ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 2 อาภรณ์ดำ จันทร์หมึก กรายมาเหนือเมฆา
ณ เป่ยโจว ทางปัจฉิมทิศแห่งหร่วนเฉิงมีคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของสกุลหาน สกุลชาวยุทธ์อันลือนามแห่งเป่ยโจว
แม้สกุลหานจะจัดอยู่ในทำเนียบสกุลชาวยุทธ์ ทว่ามิได้เลื่องชื่อด้วยวิทยายุทธ์อันเลิศล้ำ หากแต่อาศัยโอสถวิเศษ ‘ผงตำหนักม่วง’ และ ‘เม็ดพุทธจิต’ อันมีชื่อเสียงระบือลือเลื่องทั่วยุทธภพ
ผงตำหนักม่วงคือโอสถชั้นเลิศสำหรับบาดแผลภายนอก เม็ดพุทธจิตคือเครื่องแก้พิษอันวิเศษ เหล่าชาวยุทธ์ต่างใช้ชีวิตกลางคมดาบคาวเลือด เรื่องบาดเจ็บถูกพิษย่อมเกิดได้ทุกขณะ ด้วยเหตุนี้โอสถวิเศษของสกุลหานจึงเป็นยอดปรารถนาสำหรับชาวยุทธ์ ทว่าโอสถเหล่านี้ล้วนปรุงผสมด้วยวิธีอันลับเฉพาะ ไม่มอบให้คนนอกอย่างสะดวกง่ายดายเป็นอันขาด ดังนั้นแม้สกุลหานจะมินับว่ามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่ชาวยุทธ์ทั้งปวงพากันยอมอ่อนข้อให้สามส่วน เผื่อปะเหมาะเคราะห์สอดแทรก เกิดบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์เจียนตายอาจจะต้องการให้สกุลหานมอบโอสถช่วยชีวิตก็เป็นได้
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดรอบสำคัญหกสิบปีของหานเสวียนหลิงประมุขสกุลหาน หน้าคฤหาสน์มีรถม้าวิ่งเข้ามาไม่ขาดสาย ทางเข้าออกคลาคล่ำปานท้องตลาด กลางสวนจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อนับร้อยโต๊ะ สุราอาหารบริบูรณ์ ครึกครื้นถึงสิบส่วน ไม่เพียงวีรบุรุษจากสายต่างๆ ในเป่ยโจวและผู้มีชื่อเสียงมีคุณธรรมความรู้เป็นที่นับหน้าถือตาในหร่วนเฉิงเท่านั้นที่มากันพร้อมหน้า กระทั่งยอดคนจากต่างแคว้นก็ทยอยเดินทางมาจากแดนไกลเพื่ออวยพรให้แก่นายท่านสกุลหาน
“อ้า ครึกครื้นยิ่งนัก” ขณะที่เจ้าภาพและแขกเหรื่อกำลังรื่นเริงอย่างที่สุดนั้น เสียงใสกังวานก็พลันดังขึ้น กลบเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งหลายกลางสวนจนสิ้น บรรดาแขกเหรื่อมองไปตามต้นเสียงอย่างแตกตื่นระคนประหลาดใจ เห็นบนหลังคามีดรุณีน้อยนางหนึ่งนั่งเอนกายพิงชายคาอยู่ เสื้อตัวยาวขาวพิสุทธิ์พลิ้วไหวน้อยๆ ภายใต้แสงทิวากร ดูประหนึ่งเมฆาซึ่งเคลื่อนคล้อยอยู่กลางนภากาศ นางมองเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่ด้านล่างด้วยรอยยิ้มสดใสเจิดจ้า
“เจ้าอีกแล้ว!” หานเสวียนหลิงเจ้าภาพซึ่งนั่งหน้าแดงอิ่มเอิบบนที่นั่งประมุขผุดลุกขึ้นทันควัน ถลึงตามองสตรีบนหลังคาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ใช่ เป็นข้าอีกแล้ว” สตรีชุดขาวเอ่ยด้วยยิ้มละไม “นายท่านหาน วันนี้ท่านครบรอบมงคลหกสิบปี ข้าขอร่วมอวยพรให้ท่านสุขล้นดั่งทะเลตะวันออก อายุยืนยาวดั่งขุนเขาจงหนัน”
“อย่าเลย ขอเพียงเทพโรคระบาดอย่างเจ้าไม่ปรากฏตัวอีก ข้าผู้เฒ่าย่อมอายุยืนร้อยปี!” หานเสวียนหลิงผละจากที่นั่ง เดินไปยังกลางสวน แหงนศีรษะวางสีหน้าเย็นชาพร้อมเอ่ยกับดรุณีชุดขาวว่า “ไป๋เฟิงซี เจ้าใช้กำลังแย่งชิงโอสถวิเศษสกุลหานของข้าหลายครั้งหลายครา ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างจึงไม่เค้นเอาเหตุผลกับเจ้า วันนี้ฤกษ์งามยามดียิ่งไม่ประสงค์จะถือสาหาความ หากเจ้ารู้สถานการณ์ก็เร่งจากไปโดยไวเถิด”
แขกเหรื่อทั้งหลายที่กลางสวนสดับคำก็ตระหนกระคนหลากใจในทันที
แม้นามไป๋เฟิงซีจะสะท้านสะเทือนทั่วยุทธภพ ทว่าแต่ไรมาเป็นดั่งมังกรศักดิ์สิทธิ์เห็นหัวไม่เห็นหาง ไปมาลึกลับไม่ทิ้งร่องรอย ในยุทธภพมีผู้รู้จักจดจำนางได้น้อยยิ่งกว่าน้อย ไม่นึกฝันว่าวันนี้จะได้พบพาน และไม่เคยนึกฝันว่านางจะอ่อนอาวุโสถึงเพียงนี้ ที่ยิ่งหลากใจก็คือวาจา ‘ใช้กำลังแย่งชิงโอสถวิเศษ’ ของนายท่านหาน ชื่อเสียงด้านคุณธรรมของนางแผ่ไพศาลนัก เหตุใดจึงทำเรื่องพรรค์นี้ได้
ครั้นแล้วผู้คนทั้งหลายในสวนจึงอดทยอยลุกจากที่นั่งมาล้อมอยู่ด้านล่างชายคามิได้
“นายท่านหาน อย่าโมโหเป็นฟืนไฟเช่นนี้ซี ต้องทราบว่าโอสถเหล่านั้นแม้ข้าจะฉวยไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน ทว่าล้วนแต่นำไปช่วยเหลือผู้อื่น นับว่าช่วยสกุลหานของท่านสร้างชื่อเสียง สั่งสมกุศลกรรม จะว่าไปแล้วท่านควรขอบคุณข้าถึงจะถูก” ไป๋เฟิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น
“เจ้า…ยังจะเถียงข้างๆ คูๆ!” หานเสวียนหลิงเอ็ดเสียงเดือดดาล
ประมุขคนปัจจุบันของสกุลหานพื้นฐานนิสัยเป็นผู้นิยมในทรัพย์ ส่วนไป๋เฟิงซีผู้นี้กลับมาลักโอสถวิเศษซึ่งทองพันชั่งก็ยากจะแลกได้อยู่เนืองๆ โดยไม่จ่ายแม้อีแปะเดียว ซ้ำร้ายนางวรยุทธ์สูงส่ง ไปมาคฤหาสน์สกุลหานอย่างเสรี สหายชาวยุทธ์หลายคนที่หานเสวียนหลิงเชิญมาก็ล้วนแต่ปราชัยใต้เงื้อมมือนาง ด้วยเหตุนี้เมื่อหานเสวียนหลิงเห็นผู้ที่ยิ้มเผล่อยู่บนชายคา ก็มีแต่อยากจับเจ้าคนหน้าเป็นที่เบื้องหน้าลงมาซ้อมอย่างทารุณสักคราใจจะขาดถึงจะคลายความคับแค้นในใจลงได้
“นายท่านหาน ผู้ใดให้โอสถบ้านท่านเป็นที่ต้องใจผู้อื่นถึงเพียงนี้เล่า แต่ราคาโอสถของท่านสูงเกินไป ข้าหรือก็จนแสนจน จึงจำต้องใช้วิธีหยิบเอาเองโดยไม่ไถ่ถาม หรือมิฉะนั้นท่านก็ลอกสูตรโอสถให้ข้าสักฉบับซี ข้าไปปรุงผสมเอาเองก็ได้ เช่นนี้ท่านก็จะไม่ต้องเจอข้าอีก ย่อมไม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเยี่ยงนี้ทุกคราไป โทสะพลุ่งพล่านไม่ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ” ไป๋เฟิงซีพูดเองเออเอง มองข้ามหานเสวียนหลิงที่โมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปโดยสนิท
“ข้าอยู่มาจนบัดนี้ยังมิเคยพบเคยเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายเช่นเจ้ามาก่อนเลย!” หานเสวียนหลิงตวาดเสียงเย็นอย่างดูแคลน “ไป๋เฟิงซี ข้าผู้เฒ่าขอเตือนเจ้า รีบไปเสียให้ไว และอย่าได้มาปรากฏตัวในบ้านสกุลหานของข้าอีก มิฉะนั้นอย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ!”
“จะได้อย่างไรกัน” ไป๋เฟิงซีสะกิดปลายเท้าเหินลงจากหลังคา ทิ้งร่างลงตรงหน้าหานเสวียนหลิงอย่างชดช้อยนุ่มนวลดั่งผีเสื้อโบยบิน
หานเสวียนหลิงเห็นนางเหินร่างลงมาก็อดผงะถอยหลังไปหลายก้าวมิได้
ไป๋เฟิงซีไม่ถือสาแม้แต่น้อย ถูมือไปมา มองหานเสวียนหลิงด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อขอโอสถจากท่านอีกสักเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าท่านกำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ข้าเองก็ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะร่วมอวยพรให้ท่านด้วยคน ถือโอกาสกินอาหารสักมื้อแล้วค่อยไป”
ว่าแล้วนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียง ตลอดทางยังพยักหน้าส่งรอยยิ้มให้แขกเหรื่อคนอื่นๆ ประหนึ่งเป็นเพียงอาคันตุกะรับเชิญคนหนึ่งที่มาช้าเท่านั้น ส่วนแขกเหรื่อเหล่านั้นเห็นดรุณีคิ้วตางามสะคราญหมดจด รอยยิ้มสดชื่นดั่งสายลมเช่นนี้ก็ถึงกับเผลอถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้นาง
อีกด้านหานเสวียนหลิงกลับโกรธาจนใบหน้าแดงเปลี่ยนเป็นเขียว “เด็กๆ! ไล่นางออกไป!”
ทันทีที่สิ้นคำบุรุษฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แขนขาหนากำยำสองคนก็กระโดดออกมา ก้าวเข้าหาไป๋เฟิงซีอย่างห้าวหาญและเหี้ยมเกรียม แขนเหล็กยื่นออก ตรงเข้าคว้าเหนือศีรษะไป๋เฟิงซีปานอินทรีโฉบลูกไก่
ไป๋เฟิงซีที่เพิ่งนั่งประจำที่ประหนึ่งไม่รับรู้เลยสักนิด มือหนึ่งฉวยเมรัยเลิศรส มือหนึ่งโบกแขนเสื้ออย่างผ่อนคลาย ต่อมาคนทั้งหลายก็ได้แต่เบิกตามองบุรุษฉกรรจ์ผู้เหี้ยมหาญเปี่ยมพละกำลังสองคนนั้นถูกกวาดกระเด็นไปไกลลิบราวกับแท่งไม้สองแท่ง
“อา สุราชั้นเลิศ!”
โครม! โครม!
เสียงชื่นชมของไป๋เฟิงซีคละเคล้าด้วยเสียงบุรุษฉกรรจ์สองคนหล่นกระแทกพื้นดังเลื่อนลั่น
ผู้คนที่มองดูอยู่ยังไม่ทันได้สติ ไป๋เฟิงซีก็ยื่นมือขวาคว้าขาหมูข้างหนึ่งมาไว้ในมือ อ้าปากกัดคำใหญ่ ทางหนึ่งเคี้ยวทางหนึ่งพยักศีรษะ “อืม…อืม…ขาหมูห้ารสนี้หอมยิ่ง…พ่อครัวคนนี้ฝีมือไม่เลว”
ผู้คนเห็นแล้วอดกลืนน้ำลายมิได้ ลอบคิดว่าปากน้อยๆ เยี่ยงนั้นไฉนถึงกัดเนื้อชิ้นเขื่องขนาดนั้นได้ในคำเดียว คนผู้นี้คือไป๋เฟิงซีผู้มีนามคุณธรรมขจรขจายทั่วหล้าจริงหรือ
ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งกินทางหนึ่งร้องเรียกผู้คน “ทุกท่าน ดื่มสุรากินอาหารกันต่อเถอะ งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดอันบริบูรณ์เช่นนี้ของนายท่านหาน กินครั้งนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีครั้งหน้าหรือไม่”
“เหตุใดท่านต้องแช่งท่านพ่อข้าด้วย” ฉับพลันนั้นเด็กชายสวมชุดงามหรูอายุประมาณไม่ถึงสิบขวบก็กระโดดออกมาส่งเสียงร้องพร้อมกับชี้นิ้วใส่ไป๋เฟิงซี
“หืม?” ไป๋เฟิงซีมือขวาถือขาหมู มือซ้ายถือน่องไก่ ปากก็มีเนื้อเต็มแน่น พยายามจะออกเสียงให้ชัดถ้อยชัดคำ ทว่าจนใจที่เสียงยังคงอู้อี้อยู่ดี “น้อง…ชาย…ข้า…แช่ง…บิดา…เจ้าด้วยรึ ไฉน…ข้า…ไม่รู้เลยเล่า”
“ก็ท่านแช่งท่านพ่อข้าว่าจะไม่มีวันคล้ายวันเกิดครั้งหน้าแล้ว!” เด็กชายกล่าวด้วยโทสะพลุ่งพล่าน
ไป๋เฟิงซีพยายามกลืนเนื้อในปาก จากนั้นถึงก้าวไปตรงหน้าเด็กน้อย ย่อร่างลงเอ่ยว่า “น้องชาย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้แช่งว่าบิดาเจ้าไม่อาจมีงานวันคล้ายวันเกิดครั้งหน้า แต่หมายความว่าด้วยนิสัยขี้ตืดขี้เหนียวพรรค์นี้ของบิดาเจ้า คราวหน้าต้องหักใจออกเงินเลี้ยงอาหารคนมากมายเพียงนี้ไม่ลงเป็นแน่” ว่าแล้วมือมันเยิ้มทั้งคู่ของนางก็ถือโอกาสตบศีรษะเด็กชายอย่างเบามือ
เด็กชายหลบซ้ายเบี่ยงขวา ทว่าอย่างไรก็หลบมือมันเยิ้มคู่นั้นไม่พ้น สุดท้ายก็ถูกตบเข้าตรงๆ ด้วยความอับจน รู้สึกเพียงกลางหน้าผากมันไปทั้งแถบ เขาร้องว่า “มือท่านสกปรกแทบตายแล้ว!”
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าถอยมา” หานเสวียนหลิงสืบเท้ายาวๆ เข้ามาดึงเด็กชายไปคุ้มกันไว้เบื้องหลัง
“ท่านพ่อ สตรีผู้นี้น่าชังนัก ทำหน้าของลูกเปื้อนหมดแล้ว” บุตรคนเล็กของหานเสวียนหลิงนามหานผู่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าผาก
“เจ้าไปล้างหน้า” หานเสวียนหลิงส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้มานำตัวกงจื่อน้อยไป จากนั้นถึงหันศีรษะมาจ้องไป๋เฟิงซี “ไป๋เฟิงซี หากว่ากันเรื่องวรยุทธ์ ข้าหานเสวียนหลิงหาใช่คู่มือของเจ้าไม่ ทว่าวันนี้เจ้าอย่าหวังจะได้ทำตามอำเภอใจอีก!”
“หืม?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะกวาดตามองแขกเหรื่อในสวน “คำกล่าวนี้ไม่ผิด วันนี้คฤหาสน์ของท่านมีผู้เก่งกล้ามากันมากหน้าหลายตานี่นะ”
“เจ้ารู้ก็ดี” หานเสวียนหลิงแค่นเสียง
ไป๋เฟิงซีมองหนึ่งรอบแล้วหันศีรษะกลับมา นางยิ้มระรื่นดังเดิม จะมีแววหวาดหวั่นสักนิดก็หาไม่ “ตาเฒ่าหาน ข้ามีสหายผู้หนึ่งเจ็บหนักเกินกำลังอยู่ จำต้องได้โอสถผงตำหนักม่วงและโอสถเม็ดพุทธจิตของสกุลท่านไปช่วยชีวิตโดยเร็ว ท่านยกให้ข้าอีกสักสองขวดเถิด ไหนๆ บ้านท่านก็มีตั้งมาก ข้าเองจะได้ไม่ต้องลงมือแย่งชิง ทำลายความสำราญของทุกคน” น้ำเสียงนางปลอดโปร่งราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนขอยืมเกลือหนึ่งช้อนจากสหายเก่า
หานเสวียนหลิงยังไม่ทันปริปากก็มีผู้ลุกขึ้นทวงความยุติธรรมให้เขาแล้ว “ไป๋เฟิงซี ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าแซ่หานใจกว้างอดกลั้นกับเจ้าถึงสิบส่วน ถ้ารู้ความก็รีบไปเสีย หาไม่แล้วที่นี่มีผู้กล้ามากมาย หนึ่งคนหนึ่งหมัดเจ้าก็เหลือรับแล้ว!” คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาตวาด รูปร่างห้าสั้น ผอมแห้ง ทว่าแลดูคล่องแคล่วเหี้ยมหาญ ดวงตาทรงสามเหลี่ยมทั้งคู่กลอกไปมา
“ข้าก็อยากไป แต่ตาเฒ่าหานต้องมอบโอสถให้ก่อน” ไป๋เฟิงซีกล่าวพร้อมกับทำท่าจนใจ
“ฮึ! สุราคารวะไม่กิน จะกินสุราปรับ!” คนผู้นั้นแค่นเสียงอย่างดูเบา จากนั้นจึงหันไปหาหานเสวียนหลิง “ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน เชิญพักที่ด้านข้างก่อน รอข้าเว่ยอันสั่งสอนนางให้เอง!” ขณะกล่าวก็หมุนร่าง ก้าวเข้าหาไป๋เฟิงซีอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองงอเป็นกรงเล็บ พุ่งตรงเข้าจู่โจมดวงตาทั้งคู่ของนาง
เว่ยอันผู้นี้เห็นไป๋เฟิงซีอ่อนอาวุโสนัก คาดว่าวรยุทธ์คงไม่สูงล้ำ เหตุที่ชื่อเสียงระบือลือเลื่องขนาดนั้นไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเหล่าชาวยุทธ์กล่าวเกินจริงไปเอง ด้วยเหตุนี้จึงคิดอาศัยวรยุทธ์ที่ฝึกฝนได้แปดส่วนแล้วของตนลงมือกำราบนาง หากเอาชนะไป๋เฟิงซีได้ในที่นี้เขาก็จะโด่งดังไปทั่วหล้า ทั้งสามารถกระทำให้หานเสวียนหลิงพึงใจ สะดวกต่อการขอโอสถวิเศษ นี่เป็นผลดีสองสถานในคราวเดียว
“อ้า! ที่แท้คือยอดฝีมือจากพรรคอิงเจ่า (กรงเล็บอินทรี) ร้ายกาจแท้” ไป๋เฟิงซีปากร้องเอะอะ ทว่าอากัปกิริยาหามีแววเคร่งเครียดสักนิดไม่ นางหมุนร่างอย่างผ่อนคลายหนึ่งครา ชั่วพริบตาก็หลบกรงเล็บเหล็กที่โจมตีใส่ดวงตาทั้งคู่ได้ จากนั้นแขนเสื้อขวาก็โบกสะบัด พุ่งไปพัวพันข้อมือทั้งสองของเว่ยอัน
เว่ยอันหดมือหลบ คิดว่าหากสามารถลงมือสำเร็จในกระบวนท่าเดียวจะยิ่งน่าเกรงขาม ทันใดนั้นมือขวาของเขาก็แปลงกระบวนท่า รวบรวมกำลังเต็มที่แล้วตะปบใส่หัวไหล่ซ้ายของไป๋เฟิงซี หมายใจว่าการตะปบครานี้จะต้องกระชากแขนนางให้หลุดออกมาหนึ่งข้าง
“ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน ลงมือเช่นนี้ออกจะโหดเหี้ยมไปหน่อยกระมัง” ไป๋เฟิงซีฟังเสียงลมก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ถอยร่างแต่กลับพุ่งเข้าหา กรงเล็บอินทรีจึงตะปบลงบนไหล่ซ้ายของนาง เว่ยอันเห็นว่าลงมือได้ผลในใจก็ยินดีวูบหนึ่ง ทว่าอึดใจต่อมาก็ต้องตระหนก เพราะมือเสมือนตบใส่กองฝ้าย ส่วนไป๋เฟิงซีมือซ้ายทาบลงบนมือขวาของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ ทันใดนั้นมือขวาของเขาก็ออกแรงไม่ได้อีกต่อไป
เสียงกรอบคราหนึ่งดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงโหยหวนของเว่ยอัน “อ๊าก!” จากนั้นคนทั้งหลายก็เห็นเพียงไป๋เฟิงซีพลิ้วร่างถอยออก เว่ยอันทรุดลงคุกเข่ากับพื้น มือซ้ายประคองข้อมือขวาที่ห้อยไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเจ็บปวด
ด้วยกระบวนท่าเดียว กระดูกข้อมือของเว่ยอันก็ถูกไป๋เฟิงซีหักเอาตรงๆ!
แขกเหรื่อที่กลางสวนบ้างขลาดกลัวพรั่นพรึง บ้างก็คับแค้น
“นางสตรีผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นก็มีหลายคนพุ่งเข้าโจมตีไป๋เฟิงซีโดยมิได้นัดหมาย อาวุธในมือทอประกายเย็นวูบ ตรงเข้าทิ่มแทงจุดอันตราย คนเหล่านี้บ้างคิดทวงความยุติธรรม บ้างเป็นสหายของเว่ยอัน ครั้นเห็นเขาถูกหักข้อมืออย่างน่าอนาถก็ย่อมต้องลงมือล้างแค้นให้ บ้างเห็นพฤติกรรมอันธพาลของไป๋เฟิงซีแล้วขัดตา ยิ่งกว่านั้นบ้างก็ประสงค์จะทดสอบว่าไป๋เฟิงซีผู้นี้ร้ายกาจสมคำเล่าลือจริงหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ขาดผู้ที่อาศัยคนหมู่มากผสมโรงขอมีส่วนร่วม ชั่วขณะนั้นกลางสวนก็มีเงาคนวูบวาบ โต๊ะเก้าอี้ดังโครมคราม ดาบฟันกระบี่แทง สู้กันครึกครื้นยิ่ง
ทางด้านไป๋เฟิงซียังมีรอยยิ้มทั่วใบหน้า ท่วงท่าผ่อนคลายดังเดิม นางโบกมือซ้ายคราหนึ่ง ก็ฟาดลงบนใบหน้าของบางคน มือขวาตบคราหนึ่ง ก็จู่โจมใส่หัวไหล่ของบางคน ยืดขาคราหนึ่ง ก็มีผู้ปลิวออกนอกวง เกี่ยวเท้าคราหนึ่ง ก็มีผู้ล้มลงกับพื้น ยังได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนอันใสแจ๋วของนางเป็นระยะ
“อ๊ะ หมัดนี้ของเจ้าช้าเกินไปแล้ว!…ทึ่มจริง ฝ่ามือนี้ของเจ้าหากซัดมาจากทางซ้าย ไม่แน่ว่าข้าอาจถูกฟาดไปแล้ว…เขลานัก! ข้าว่ากระไรเจ้าก็ทำตามจริงๆ เสียด้วย…พี่ชายท่านนี้ เท้าของท่านเหม็นยิ่ง ได้โปรดอย่ายื่นมา!…อ้า น้องชาย ขนบนแขนเจ้ารุงรังเกินไป น่าตกใจนัก ข้าช่วยถอนให้เจ้าสักหน่อย!…”
ท่ามกลางการยั่วเย้า เสียงร้องเจ็บปวดของบางคนคละเคล้ากับเสียงจานชามร่วงแตก เสียงโต๊ะเก้าอี้หัก…ไม่ถึงชั่วครู่ในสวนก็กลายเป็นซากปรักหักพัง และผู้ที่มีสภาพทุลักทุเลที่สุดกลับเป็นวีรบุรุษยอดคนทั้งหลายที่ล้อมโจมตีไป๋เฟิงซี ทั้งๆ ที่จำนวนมาก ทั้งๆ ที่ล้วนเป็นยอดฝีมือจากทุกสารทิศ ทว่าบัดนี้ไป๋เฟิงซีกลับเดินแทรกไปมาท่ามกลางฝูงชนอย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ประเดี๋ยวตบผู้นี้หนึ่งฝ่ามือ คว้าผู้นั้นสักหน บ้างก็ดึงคอเสื้อผู้นี้สักหน่อย ตบท้ายทอยผู้นั้นสักนิด…ภายใต้เงื้อมมือนาง ยอดฝีมือแห่งยุทธภพเหล่านั้นหาผิดอันใดกับวานรที่ถูกหยอกเย้า ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนเพียงไหนก็ไม่อาจพลิกร่างออกจากฝ่ามือ* นางได้
“เอาล่ะ น้ำมันบนมือข้าเช็ดสะอาดดีแล้ว ไม่เล่นกับพวกท่านแล้ว”
เพิ่งจะสิ้นวาจา ภูษาขาวสายหนึ่งก็เหินออกดุจมังกรทะยานร่างสู่เวหา ได้ยินเพียงเสียงผัวะผะ จากนั้นแต่ละคนก็ถูกกวาดร่วงอยู่บนพื้น
หลังจากทุกคนล้มลงแล้ว ภูษาขาวของไป๋เฟิงซีถึงคืนสู่แขนเสื้อ นางปรบมืออย่างผ่อนคลาย “ตาเฒ่าหาน วีรบุรุษเหล่านี้ที่ท่านเชิญมาก็เพียงแค่นี้ พอแค่ให้ข้าเช็ดมือเองนี่”
“ไป๋เฟิงซี เจ้า…เจ้า…” หานเสวียนหลิงชี้ไป๋เฟิงซี เอ่ยคำใดไม่ออก ยอดคนจากทั่วทิศานุทิศที่มาอวยพรวันเกิดให้ตนยามนี้ทรุดอยู่บนพื้น จมูกเขียวหน้าบวม ไม่เหลือความน่าเกรงขาม เพียงเพราะไป๋เฟิงซีต้องการจะเช็ดคราบมันบนมือกับร่างพวกเขาเท่านั้น ครั้นคิดถึงตรงนี้เขาก็โกรธจนปวดหนึบในอก
“ตาเฒ่าหาน อย่าโมโหไปเลย ข้าลงมือไม่หนักหรอก” ไป๋เฟิงซียังมีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยิ้มหน้าตาชื่นบานดังเดิม “ผู้ใดให้พวกเขาคิดใช้คนมากเอาชนะเล่า กล่าวไปแล้วยังนับว่าข้ายั้งมือไว้ไมตรี พวกเขาล้วนแต่บาดเจ็บภายนอกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น พักสักสามวันห้าวันก็หายดีแล้ว”
“ไป๋เฟิงซี!” หานเสวียนหลิงตวาดแหวโดยไม่สนใจหน้าตา จ้องไป๋เฟิงซีอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “งานเลี้ยงดีๆ ของข้าผู้เฒ่าถูกเจ้าก่อกวนจนหมดสิ้น เจ้าให้ข้าไม่โมโห? มือของเว่ยอันถูกเจ้าหัก นี่เรียกว่าลงมือไม่หนัก? แขกเหรื่อของข้าล้วนถูกเจ้าทำร้ายบาดเจ็บ นี่ยังเรียกยั้งมือไว้ไมตรี?”
“ตาเฒ่าหาน นี่ก็หาโทษข้าได้ไม่” ไป๋เฟิงซีแบะมือ “จะโทษก็ต้องโทษระเบียบที่ท่านกำหนด ‘ไม่ว่ายากดีมีจน หากขอยาต้องจ่ายทองพันตำลึง’ ข้าฐานะยากจน ไหนเลยจะมีเงินให้ท่านได้ ถ้าท่านมอบยาให้ข้าไปช่วยคนตั้งแต่แรก ข้าก็ไม่ก่อเรื่องแล้ว ดังนั้นถ้าสืบสาหาความถึงที่สุด ก็เป็นที่ท่านตระหนี่ถี่เหนียวเกินไป”
“เจ้า!” หานเสวียนหลิงเดือดดาลจนลูกตาจวนเจียนจะหลุดออกนอกเบ้า
ไป๋เฟิงซีกลับเหมือนมองไม่ออกถึงเพลิงโทสะของเขา ยังคงกล่าวเสียงเรียบเรื่อยว่า “ส่วนเว่ยอันผู้นี้…” สายตานางเคลื่อนไปยังเว่ยอันผู้ยังครวญครางอยู่ด้านข้าง เว่ยอันถูกสายตานางกวาดผ่านก็หนาวสะท้านอย่างเฉียบพลัน เสียงครางชะงักไป “ที่ร้านน้ำชาสมุนไพรนอกหร่วนเฉิง ท่านลุงผู้นั้นก็เพียงแต่มือเท้าเชื่องช้าไปบ้าง รินชาให้ ‘วีรบุรุษเว่ยอันผู้ยิ่งใหญ่’ ดื่มไม่ทันใจ ไม่ถึงขั้นต้องทำร้ายจนผู้อื่นกระอักเลือดในกำปั้นเดียวกระมัง อาศัยวรยุทธ์เที่ยวข่มเหงผู้อื่น ยังคู่ควรเรียกขานว่าวีรบุรุษอีกหรือ ข้าก็แค่ให้ท่านลิ้มรสชาติแห่งการถูกผู้อื่นทำร้ายเอาตามใจบ้างเท่านั้น”
ยามนี้หานเสวียนหลิงโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง โลหิตสูบฉีด ดวงตาพร่าเลือน เขาชี้ไป๋เฟิงซีแล้วกล่าวว่า “ดี! ดี! ดี! ล้วนแต่เป็นเจ้าที่มีเหตุผล! ชิงโอสถมีเหตุผล! ก่อความวุ่นวายมีเหตุผล! ทำร้ายคนบาดเจ็บก็มีเหตุผล! เจ้านึกว่าใต้หล้านี้ไร้ผู้สามารถกำราบเจ้าไป๋เฟิงซีได้จริงๆ สินะ เจ้าไป๋เฟิงซีไร้คู่ต่อกรในใต้หล้าจริงๆ? วันนี้ข้าผู้เฒ่าจะเชิญผู้ที่สามารถกำราบเจ้าได้มา!”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซียินวาจานี้มิเพียงไม่ลนลาน ดวงตาทั้งคู่กลับเปล่งประกายอย่างนึกสนอกสนใจ “ผู้ใดหรือ ท่านเชิญวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดมา”
“ไป รีบไปเรือนหลังเชิญเฟิงกงจื่อออกมา!” หานเสวียนหลิงสั่งบ่าวคนหนึ่ง
“เฟิงกงจื่อ? ท่านเชิญเฮยเฟิงซีมาจัดการไป๋เฟิงซี?” นางฟังแล้วมองหานเสวียนหลิงด้วยสีหน้าชอบกล
“หึ เป็นอย่างไรเล่า กลัวแล้วสินะ” หานเสวียนหลิงเห็นอาการนางก็ตีความว่านางหวาดกลัวแล้ว
“มิใช่” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้า สายตาที่มองเขาคล้ายเจือแววเห็นใจขึ้นมาสองสามส่วน “ตาเฒ่าหาน ท่านเชิญเฮยเฟิงซีมาได้อย่างไร”
“วันก่อนเฟิงซีกงจื่อมายังหร่วนเฉิง เขาไม่รังเกียจถึงกับมาคารวะข้าผู้แซ่หาน ผู้เฒ่าอย่างข้าย่อมยกให้เป็นอาคันตุกะผู้สูงเกียรติ” หานเสวียนหลิงจ้องนาง “ไป๋เฟิงซี หากเจ้ามีความกล้าก็อย่าได้หนีเสียล่ะ!”
“ฮ่าๆๆ…ข้าจะหนีได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีระเบิดหัวเราะราวกับได้ฟังเรื่องชวนหัวที่สุด ครั้นหัวเราะจบก็มองทางหานเสวียนหลิง รำพันประหนึ่งเอ่ยกับตัวเองว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘อัญเชิญเทพสะดวกดาย ส่งเทพยากเข็ญ’ ตาเฒ่าหาน ท่านรู้จักหรือไม่”
“ฮึ เทพโรคระบาดเฉกเจ้า ข้าถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าส่งได้ไม่ยากเข็ญ!” หานเสวียนหลิงจ้องไป๋เฟิงซีอย่างเคืองแค้น หากเพลิงโทสะในดวงตาสามารถสังหารคนได้ บัดนี้ไป๋เฟิงซีต้องถูกสลายกระดูกเป็นผุยผงปลิวว่อนแน่แท้!
“เฮ้อ กระทั่งผู้ใดคือเทพโรคระบาดยังแยกแยะมิชัดเจน ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านมีชีวิตจนบัดนี้ได้อย่างไร” ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าถอนหายใจ
ขณะสนทนาก็มีเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์สีครามสองคนเดินเข้ามาจากประตูสวน พวกเขาอายุราวสิบสี่สิบห้า รูปโฉมสะอาดสะอ้านหมดจดคมคาย ซ้ำยังหน้าตาเหมือนกันราวกับลอกจากพิมพ์เดียว ในมือของทั้งสองถือห่อสัมภาระคนละห่อ
เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวมาถึงกลางสวนก็คำนับหนึ่งครา
“ทั้งสองท่านมิต้องมากพิธี ไม่ทราบว่าเฟิงกงจื่อเล่า” หานเสวียนหลิงรีบเข้าไปถามไถ่
ใครจะรู้ว่าหนุ่มน้อยทั้งสองกลับมิเหลียวแลเขา หันไปกล่าวกับไป๋เฟิงซีว่า “กงจื่อล้างหน้าอยู่ กำลังใช้น้ำที่สาม โปรดรอสักครู่” ว่าแล้วทั้งสองก็ตวาดไล่บรรดายอดฝีมือแห่งยุทธภพที่นอนอยู่บนพื้นว่า “พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเสีย อย่าขวางทาง กงจื่อบ้านข้ากำลังจะมาแล้ว”
ระหว่างกล่าวคำ ทั้งสองยังลงมือลงไม้ด้วย วีรบุรุษเหล่านั้นบ้างตะเกียกตะกายขึ้นเอง บ้างถูกพวกเขาผลักเข้าด้านข้าง ส่วนโต๊ะเก้าอี้จานชามล้วนถูกพวกเขาใช้ขาเตะมือเก็บจนหมด พริบตาเดียวก็ทำความสะอาดกลางสวนให้เกิดเป็นที่ว่างอันกว้างขวางขึ้น
หลังจากเก็บกวาดพื้นที่แล้ว ทั้งสองก็หมุนกายกลับไป ทว่าอึดใจเดียวก็กลับมาใหม่ คนหนึ่งยกเก้าอี้ไม้แดงตัวเขื่องมา คนหนึ่งยกโต๊ะน้ำชา ต่อมาก็เปิดห่อสัมภาระติดตัว ล้วงไม้ปัดฝุ่นมาปัดเก้าอี้และโต๊ะน้ำชา ปูผ้าแพรลงบนเก้าอี้ จากนั้นถึงประคองถ้วยหยกเขียวมรกตออกมา เปิดฝาถ้วยและรินน้ำชา ชานั้นถึงกับยังมีไอร้อนลอยเป็นสาย
การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองคล่องแคล่วปราดเปรียวถึงสิบส่วน ครู่เดียวก็เสร็จสิ้น หลังจัดการสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ถอยออกไป เวลาล่วงไปอีกครู่หนึ่ง บนพื้นก็ลาดด้วยพรมสีชาดมาจนจรดใต้เก้าอี้ไม้แดง พอพวกเขาทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นก็ยืนอย่างสงบอยู่หน้าเก้าอี้ทางซ้ายและขวาด้านละคน
ขณะที่ทั้งสองจัดการสิ่งเหล่านี้ บรรดายอดคนทั้งหลายรวมทั้งหานเสวียนหลิงก็ล้วนแน่นิ่งไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ส่วนไป๋เฟิงซีกลับหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง หลับตาสัปหงกไปนานแล้ว
ทุกคนรอต่ออีกครู่หนึ่ง กลับไม่เห็นเฮยเฟิงซีปรากฏกาย หานเสวียนหลิงปรารถนาจะไถ่ถามสักคำ ทว่าเมื่อเห็นอากัปกิริยาของเด็กหนุ่มคนรับใช้ทั้งสอง วาจาที่มาถึงลำคอก็ต้องกลืนกลับไปอีกคำรบ
“ฮ้าว…” ไป๋เฟิงซีที่หลับตาโดยตลอดหาวหวอดยกใหญ่ จากนั้นก็พลันแผดเสียงร้องว่า “จิ้งจอกดำ ถ้าเจ้ายังไม่ไสหัวออกมาอีก ข้าจะไปถลกหนังเจ้าแล้วนะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงนางก็มีเสียงบุรุษผู้หนึ่งลอยมา “สตรี เจ้าหยาบกระด้างเช่นนี้เสมอเลยนะ” เสียงนั้นดั่งลมบางเบาโชยผะแผ่ว เนิบนาบสุขุม ทั้งละม้ายเสียงประจงเคาะแผ่นหยก สูงค่าสง่างาม
ขณะที่เสียงนี้ดังกังวานขึ้น ประตูสวนก็ปรากฏกงจื่อเยาว์วัยผู้หนึ่ง ผมรวบไว้ด้วยเกี้ยวหยกขาว หน้าผากประดับด้วยหยกสัณฐานจันทร์เสี้ยวสีหมึก สวมเสื้อคลุมแพรสีดำตัวหลวม เอวคาดเข็มขัดหยกขาวประณีต ใบหน้าคมคายดุจสลักจากหยกงามประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ อันเยือกเย็นและผ่อนคลาย ราวกับกรายเท้าผ่านเมฆาสีชาดมาด้วยอาการเสรีเป็นธรรมชาติเช่นนี้เอง
ผู้คนเห็นกงจื่อท่านนี้ก็คิดโดยพร้อมเพรียงว่าคนเช่นนี้ควรจะก้าวออกจากตำหนักหรุ่ยจู (เกสรมุก)* อันมีหยกขาวเป็นบันได มรกตปูแทนกระเบื้อง ปะการังเป็นผนัง ผลึกแก้วทำเป็นม่านจึงจะถูก และมีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นเฮยเฟิงซีผู้ระบือนามทั่วแผ่นดิน ไม่เหมือนกับ…คนผู้นั้น ทุกคนผินหน้าไปมองไป๋เฟิงซีโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าเห็นนางสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ ผมสลวยดำขลับ ใบหน้าหมดจด ดวงตาสุกสกาว ดูอิสรเสรีไร้กรอบเกณฑ์ดังเมฆาเคลื่อนคล้อยบนท้องนภาสีคราม ก็พลันรู้สึกว่าไป๋เฟิงซีเช่นนี้ก็เป็นหนึ่งมิมีสองเช่นกัน
เฮยเฟิงซีทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ปูผ้าแพรนั้น มือซ้ายยกน้อยๆ เด็กหนุ่มทางซ้ายก็ประคองถ้วยชามาส่งให้ที่มือเขา เขาเปิดฝาถ้วย เป่าเบาๆ หนึ่งครา จิบชิมหนึ่งคำ จากนั้นถึงส่ายหน้ากล่าวว่า “แก่ไป จงหลี คราวหน้าลดใบชาลงสามใบ”
“ขอรับ กงจื่อ” จงหลีรีบก้มศีรษะรับคำ
เฮยเฟิงซีปิดฝาถ้วย เด็กหนุ่มทางขวาก็รับถ้วยจากมือเขาไปวางบนโต๊ะ
ในสวนมีผู้คนนับร้อย แต่กลับพากันเงียบกริบมองเขา มิมีผู้ใดกล้ารบกวน
สุดท้ายเฮยเฟิงซีก็กวาดสายตามองคนทั้งหลาย ทุกคนรู้สึกเพียงหัวใจเต้นตึกตัก กงจื่อผู้นี้มีแววตาเจิดจ้าเหลือเกิน ราวกับส่วนที่ดำมืดที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจตนก็ถูกสายตานี้ของเขาสาดจนสว่างแจ้งชัดตา
“สตรี พวกเราไม่พบกันนานแล้วนะ” เฮยเฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม สีหน้าปรีดา สายตาจ้องตรงไปยังเบื้องหน้า
ทุกคนมองตามสายตาของเขา พอเห็นก็อดถอนใจอีกครามิได้
หากเทียบกับบุคลิกสูงศักดิ์สง่างามของเฮยเฟิงซี ไป๋เฟิงซีก็ไม่มีมาดใดๆ ให้เอ่ยถึงทั้งสิ้น ร่างนางเอียงเค้เก้พิงพนักเก้าอี้ ผมยาวระถึงพื้นดิน ขาทั้งสองยืดตรงพาดไว้บนเก้าอี้อีกตัว ดวงตาหรี่ปรือครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายง่วงเหงาหาวนอนสิบส่วน
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของเฮยเฟิงซี นางก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็หาวยาวๆ อีกหนึ่งครา อ้าแขนทั้งสอง บิดขี้เกียจอีกหนึ่งครั้งกว่าจะปริปาก “จิ้งจอกดำ ทุกครั้งที่เจ้าทำเรื่องพิรี้พิไรนี้ล้วนเพียงพอให้ข้านอนหนึ่งตื่น” แม้นางจะเอ่ยคำทำตัวตามใจตน ทว่ากลับไม่หยาบคาย เห็นแล้วชวนให้สบายใจ
“สตรี ไม่พบกันหนึ่งปี เจ้าไม่พัฒนาขึ้นบ้างเลย” เฮยเฟิงซีส่ายศีรษะ ท่าทางติดจะเสียดายอยู่บ้าง
ไป๋เฟิงซียืดกายยืนขึ้น อาการเกียจคร้านบนดวงหน้าหมดสิ้นไป นางยืดเท้าแล้วสะกิดคราหนึ่ง เก้าอี้ที่พาดอยู่ใต้เท้าก็ลอยเข้าใส่เฮยเฟิงซีอย่างรุนแรงถึงขีดสุด ปากก็พร่ำโวยวายว่า “สตรีอย่างข้ามีชื่อมีแซ่ อย่ามาคำก็สตรีสองคำก็สตรี คนไม่รู้จะหลงนึกว่าเจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์อันใดไม่บริสุทธิ์ ถูกขนานนามร่วมกับเจ้าข้าก็เคราะห์ร้ายเหลือประมาณแล้ว หากมีเรื่องอื่นโยงเข้าด้วยกันอีก ข้ามิสู้หาแม่น้ำสักสายแล้วกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด”
กับเก้าอี้ที่ปลิวมาอย่างกะทันหัน ท่วงท่าของเฮยเฟิงซียังคงเนิบนาบดังเดิม มือขวายื่นออกอย่างผ่อนคลายคราหนึ่ง เก้าอี้ที่พุ่งมาอย่างเร็วแรงก็หยุดลงในมือเขาอย่างมั่นคง พอเขาโบกมืออีกครา เก้าอี้ก็ลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา มิเกิดเสียงใดแม้แต่น้อย
“ข้าเพียงประสงค์จะเตือนเจ้าสักคำเท่านั้น เกรงว่าหากเจ้าประพฤติเยี่ยงนี้สืบไป วันหน้ากระทั่งตัวเองเป็นสตรีก็อาจลืมเลือนไปแล้ว” เฮยเฟิงซีกล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยน เขาชายตามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “จะเป็นผู้หญิงของข้า จุ๊ๆ…สภาพเจ้าเช่นนี้…เฮ้อ” วาจาแม้จะไม่ระบุชัดแจ้ง ทว่าเสียงถอนใจนั้นแสดงถึงความนัยจนสิ้น ดังนั้นในสวนจึงมีบางคนลอบหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่
“เฟิงกงจื่อ” หานเสวียนหลิงสืบเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว ขัดจังหวะการกระทบกระเทียบระหว่างทั้งสอง
“ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน” เฮยเฟิงซีหันหน้าไปมองหานเสวียนหลิง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มชิดเชื้อนุ่มนวล “ท่านเรียกข้ามา จะให้ข้าทำความรู้จักกับผู้กล้าทั้งหลายหรือ”
“นี่เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง” เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเฮยเฟิงซี หานเสวียนหลิงก็เผลอยิ้มตามโดยมิรู้ตัว “ส่วนอีกเรื่องนั้นเล่า…” สายตาเขาเหล่มองไป๋เฟิงซี จากนั้นถึงกลับมามองเฮยเฟิงซี “เฟิงกงจื่อ ธุระที่ข้าเอ่ยให้ท่านฟังเมื่อวันก่อน มิทราบกงจื่อ…”
“อ้อ เข้าใจแล้ว” เฮยเฟิงซีพยักหน้าอย่างพลันกระจ่างแจ้ง “ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานขอให้ข้าลงมือช่วยเรื่องที่ไป๋เฟิงซีใช้กำลังหยิบฉวยโอสถวิเศษ” ว่าแล้วเขาก็หันไปมองสตรีที่อยู่อีกด้าน “ได้ยินว่าหลายปีมานี้เจ้าฉวยเอาโอสถจากบ้านสกุลหานไปไม่น้อย ความหมายของท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานคือให้เจ้ามอบยาคืนมาให้หมด หากไม่มีคืนก็ให้หักเป็นเงิน” แน่นอนว่าวาจาที่หานเสวียนหลิงให้ลงมือสั่งสอนไป๋เฟิงซี เขามิได้ถ่ายทอดออกมา ด้วยรู้นิสัยของนางดี
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ยานั้นข้าใช้หมดแล้ว ส่วนเงิน…” นัยน์ตานางกลอกกลิ้ง “นาทีนี้บนตัวข้าไม่มีเงินสักอีแปะเดียว”
เฮยเฟิงซีฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ราวกับรู้คำตอบของนางตั้งแต่แรกแล้ว เขาหันไปทางหานเสวียนหลิง ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางลำบากใจพอสมควร “นี่…ท่านเห็นควรว่าอย่างไร”
หานเสวียนหลิงมองไป๋เฟิงซี หวนนึกถึงโอสถเหล่านั้น หวนนึกถึงที่นางอาละวาดใหญ่โตเมื่อครู่ เขาก็แค้นขึ้นมาอย่างฉับพลันที่มิอาจจับนางมาถลกหนังเลาะกระดูกได้ จึงกล่าวว่า “นั่นก็เรียบง่ายนัก ให้นางขออภัยต่อหน้าข้าและทิ้งมือทั้งสองข้างไว้เป็นใช้ได้”
“โอ๊ย อำมหิตยิ่ง!” ไป๋เฟิงซีแผดเสียงเอะอะทันควัน นางชูมือทั้งสองขึ้นมองหนึ่งรอบ จากนั้นก็สะกิดปลายเท้า พลิ้วร่างมาอยู่ตรงหน้าเฮยเฟิงซีอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยื่นมือทั้งคู่ไปตรงหน้าแล้วถามเขาว่า “เจ้าจะตัดมือของข้าจริงๆ หรือ”
เฮยเฟิงซีมองนาง ต่อมาก็มองมือขาวผ่องเรียวยาวคู่นั้น เขากุมหน้าผากถอนใจยาวคล้ายกับจนใจสุดประมาณ “ชาตินี้ข้ามีเคราะห์ที่ต้องมารู้จักกับเจ้า” จากนั้นเขาก็หยัดกายขึ้นประสานมือคารวะหานเสวียนหลิง
“มิกล้า! เฟิงกงจื่อไฉนทำเช่นนี้” หานเสวียนหลิงลนลานคารวะตอบ
“ท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหาน ข้าขออภัยท่านแทนนาง ณ ที่นี้ด้วย” เฮยเฟิงซีตอบนอบน้อมมีมารยาท นัยน์ตาสีดำขลับสุกใส สีหน้าจริงใจ “แม้นางจะใช้กำลังหยิบฉวยโอสถวิเศษของบ้านท่าน แต่ล้วนใช้เพื่อช่วยคน หาใช่หวังประโยชน์ส่วนตน นับว่าช่วยสกุลหานสั่งสมกุศลกรรม มิสู้ขอให้ท่านใจกว้างให้อภัยที่นางเยาว์วัยไม่รู้ความ”
“นี่…” หานเสวียนหลิงเกิดลังเล หากให้จัดการตามเจตนาของเฮยเฟิงซี ไหนเลยเขาจะยอมรามือได้ง่ายดายเพียงเท่านี้ ครั้นจะปฏิเสธเฮยเฟิงซีซึ่งหน้าก็ไม่สู้สะดวกนัก
“ส่วนโอสถที่นางฉวยไป ขอท่านโปรดคิดดูว่าเป็นเงินเท่าใด แล้วข้าจะช่วยชดใช้ให้แทนนางเอง เช่นนี้เป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีว่าต่อ
ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมาหานเสวียนหลิงก็หวั่นไหวทันที ลอบคิดว่าเห็นทีเฟิงกงจื่อกับไป๋เฟิงซีผู้นี้คงมีมิตรภาพไม่ใช่เพียงผิวเผิน ทั้งเขารวมถึงยอดฝีมือผู้กล้าเหล่านี้ต่างมิใช่คู่มือของไป๋เฟิงซี หากแข็งขืนสร้างความลำบากใจ เกรงว่าผู้ที่ต้องประดักประเดิดจะกลายเป็นเขา วันนี้เมื่อเฮยเฟิงซียอมชดใช้แทนนาง ไยมิรับน้ำใจอันง่ายดายนี้ไว้เล่า
เฮยเฟิงซีเห็นสีหน้าเขาก็รู้ถึงเจตนาในใจ จึงหันไปทางทุกคนในสวน “เมื่อครู่นางล่วงเกินวีรบุรุษทุกท่านไม่น้อย ทว่านั่นเป็นเพียงธาตุแท้อันชมชอบสร้างความวุ่นวายของนาง นางล้อทุกท่านเล่นเท่านั้น ขอทุกท่านได้โปรดใจกว้างอย่าถือสาหาความเอากับนาง ข้าขออภัยทุกท่านแทนนางด้วย” ว่าแล้วก็ประสานหมัดคารวะ
พฤติกรรมนี้ของเขาเหนือความคาดหมายของทุกคน ต้องทราบว่าเดิมทีคนทั้งหลายนึกว่าจะได้ชมไป๋เฟิงเฮยซีประมือกันสักตั้ง บัดนี้เมื่อเห็นเขาน้อมกายคารวะ ผู้คนในสวนก็รีบพากันคารวะตอบ เมื่อครู่พวกเขาถูกไป๋เฟิงซีก่อกวนคำรบหนึ่ง แม้ในใจจะขุ่นเคือง แต่มิอาจไม่ยอมรับว่าฝีมือเป็นรองผู้อื่น ดังนั้นนอกเหนือจากความอับอายโกรธแค้นก็คือความละอายใจ การกระทำนี้ของเฮยเฟิงซีเป็นการมอบทางออกให้ทุกคน ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ได้รับการคารวะจากเฟิงซีกงจื่อผู้เป็นหนึ่งในสี่กงจื่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าก็มีไม่มาก ทำให้มีหน้ามีตาขึ้นเป็นทบทวี โทสะของพวกเขาจึงพลันสลาย พากันเอ่ยว่า “เฟิงกงจื่อเอ่ยคำ พวกข้ามีหรือจะไม่ปฏิบัติตาม” ในทางลับก็คาดเดาโดยมิได้นัดหมายว่าไป๋เฟิงเฮยซีมีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่
กับพฤติกรรมนี้ของเฮยเฟิงซี ไป๋เฟิงซีก็เห็นเป็นเรื่องปกติ แค่ยืนมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้าง มุมปากนางยกเล็กน้อยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ในเมื่อวีรบุรุษทุกท่านล้วนแต่ใจกว้างไม่ถือสาเอาความ เพื่อเป็นการขอบคุณ วันนี้ยามเซิน ข้าจะเตรียมสุราหมักเลิศรสร้อยไหไว้ที่หอจุ้ยเซียน (เซียนเมามาย) ในตัวเมือง หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติมาร่วมเมามายกันสักครา” เฮยเฟิงซีเอ่ยต่อ
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมา คนทั้งหลายก็ส่งเสียงฮือฮา ล้วนแต่ตื่นเต้นยินดีถึงสิบส่วน
บุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งแหวกผู้คนออกมา ประสานหมัดคารวะเฮยเฟิงซีพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าน้อยจั่นจือหมิง ชาวหร่วนเฉิง วันนี้ได้พบกงจื่อถือเป็นบุญกุศลอันสั่งสมมาสามชาติ ด้วยเหตุนี้สุราที่หอจุ้ยเซียนนั้นขอท่านโปรดให้หน้าบางๆ ของข้าน้อย ให้ข้าน้อยแสดงมิตรภาพของเจ้าถิ่น เมามายไปกับท่านและผู้กล้าทั้งหลาย” กล่าวจบก็ประสานมือมองผู้คนในสวนรอบหนึ่ง “มิทราบทุกท่านจะยอมให้หน้าหรือไม่”
“ประเสริฐ!” ทุกคนพากันตอบรับ จากนั้นสายตาก็มองไปทางเฮยเฟิงซีอย่างพร้อมเพรียง
“เฟิงซีนับถือมิสู้น้อมปฏิบัติตาม” เฮยเฟิงซีตอบรับด้วยรอยยิ้ม ระหว่างหันหน้ากลับก็เหลือบเห็นแววขบขันบนใบหน้าไป๋เฟิงซี ดวงตาทั้งสี่ข้างสอดประสาน แลกเปลี่ยนสายตาอันมีเพียงทั้งสองที่ประจักษ์แก่ใจ
ไป๋เฟิงซีหมุนร่างฉับพลัน กวาดสายตามองเด็กหนุ่มทั้งสองข้างกายเฮยเฟิงซี “อยู่กับผู้ใดในพวกเจ้า”
เด็กหนุ่มทั้งสองถูกสายตาไป๋เฟิงซีจับจ้องก็อดมองไปทางเฮยเฟิงซีมิได้
เฮยเฟิงซียิ้มบางพร้อมกับพยักหน้า “จงหยวน”
จากนั้นเด็กหนุ่มทางขวาก็ล้วงกล่องไม้แดงที่ยาวหนึ่งเชียะสูงสามชุ่นออกมาจากห่อสัมภาระบนหลัง ยื่นให้ไป๋เฟิงซี
นางรับมาเปิดฝาออก พริบตานั้นผู้คนทั้งหลายในสวนก็รู้สึกถึงแสงอัญมณีอันล่อตา จึงพากันจับจ้องไปยังกล่องไม้ เห็นในกล่องมีไข่มุกเม็ดเท่านิ้วโป้ง มีต้นหลิวอันทำจากทองคำ มีภูเขาซึ่งสลักจากโมรา มีหัตถ์พระพุทธรูปที่ทำจากปะการังแดง มีหยกก้อนเท่าฝ่ามือ…ทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่าอันประณีตถึงที่สุด
ทุกคนยังไม่ทันมองให้ชัดกว่านี้ ไป๋เฟิงซีก็ปิดกล่องดังปึง เดินไปยังเบื้องหน้าหานเสวียนหลิง แล้วส่งกล่องไม้ไปตรงหน้าเขา “ตาเฒ่าหาน ของในกล่องมีค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนแผ่นทอง ซื้อโอสถที่แต่กาลก่อนข้าหยิบไปจากที่นี่ได้อย่างเหลือเฟือ ฉะนั้นวันนี้ท่านต้องมอบผงตำหนักม่วงและเม็ดพุทธจิตให้ข้าอีกอย่างละขวด”
“หะ…ให้ข้าทั้งหมดเลยหรือ” หานเสวียนหลิงเบิกตามองกล่องไม้แล้วมองไป๋เฟิงซี และเลยต่อไปมองเฮยเฟิงซี รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันไปชั่วขณะ บ้านสกุลหานแม้จะมั่งมี ทว่าสิ่งล้ำค่าหายากตรงหน้าเหล่านี้เขาเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมิค่อยกล้าเชื่อว่าในเวลาอันสั้นเขาจะสามารถครอบครองยอดอัญมณีทั้งหลายนี้ได้
“สิ่งเหล่านี้ตีเสียว่าข้าจ่ายค่าโอสถในกาลก่อน ขอท่านวีรบุรุษผู้เฒ่าหานโปรดรับไว้และมอบโอสถให้นางอีกสองขวดเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซียิ้มพลางพยักหน้า
“ได้…ย่อมได้แน่นอน!” หานเสวียนหลิงพยักหน้าไม่หยุด พร้อมทั้งรีบรับกล่องจากมือไป๋เฟิงซีด้วยมือที่สั่นสะท้านเล็กน้อย
“เช่นนั้นข้าไปหยิบโอสถก่อนล่ะ” ไป๋เฟิงซีส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา พอเงาร่างไหววูบร่างของนางก็หายไปจากสวนแล้ว
“อืม” หานเสวียนหลิงยังมัวพยักหน้ารับคำ ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็สะดุ้ง “ช้าก่อน! ไป๋เฟิงซี เจ้ารอประเดี๋ยว! สวรรค์…โอสถของข้า…ต้องถูกนางกวาดเกลี้ยงอีกคราแน่แล้ว!”
ผู้คนในสวนเห็นเขาเหินร่างตามไป๋เฟิงซีไป ทั้งยังได้ยินเสียงร้องด้วยความปวดใจของเขาดังมาแต่ไกล