ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 3 หนึ่งราตรีบนเขาเซวียนซานดั่งความฝัน
ณ ยอดเขาทางทิศเหนือแห่งเทือกเขาเซวียนซาน
ครั้นมองถ้ำอันว่างเปล่าแล้วไป๋เฟิงซีก็ถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง พอมือห้อยตก เสื้อผ้าบุรุษที่ประคองอยู่ในมือก็ร่วงสู่พื้น คนผู้นั้นไม่รอนาง เขาได้รับบาดเจ็บฉกรรจ์ปานนั้นแต่กลับออกไปด้วยตัวเอง
“โง่เง่าโดยแท้” นางบริภาษงึมงำ หมุนกายออกจากถ้ำ แต่กลับพบว่ายามนี้นอกถ้ำมีคนไม่น้อยโอบล้อมอยู่ จึงลอบตำหนิในความประมาทของตน เมื่อครู่นางถึงกับไม่สังเกตเห็นคนที่ซุ่มอยู่เหล่านี้
“ไป๋เฟิงซี มอบป้ายขั้วกาฬออกมา!”
วาจาเดียวกัน แต่เป้าหมายเปลี่ยนมาเป็นตัวนาง พริบตานั้นไป๋เฟิงซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้
“ข้าไม่มีป้ายขั้วกาฬอะไรทั้งนั้น พวกเจ้ารีบไปเสีย อย่ายั่วให้ข้าต้องโมโห” นางกวาดตามองหนึ่งรอบด้วยแววตาเรียบเฉย ผู้ที่โอบล้อมอยู่บ้างก็ไม่เคยพบหน้า บ้างก็เคยเจอที่เชิงเขา นับดูแล้วมีถึงสามสิบสี่สิบคน ช่างไม่ยอมถอดใจเลยจริงๆ หรือว่าคนเหล่านี้หลงนึกเป็นจริงเป็นจังว่าหากครอบครองป้ายขั้วกาฬแล้วจะทำให้สามารถบัญชาทั่วหล้า กลายเป็นนายแห่งสายน้ำและขุนเขาหมื่นลี้ได้? เหลวไหล!
“ผายลม! เยียนอิ๋งโจวเจ้าเป็นผู้ช่วยไป ตอนนั้นเขาสลบไม่ได้สติ เจ้าจะชิงป้ายขั้วกาฬก็ง่ายดายนัก เจ้าไม่มีแล้วผู้ใดจะมี” บุรุษร่างใหญ่แต่งกายด้วยชุดที่ทำจากผ้าปอตะคอก
เพิ่งสิ้นเสียง เงาสีขาวตรงหน้าก็ไหววูบ ฉับพลันนั้นเขาก็หายใจติดขัด เป็นภูษาขาวผืนหนึ่งที่พันอยู่รอบลำคออย่างแน่นหนา
“เจ้า…เจ้า…แค่กๆ…ปล่อย…ปล่อย…ข้า…แค่กๆ…” เขาออกแรงกระชากภูษาขาว แต่กลับจนใจด้วยยิ่งดึงยิ่งแน่น ทำให้บัดนี้หายใจลำบาก ภาพเบื้องหน้าดำมืด
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้เอาไปก็คือไม่ได้เอาไป! ข้าไป๋เฟิงซีไหนเลยจะเป็นผู้ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ได้กระทำ!” นางกล่าวอย่างเย็นชา พองัดมือคราหนึ่งภูษาขาวก็คืนสู่แขนเสื้อ
คนผู้นั้นรีบสูดหายใจเฮือกเป็นการใหญ่ รู้สึกราวกับว่าตนไปทัศนาจรรอบตำหนักยมบาลมาหนึ่งรอบ
“จอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิง ในเมื่อป้ายขั้วกาฬไม่อยู่ในมือท่าน เช่นนั้นโปรดบอกร่องรอยของเยียนอิ๋งโจวแก่พวกเราเถอะ” บุรุษอายุราวสามสิบผู้หนึ่งประสานมือกล่าว
“เจ้าคือผู้ใด” ไป๋เฟิงซีปากถามไปตามเรื่อง แต่แววตากลับยังตรึงอยู่ที่บุรุษร่างใหญ่ที่คุกเข่าหอบหายใจอยู่บนพื้น
“ข้าน้อยลิ่งหูจวีจากซังโจว รับบัญชาจากซังอ๋องให้นำป้ายขั้วกาฬกลับนครหลวง เพื่อสงบสถานการณ์ระส่ำระสายในใต้หล้า” ลิ่งหูจวีประสานหมัดตอบ
“สงบสถานการณ์ระส่ำระสายในใต้หล้า? ช่างเป็นถ้อยคำที่น่าฟังนัก!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะอย่างเย็นชา
“ไม่ว่าท่านจอมยุทธ์หญิงจะเชื่อหรือไม่ ข้าน้อยก็เชื่อว่าท่านมิได้นำป้ายขั้วกาฬไป” ลิ่งหูจวีเอ่ย
นางได้ยินคำก็อดเบนสายตาไปมองเขาไม่ได้ เห็นเครื่องหน้าเขาฉายแววซื่อตรง หว่างคิ้วแฝงความห้าวหาญ ท่าทางเป็นวิญญูชนผู้สัตย์ซื่อ
“ฉะนั้นจอมยุทธ์หญิงโปรดแจ้งทิศทางของเยียนอิ๋งโจวด้วย” ลิ่งหูจวีเอ่ยซ้ำ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาไปทางใดแล้ว” ไป๋เฟิงซีส่ายศีรษะ “หากเจ้าหาเขาพบก็อย่าลืมบอกข้าสักคำ ข้าประสงค์จะคิดบัญชีกับเขาเช่นกัน”
ลิ่งหูจวีได้ยินก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ท่านจอมยุทธ์ลิ่งหูจวี ท่านอย่าได้ถูกนางหลอก!” ท่ามกลางกลุ่มคน บุรุษผู้สมบูรณ์ไปด้วยก้อนเนื้อก้าวออกมา ร่างที่นับว่าสูงใหญ่ของลิ่งหูจวีเมื่อเทียบกับคนผู้นี้ดูผอมเล็กไปถนัดตา
“ใช่แล้ว อย่าให้นางมาหลอกได้ ป้ายขั้วกาฬต้องตกอยู่ในมือนางนานแล้วเป็นแน่ หากเยียนอิ๋งโจวไม่ถูกนางสังหารทิ้งก็คงถูกซ่อนตัวไว้”
“ป้ายขั้วกาฬที่เพียงพลิกมือก็ได้ครอบครอง นางไหนเลยจะไม่ชิงไป” คนทั้งหลายพากันคาดเดา
“หุบปาก!” ลิ่งหูจวีพลันตวาดลั่น “ไป๋เฟิงซีนับแต่เข้าสู่ยุทธภพ เรื่องที่กระทำล้วนไม่ขัดต่อคุณธรรมความถูกต้อง มีหรือให้พวกเจ้าลบหลู่ดูแคลนเยี่ยงนี้ได้!”
“หือ?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ เหล่ตามองลิ่งหูจวี “จอมยุทธ์ลิ่งหูจวีเหตุใดถึงมั่นใจเพียงนี้ว่าข้าหาใช่คนถ่อย”
“ข้าน้อยรู้” ลิ่งหูจวีกลับมิเอ่ยให้มากความ “ในเมื่อจอมยุทธ์เฟิงไม่ทราบร่องรอยของเยียนอิ๋งโจว ข้าน้อยก็ขอลาตรงนี้” กล่าวจบเขาก็หมุนร่างไปพูดกับคนทั้งหลายว่า “ผู้กล้าสายต่างๆ จากซังโจว หากยังนับถือผู้นำอย่างข้าก็เชิญติดตามข้าไป” สิ้นเสียงก็หันไปประสานมือให้ไป๋เฟิงซีแล้วสืบเท้ายาวๆ จากไป ในกลุ่มคนมีสิบกว่าคนติดตามเขาไป
ไป๋เฟิงซีหันมาทางบรรดายอดฝีมือที่ยังอยู่ที่เดิม ใบหน้าผุดรอยยิ้มจางๆ “แล้วพวกเจ้าจะเอาอย่างไร ข้าไป๋เฟิงซีหาใช่โพธิสัตว์ที่มือไม่เปื้อนโลหิต!” ทันทีที่เอ่ยคำภูษาขาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ วนอยู่รอบร่างนาง พริบตานั้นจิตสังหารอันคมกริบดุดันสายหนึ่งก็เข้าจู่โจมทุกคน
ไอเย็นเยือกซึมขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของผู้คน พวกเขาพากันเดินลมปราณไว้รอบกายโดยไม่รู้ตัว ดวงตาจับจ้องไป๋เฟิงซีเขม็ง กริ่งเกรงว่านางจะลงมือกะทันหัน
ขณะนั้นลิ่งหูจวีที่เดินห่างออกไปสามจั้งแล้วก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารสายนี้ มือทาบลงไปยังด้ามกระบี่ที่เอวตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ได้สติเกือบจะในทันที เขาลดมือลงแล้วทอดถอนใจหนึ่งครา สาวเท้ายาวๆ จากไป
ภูษาขาวซึ่งวนอยู่รอบกายไป๋เฟิงซีพลันร่วงลงอย่างแผ่วเบา นิ้วมือของนางม้วนภูษาขาวกลับมาอย่างแช่มช้า หว่างคิ้วทอแววอ่อนล้า “พวกเจ้าไปเสียเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่อยากเห็นโลหิต”
คนทั้งมวลเผลอกลืนน้ำลายโดยมิรู้ตัว ครั้นกระหวัดจิตถึงรัศมีดุดันเมื่อครู่ก็อดพรั่นพรึงไม่ได้ ทว่าเมื่อนึกถึงป้ายขั้วกาฬก็ไม่ยินยอมพร้อมใจเลิกราเพียงเท่านี้
ระหว่างคุมเชิงกันนั้น หัวคิ้วของไป๋เฟิงซีพลันขมวดเล็กน้อย นางเอียงหูสดับฟัง แววตาสั่นไหว จากนั้นก็เหินร่างขึ้นกะทันหัน โฉบผ่านหน้าทุกคนไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด
กว่าผู้คนจะได้สติก็ไม่เห็นร่างของนางแล้ว
ณ ยอดเขาทางทิศเหนือของภูเขา พอก้มศีรษะก็จะเห็นภูมิทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจนโดยตลอด
ฟากตะวันตกแห่งเขาเซวียนซาน ทหารสวมเกราะเกล็ดปลามากมายราวกับฝูงมดปีนขึ้นเขา ดูเครื่องแต่งกายก็รู้ว่าคือทหารรักษาเมืองแห่งเป่ยโจว ฝั่งใต้แห่งเขาเซวียนซานมีเงาดำสามสี่สายวูบไหวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าเป็นระยะ ท่วงท่าแข็งแรงปราดเปรียว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นมือดีที่มีวรยุทธ์สูงล้ำ ด้านเหนือแห่งเขาเซวียนซานก็คือบรรดาผู้กล้าในยุทธภพที่สวมใส่เครื่องแต่งกายหลากหลายเหล่านั้น ส่วนทางตะวันออกมองไม่เห็นสิ่งใด เงียบสงบเป็นพิเศษ ทว่าไป๋เฟิงซีรู้ว่านั่นต่างหากคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด
“ป้ายขั้วกาฬชิ้นเดียวดึงดูดผู้คนมากมายถึงเพียงนี้…” นางถอนใจแผ่วเบาพลางแหงนศีรษะ ดวงอาทิตย์ลับลงทางปัจฉิมทิศแล้ว แสงอัสดงแดงเรื่อเรืองทาบทาให้ท้องนภาระยิบระยับจับตา เขาเซวียนซานสีครามสลับแดงเข้มก็ย้อมด้วยแสงแวววามบางเบา ช่วงเวลานี้ฟ้าดินงดงามไร้ใดเปรียบ ทว่ากลับแฝงความอาดูรอันไม่อาจละวาง ชวนให้จิตใจหนักอึ้ง
อัสดงวิลาสเหลือคณา เพียงว่าสายัณห์มาพาสิ้นแสง
ลมพัดชายเสื้อ ผมยาวพลิ้วไหวในอากาศ ดวงหน้าไป๋เฟิงซีฉายแววโศกเศร้าจางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง
เยียนอิ๋งโจว เจ้าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่?
นางมองตะวันที่กำลังจะลับฟ้าไปทางปัจฉิมทิศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกรายเท้าลงเขาไป
ขณะเดียวกัน ณ หอจุ้ยเซียนในหร่วนเฉิงกลับครึกครื้นเป็นพิเศษ ผู้คนที่เดิมอวยพรวันเกิดอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหานล้วนย้ายมายังที่แห่งนี้ ร่วมเมามายไปกับเฟิงซีกงจื่อผู้ลือนามไปทั่วหล้า
เจ้าคารวะข้าหนึ่งจอก ข้าคารวะเจ้าหนึ่งป้าน แต่ละคนล้วนเปิดอกดื่มเต็มคราบ อีกทั้งบนโต๊ะยังบริบูรณ์ด้วยอาหารเลิศรสหายาก ทุกคนจึงพากันดื่มกินจนปากมัน
ดื่มจนฟ้ามืดก็เมามาย บ้างฟุบลงบนโต๊ะ บ้างฟุบลงใต้โต๊ะ ไร้ผู้มีสติแจ่มใส
“มาๆๆ…แพะโคเชือดล้มลง ตรงหน้าจงสุขสราญ รื่นเริงเมรัยบาน สามร้อยป้านให้เหือดไป! ยังไม่ถึงสามร้อยป้านเลย ทุกท่านมาดื่มกันต่อ!” เฮยเฟิงซีที่กลางหอเปล่งเสียงขับขาน ทว่าไร้เสียงตอบรับ กลับมีเพียงเสียงกรนที่ดังขึ้นไม่น้อย
“เฮ้อ เหตุใดถึงเมากันหมดเสียเล่า” เขาสะบัดแขนเสื้อหยัดกายขึ้น ดวงหน้าคมคายถูกฤทธิ์สุราย้อมจนแดงก่ำ ทว่าตาทั้งคู่กลับแจ่มชัดเจิดจ้าประหนึ่งดาราในคืนหนาว
จงหลีก้าวเข้ามาในหอ ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา “กงจื่อขอรับ”
เฮยเฟิงซีรับมา เปิดออกกวาดตาหนึ่งรอบ มุมปากคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็มองผู้คนที่เมาจนล้มพับในหอแล้วเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อวีรบุรุษทุกท่านเมามายหมดสิ้นแล้ว เฟิงซีก็ขอลา”
ครั้นก้าวออกจากหอจุ้ยเซียน สายลมเย็นก็พัดมาปะทะใบหน้า เขาแหงนหน้ามองท้องนภา จันทร์อ่อนแสง ดาวบางตา
“ดวงดาวและดวงเดือนในคืนนี้คล้ายกับงามสู้คืนก่อนมิได้” เขาเอ่ยราบเรียบเพียงประโยคเดียว แล้วก็เอามือไพล่หลังเดินจากไป เบื้องหลังติดตามมาด้วยจงหลีและจงหยวน
ทางทิศใต้ของเขาเซวียนซาน ไป๋เฟิงซีโลดแล่นไปท่ามกลางแมกไม้อย่างไร้สุ้มเสียงดุจสายฟ้าสีขาว เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไป
ทันใดนั้นเสียงหอบคล้ายสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บอันเบายิ่งก็ลอดเข้าสู่โสตประสาท ไป๋เฟิงซีชะงักฝีเท้า เอียงหูสดับฟังอย่างถี่ถ้วน ทว่ามีเพียงความเงียบสงัด แสงดาวอ่อนจางส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ ยามลมโชยผ่าน ใบไม้ก็ส่งเสียงซู่ซ่า นอกจากนี้ก็มีเพียงความมืดมิด
ไป๋เฟิงซียืนนิ่ง รอคอยอย่างเงียบเชียบ
ในที่สุดเสียงสูดลมหายใจแผ่วเบาอย่างที่สุดก็ดังขึ้นอีกครา นางโผนกายไปยังต้นเสียงอย่างเร่งร้อน ประกายกระบี่สายหนึ่งวูบไหว พุ่งตรงเข้าหานาง ทว่านางระวังไว้นานแล้ว ภูษาขาวลอยออก พริบตาเดียวก็พัวพันด้ามกระบี่ไว้ จากนั้นปลายจมูกของนางก็ได้กลิ่นคาวโลหิต
“เยียนอิ๋งโจว?” ไป๋เฟิงซีร้องเรียกเบาๆ ภูษาขาวคลายลง ลอยกลับสู่แขนเสื้อ
“จอมยุทธ์หญิงเฟิง?” เสียงแหบพร่าดังขึ้น กระบี่ยาวหวนคืนฝัก
อาศัยแสงดาราอ่อนจาง ด้วยสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ ไป๋เฟิงซีก็เห็นเยียนอิ๋งโจวกำลังคุกเข่าข้างหนึ่งห่างออกไปหนึ่งจั้ง ใบหน้าผุดเหงื่อกาฬเม็ดเท่าเม็ดถั่ว สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงดำ
“อาการบาดเจ็บทรุดลงอีกแล้ว” นางถอนหายใจเบาๆ
นางสืบเท้าเข้าไปหา ล้วงขวดยาออกจากอกเสื้อ ให้เขากินโอสถเม็ดพุทธจิตลงไปสองเม็ด จากนั้นจึงยื่นมือไปยังชายโครงของเขา แล้วก็สัมผัสได้เพียงความชื้นแฉะ มิต้องมองก็รู้ว่าทั้งมือเปียกไปด้วยโลหิตสีดำคล้ำ หัวใจนางกระตุกคราหนึ่ง แล้วก็ไม่คำนึงถึงอันใดให้มากความ ฉีกเสื้อบริเวณชายโครงของเขาออก เทโอสถเม็ดพุทธจิตออกมาอีกเม็ด ขยี้ละเอียดแล้วพอกลงไปบนปากแผล ต่อมาก็โรยด้วยผงตำหนักม่วง ฉีกสายคาดเอวออกมัดบาดแผลไว้อย่างแน่นหนา ทว่าทั่วทั้งร่างเขาไหนเลยจะมีแผลที่ชายโครงเพียงแห่งเดียว
“ถอดเสื้อผ้าออก ข้าจะใส่ยาให้เจ้า” ไป๋เฟิงซีสั่งประโยคหนึ่ง
ครั้งนี้เยียนอิ๋งโจวไม่ขวยเขินอิดออดอีก ปลดเสื้อผ้าออกอย่างให้ความร่วมมือ
“หึๆ…” ไป๋เฟิงซีกระหวัดถึงบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหัวเราะเบาๆ “เดิมทีข้ายังนึกว่าเจ้าจะหนีไปทั้งล่อนจ้อนเปลือยเปล่าเสียอีก ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ายังอุตส่าห์มีเสื้อผ้าสวมใส่ เอามาจากที่ใดกัน”
“สังหารไปคนหนึ่ง แย่งมา” เยียนอิ๋งโจวเอ่ยเสียงเบา เขาสูดอากาศเย็นเฉียบเป็นครั้งคราว เนื่องจากบาดแผลและเสื้อผ้าติดกันอยู่ เมื่อฝืนถอดออก เนื้อหนังย่อมปริแยก เจ็บปวดยากจะทานทน
“สมน้ำหน้า” ไป๋เฟิงซีตำหนิเบาๆ หนึ่งคำ แต่มือกลับผ่อนแรงลง ประจงช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันมิให้กระเทือนถูกแผลใต้ชายโครงซึ่งพันไว้ดีแล้ว “เหตุใดเจ้าจึงไม่รอข้ากลับมา”
เยียนอิ๋งโจวไม่ตอบคำ แค่เหลือบตาขึ้นมองนาง ตาคู่นั้นลึกล้ำดั่งห้วงน้ำ
“ข้าไป๋เฟิงซีคือคนจำพวกกลัวถูกพัวพันให้เดือดร้อนกระนั้นหรือ” นางแค่นเสียงเย็นอย่างแผ่วเบา มือโรยผงตำหนักม่วงเร็วรี่
เยียนอิ๋งโจวยังคงไม่ปริปาก ทั้งสองมิสนทนากันอีก คนหนึ่งตั้งใจใส่ยา คนหนึ่งนิ่งเงียบร่วมมือ
แค่ว่า…ขณะใส่ยาครั้งแรก คนหนึ่งสลบไม่ได้สติ คนหนึ่งหมายช่วยชีวิต ใจจึงไร้สิ่งรบกวน จะนึกสักนิดว่านี่คือการใกล้ชิดสนิทสนมอย่างหนึ่งก็หาไม่ แต่มาบัดนี้ทั้งสองคนต่างมีสติดี ท่ามกลางความมืด ทั้งสองใกล้กันเหลือเกิน ใกล้จนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
คนหนึ่งรู้สึกได้ถึงมือเย็นๆ เนียนนุ่มสองข้างที่เลื่อนไหลอยู่บนกาย กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งเขม็ง หวังเพียงให้ชั่วขณะนี้ผ่านพ้นไปโดยไว แต่ลึกลงข้างในก็คล้ายจะปรารถนาให้การใส่ยานี้ทำไม่เสร็จไม่สิ้นไปตลอดกาล
ใต้มือที่สัมผัสถูกคือกล้ามเนื้ออันแข็งแรง ร่างกายอันกำยำ แม้จะมีบาดแผลมากมายแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอัปลักษณ์น่าพรั่นพรึง กลับชวนให้หัวใจอ่อนยวบ
ใจของทั้งคู่พลันเกิดความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ทั้งสองประจักษ์ชัดเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายคือบุรุษและสตรีผู้แตกต่างจากตนโดยสิ้นเชิง ลมหายใจอุ่นชื้นและคลุมเครือแผ่ขจายไปในความมืด กระตุ้นให้คนทั้งคู่หน้าแดงจนร้อนผ่าว ใจเต้นรัวแรงดั่งลั่นกลอง ความรู้สึกยามนี้เป็นสิ่งที่ชั่วชีวิตของพวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน
หลังจากใส่ยาเสร็จ คนหนึ่งก็สวมเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ คนหนึ่งก็นั่งนิ่งอย่างหายากอยู่ด้านข้าง ต่างคนต่างไม่เอ่ยวาจาแม้สักคำ คล้ายประสงค์จะตริตรองบางสิ่งให้ชัดแจ้งแก่ใจ รู้สึกอย่างเลือนรางว่าในหัวใจมีบางอย่างซึ่งผิดจากสามัญกำลังแผ่ลาม
แม้ห้วงคำนึงจะพร่าเลือน แต่ทั้งสองก็เคยผ่านศึกมานับร้อย จึงพลันรู้ถึงภยันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ พวกเขายื่นมือไปดึงอีกฝ่ายโดยมิต้องนัด แล้วสองมือก็กุมไว้ด้วยกัน
ประกายดาบผืนหนึ่งครอบมายังคนทั้งสอง พวกเขาผละไปข้างหลังเพื่อหลบการโจมตีพร้อมกัน จากนั้นคนหนึ่งภูษาขาวลอยออก คนหนึ่งกระบี่ยาวเสือกแทง เข้ารับมือกับกลุ่มคนชุดดำที่ลงมาจากกลางเวหา
คนชุดดำล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น ไม่เหมือนเหล่าชาวยุทธ์ผู้กล้าที่พบเมื่อกลางวันซึ่งดีเลวปะปนกันไป คนกลุ่มนี้ทั้งสิ้นสิบคน สี่คนในจำนวนนั้นโอบล้อมเยียนอิ๋งโจว ส่วนอีกหกคนเข้าพัวพันไป๋เฟิงซี ดาบยาวในมือเยือกเย็นดั่งหิมะ วิชาดาบเลิศล้ำ รุกรับมีจังหวะ เห็นได้ว่ามาจากสำนักเดียวกัน ยามปกติพากเพียรฝึกฝนจึงร่วมมือเข้าขากันเต็มที่
ไป๋เฟิงซีรับมือหกคนก็มิกินแรง ยังคงมีรุกมีรับ ทว่าเยียนอิ๋งโจวกลับอันตรายติดพันอยู่เนืองๆ วรยุทธ์คนชุดดำเหล่านี้หากสู้กันตัวต่อตัวหาใช่คู่มือของเขาไม่ ทว่าก็ทิ้งกันไม่ห่างนัก บัดนี้เมื่อสี่คนร่วมโจมตี เขาจึงตึงมือยิ่ง นอกจากนั้นก็บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว กำลังวรยุทธ์และกำลังกายผิดจากปกติลิบลับ ด้วยเหตุนี้ไม่ถึงชั่วครู่บนร่างก็มีแผลเพิ่มขึ้นอีกสองแห่ง
ไป๋เฟิงซีเหลือบเห็นก็ขมวดคิ้ว พลันใช้พละกำลังทั้งหมด ภูษาขาวเหินบิน บางคราเป็นเช่นกระบี่แหลมคมเกินต้านทาน บางคราเป็นดั่งแส้ยาวดุดันไร้ไมตรี บางคราเหมือนดาบใหญ่กวาดทหารนับพัน…จู่โจมคนทั้งหกประหนึ่งวายุแข็งกล้าสายฝนหนาแน่น
กระบวนรุกของหกคนนั้นสับสนทันควัน ได้แต่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว ทางไป๋เฟิงซีก็มิให้พวกเขามีโอกาสพักหายใจสักนิด พลิกข้อมือคราหนึ่ง ภูษาขาวก็ดั่งอสรพิษเงินเข้าเกี่ยวกระหวัดสามคนทางซ้าย ทั้งสามกระโดดถอยหนีอันตราย ส่วนนางเหินร่างขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตาที่พวกเขาถอยออก ฝ่ามือซ้ายฟาดไปทางสามคนทางขวา พลานุภาพฝ่ามืออันแข็งกล้าโหมซัดดั่งพายุ สามคนทางขวาตะลีตะลานขวางดาบขึ้นต้าน ทว่าผู้ใดจะคาดว่านางกลับพลิกจากฟาดมาเป็นสับ ทะลวงผ่านช่องว่างระหว่างดาบของทั้งสามอย่างรวดเร็วปานอสนีบาตฟาด แล้วทั้งสามก็ถูกสับไหล่ขวา ได้ยินเพียงเสียงผัวะสามครั้ง พร้อมกับดาบในมือหล่นลงพื้นเพราะทนความเจ็บปวดอย่างสาหัสไม่ไหว
ไป๋เฟิงซีลงมือสัมฤทธิผลในคำรบเดียวก็หาได้รั้งรอไม่ ร่างที่ลอยอยู่กลางเวหาม้วนกลับ โผนเข้าใส่สามคนทางซ้าย ทั้งสามเห็นดังนั้นก็กวัดแกว่งดาบเล่มเขื่อง ประกายดาบจ้าตาถักทอเป็นกำแพงดาบ ทว่าภูษาขาวของไป๋เฟิงซีโบกสะบัดเป็นสายรุ้งขาวตรงเข้าทะลวงกำแพงดาบ เสียงเคร้งดังสามครา ดาบเหล็กกล้าเล่มโตก็หักกลางอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสามยังมิทันตั้งตัว นางก็มาถึงตรงหน้าแล้ว มือซ้ายสะบัดออก นิ้วเรียวดุจกล้วยไม้โบกอย่างชดช้อย แล้วอกของทั้งสามก็ด้านชา ล้วนแต่ล้มลงกับพื้น
ด้านไป๋เฟิงซีได้ชัย ทว่าเยียนอิ๋งโจวอีกทางกลับคับขันหนัก สี่คนนั้นเห็นท่ากระบี่ของเขายิ่งมายิ่งอ่อนแรงจึงลงมืออย่างดุดันขึ้นเป็นทบทวี ดาบเล่มโตทั้งสี่กวัดแกว่งออกเป็นตาข่ายดาบผืนหนึ่งครอบเข้าใส่เขา ส่งให้ไร้หนทางหลบ พริบตาเดียวแผ่นหลังของเขาก็โดนฟันอีกหนึ่งดาบ ห่อผ้าที่อยู่บนหลังถูกฟันขาดร่วงลงสู่พื้น กล่องซึ่งอยู่ในห่อกลิ้งออกมา ทำให้วัตถุสีดำมะเมื่อมหล่นออกจากกล่อง
ทันทีที่ทั้งสี่เห็นวัตถุซึ่งหล่นออกมาจากกล่องก็ผละทิ้งเยียนอิ๋งโจวโดยมิต้องนัดแนะ พุ่งเข้าหาวัตถุนั้นอย่างพร้อมเพรียง เยียนอิ๋งโจวร้อนรนใจอย่างใหญ่หลวง ตวาดเสียงเกรี้ยว เหินร่างตามไป
ไป๋เฟิงซีเพิ่งรุกหกคนนั้นจนล่าถอยก็ได้ยินเสียงตวาดของเยียนอิ๋งโจว จึงผินหน้าไปมอง นางสะบัดมือ ภูษาขาวก็ลอยออกไปม้วนวัตถุนั้นขึ้น ครั้นมือซ้ายแบออก วัตถุเย็นเยียบก็ร่วงลงสู่มือนาง
เยียนอิ๋งโจวเห็นนางรับไว้ก็ตะโกนฉับพลันว่า “อย่า!”
ไป๋เฟิงซีเห็นอาการเขาเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาพะวักพะวนถึงของชิ้นนี้อย่างยิ่ง จึงพลิ้วกายไปยังเบื้องหน้าเขาแล้วปลอบโยนว่า “วางใจเถิด ไม่ทำของเจ้าหายหรอก”
เยียนอิ๋งโจวเร่งเก็บเศษผ้าที่เคยเป็นห่อสัมภาระบนพื้นขึ้น คว้ามือไป๋เฟิงซีไว้แล้วตวาดอย่างแผ่วเบาว่า “ปล่อยมือ!”
นางเห็นเขาถือสาถึงเพียงนี้ ในใจก็ผิดหวังอยู่พอควร เมื่อคลายมือออก วัตถุนั้นก็ร่วงลงสู่ผ้า นางเอ่ยปากเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ชิงของของเจ้าหรอก” ระหว่างเอ่ยคำหางตาก็เห็นคนชุดดำเหล่านั้นตีวงล้อมเข้ามาอีกครา มือขวาจึงสะบัดขวับ ภูษาขาวอันแฝงกำลังถึงสิบส่วนจู่โจมเข้าใส่ทั้งสี่ คนเหล่านั้นหลบไม่ทันจึงถูกภูษาขาวกวาดล้มกันถ้วนหน้า
เยียนอิ๋งโจวคว้าข้อมือซ้ายของนางไว้ นิ้วมือเคลื่อนไปสกัดจุดบนข้อมือซ้ายของนาง จากนั้นก็กล่าวกับนางด้วยความร้อนรน “เจ้ารีบกลืนโอสถลงไปสักสามสี่เม็ด!”
ไป๋เฟิงซีถูกสีหน้าลนลานของเขาทำให้อึ้งไป พอหลุบตาลงมองถึงพบว่าฝ่ามือซ้ายของตนกลายเป็นสีม่วงเสียแล้ว ซ้ำร้ายสีม่วงนั้นยังกำลังแผ่ลุกลามขึ้นไปยังแขน แม้เยียนอิ๋งโจวจะสกัดจุดไว้แล้ว ทว่าก็ได้แต่เพียงประวิงเวลาเล็กน้อย นางรู้โดยทันทีว่าวัตถุนั้นฉาบพิษร้ายแรงเอาไว้ และเมื่อนางสัมผัสเข้า พิษก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างแล้ว จึงรีบล้วงโอสถเม็ดพุทธจิตออกจากอกเสื้อ กลืนลงท้องต่อกันสองเม็ด
ชั่วอึดใจนี้ เหล่าคนชุดดำซึ่งนับว่าได้หายใจหายคอแล้วก็เข้าโอบล้อมเข้ามาอีกคำรบ
ทั้งสองสบสายตากันหนึ่งครา จากนั้นก็เหินร่างถอยไปด้านหลัง หนีเข้าสู่ป่าทึบพร้อมกัน ยามนี้คนหนึ่งบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ คนหนึ่งถูกพิษร้ายแรง มิอาจโรมรันกับสิบคนนั้นได้อีก และนอกจากทั้งสิบแล้วจะมีตามมาอีกเท่าใดก็สุดรู้!
เยียนอิ๋งโจวลากไป๋เฟิงซีวิ่งตะบึง เริ่มแรกนางยังสามารถตามเขาทัน ทว่าไม่นานนักก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั่วร่างราวกับถูกสูบออกไปทีละน้อยๆ ร่างกายยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแรง ศีรษะยิ่งมาก็ยิ่งหนัก หน้าอกเสมือนถูกบางสิ่งบีบรัด หายใจติดขัด ฝีเท้าจึงเชื่องช้าลง
ส่วนเยียนอิ๋งโจวบาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก แรงฮึกเหิมและกำลังกายหมดสิ้นไปนานแล้ว ประกอบกับโหมวิ่ง ชั่วครู่เดียวหัวสมองก็อ่อนล้าเรี่ยวแรงเหือดหาย เขาโซเซ แล้วทั้งสองก็ล้มลงพร้อมกัน
“เจ้าไปเถิด” ไป๋เฟิงซีกล่าวปนหอบ น้ำเสียงอ่อนแรงสุดทน ดวงตาเริ่มพร่าเลือน นางอดเย้ยหยันตัวเองมิได้ ยามปกตินางจะแย้มยิ้มสังหารผู้คน กลับไม่นึกไม่ฝันว่าจะถึงกับมีวันเวลาที่อับจนหนทาง ต้องนั่งรอความตายอย่างวันนี้เช่นกัน
เยียนอิ๋งโจวมองนางแวบหนึ่ง สายตานั้นลึกซึ้งอย่างยิ่ง ราวกับบางสิ่งถูกทิ่มแทงให้เจ็บปวด ส่งผลให้นางคืนสติได้สองสามส่วน ไป๋เฟิงซีสะบัดศีรษะกะพริบตา ต่อมาจึงค้นพบว่าใบหน้าอันมีเหงื่อกาฬไหลชุ่มโชกนั้นหล่อเหลาคมคายนัก ซ้ำสีหน้าก็ยังมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น
เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้น อุ้มนางไว้อย่างยากลำบากแล้ววิ่งตะบึงไปข้างหน้าต่อ ทว่าก็ไปได้อย่างเชื่องช้าเต็มที ส่วนทางด้านหลังก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนชุดดำไล่ตามมา
“คนโง่ รอดได้สักคนถึงอย่างไรก็ดีกว่า” ไป๋เฟิงซีพึมพำตำหนิ แต่กลับรู้ว่าเยียนอิ๋งโจวหมายใจจะร่วมเป็นร่วมตายแน่แล้ว บุรุษเยี่ยงนี้…นางปลงอนิจจังมิทันจบก็พลันรู้สึกว่าร่างของเยียนอิ๋งโจวชะงัก ฝีเท้าหยุดลง
นางเอียงศีรษะมอง ที่แท้เบื้องหน้าไร้หนทางแล้ว พวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเนินเขาอันสูงชัน
“เราเดิมพันกันสักตั้ง หากชนะก็รอดชีวิต หากแพ้ก็ตายเสียด้วยกัน เจ้ายินดีหรือไม่” เยียนอิ๋งโจวก้มหน้าถาม แขนที่อุ้มนางไว้กระชับแน่น
“เอาสิ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยกล่าวอย่างอ่อนเปลี้ย จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ตายทั้งทีมีท่านขุนพลวายุกล้าร่วมฝังไปด้วยกัน อันที่จริงก็นับว่าคุ้มค่า”
เยียนอิ๋งโจวมองนาง ใกล้กันถึงขนาดที่ลมหายใจรินรดใบหน้า ริมฝีปากได้รูปห่างเพียงกระเบียดเดียว พริบตานั้นไป๋เฟิงซีนึกสงสัยว่าบุรุษผู้เป็นดั่งก้อนศิลาผู้นี้จะจุมพิตข้าใช่หรือไม่
ทว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดวงตาของเยียนอิ๋งโจวดำขลับทว่าเจิดจ้าเป็นพิเศษ เขาจ้องนางโดยไม่วางตา ต่อมาเมื่อเสียงฝีเท้าที่ด้านหลังกระชั้นชิดเข้ามา เขาก็กระซิบเสียงแผ่วเบาเหมือนถอนใจว่า “ได้ตายร่วมกับไป๋เฟิงซี ข้าเยียนอิ๋งโจวแม้ตายก็มิเสียดาย!”
กล่าวจบเขาก็กอดนางแน่นแล้วกลิ้งลงเนินเขาไป ระหว่างนั้นไป๋เฟิงซีสัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนและความปวดร้าวอันเกิดจากร่างกายกระแทกพื้น ทว่าไม่รุนแรง เพราะทั้งร่างของนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนถูกเยียนอิ๋งโจวรวบป้องกันไว้ในอ้อมอก แรงกระแทกและความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกเขาสลายไปหนึ่งชั้น ที่เหลือมาถึงนางก็มิสาหัสเท่าใดแล้ว หากกลับทะลวงเข้าสู่ส่วนลึกในหัวใจของนางแทน
นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษผู้หนึ่งปกป้องนาง…
ชื่อเสียงของนางเลื่องลือตั้งแต่เยาว์วัย นับแต่ออกสู่ยุทธภพ เว้นจากเฮยเฟิงซีแล้วก็ไร้ผู้ต่อกร แต่ไรมามิจำเป็นต้องให้ใครปกป้อง และแต่ไรมาก็หามีผู้ใดคิดปกป้องไป๋เฟิงซีผู้มีวรยุทธ์เลิศล้ำไม่ แต่บัดนี้พฤติกรรมของเยียนอิ๋งโจวเกี่ยวถูกความรู้สึกสายหนึ่งในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้หัวใจของนางหวั่นไหวอย่างไร้สุ้มเสียงโดยมิทราบสาเหตุ
นางนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมอกเขา สัมผัสถึงแผ่นอกกว้างของบุรุษ ซึมซาบความอบอุ่นที่ได้รับการปกป้อง จากนั้นประสาทรับรู้ทั้งหมดก็ละจากนางไปทีละน้อย…ทีละน้อย…
ใกล้ตายแล้วกระนั้นหรือ ความตายให้ความรู้สึกเช่นนี้เอง แท้จริงแล้วก็หาได้น่ากลัวไม่…
เขาเซวียนซานท่ามกลางราตรีดำมืดแลดูเงียบสงัดถึงสิบส่วน ทว่าเมื่อเลิกความวิเวกอันมืดมนชั้นนั้นขึ้น กลางป่ารกชัฏก็มีเงาร่างสีดำหลายสายวูบผ่านเป็นระยะ แสงไฟและประกายดาบหลายสายวาววาม คละเคล้าด้วยเสียงโหยหวนซึ่งดังขึ้นกะทันหัน บางคราเป็นเสียงครางอย่างอนาถสองสามที
ณ เชิงเขาเซวียนซาน ในคืนเดียวกลับมีกระโจมหลังน้อยอันทำจากผ้าเพิ่มมาหนึ่งหลัง ยามนี้มีคนในกระโจมสามคน คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็คือเฟิงกงจื่อผู้หล่อเหลางามสง่าเป็นที่หนึ่งนั่นเอง ข้างกายมีจงหลีและจงหยวนยืนคอยปรนนิบัติ
ครู่หนึ่งเขาก็แหงนหน้ามองไปยังท้องนภายามราตรีที่นอกกระโจม ตอนนี้เป็นยามที่ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางเวหาพอดิบพอดี “จงหลี ได้เวลาแล้ว” เขาสั่งเสียงเรียบ
“ขอรับ กงจื่อ” จงหลีก้าวออกนอกกระโจม โบกมือหนึ่งครา วัตถุชิ้นหนึ่งก็ลอยขึ้น เปล่งแสงเจิดจ้ากลางท้องฟ้า ชั่วพริบตาก็ดับลง
เพียงอึดใจเดียวกลางท้องฟ้าก็เกิดแสงจ้าขึ้นสี่แห่ง ล้วนแต่สว่างวูบเดียวแล้วดับไป ทว่าก็เพียงพอให้ผู้มีใจมองเห็นได้ชัดถนัดตา
เฮยเฟิงซีรอให้แสงเจิดจ้าสี่แห่งนั้นมอดดับลงแล้วถึงยกถ้วยชาขึ้น เขาแย้มฝาถ้วยออก ก้มศีรษะดมกลิ่นหอมของชา จิบน้อยๆ หนึ่งคำ จากนั้นก็พยักหน้า “ใบชาไม่มากไม่น้อย เวลาที่ชงก็เหมาะเจาะพอดี หอมจางบางเบา รสชาติขมแล้วค่อยหวาน ไม่เข้มไม่ฝาด เช่นนี้จึงเป็นชาดี”
“กงจื่อ แม่นางซียังอยู่บนเขาขอรับ” จงหยวนพลันเอ่ยขึ้น
“ด้วยฝีมือของสตรีผู้นั้น ย่อมสามารถลงเขาได้อย่างปลอดภัย” เขามิอนาทรร้อนใจ เมื่อมือยกขึ้น จงหยวนก็ปรี่เข้ามารับถ้วยชาไปจากมือ “หากนางไม่อาจทะลวงออกมา…เช่นนั้นก็มิคู่ควรเป็นไป๋เฟิงซีผู้ถูกขานนามคู่กับข้า!” เขาแหงนหน้ามองไปยังหมู่ดาราพร่างพรายกลางนภา บางคราจะมีสามสี่ดวงที่เจิดจ้าเป็นพิเศษ
ยามนี้ ทางอุดรทิศแห่งเขาเซวียนซาน คบเพลิงหลายอันถูกจุดขึ้น
ยอดฝีมือจากทั่วทุกทิศในยุทธภพเสาะหามาแล้วเป็นเวลาหนึ่งวันกับอีกครึ่งคืน ยามนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว แต่ละคนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม สีหน้าอ่อนล้า
“มารดามันเถอะ เจ้าเยียนอิ๋งโจวผู้นี้ซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่” มีผู้บริภาษขึ้นอย่างหงุดหงิดเดือดดาล
“นั่นซี ข้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม ล้วนแต่เป็นเพราะเยียนอิ๋งโจวสมควรตายผู้นี้!” มีผู้ผสมโรง
“ยังมีไป๋เฟิงซีนั่นอีกคน! หากมิใช่นาง ป้ายขั้วกาฬคงอยู่ในมือพวกเรานานแล้ว!” มีผู้พาลโกรธถึงผู้อื่น
“ใช่แล้ว! นางหญิงน่ารังเกียจ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน! หากวันใดตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ข้าจะต้องจับนางมาแล่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นจึงจะคลายความแค้นในใจลงได้!” มีผู้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“จอมยุทธ์เหอ ข้าว่าวันนี้พวกเราลงเขากันก่อนเถิด ฟ้ามืดเช่นนี้แล้ว หาคนหาไม่เจอหรอก มิสู้กลับไปพักเอาแรง รอจนกำลังวังชาคืนมาแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” มีผู้เสนอ
“กล่าวได้ถูกต้อง” มีผู้เห็นพ้อง “หลังจากลงเขา เราก็ส่งคนมาเฝ้าตามทางออกแต่ละแห่ง ขอเพียงเยียนอิ๋งโจวลงเขา เราก็ย่อมจับตัวมันได้”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘จอมยุทธ์เหอ’ ก็คือเหอซวินนั่นเอง ‘สำนักคุ้มภัยเทียนซวิน (คุณธรรมฟ้า)’ ของสกุลเขามีสาขาอยู่ในแคว้นทั้งหก อิทธิพลแข็งกล้า กอปรกับมีดวงมิตรบริวารไม่เลว จึงกลายเป็นหัวหอกของคนกลุ่มนี้อย่างกลายๆ
เหอซวินมองอาการอ่อนล้าของคนทั้งมวลแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดี วันนี้พวกเราลงเขากันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เชื่อว่าเจ้าเยียนอิ๋งโจวนั่นคงหนีไม่พ้น”
ครั้นแล้วคนทั้งกลุ่มก็บ่ายหน้าลงเขา
ลงเขาย่อมเร็วกว่าขึ้นเขา อีกทั้งคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มือเท้าปราดเปรียว ประกอบกับแรงดึงดูดจากสุราเลิศรสอาหารโอชะที่ด้านล่าง ฝีเท้าของแต่ละคนจึงดั่งเหาะเหิน ลงมายังเชิงเขาในเวลาอันรวดเร็ว เบื้องหน้าสามารถแลเห็นแสงไฟได้แล้ว อีกไม่นานก็จะคืนสู่โลกปกติ
ทว่าเดินแล้วเดินเล่ากลับพบว่าอย่างไรก็ออกไปไม่ได้เสียที ไปๆ มาๆ อยู่หลายเที่ยวก็วนกลับมาที่เดิม และแสงไฟเบื้องหน้าก็ถูกคั่นด้วยระยะทางช่วงหนึ่งอยู่ร่ำไป แลดูใกล้เพียงนั้น ทว่ากลับห่างเกินไปถึง
“วิชามารแล้ว! ไฉนพวกเราถึงวนกลับมาที่เดิมอยู่เรื่อย” มีผู้โวยวาย
“คงมิใช่ผีบังตากระมัง” มีผู้ร้องอย่างตื่นกลัว
เมื่อวาจานี้หลุดออก ทุกคนก็พากันรู้สึกว่าทั้งสี่ทิศรอบด้านดำทะมึนชวนประหวั่น ลมภูเขาพัดมาหนึ่งหอบ เป่าให้คบเพลิงในมือผู้คนมอดดับลง แล้วทั้งสี่ด้านก็จมสู่ความมืดมิด
“แม่จ๋า! ผีหลอก!” ทันใดนั้นมีผู้เอะอะด้วยความตื่นกลัว
“สวรรค์! มีผี! ช่วยด้วย!”
“อย่ามาดึงข้านะ! ไสหัวไป!”
“ช่วยชีวิตด้วย! ช่วยด้วย…”
“ไปให้พ้น! เจ้าพวกผีร้าย! ข้าจะฟันเจ้าให้ม้วย!”
“อ้า…ผีสังหารคนแล้ว!”
ในช่วงกะทันหัน คนที่ปกติเรียกตนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าเหล่านี้แต่ละคนหากมิใช่กุมศีรษะหลบหัวซุกหัวซุน ก็เหวี่ยงดาบห้ำหั่นเงาผีพวกนั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ท่ามกลางความมืด มีเพียงเดือนดาวอ่อนแสงซึ่งแขวนอยู่บนฟ้าเท่านั้นที่เห็นว่าพวกเขากำลังประหัตประหารกันเอง หยาดฝนโลหิตแดงฉานย้อมผืนดินที่อยู่ใต้เท้าผืนนั้นจนสิ้น องคาพยพขาดด้วนและซากสรรพางค์กองรวมกัน…
ในที่สุดเมื่อเวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนาน เสียงร้องด้วยความพรั่นพรึงและเสียงตะโกนเข่นฆ่าอันโหดเหี้ยมก็ยุติลง เชิงเขาทางทิศเหนือคืนสู่ความสงัด
ห่างไปหนึ่งลี้ มีแสงไฟสองสามดวงกะพริบแสงอ่อนจางกลางราตรีมืดมิด ประหนึ่งรอคอยผู้เร่งเดินทางฝ่ารัตติกาล
ไป๋เฟิงซีตื่นขึ้นในความเจ็บปวด ลืมตาก็พบว่าตนอยู่ในถ้ำกลางภูเขาแห่งหนึ่ง กองไฟกองน้อยส่องแสงอ่อนๆ
ความเจ็บปวดส่งผ่านมาทางมือ เมื่อก้มมองก็เห็นว่ามือซ้ายถูกกรีดเป็นรอย มีมือซ้ายเยียนอิ๋งโจวทาบทับไว้แน่น กำลังใช้พลังภายในดูดพิษของนางออก โลหิตที่หยดลงพื้นเป็นสีม่วง
“อย่า…” นางส่งเสียง จึงพบว่าเสียงของตนฟังดูอ่อนเปลี้ยเหลือทน แผ่วเบายิ่งกว่าแมวร้อง นางคิดจะยับยั้งเขาแต่กลับมิอาจขยับเขยื้อนได้ นั่นเป็นพิษชนิดใดกันนะ ร้ายกาจถึงเพียงนี้! นางแตกตื่นอยู่ในใจ
เวลาล่วงไปเป็นนานกว่าเยียนอิ๋งโจวจะหยุดดูดพิษ เขาล้วงโอสถเม็ดพุทธจิตออกจากเสื้อนาง เทเม็ดหนึ่งมาขยี้จนละเอียดแล้วพอกลงบนรอยกรีด จากนั้นถึงฉีกแขนเสื้อท่อนหนึ่งมาพันอย่างแน่นหนา
ขณะที่เขาทำทั้งหมดนี้ ด้วยแสงสว่างอันน้อยนิด ไป๋เฟิงซีก็เห็นมือของเขาและมือของตนได้ชัดเจน สีม่วงบนมือนางไม่ค่อยจางลง ทว่าเขา…แขนซ้ายทั้งท่อนกลายเป็นสีม่วงจนหมดสิ้น
พริบตานั้นความหวาดหวั่นบางอย่างก็จู่โจมเข้าเกาะกุมหัวใจ
นางนึกได้ว่าตนกลืนโอสถเม็ดพุทธจิตไปสองเม็ดแล้วชัดๆ เหตุใดตอนนี้พิษในร่างถึงยังไม่หมดไป ความคิดน่ากลัวอย่างหนึ่งวาบขึ้นในสมอง ก่อกวนให้นางสั่นสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
“นี่คือพิษอันใด” นางถามเสียงแหบพร่า
“หญ้าเหว่ยมั่น” เยียนอิ๋งโจวตอบอย่างสงบ
หญ้าเหว่ยมั่น…เจ้าแห่งพิษในใต้หล้า!
“เจ้า…เจ้า…” นางมองใบหน้าเยือกเย็นนั้น อยากจะฟาดเขาสักฉาดให้ได้สติ ทว่าก็ถูกความปวดใจขัดขวางไว้ ครึ่งค่อนวันกว่านางจะส่งเสียงแหบแห้งว่า “สี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณแห่งจี้โจวล้วนแต่โง่เง่าเยี่ยงเดียวกับเจ้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าก็ตะขิดตะขวงแล้วว่า ‘กองทัพชิงฟ้า’ แห่งจี้โจวจะเป็นเพียงชื่อเสียงกลวงเปล่า อาศัยคนเฉกเช่นเจ้า ไหนเลยจะชิงเอาใต้หล้ามาได้!”
“ข้าเยียนอิ๋งโจวไม่เคยติดค้างน้ำใจผู้อื่น เจ้าเคยดูดพิษให้ข้า บัดนี้ข้าดูดพิษให้เจ้า วันหน้ามิมีอันใดติดค้างกัน ยิ่งกว่านั้นการที่เจ้าถูกพิษก็เพราะมีข้าเป็นต้นเหตุ” เยียนอิ๋งโจวยังคงสีหน้าสงบนิ่ง
เขาก้มมองมือนางที่อยู่ในมือของเขา มือข้างนั้นเรียวยาวบอบบาง เนียนนุ่มดั่งหยก อมสีม่วงจางๆ งดงามอย่างวิเศษ มือคู่นี้เองที่ปล่อยภูษาขาวตามใจนึก คร่าชีวิตและช่วยชีวิตได้ในพริบตา ที่จริงมือเช่นนี้ คนเช่นนี้ ควรจะยืนอย่างชดช้อยอยู่ใต้หน้าต่างคลุมม่านเขียวโปร่งบาง คีบดอกกล้วยไม้ ก้มศีรษะดอมดม ดวงตาแฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ
“โลกนี้มีคนเช่นเจ้าได้อย่างไรกันนะ…รู้ทั้งรู้ว่าเป็นพิษร้ายไร้ทางแก้ยังจะดูดเข้าร่างตน? เจ้าอยากตายถึงเพียงนี้เชียวรึ” ไป๋เฟิงซีถอนใจอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าอึดใจต่อมานางก็พลันหวนนึกถึงบางเรื่อง ทั้งร่างดุจดำดิ่งลงสู่ถ้ำน้ำแข็งในทันใด
ไม่มีโอสถเม็ดพุทธจิตเหลือแล้ว!
โอสถเม็ดพุทธจิตขวดหนึ่งมีแค่หกเม็ดเท่านั้น แต่เม็ดสุดท้ายเพิ่งพอกลงบนมือของนาง ส่วนเขา…โอกาสยืดชีวิตมิเหลือเสียแล้ว!
“ถึงจะกล่าวกันว่าพิษนี้ไร้ทางแก้ แต่เจ้าต้องฝืนต้านให้ได้เท่าที่จะไหว” เยียนอิ๋งโจวปล่อยมือ เงยหน้ามองนางอย่างเงียบงัน “ไป๋เฟิงซีไม่ควรเป็นผู้ที่ตายอย่างง่ายดายขนาดนี้”
“เจ้าเล่า? เจ้าไม่เห็นค่าชีวิตตนถึงเพียงนี้เชียว?” นางจ้องคาดคั้นเขา ภายใต้แสงไฟใบหน้าคมคายนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับแฝงไว้ด้วยบางสิ่งซึ่งถาโถมรุนแรง
เยียนอิ๋งโจวลุกขึ้นดับกองไฟอย่างกะทันหัน จากนั้นถึงเดินไปยังข้างถ้ำ ตรวจตราครู่หนึ่งแล้วย้อนกลับมาหาไป๋เฟิงซี เขาเคลื่อนย้ายนางไปซ่อนไว้ยังส่วนลึกของถ้ำอย่างเรียบร้อย
“คนชุดดำพวกนั้นไล่มาถึงแล้วหรือ เจ้า…” นางจะถาม ทว่าถูกเขาสกัดจุดใบ้ในทันใด
ฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านไล้ผ่านแก้มของนาง คล้ายกับไม่กล้าสัมผัสนาน เพียงไล้แผ่วเบาประหนึ่งแมลงปอแตะผ่านผิวน้ำแล้วหดกลับไปอย่างรวดเร็ว เขากุมด้ามกระบี่ที่เอวแน่น หมุนกายบ่ายหน้าออกจากถ้ำในฉับพลัน
อย่าไป! อย่าไป!
ไป๋เฟิงซีกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งในใจ มองแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไปด้วยความร้อนรน
อย่าไปนะ หากไป…ก็มีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น!
เยียนอิ๋งโจวชะงักฝีเท้าราวกับได้ยินเสียงร่ำร้องของนาง เขาผินศีรษะกลับมามอง นิ่งอั้นไปครู่หนึ่ง เหตุผลและอารมณ์ขัดแย้งกันในสมอง ท้ายที่สุดก็เคลื่อนเท้ากลับมาข้างกายนาง
ท่ามกลางถ้ำอันมืดมิดยังคงสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนในสายตาเขา และแล้วเขาก็ก้มศีรษะลง กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูนางว่า “ข้าจะกลับมา! ชาติภพหน้าข้าจะกลับมาหาเจ้า! ชาติภพหน้าข้าจะไม่อายุสั้นแน่นอน! เฟิงซี จดจำข้าเอาไว้!”
ริมฝีปากเขาสัมผัสอย่างแผ่วเบา ไล้ผ่านนุ่มนวลดุจขนนกแล้วพลันบดลงอย่างหนักหน่วง เขากัดรุนแรงหนึ่งครา ไป๋เฟิงซีรู้สึกเพียงว่าริมฝีปากปวดแปลบ จากนั้นปากก็ได้ลิ้มรสคาวสายหนึ่ง ของเหลวร้อนผ่าวหยดลงบนใบหน้า ไหลผ่านไปสู่ริมฝีปาก ท่ามกลางรสคาวผสมด้วยความเค็มอันขมขื่น สิ่งสุดท้ายที่เข้าสู่สายตาก็คือดวงตาคู่ที่แม้จะอยู่ในความมืดก็ยังเจิดจ้าเหมือนดวงดาว ในตาคู่นั้นมีแสงใสกระจ่างและแววอาวรณ์ไม่สิ้นสุด
หยาดน้ำตาหลั่งเป็นสาย
จะเป็นของนางหรือของเขา? ก็ไม่อาจรู้ได้
รู้เพียงแต่ว่าเงาร่างสีดำนั้นก้าวออกนอกถ้ำไปในที่สุด รู้เพียงว่าเบื้องนอกมีเสียงดาบและกระบี่ รู้เพียงแต่ว่ากาลข้างหน้าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว…