หลับไปหนึ่งงีบ ตื่นมายังได้ชมละครหนึ่งฉากอีกด้วย”
เสียงกังวานใสดังขึ้นอีกหน ผู้คนมองตามเสียง บนไม้สูงที่ห่างออกไปสามจั้ง* มีดรุณีน้อยในชุดขาวนั่งพิงกิ่งไม้อยู่ เส้นผมดำขลับยาวสลวยปล่อยลงตรงๆ ดวงหน้าหมดจดงดงามเหนือสามัญ มุมปากแฝงรอยยั่วยิ้มขี้เล่น ดวงตาครึ่งลืมครึ่งหลับ ก้มมองคนทั้งหลายด้วยอาการเกียจคร้านเช่นคนเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน
ครั้นกลุ่มคนใต้ต้นไม้พบดรุณีผู้ใสบริสุทธิ์เพียงนี้ก็อดอึ้งไปมิได้
ล่วงไปครู่หนึ่ง หลินไหวถึงส่งเสียงถามไถ่เป็นคนแรก “ไม่ทราบว่าแม่นางคือผู้ใด”
ดรุณีน้อยชุดขาวไม่ตอบคำ กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไมว่า “อ้าว ท่านจอมยุทธ์หลิน ยามนี้ท่านยืดอกออกมาได้แล้วหรือ เมื่อครู่เผชิญกับกระบี่ยาวสามเชียะ ของผู้อื่น เหตุใดถึงได้ล่าถอยเสียเล่า” ขณะกล่าวก็โบกมือ แล้ววัตถุอย่างหนึ่งก็ลอยและร่วงลงสู่มือ
ยามนี้ผู้คนถึงเพิ่งเห็นอย่างแจ่มชัดว่าสิ่งที่นางหิ้วอยู่ในมือก็คือเยียนอิ๋งโจวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้หมดสติไปแล้ว เอวเขายังพันไว้ด้วยภูษาขาวผืนยาว คิดว่าเมื่อครู่ก็คือดรุณีนางนี้ที่ใช้ภูษาขาวช่วยเขาไป
“เจ้า!” หลินไหวโดนดรุณีชุดขาวกระทบกระเทียบ ใบหน้าด้านหนาก็อดร้อนผ่าวมิได้
“จุ๊ๆ เยียนอิ๋งโจวผู้นี้แม้จะเป็นวีรบุรุษผู้สามารถ แต่บัดนี้ถูกพวกเจ้าจัดการจนเหลือเพียงครึ่งชีวิตแล้ว ช่างน่าเสียดายโดยแท้!” ดรุณีชุดขาวหิ้วเยียนอิ๋งโจวด้วยมือข้างเดียว พินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียด อีกทางหนึ่งยังส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ บุรุษหนักร้อยกว่าชั่ง ผู้หนึ่งกลับถูกนางหิ้วไว้ในมืออย่างผ่อนคลายประหนึ่งอุ้มทารก
“นางหญิงน่ารังเกียจนี่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ!” น้ำเสียงแหบกระด้างดังขึ้น บุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่หยาบกร้านผู้หนึ่งแหวกฝ่าผู้คนออกมา ชี้ไปยังดรุณีชุดขาวพร้อมกับเอ็ดตะโรว่า “หากรู้สถานการณ์ก็รีบวางเยียนอิ๋งโจวลงแล้วไสหัวไปให้ห่าง! นาง…อ๊อก…”
เขายังกล่าวไม่ทันสิ้นคำ คนทั้งหมดก็เห็นแสงสีเขียวสาดวาบ ตามด้วยเสียงเพียะดังก้อง ปากของเขาถึงกับโดนใบไม้ใบหนึ่งอุดไว้อย่างแน่นหนา
“เสียงของเจ้าฟังแล้วฝืดหูเหลือเกิน ข้าไม่ชมชอบฟังเจ้าพูด” ดรุณีชุดขาวทางหนึ่งถือโอกาสพาดเยียนอิ๋งโจวไว้บนกิ่งไม้ ทางหนึ่งก็เอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “อีกอย่างลมปากเจ้าก็เหม็นนัก ยังคงหุบปากไว้เป็นการดี”
“พรืด!” มีผู้กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ทว่าติดขัดที่บุรุษร่างใหญ่ทำหน้าถมึงทึง จึงรีบเก็บอาการ
บุรุษร่างใหญ่ข่มกลั้นจนใบหน้าแดงดั่งตับสุกร เขายกมือขึ้นกระชากใบไม้บนปากที่ยังเจ็บชาไม่หายออก ในใจทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาล แต่กลับไม่กล้าปริปากอีก จากการกระทำเมื่อครู่ของดรุณีชุดขาวก็เห็นได้แล้วว่าวรยุทธ์ของนางเข้าขั้นเด็ดใบซัดดอกทำร้ายคนถึงชีวิตได้ทันที และที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือเขามองไม่ออกเลยว่านางลงมือเช่นไร พอตาเห็นใบไม้ลอยมาก็ไม่อาจหลบหลีก แพ้ชนะเป็นที่ประจักษ์แล้ว หากมิใช่ผู้อื่นยั้งมือไว้ไมตรี เวลานี้เขาอาจได้ร่วมมรรคาไปกับกงอู๋ตู้แล้ว
ระหว่างคุมเชิงกันนั้น บุรุษท่าทางเยี่ยงวาณิชก็สืบเท้าออกมา เอ่ยเสียงละมุนละม่อมว่า “แม่นางท่านนี้ วันนี้ผู้ที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่มิใช่ชนชั้นไร้นาม แม้ว่าแม่นางจะมีวรยุทธ์เลิศล้ำ ทว่าสองหมัดยากต้านรับสี่มือ ฉะนั้นแม่นางมิสู้เดินไปตามทางของตน คิดเสียว่าซื้อน้ำใจพวกข้า วันข้างหน้าหากพบกันยังขุนเขาเขียวธารน้ำใสก็จะได้สะดวกใจ”
“อ้า เถ้าแก่เหอสุภาพอ่อนโยนจริงทีเดียว มิน่าเล่าสำนักคุ้มภัยของท่านถึงกิจการรุ่งเรืองเพียงนั้น” ดรุณีชุดขาวพยักหน้าให้ผู้ท่าทางเหมือนวาณิช แสดงชัดว่ารู้ฐานะคนผู้นี้ “วาจาของท่านชอบด้วยเหตุผลยิ่ง กล่าวได้จับใจข้านัก”
เดิมทีเหอซวินอยู่ในยุทธภพก็ชื่อเสียงระบือไกล จึงไม่รู้สึกหลากใจที่ดรุณีชุดขาวรู้ฐานะของเขา เขาประสงค์เพียงแต่ให้ดรุณีนางนี้จากไปโดยไวก็พอ ต้องทราบว่าเขาผาดโผนในยุทธภพมาทั้งชีวิต ผู้ใดมีฝีมือกี่ชั่งกี่ตำลึง ย่อมมองออกแปดเก้าส่วน ดรุณีชุดขาวนางนี้ยังคงพูดจายิ้มหัวต่อหน้าพวกเขาซึ่งมีคนมากมายได้ คาดว่าคงมั่นใจในวรยุทธ์ของตนเป็นพื้นฐาน ทั้งดูจากการลงมือ นางก็หาใช่ชนชั้นธรรมดา ด้วยเหตุนี้เรื่องมากขึ้นอีกหนึ่งมิสู้เรื่องน้อยลงอีกหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นแก่นสารสำคัญคือห่อผ้าที่เยียนอิ๋งโจวแบกไว้เท่านั้น
“เพียงแต่…” ขณะที่ผู้คนกำลังจะผ่อนลมหายใจนั้นเอง ดรุณีชุดขาวก็โพล่งออกมาอีกสองคำ
“เพียงแต่อันใดรึ” เหอซวินยังคงถามอย่างละมุนละม่อม
“ขอเพียงพวกเจ้าชดใช้ความสูญเสียของข้าได้ ข้าย่อมจากไป” ดรุณีชุดขาวยิ้มกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“เรื่องนี้ง่าย ไม่ทราบแม่นางต้องการเท่าไร” เหอซวินสดับคำนางจบก็ผ่อนลมหายใจ ที่แท้ก็เป็นผู้นิยมในโภคทรัพย์
“ข้าต้องการไม่มากไม่มาย” นางชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งร้อยแผ่นเงิน?” เหอซวินถามหยั่งเชิง
ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะ
“หนึ่งพันแผ่นเงิน?” เหอซวินเลิกคิ้วถามอีกครา
ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะอีกคำรบ
“หรือแม่นางต้องการหนึ่งหมื่นแผ่นเงิน?” เหอซวินสูดลมหายใจ นี่ไยมิใช่สิงโตอ้าปาก เรียกราคาสูงเทียมฟ้า?
“มิได้ๆ” ดรุณีชุดขาวถอนใจส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นแม่นาง…” นางต้องการเท่าใดกันแน่เหอซวินก็สุดรู้ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเรียกหนึ่งล้านแผ่นเงินได้กระมัง
“เถ้าแก่เหอเป็นผู้ค้าขายเสียจริง ทว่านอกจากวัตถุเช่นเงินทอง ท่านจะเอ่ยถึงอย่างอื่นบ้างมิได้หรือ” ดรุณีชุดขาวเอ่ยพลางม้วนภูษาขาวในมือเล่นไปมา
“ขอแม่นางโปรดแถลงไข” เหอซวินคร้านจะคาดเดาต่อแล้ว
“เฮ้อ!” ดรุณีชุดขาวถอนใจยาวราวกับนึกเสียดายที่เหอซวินไม่อาจเข้าใจเจตนาของนาง “เดิมทีข้ากำลังนอนกลางวันและฝันหวานอยู่ทีเดียว แต่ก็ถูกพวกท่านก่อกวนจนตื่น”
เหอซวินมองนาง ไม่รู้นางต้องการอะไรกันแน่ ส่วนคนอื่นๆ ด้านข้างเริ่มขมวดคิ้วอย่างรำคาญแล้ว
“เดิมทีความฝันถูกขัดจังหวะยังไม่เป็นอันใด แต่ติดอยู่ที่เจ้าความฝันในครั้งนี้…เป็นฝันที่พันปียากจะพานพบ!” ดรุณีชุดขาวพลันเก็บรอยยิ้ม กล่าวจริงจังเป็นนักหนาว่า “พวกท่านทราบหรือไม่ ข้ากำลังฝันเห็นตัวเองได้รับเชิญจากเจ้าแม่ซีหวังหมู่ ให้ขึ้นเขาคุนหลุนขุนเขาแห่งเทพเซียนเพื่อลิ้มชิมเมรัยหยกอันเป็นทิพย์ ชมนางอัปสรขับร้องร่ายระบำ อภิรมย์ใจยิ่ง สุดท้ายพระนางยังประทานท้อเซียนจากสระทิพย์ ให้อีกด้วย แต่เมื่อข้ากำลังจะรับท้อเซียน พวกท่านก็บุกเข้ามาขัดจังหวะฝันหวานของข้า ขัดขวางจนข้าไม่ได้รับมา เถ้าแก่เหอ ท่านว่านี่ร้ายแรงหรือไม่เล่า”
“อะไรนะ นางหญิงเหม็นโฉ่น่ารังเกียจ เจ้าแกล้งพวกเราชัดๆ!” หลินไหวได้ยินวาจานี้ก็อดด่าเสียงเกรี้ยวกราดมิได้
“จุ๊ๆ” ดรุณีชุดขาวส่ายศีรษะมองหลินไหว ใบหน้าผุดแววขบขันอีกครา “ข้าแกล้งพวกท่านที่ใดกัน ข้าจริงจังมากเชียวนะ ต้องทราบว่าท้อเซียนสระทิพย์นี้ไม่ใช่ธรรมดา กินแล้วเป็นอมตะไม่แก่ไม่เฒ่า ได้เข้าสู่ทำเนียบเซียน ท่านว่านี่เป็นสิ่งที่คนมากน้อยเพียงไรเฝ้าปรารถนาแม้ในยามนิทรา แต่เพราะพวกท่านกระทำจนข้ามิได้กิน ความสูญเสียนี้ใหญ่หลวงตั้งเท่าใด! ฉะนั้นย่อมต้องชดใช้ให้ข้า!”
“หรือแม่นางต้องการให้เราชดใช้ท้อเซียนจากสระทิพย์ให้?” เหอซวินสีหน้าแปรเปลี่ยน เผยแววคดโกงโหดเหี้ยมออกมาหลายส่วน
“แน่นอน!” ดรุณีชุดขาวสะบัดมือหนึ่งครา ภูษาขาวก็พลิ้วไหวในอากาศเป็นรูปท้อผลหนึ่ง “ขอเพียงพวกท่านชดใช้ท้อเซียนจากสระทิพย์ให้ข้า ข้าจะจากไปทันที ส่วนเยียนอิ๋งโจวผู้นี้…” ลูกตานางกลอกกลิ้ง มองเยียนอิ๋งโจวที่หมดสติแวบหนึ่ง “หรือป้ายขั้วกาฬอะไรนั่น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
เมื่อสดับวาจาสุดท้ายของนางแล้ว ผู้คนทั้งปวงในที่นั้นก็พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องดรุณีชุดขาวอย่างพร้อมเพรียง ในแววตามีเจตนาสังหารเร้นอยู่
“เห็นทีแม่นางหมายใจจะยุ่งเรื่องผู้อื่นไว้แล้ว” เหอซวินสีหน้าเย็นเยียบ มือขวาลอบกุมอาวุธลับชิ้นหนึ่งไว้อย่างเงียบเชียบ “ทว่าข้าผู้แซ่เหอขอเกลี้ยกล่อมแม่นางสักคำ วันนี้ ณ ที่แห่งนี้รวมวีรบุรุษจากแคว้นต่างๆ ไว้แทบจะพร้อมหน้า ทันทีที่แม่นางข้องเกี่ยวก็จะล่วงเกินหกแคว้นจนครบถ้วน ใต้หล้าแม้ไพศาล แต่เกรงว่ากาลข้างหน้าแม่นางก็จะไร้ซึ่งสถานซ่อนกายแล้ว!”
“วีรบุรุษจากนานาแคว้นมาอยู่อย่างพร้อมหน้า ช่างเป็นเกียรติโดยแท้” ดรุณีชุดขาวฟังแล้วกลับยังยิ้มระรื่น “ทว่าข้าผู้นี้แต่ไรมาก็แยกแยะไข่มุกกับตาปลาได้ไม่ใคร่จะชัด ดังนั้นจึงมองไม่ออกจริงๆ ว่าท่านทั้งหลายเหมือนวีรบุรุษตรงไหน ด้วยวิธีการของพวกท่าน เรียกว่าตาขาวกลับเหมาะเจาะเหมาะสมแก่ตัวกว่าเป็นไหนๆ”
“เจ้า!” ถึงเหอซวินจะอารมณ์เย็นเพียงไรแต่ก็กลั้นแรงโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว เดิมทีเขาหลงนึกว่าหว่านล้อมสักคำรบหนึ่ง ไม่ว่าดรุณีผู้นั้นจะมีวรยุทธ์สูงล้ำแข็งกล้าปานใดก็ควรจะเกิดความหวั่นเกรงสักสองสามส่วน ผู้ใดจะรู้ว่านางจะเห็นวีรบุรุษทั้งหกแคว้นอยู่ในสายตาสักนิดก็หาไม่ กลับออกปากถากถาง เมื่อเหอซวินเห็นผู้คน ณ ที่นั้นโทสะพลุ่งพล่านก็ไม่เอ่ยมากความอีก ฝ่ามือซ้ายทาบอาวุธ คิดรวมแรงคนหมู่มากเข้าทำร้ายคนผู้นี้ให้ถึงตายในครั้งเดียว
บนเส้นแบ่งแห่งความคับขันนั้น ทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาวที่นิ่งเงียบอยู่นานนับแต่ดรุณีชุดขาวปรากฏกายขึ้นก็พลันส่งเสียง “ไม่ทราบว่าคือจอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิงใช่หรือไม่”
ดรุณีชุดขาวยินดังนั้นก็กะพริบตา มองไปทางทหารหนุ่มเสื้อคลุมขาว “เจ้ารู้จักข้า?” ถือเป็นการยอมรับว่าตนคือ ‘จอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิง’ ที่เขากล่าว
ทหารเสื้อคลุมขาวจ้องกลางหน้าผากนางเขม็ง ตำแหน่งนั้นมีหยกหิมะทรงเดือนเสี้ยวร้อยไว้ด้วยมุกดำขนาดเท่าเมล็ดข้าวห้อยอยู่ เขาลดทวนเงินลง แสดงคารวะอย่างนบนอบ “ ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ’ ไป๋เฟิงซี ใต้หล้าต่างรู้ดี มิพักต้องเอ่ยถึงข้าน้อย”
ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมาผู้คนล้วนสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเหอซวิน เขาอดยินดีมิได้ที่เมื่อครู่อาวุธลับในมือตนยังมิได้ซัดออก หาไม่แล้ว…แร่สารหนูจำนวนนั้นได้มีอันหวนคืนสู่ร่างเขาทั้งหมดแน่
ต้องทราบว่าบัดนี้ผู้ที่มีนามกระเดื่องที่สุดในยุทธภพก็คือเฟิงซีและเฟิงซี เนื่องจากชื่อของทั้งสองพ้องเสียงกัน สับสนได้ง่าย ชาวยุทธ์จึงเรียกขานตามการแต่งกายของพวกเขา โดยเรียก เฟิงซี ผู้นี้ว่า ‘ไป๋เฟิงซี’ (เฟิงซีขาว) เรียกอีกเฟิงซี ว่า ‘เฮยเฟิงซี’ (เฟิงซีดำ) และเรียกรวมกันเป็น ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ พวกเขามีชื่อเสียงมาเกือบสิบปีแล้ว ต่างก็เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในปัจจุบัน เดิมทีหลงนึกว่าต่อให้ไม่สูงวัยนัก อย่างน้อยก็ต้องราวสามสิบสี่สิบ กลับไม่เคยคาดคิดเลยว่าไป๋เฟิงซีจะถึงกับเป็นหญิงสาวอ่อนวัยรูปโฉมหมดจดงามตาเพียงนี้ ยิ่งไม่คาดคิดว่านางจะมาปรากฏตัวที่นี่
“ฮิๆ เจ้าไม่ต้องมีมารยาทเช่นนี้หรอก หากพวกเจ้าชดใช้ให้ข้าพอใจมิได้ ไม่แน่ว่าภูษาขาวผืนนี้ของข้าอาจพันอยู่รอบคอเจ้าก็ได้” ไป๋เฟิงซีนั่งบนกิ่งไม้ ขาทั้งสองแกว่งซ้ายทีขวาที เส้นผมยาวสลวยด้านหลังก็ไหวน้อยๆ ตามแรงโยกของนาง “เห็นเจ้าถือทวนเงิน คงเป็น ‘ขุนพลทะลวงเมฆา’ เหรินชวนอวิ๋นแห่งยงโจวผู้นั้นกระมัง”
“เป็นชวนอวิ๋นมิผิด” เหรินชวนอวิ๋นยังคงตอบอย่างนอบน้อม จากนั้นถึงถามว่า “จอมยุทธ์เฟิงก็สนใจป้ายขั้วกาฬเช่นกันหรือ”
“ข้าไม่สนป้ายขั้วกาฬ” ไป๋เฟิงซีส่ายศีรษะ “แค่ว่าเยียนอิ๋งโจวผู้นี้ต้องอัธยาศัยข้าเป็นที่สุด จะให้เขาจบชีวิต ณ ที่นี้ก็น่าเสียดาย ฉะนั้นข้าจึงคิดจะพาเขาไป” น้ำเสียงนางไม่อินังขังขอบ ราวกับการนำตัวเยียนอิ๋งโจวไปไม่ผิดอะไรกับฉวยก้อนกรวดข้างทาง วีรบุรุษหกแคว้นเสมือนหนึ่งไร้ตัวตนในสายตานาง
“ผายลม! เจ้ากล่าวว่าเพื่อเยียนอิ๋งโจว แต่ที่แท้ยังมิใช่เพื่อป้ายขั้วกาฬชิ้นนั้นบนร่างมันหรอกหรือ! ข้ออ้างพรรค์นี้หลอกเด็กสามขวบยังพอทำเนา ทว่าต่อหน้าข้าก็เก็บเอาไว้เถิด!” บุรุษฉกรรจ์หนวดเคราเฟิ้มผู้หนึ่งได้สดับแล้วก็อดออกปากผรุสวาทมิได้
ต้องทราบว่าทุกผู้ทุกนามที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนแล้วแต่มาเพื่อป้ายขั้วกาฬทั้งสิ้น บ้างประสงค์ครอบครองเอง บ้างถูกซื้อด้วยทองมหาศาลให้มา บ้างทำตามบัญชาอ๋องแคว้นต่างๆ ป้ายขั้วกาฬคือวัตถุสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า ประโยคเดียวที่ว่า ‘ผู้ได้ครองป้ายได้ครองแผ่นดิน’ ชักนำให้คนเหลือคณานับปรารถนานำมาเป็นของตน แก่งแย่งกันอย่างเกรงว่าจะถูกทิ้งให้รั้งอยู่เบื้องหลัง ต่อให้ตนไม่อาจบัญชาทั่วหล้า ทว่าอ๋องแห่งแคว้นทั้งหกผู้ใดบ้างไม่ประสงค์จะเป็นนายแห่งสายน้ำและขุนเขาหมื่นลี้ผืนนี้ ขอเพียงถวายหรือขายป้ายขั้วกาฬให้เจ้าแคว้นคนใดก็ตาม ยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์ศฤงคารย่อมติดตามมา
“ปากเหม็นยิ่งนัก!”
ไป๋เฟิงซีกล่าวเรียบๆ จากนั้นประกายสีเขียวก็วูบผ่าน พุ่งตรงไปยังบุรุษฉกรรจ์หนวดเคราเฟิ้ม บุรุษผู้นั้นเห็นใบไม้ลอยมาก็คิดจะหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ทว่ายังไม่ทันขยับ ใบไม้ก็ปิดเพียะลงบนปากแล้ว ฉับพลันนั้นอาการเจ็บปวดรุนแรงก็เข้าจู่โจมจนเขานึกอยากร้องหาบิดาเรียกหามารดร แต่กลับทำได้เพียงส่งเสียงอือๆ ในลำคอ
“กงจื่อ ของข้าใคร่อยากได้ป้ายขั้วกาฬ ไม่ทราบจอมยุทธ์เฟิงจะอนุญาตให้ข้าหยิบเอาจากร่างเยียนอิ๋งโจวได้หรือไม่” เหรินชวนอวิ๋นประหนึ่งไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่เอ่ยถามไป๋เฟิงซีเท่านั้น
“อันใดกันนี่ หลันซีกงจื่อก็ประสงค์เป็นนายแห่งใต้หล้าด้วย?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ มองเขาด้วยอาการคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวต่อโดยไม่รอเขาตอบว่า “แต่ป้ายขั้วกาฬนี้คือวัตถุซึ่งเยียนอิ๋งโจวยอมตายก็จะรักษาไว้ให้ได้ ข้าว่ายังคงให้เขาเก็บเอาไว้เถิด”
“หากเอ่ยเช่นนี้ จอมยุทธ์เฟิงไม่เห็นด้วยให้ข้านำไป?” เหรินชวนอวิ๋นหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย เผลอกระชับมือที่กุมทวนเงินโดยมิรู้ตัว
“อันใดกันนี่ เจ้าคิดฉวยเอาด้วยกำลังรึ” ไป๋เฟิงซีกวาดตามองเหรินชวนอวิ๋นเรียบๆ ไม่เห็นนางเคลื่อนไหว ทว่าภูษาขาวในมือพลันร่ายระบำราวกับมีชีวิต ดูคล้ายมังกรขาวตัวหนึ่งที่ส่ายไหวร่างกายกลางเวหาอย่างลำพอง พริบตานั้นคนทั้งปวงก็สัมผัสได้ถึงรังสีคมปลาบและอหังการประหนึ่งจะพลิกภูผาคว่ำสมุทรกดทับลงมาและโอบล้อมพวกเขาไว้ ทำให้ผู้คนไร้หนทางขยับเขยื้อน พวกเขาจำต้องเดินลมปราณต้านทาน ทว่าเมื่อ ‘มังกรขาว’ นั้นส่ายไหวหนึ่งครา รังสีก็รุนแรงขึ้นหนึ่งส่วน ไม่มีผู้ใดไม่ขบฟันแน่น ฝืนต้านรับสุดชีวิต ในใจล้วนกระจ่างแจ้งว่าหากปล่อยให้รังสีนี้กดทับ ถึงไม่อาสัญก็เหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว!
เหรินชวนอวิ๋นใช้ทวนเงินยันเบื้องหน้าไว้มั่น คมทวนเล็งสูงเข้าใส่ภูษาขาว ดวงตาจับนิ่งไม่กะพริบอยู่ที่ผืนผ้าซึ่งร่ายระบำกลางอากาศ เขารวบรวมพละกำลังทั่วร่างมาไว้ที่แขนทั้งสอง ทว่าแรงกดยิ่งมาก็ยิ่งหนักหน่วง ปลายทวนไหวริกๆ อย่างต้านไม่อยู่ มือทั้งสองที่จับทวนก็ปวดจนแทบชา ขาทั้งสองสั่นเล็กน้อย จวนเจียนจะต้านไม่ไหว ใกล้ล้มพับลงไปกับพื้นอยู่รอมร่อ…
ทันใดนั้นภูษาขาวก็ม้วนเกลียวแล้วร่วงลงอย่างแผ่วเบา คนทั้งหมดรู้สึกว่าทั่วร่างผ่อนคลาย ลมหายใจที่กลั้นไว้ในอกก็พ่นออกมาได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ตามมาคือทั้งกายไร้เรี่ยวแรง อ่อนเปลี้ยจนคิดเพียงแต่จะล้มตัวลงกับพื้นแล้วหลับไป
ทางด้านเหรินชวนอวิ๋น เมื่อแรงกดผ่อนลงก็รู้สึกลำคอหวานเฝื่อน จึงรีบกลืนลงไป ใจรู้ว่าตนบาดเจ็บภายในเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิงซีเยาว์วัยแต่กลับมีกำลังภายในสูงส่งล้ำลึกขั้นนี้ ยังมิทันลงมือจริงก็กำราบทุกคนในที่นี้ได้ เคราะห์ดีเพียงอย่างเดียวก็คือที่สุดแล้วนางยังยั้งมือไว้ไมตรี หาได้เอาชีวิตไม่
“ข้าคิดจะพาเยียนอิ๋งโจวไป พวกท่านเห็นด้วยหรือไม่” ข้างหูมีเสียงราบเรียบของไป๋เฟิงซีดังขึ้นอีกครา
ในใจผู้คนย่อมไม่ยินยอม แต่กลับหวั่นเกรงวรยุทธ์ของนางจึงไม่กล้าอ้าปาก
“จอมยุทธ์เฟิง ตามสะดวก” เหรินชวนอวิ๋นปรับลมหายใจ ลดทวนเงินลงแล้วนำผู้ติดตามกระโดดออกนอกวงไป
“อันใดกันนี่ ไม่ชิงป้ายขั้วกาฬแล้วหรือ” ไป๋เฟิงซีมองเขาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่แจ่มใสกระจ่างจ้าประหนึ่งสามารถทะลวงผ่านจิตวิญญาณและอ่านความคิดทั้งหมดของเขาทะลุได้
เหรินชวนอวิ๋นกลับยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “กงจื่อเคยรับสั่งว่าหากพบไป๋เฟิงเฮยซี อวี้อู๋หยวนกงจื่อ หวงเฉากงจื่อแห่งจี้โจว และซีอวิ๋นกงจู่* แห่งชิงโจว ไม่เอ่ยเรื่องแพ้ชนะ ขอแค่ถอนตัวออกมาได้อย่างครบสมบูรณ์ก็นับเป็นความชอบ”
“กระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีโบกมือ ภูษาขาวยาวผืนนั้นก็ลอยกลับสู่แขนเสื้อทันควัน “หลันซีกงจื่อให้เกียรติพวกเราถึงขนาดนั้นเชียว”
“กงจื่อเคยตรัสว่าห้าคนนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรเป็นสหายหรือศัตรูของพระองค์” เหรินชวนอวิ๋นเหลือบมองไป๋เฟิงซีคราหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้มราวกับมีความนัยลึกล้ำอย่างอื่นอยู่ “หากในภายภาคหน้าจอมยุทธ์เฟิงมีวาสนาเยือนยงโจว กงจื่อจะต้องทรงลาดแพรไหมสิบลี้มาต้อนรับเป็นแน่”
ในต้าตง การปูลาดแพรไหมยาวสิบลี้เป็นพิธีการอันเอิกเกริกที่สุดที่บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นใช้ต้อนรับซึ่งกันและกัน ต่อให้ไป๋เฟิงซีมีวรยุทธ์ฉกาจฉกรรจ์กว่านี้ ระบือนามกว่านี้ กล่าวกันถึงที่สุดก็เป็นเพียงสามัญชนผู้หนึ่ง อย่างไรเสียก็ไม่พอให้ซื่อจื่อ แห่งแคว้นหนึ่งๆ รับรองด้วยพิธีการนี้ ตริตรองดูแล้ววาจานี้ของเหรินชวนอวิ๋นก็เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาทเท่านั้น
“แพรไหมสิบลี้อย่างนั้นหรือ เกรงว่าจะกลายเป็นค่ายกระบี่สิบลี้เสียมากกว่า” ไป๋เฟิงซีสดับคำเช่นนี้ก็ไม่หวั่นไหว สีหน้ายังคงสงบราบเรียบ “ส่วนเจ้า ถ้าเมื่อครู่ไม่ทดสอบสักคราบัดนี้ก็ไม่คิด ‘ถอนตัวอย่างครบสมบูรณ์’ กระมัง”
เหรินชวนอวิ๋นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่ากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ชวนอวิ๋นได้ยินกงจื่อตรัสอยู่ประจำว่าทั้งห้าท่านคือยอดฝีมือแห่งยุค แต่ไร้วาสนาพบพานมาตลอด วันนี้มีโชคได้พบจอมยุทธ์เฟิง ย่อมประสงค์ให้ท่านจอมยุทธ์ชี้แนะสักเล็กน้อยเป็นธรรมดา หากล่วงเกินไปต้องขออภัย”
“กระนั้นหรือ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยเสียงราบเรียบ ต่อมาก็ถีบร่างอย่างแผ่วเบาขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ ผู้คนที่เบื้องล่างล้วนมีท่าทีระแวดระวัง
ไป๋เฟิงซีกวาดตามองคนทั้งกลุ่ม มุมปากผุดยิ้มบาง จากนั้นถึงมองไปทางเหรินชวนอวิ๋น “หากมิใช่เพราะเจ้ายังเกิดเสียดายวีรบุรุษ เห็นค่าวีรบุรุษอย่างเยียนอิ๋งโจวอยู่บ้าง ด้วยเจตนานั่งรอเก็บผลประโยชน์เป็นชาวประมงเมื่อครู่ของเจ้า ข้าก็จะไม่ชี้แนะแค่ ‘เล็กน้อย’ แล้ว”
“ชวนอวิ๋นขอขอบคุณที่จอมยุทธ์เฟิงยั้งมือไว้ไมตรี” เหรินชวนอวิ๋นค้อมศีรษะกล่าว มืออดกุมทวนเงินแน่นมิได้
“ฮ่าๆ…มีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นเจ้า ก็พอเห็นได้ว่าหลันซีกงจื่อร้ายกาจระดับใด วันหน้าหากมีวาสนาข้าต้องขอคำชี้แนะจากหลันซีกงจื่อด้วยตัวเองแน่” ทันใดนั้นไป๋เฟิงซีก็หิ้วเยียนอิ๋งโจวเหินร่างจากไป ชั่วพริบตาก็หายลับไม่เหลือร่องรอย มีเพียงเสียงซึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ว่า “วันนี้ขอตัวก่อน หากผู้ใดต้องการชิงป้ายขั้วกาฬก็ตามมาเถิด!”
เมื่อเห็นไป๋เฟิงซีไปไกลแล้ว ผู้ติดตามสี่ห้าคนด้านหลังเหรินชวนอวิ๋นก็ถามว่า “ท่านขุนพล จะหยุดเพียงเท่านี้หรือขอรับ”
เหรินชวนอวิ๋นโบกมือห้ามพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ไป๋เฟิงซีมิใช่ผู้ที่ข้าและเจ้าจะสามารถต่อกรได้ กลับไปขอบัญชาจากกงจื่อแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ”
“พวกเราไปกันเถิด” เหรินชวนอวิ๋นไม่อำลาผู้อื่นก็นำผู้ใต้บังคับบัญชาหมุนร่างจากไป
รอจนเขาจากไปแล้ว คนทั้งหลายในป่าก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าจะแยกย้ายหรือจะไล่ตามไปอย่างกะทันหัน
สุดท้ายเหอซวินก็ประสานหมัด เอ่ยว่า “ทุกท่าน ผู้แซ่เหอขอตัวก่อน ป้ายขั้วกาฬจะชิงจากมือไป๋เฟิงซีได้หรือไม่ ให้ขึ้นกับโชคของพวกเราเถิด”
สิ้นคำก็หมุนกายจากไป ส่วนคนที่เหลือเห็นเขาไปแล้ว ครู่เดียวก็แยกย้ายดั่งนกแตกรัง เหลือไว้แค่เจิงฝู่ซึ่งมือทั้งสองข้างขาดสะบั้น ล้มสิ้นใจอยู่ในป่ากับร่างไร้วิญญาณอีกร่างสองร่าง
อาทิตย์ไขแสง จันทร์ลาลับ วันใหม่เริ่มขึ้นอีกครา
ทิวากาลเริ่มถักทอ บนม่านฟ้าเหลือเดือนเสี้ยวเว้าแหว่งอยู่รำไร มันลดรัศมีอันเรืองรองลงแล้ว ท่ามกลางแสงอรุโณทัยอ่อนจาง หมอกบางเบาปกคลุมยอดคีรีอันแหลมชันดุจปลายพู่กันของภูเขาเซวียนซาน ขับให้ทิวทัศน์แห่งขุนเขาสง่างามปานภาพวาด
ณ ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาทางทิศเหนือของเขาเซวียนซาน เสียงครางทุ้มต่ำที่เบาเป็นที่สุดดังขึ้น นั่นคือเสียงของบุรุษผู้ฟุบอยู่ในถ้ำเปล่งออกมา หลังจากส่งเสียงครางเบาๆ แล้ว บุรุษผู้นั้นก็ลืมตาเหลือบมองรอบกายก่อน ต่อมาจึงหยัดกายขึ้น ทว่าเพิ่งยันแขนทั้งสองก็มีอันต้องเปล่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงสตรีใสกังวานหากเจือแววเกียจคร้านดังขึ้น
บุรุษมองตามต้นเสียง เห็นปากถ้ำมีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งหันออกนอกถ้ำ หวีจัดแต่งผมยาวอันดำขลับ แม้แสงจะสลัว ทว่ายามหวีสางผ่าน ผมดำสลวยนั้นก็ทอประกายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
“เจ้าคือผู้ใด” บุรุษออกปากถาม ทันทีที่ส่งเสียงก็พบว่าคอทั้งแหบทั้งเฝื่อน
“เยียนอิ๋งโจว กับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไยทำกิริยาเยี่ยงนี้เล่า” สตรีที่ปากถ้ำลุกขึ้นพร้อมกับผินกายก้าวมาหาเขา ในมือถือหวีไม้ นางยังคงประคองผมปอยหนึ่งไว้ที่อก หวีๆ หยุดๆ
“เจ้าช่วยข้าไว้?” เยียนอิ๋งโจวย้อนถาม จากนั้นก็นึกถึงทวนเงินที่แหวกอากาศก่อนหมดสตินั่น ฉับพลันนั้นก็กระหวัดจิตถึงสิ่งสำคัญยิ่งกว่า จึงลนลานวาดมือไปด้านหลัง ทว่าจะคลำพบสิ่งใดก็หามิได้ กลับกลายเป็นสัมผัสถูกปากแผลเข้า สร้างความร้าวระบมขึ้นระลอกหนึ่ง และบัดนี้เองถึงพบว่าร่างครึ่งบนของตนเปลือยเปล่า ไม่มีเครื่องสวมใส่ใดๆ ท่อนล่างก็เหลือเพียงกางเกงชั้นในชิ้นเดียว
“เจ้าหาสิ่งนั้นอยู่หรือ” มือของสตรีชี้ไปยังเบื้องซ้ายของเขา ตำแหน่งนั้นมีเศษผ้ากองอยู่ บนผ้ายังย้อมด้วยคราบเลือดซึ่งแห้งกรังแล้ว ข้างกองผ้ามีห่อผ้าวางอยู่ “วางใจเถิด ข้ามิได้ทำมันตกหล่นและมิได้แตะต้องมันด้วย” สตรีผู้นั้นเสริมอีกประโยคประหนึ่ง อ่านความคิดของเขาออก
เยียนอิ๋งโจวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองนาง ตอนนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่าสตรีผู้นี้มีดวงหน้าใสกระจ่างหมดจดอย่างวิเศษ กลางหน้าผากห้อยไว้ด้วยหยกหิมะทรงจันทร์เสี้ยวชิ้นหนึ่ง บนร่างสวมอาภรณ์หลวมๆ สีขาว ผมดำยาวปล่อยสยายมิได้รวบเก็บ ทั่วทั้งร่างปลอดโปร่งผ่อนคลายเป็นธรรมชาติอย่างพรรณนาไม่ถูก
“ไป๋เฟิงซี?” เยียนอิ๋งโจวมองเครื่องตกแต่งอันเป็นหยกหิมะทรงจันทร์เสี้ยวกลางหน้าผากนาง
“มิใช่เฮยเฟิงซี” ไป๋เฟิงซีพยักหน้ายิ้มแย้ม “สี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณแห่งจี้โจวล้วนแต่ไม่กริ่งเกรงความตายเช่นเจ้าหรือไม่ เมื่อคืนข้านับดูแล้ว เว้นเสียจากแผลเป็นเก่าเหล่านั้น บนร่างเจ้ามีบาดแผลทั้งสิ้นสามสิบแปดแห่ง ถ้าเป็นคนธรรมดาถึงไม่ตายอย่างน้อยก็ต้องสลบสักสามวันห้าวันกระมัง แต่เจ้าไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังสลบแค่คืนเดียวก็คืนสติ ดูไปแล้วอาการก็ไม่เลวอีกด้วย”
“เจ้า…นับรอยแผล?” เยียนอิ๋งโจวถามด้วยสีหน้าชอบกล พร้อมกับนึกถึงสภาพการแต่งกายของตนในขณะนี้
“ใช่น่ะสิ ร่างของเจ้าข้านับโดยตลอดถ้วนทั่วทั้งสรรพางค์แล้วรอบหนึ่ง” ไป๋เฟิงซีก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เก็บหวีในมือแล้วตรวจตราสีหน้าเขาอย่างนึกสนุก “ต้องรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บภายนอกมากมายถึงเพียงนั้น ข้าต้องห้ามเลือดและใส่ยาให้ ย่อมได้เห็นบรรดาแผลเหล่านั้นแน่นอน ดังนั้นจึงถือโอกาสนับเสียหน่อย อีกอย่างเสื้อผ้าของเจ้าก็กลายเป็นผ้าขาดกองหนึ่งไปแล้ว ข้าจึงถือวิสาสะปลดออกเสียเลย จะได้ไม่เกะกะเวลาข้าใส่ยาให้เจ้า”
วาจานางยังกล่าวไม่ทันจบ เยียนอิ๋งโจวก็โลหิตสูบฉีด ใบหน้าร้อนผะผ่าว
“อา เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงแดงเช่นนี้ หรือจับไข้เข้าแล้ว” ไป๋เฟิงซีมองเยียนอิ๋งโจว แสร้งร้องทักอย่างประหลาดใจ ซ้ำร้ายยังยื่นมือมาทาบหน้าผากเขาอีกด้วย
มือเย็นเยียบนั้นเพิ่งแตะถูกหน้าผาก เยียนอิ๋งโจวก็สะดุ้งถอยกรูดทันควันด้วยความแตกตื่น “เจ้าอย่าแตะต้องตัวข้า!”
“หือ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองดูเขา “หรือว่าเจ้ามิได้จับไข้ แต่หน้าแดงเพราะขวยเขิน? อายเพราะข้าเอาร่างของเจ้ามาจ้องมาสัมผัสโดยตลอดถ้วนทั่วทั้งสรรพางค์?”
เยียนอิ๋งโจวสดับคำก็รู้สึกว่าโลหิตทั้งหมดในร่างล้วนแต่ฉีดทะลักมาบนใบหน้า ทว่าพอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าไป๋เฟิงซีแล้วก็กลับไร้ซึ่งคำโต้แย้ง ครึ่งค่อนวันให้หลังจึงออกปากอย่างติดจะหัวเสียว่า “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง…ไฉนจึง…จึง…เพียงนี้…” คำพูดหลังอึกอักอ้ำอึ้ง เอ่ยไม่ออก
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินแล้วก็ระเบิดหัวเราะลั่น ไร้เศษเสี้ยวความนุ่มนวลและสำรวมซึ่งสตรีพึงมี นางหัวเราะอย่างผ่อนคลายเป็นธรรมชาติยิ่ง “ข้าเป็นอันใด ฮ่าๆ…ก่อนหน้านี้เจ้าต้องไม่เคยพบสตรีเช่นข้ามาก่อนเป็นแน่”
ครั้นถูกเสียงหัวร่อดังลั่นของไป๋เฟิงซีทิ่มแทงเข้า เยียนอิ๋งโจวก็อดไม่ได้ที่จะออกปากว่า “หากสตรีในใต้หล้าล้วนเป็นเช่นเจ้า คง…” วาจาตอนท้ายกลับกลืนลงไป เดิมทีเขาก็พูดไม่เก่ง ทั้งเนื้อแท้เปิดเผยซื่อตรง จึงไม่อาจหักใจกล่าวคำล่วงเกินผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตรงหน้าได้
“หากล้วนเป็นอันใดเหมือนข้าหรือ” ดวงตาทั้งคู่ของไป๋เฟิงซีแฝงแววขบขันรุนแรง ใบหน้าฉายแววสนุกสนานออกมาสามสี่ส่วน “ที่จริงบุรุษเช่นเจ้าข้าก็เคยพบมาบ้าง ถูกข้าเห็นถูกข้าลูบคลำเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ยิ่งกว่านั้นข้าเองก็หาได้จงใจมองเจ้าลูบคลำเจ้าเสียเมื่อไร รู้ไว้ด้วยว่าข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่”
เมื่อโดนไป๋เฟิงซีทิ่มแทงด้วยคำก็มองสองคำก็ลูบคลำ ใบหน้าของเยียนอิ๋งโจวที่โลหิตทำท่าจะจางลงก็สูบฉีดกลับมาอีกครา
“อ้าว เจ้าหน้าแดงอีกแล้ว!” ไป๋เฟิงซีร้องเอะอะคล้ายพบเรื่องสนุก “หรือว่า…” นัยน์ตานางกลอกกลิ้ง ยิ้มอย่างมีเลศนัยถึงสิบส่วน “หรือว่าเจ้าไม่เคยถูกสตรีมองถูกสตรีลูบคลำมาก่อนเลย อ้า หน้าแดงหนักกว่าเก่าแล้ว! หรือข้าพูดแทงใจดำจริงๆ? โถๆ ไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ขุนพลวายุกล้าอย่างเจ้าเป็นวีรบุรุษนามระบือ ดูอายุก็ควรจะใกล้สามสิบแล้วกระมัง แต่ถึงกับไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน? จิ๊ๆ ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์แห่งใต้หล้าโดยแท้!”
ใบหน้าเยียนอิ๋งโจวแดงก่ำจนแข่งได้กับแสงเงินแสงทองยามเช้า หลังจากนิ่งอั้นอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายจึงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคว่า “ไป๋เฟิงซีเป็นเช่นนี้หรอกหรือ” จอมยุทธ์หญิงผู้มีชื่อเสียงระบือลือเลื่องทั่วยุทธภพ เหตุใดพฤติกรรมและวาจาถึงไร้กรอบเกณฑ์เช่นนี้
“ใช่แล้ว ข้าก็เป็นเยี่ยงนี้” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะแล้วขยับเข้าใกล้เขา “ทำให้ท่านขุนพลผิดหวังใช่หรือไม่”
เยียนอิ๋งโจวเห็นนางเข้ามาใกล้ก็สะดุ้งเฮือก ถอยหลังโดยพลัน ผู้ใดจะรู้ว่าการขยับครั้งนี้จะกระเทือนถึงบาดแผลทั่วร่าง “โอย!” เขาสูดปากเป็นการใหญ่อย่างห้ามมิได้
“เจ้าอย่าขยับสิ!” ไป๋เฟิงซีเร่งกดร่างเขาไว้ “ข้าใช้ยาสมานแผลที่มีติดตัวจนหมดเกลี้ยงกว่าจะห้ามเลือดเจ้าได้ แต่ตอนนี้แผลปริอีกแล้ว” สายตานางกวาดทั่วกายเขา แล้วก็พลันหยุดอยู่ที่ชายโครง ตำแหน่งนั้นถูกพัดเหล็กของกงอู๋ตู้ทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้ ยามนี้โลหิตที่ไหลออกมาถึงกับเป็นสีดำ
“บนพัดของกงอู๋ตู้มีพิษ แม้ว่าเมื่อวานข้าจะช่วยดูดโลหิตพิษออกมาไม่น้อย แต่เห็นทีพิษยังออกไม่หมด บนร่างเจ้ากับข้าก็ล้วนไม่มียาแก้พิษ คราวนี้จะทำเช่นไรดี” ไป๋เฟิงซีขมวดหัวคิ้วมุ่นขณะเอ่ยคำ
“เจ้าช่วยดูดโลหิตพิษให้ข้า?” เยียนอิ๋งโจวได้ยินก็อึ้งไป สายตามองไปยังริมฝีปากนาง พลันรู้สึกว่าบาดแผลที่ชายโครงร้อนดังเพลิงแผดเผา
“หากไม่ช่วยดูดพิษให้เจ้า เกรงว่าเมื่อคืนเจ้าก็คงตายไปแล้ว” ไป๋เฟิงซีกลับไม่ทันสังเกตอาการของเขา นางหมุนร่างก้าวไปยังปากถ้ำ หิ้วถุงหนังบรรจุน้ำและผลไม้ป่าสองสามผลกลับมา “เจ้าหิวแล้วกระมัง กินผลไม้รองท้องสักหน่อยก่อน ข้าจะลงเขาไปหายาให้ จะได้ถือโอกาสหาเสื้อผ้ามาให้เจ้าด้วย” นางยื่นถุงน้ำกับผลไม้ให้เขาแล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อวานคนเหล่านั้นต้องยังไม่ถอดใจกับป้ายขั้วกาฬเป็นแน่ อาจจะยังค้นหาอยู่บนเขานี้ เจ้าอย่าเที่ยวเพ่นพ่านไปไหน หากพวกเขามาก็ซ่อนตัวก่อน แล้วข้าจะมาหาเจ้าเอง” สิ้นคำนางก็หมุนร่างจากไป
พอเงาร่างของไป๋เฟิงซีจวนจะหายลับไปจากปากถ้ำ เยียนอิ๋งโจวก็อดร้องมิได้ว่า “ช้าก่อน!”
ไป๋เฟิงซีชะงักแล้วผินร่างมา “ยังมีอันใดอีก”
“เจ้า…เจ้า…ข้า…เอ่อ…” เยียนอิ๋งโจว ‘เอ่อ’ อยู่เป็นนาน กลับไม่อาจปริปากออกมาได้ อัดอั้นจนใบหน้าแดงก่ำไปด้วยสีโลหิต
“เจ้าคิดขอบคุณข้า? อยากบอกให้ข้าระวังตัวให้มาก?” ไป๋เฟิงซีคาดเดา ครั้นเห็นท่าทางของเขาก็นึกขัน “เยียนอิ๋งโจว ตำแหน่งขุนพลวายุกล้าของเจ้านี้ได้มาด้วยหนทางใดกัน ไฉนอึกอักนัก นี่ ข้าช่วยเจ้าไว้ ทั้งเห็นร่างกายเจ้าจนทั่ว เจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบความบริสุทธิ์เจ้าหรืออย่างไร จะใช้ร่างกายตอบแทนพระคุณที่ข้าช่วยชีวิตกระนั้นหรือ”
“เจ้า…” เยียนอิ๋งโจวถลึงตาใส่ไป๋เฟิงซี เอ่ยวาจาใดไม่ออก
ชื่อเสียงเขาลือเลื่องตั้งแต่อายุยังน้อย นิสัยเงียบขรึมเข้มงวดจริงจัง ในจี้โจวมีฐานะเป็นผู้นำแห่งสี่ขุนพล ซื่อจื่อเห็นค่าความสามารถของเขาอย่างยิ่ง สหายในการงานเคารพเขาสิบส่วน ผู้ใต้บังคับบัญชาน้อมฟังคำสั่งเป็นเด็ดขาด ยามใดเล่าจะเคยพบสตรีผู้มีวาจาและพฤติกรรมไร้กรอบเกณฑ์เฉกเช่นไป๋เฟิงซีมาก่อน
“ฮ่าๆ…ท่านขุนพลวายุกล้าผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย…น่าสนุกเป็นที่สุดแล้ว” ไป๋เฟิงซีระเบิดหัวเราะอีกคำรบอย่างกลั้นไม่อยู่ “พวกเจ้าสี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณล้วนแต่น่าสนุกเยี่ยงนี้หรือไม่ เช่นนั้นวันหน้าข้าจะต้องไปเที่ยวจี้โจวให้จงได้” นางหัวเราะไปพลางเดินออกนอกถ้ำไปพลาง เมื่อถึงปากถ้ำก็พลันผินหน้ากลับมามองเขา รอยยิ้มบนดวงหน้าเจิดจ้ายวนตาเหนือกว่าตะวันที่เพิ่งไขแสงนอกถ้ำ แสงเงินแสงทองที่เบื้องหลังนางก็ทำให้เยียนอิ๋งโจวดวงตาพร่าลายจิตใจสั่นไหวในพริบตา “เยียนอิ๋งโจว สุดท้ายนี้ขอบอกอะไรเจ้าสักหน่อย นั่นก็คือ…บนร่างเจ้าแม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เรือนร่างก็ยังชวนมองนัก! ฮ่าๆๆ…”
ว่าแล้วนางก็หัวเราะร่าจากไป ทิ้งท่านขุนพลเยียนผู้ยิ่งใหญ่ที่หน้าแดงฉานไปถึงใบหูไว้ในถ้ำ ผู้แค้นที่ไม่อาจขุดรูบนพื้นให้มุดเข้าไปได้