ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 4 ฝันสลายในห้วงเลอะเลือน
ดวงตะวันสีแดงลอยขึ้นทางบูรพาทิศ ปักษากลางนภาก็ขับขาน บุปผชาติคลี่กลีบคายเกสร วันใหม่เริ่มขึ้นอีกครา
เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุก็คือผ้าสีขาวราวหิมะประดับด้วยลายกล้วยไม้ป่าสามสี่ดอก งามผุดผาด
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทักทายราบเรียบดังขึ้น
ครั้นหันศีรษะมองไปก็พบว่าบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างมีร่างเฮยเฟิงซีเอนพิงอยู่ เขากำลังลิ้มรสชาหอมกรุ่น ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มน้อยๆ ดูสดชื่นเบิกบาน
พอยกมือซ้ายขึ้นก็เห็นว่าสีม่วงชวนพรั่นพรึงนั้นหายไปแล้ว พิษสลายสิ้น นางได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกหน…ส่วนเขาเล่า?
“เยียนอิ๋งโจวเล่า” ทันทีที่เอ่ยปากริมฝีปากก็เจ็บแปลบขึ้นเป็นระลอก
“ตายแล้ว” เสียงเขาราบเรียบไร้ความรู้สึก
นางหลับตาลง หัวใจปวดร้าว เขาเอาชีวิตของตนแลกกับชีวิตของนางจนได้!
“ป้ายขั้วกาฬเล่า”
“ไม่มี” ยังคงเป็นคำตอบอันราบเรียบ
เช่นนั้นกลุ่มคนชุดดำคงชิงไปแล้ว! คนเหล่านั้น…ดูจากกระบวนท่าวิชาดาบต้องเป็นคนของพรรคต้วนหุน (คร่าวิญญาณ) เป็นแน่แท้!
“เจ้าไปถูกพิษได้อย่างไร ช่างเหนือคาดของข้านัก” น้ำเสียงเจือแววล้อเลียนอย่างยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ทั้งคล้ายกับซ่อนเร้นความโล่งใจบางประการไว้ด้วย
“ป้ายขั้วกาฬมีพิษ เผลอไปแตะเข้า” นางตอบอย่างอ่อนล้า
“ถ้าเจ้ายอมส่งสารถึงข้า บางทีข้าอาจจะช่วยเยียนอิ๋งโจวได้” เฮยเฟิงซีหยัดกายขึ้น ย่างเท้ามาถึงข้างเตียง โน้มร่างสังเกตสังกาสีหน้าของนาง
“ส่งสารถึงเจ้า?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วยิ้มอย่างเย็นชา ผู้ใดจะรู้ว่ามุมปากจะขยับมากเกินไป ทำให้เสียวแปลบขึ้นอีกคำรบ นางทาบมือลงบนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ตรงนั้นมีรอยแผลเล็กๆ อยู่
เฮยเฟิงซีมองตามการเคลื่อนไหวของนาง เห็นบาดแผลบนริมฝีปาก รอยยิ้มคงเดิม ทว่าในดวงตามีความอึมครึมเจืออยู่
“ส่งสารถึงเจ้า ให้เจ้าเร่งตามมาถึงก่อนหนึ่งก้าว ป้ายขั้วกาฬก็เป็นของเจ้าแล้ว มิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีจ้องเขาตรงๆ แววตาแฝงความถากถาง “น่าเสียดาย ข้าทำร้ายให้เจ้าพลาดโอกาสที่งดงามครั้งนี้แล้ว”
“เจ้า!” เฮยเฟิงซีเสียงขรึม แต่เพียงชั่วพริบตาก็ยิ้มผ่อนคลายอีกครั้ง “อย่างน้อยเขาก็จะไม่ตาย กับคนอย่างเขา เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่ลงมือ”
“เจ้าไม่สังหารเขา แต่หากเสียป้ายขั้วกาฬไป เขาก็ไม่รอดอยู่ดี คนเยี่ยงนั้นย่อมต้องป้ายอยู่คนอยู่ ป้ายหายคนม้วย” นางเห็นกล้วยไม้ป่าสามสี่ดอกที่เหนือกระโจม ชั่วขณะนั้นสติก็เลอะเลือน ถึงกับเห็นเป็นเงาหลังสีดำอันมุ่งมั่นไร้เสียดายที่ก้าวไปยังนอกถ้ำ
“ป้ายอยู่คนอยู่ ป้ายหายคนม้วย? หึ ในใจเจ้าเขาถึงกับเป็นวีรบุรุษผู้ศีรษะค้ำฟ้าเท้าเหยียบดิน” เฮยเฟิงซีนั่งลงข้างเตียง มองสีหน้านาง ใบหน้าประดับด้วยยิ้มบางๆ สุขุมคมคายงามสง่าดังเดิม แค่ว่าวาจาที่เอ่ยจากปากมีแววเย็นยะเยือกและโลหิตชุ่มโชกเท่านั้น “แต่วีรบุรุษผู้นี้ของเจ้าก็เพียงกระนั้นๆ แค่คนพรรคต้วนหุนสิบคนก็รับมือไม่อยู่ ทิ้งชีวิตลงสู่น้ำพุเหลือง”
ขณะเอ่ยคำสายตาไม่ละจากไป๋เฟิงซีแม้แต่น้อย ราวกับคิดจะค้นหาบางสิ่ง ทว่านางจ้องมองเพดานกระโจม สีหน้าไร้อารมณ์
“จุ๊ๆ เจ้าไม่รู้สินะ วีรบุรุษผู้นั้นของเจ้ารับดาบไปทั้งสิ้นสามสิบสองแผล บาดแผลที่ทำให้ถึงชีวิตก็คือสามแผลบนหน้าอก แต่เขาก็ใช้ได้ หาส่งเสียงร้องสักคำไม่ ก่อนตายยังลากคนพรรคต้วนหุนลงหลุมไปด้วยอีกเจ็ดคน แม้แต่ข้าก็ยังนับถือในความห้าวหาญไร้เกรงกลัวของเขา เพียงแต่วรยุทธ์อ่อนด้อยไปเล็กน้อย” ว่าแล้วยังยกนิ้วสองนิ้วขึ้นแสดงระยะห่างสั้นๆ อีกด้วย
ในที่สุดสายตาของไป๋เฟิงซีก็ละจากกระโจมผ้ามาหยุดที่ใบหน้าเขา กล่าวอย่างทั้งเยือกเย็นทั้งราบเรียบว่า “จิ้งจอกดำ เจ้ากำลังละอายที่กล้าหาญสู้เขามิได้อย่างนั้นหรือ”
“ฮ่าๆๆ…” เฮยเฟิงซีหัวเราะลั่นราวกับได้ฟังเรื่องเล่าที่ชวนหัวที่สุด ทว่าแม้จะระเบิดเสียงหัวเราะเช่นนี้ ท่วงท่าก็ยังคงสง่างามชวนให้จิตใจชื่นบาน “สตรี ข้าหลงนึกว่าเจ้าอยากรู้วีรกรรมอันกล้าหาญของเขาเสียอีก”
ไป๋เฟิงซีคลี่ยิ้มบาง “ความกล้าหาญของขุนพลวายุกล้าเป็นที่ประจักษ์ทั่วหล้า หาใช่เป็นคุณธรรมจอมปลอมเช่นจิ้งจอกบางตัว มีแต่ชื่อเสียงอันกลวงเปล่า”
“เคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งหรือไม่ คนดีอยู่ไม่ยืด ตัวร้ายอยู่พันปี ท่านวีรบุรุษเยียนผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าอายุสั้น ส่วนผู้ที่ปากเจ้าว่ามีคุณธรรมจอมปลอมกลับยังอยู่ดีมีสุข มิแน่ว่าจะอยู่ได้นานกว่าเจ้าอีกด้วย” เฮยเฟิงซีไม่ถือสาสักนิด
“นั่นเพราะสวรรค์ไม่มีตา” ไป๋เฟิงซีหลับตาลงไม่เหลียวแลเขาอีก
เฮยเฟิงซียิ้มอย่างไม่เก็บมาคิด เหยียดกายขึ้นหมายจะจากไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง
“เจ้ารู้หรือไม่ ตอนข้าพบเขา เขายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่มิอาจส่งเสียงพูดได้แล้ว แค่มองข้าแวบหนึ่ง จากนั้นตาทั้งสองก็จ้องเขม็งอยู่ที่ปากถ้ำ จนกระทั่ง…สิ้นใจ”
เสียงของเฮยเฟิงซีทุ้มและเบา คล้ายแฝงไว้ด้วยบางสิ่ง พอสิ้นกระแสความก็หมุนร่างจากไป แต่เมื่อเดินถึงข้างประตูก็ผินหน้ากลับมามองคราหนึ่ง และก็ได้เห็นหยาดน้ำตาใสบริสุทธิ์หยดหนึ่งค่อยๆ ไหลลงข้างหมอน ซึมหายไปในพริบตา ไร้ร่องรอยใด
“เจ้าชอบเขาเข้าแล้ว?”
เมื่อวาจานี้หลุดออกไป ทั้งสองล้วนตกตะลึง
คนหนึ่งเยาะหยันตัวเอง ถามเพื่ออันใดกัน นี่เกี่ยวอะไรกับตนด้วย
คนหนึ่งใจเต้น ความปวดร้าวอึดอัดในอกนั่นเป็นเพราะชอบหรอกหรือ ผู้ที่รู้จักเพียงสองวัน?
เฮยเฟิงซีผลักประตูออก ทิ้งไป๋เฟิงซีให้เอนกายอยู่เงียบๆ คนเดียว
ชอบ? ไม่กระมัง
ไม่ชอบ? ก็มิใช่ไร้ความรู้สึกไปเสียทั้งหมด
หากมิได้มารู้จักกันในสถานการณ์เยี่ยงนั้น แล้วขุนพลวายุกล้าแห่งจี้โจวกับไป๋เฟิงซีผู้เป็นชาวยุทธ์คงมิได้มีโอกาสมาพบหน้ากันนัก หากมาอยู่ตรงหน้า บางทีอาจเดินเฉียดไหล่ผ่านไป บางทีอาจแค่พยักหน้ายิ้มให้ หรือหลังจากช่วยเขาครั้งแรกก็อาจแยกย้ายไปคนละทาง เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป เขาและนางก็จะค่อยๆ ลืมเลือนอีกฝ่าย บางทีคราใดย้อนคิดถึงอดีตนางก็จะนึกถึงขุนพลวายุกล้าผู้ผึ่งผายร่างสูงเจ็ดเชียะ ทว่าหน้าแดงได้ง่ายๆ ผู้นั้น
แต่โชคชะตากลับกำหนดให้พวกเขาร่วมเผชิญอุปสรรค ร่วมเป็นร่วมตาย
เยียนอิ๋งโจว เงาร่างที่หันหลังก้าวออกจากถ้ำอย่างเด็ดเดี่ยวนั้นจะประทับมั่นคงอยู่ในใจนางตลอดกาล
ไม่ว่าเวลาจะล่วงผ่านไปนานเพียงใด เขา…จะเป็นผู้ที่นางไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดกาล
เมื่อตะวันอยู่กลางศีรษะ เฮยเฟิงซีก็ก้าวเข้ามาในห้องอีกครั้ง และพบว่าไป๋เฟิงซีลุกจากที่นอนแล้ว นางกำลังเอนกายอยู่บนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองไปด้านนอก เป็นอาการเงียบสงบที่พบได้น้อยครั้ง
นอกหน้าต่างมีต้นอู๋ถง ต้นหนึ่ง ใบเหลืองสี่ห้าใบปลิวร่วงเป็นครั้งครา ในห้องเงียบถึงสิบส่วน เงียบจนได้ยินเสียงแผ่วเบาอันเกิดจากใบไม้ร่วง
“จงหยวนบอกว่าเจ้ากินน้อยมาก” เสียงเบาๆ ของเฮยเฟิงซีทำลายความวิเวกในห้อง
“ไม่อยาก” ไป๋เฟิงซียังคงมองนอกหน้าต่าง ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แห่งใต้หล้าโดยแท้ ผู้ที่เห็นแก่กินมาแต่ไหนแต่ไรอย่างเจ้าถึงกับไม่อยากกินอาหาร ข้าฟังผิดไปใช่หรือไม่” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง
เมื่อสดับวาจานี้ ไป๋เฟิงซีก็หันหน้ามาถลึงตาใส่เขา “เจ้าถึงขั้นให้ข้ากินแต่โจ๊กเปล่า!” ของชืดจืดไร้รสชาติพรรค์อย่างกับน้ำเปล่ากับข้าวเปล่า ใครเล่าจะพิสมัยได้ลง!
“คนป่วยก็ควรกินอาหารรสจืด” เฮยเฟิงซีกล่าวอย่างชอบด้วยเหตุผล
“กงจื่อ โอสถต้มเสร็จแล้วขอรับ” จงหลียกโอสถชามหนึ่งเดินเข้ามา
“ให้ข้าเถอะ” เฮยเฟิงซีรับชามโอสถไว้แล้วก้มศีรษะดม ใบหน้ามีแววขบขันวูบผ่าน “เดิมทีข้ายังนึกว่าผู้ถูกพิษหญ้าเหว่ยมั่นอาจจะช่วยไม่ได้แล้ว เช่นนี้ในโลกก็จะเหลือ ‘เฟิงซี’ อย่างข้าคนนี้แต่ผู้เดียว”
“แล้วเจ้าช่วยด้วยเหตุใดเล่า ถ้าเจ้าไม่ช่วย ข้าก็ไม่โทษเจ้า ถึงเจ้าช่วย ข้าก็ไม่ซาบซึ้ง เพราะอย่างไรจิ้งจอกดำเยี่ยงเจ้าก็หาเคยกระทำสิ่งใดด้วยเจตนาดีไม่” ไป๋เฟิงซีมองโอสถชามนั้น ในตามีเค้าหวาดหวั่นละล้าละลัง
“หากโลกนี้ขาดไป๋เฟิงซีอย่างเจ้าสักคน ข้าจะมิเงียบเหงาเบื่อหน่ายเกินไปละหรือ” เฮยเฟิงซีเดินเข้ามาใกล้นางด้วยรอยยิ้มละไม
“หึ ถ้าข้าตายไป โลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้ว เจ้าคงจะต้องเหงามากจริงๆ ” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ถามอีกว่า “โลกนี้มีโอสถใดที่สามารถแก้พิษหญ้าเหว่ยมั่นได้หรือ”
“เฮ้อ กล่าวไปแล้วก็ปวดใจ” เฮยเฟิงซีถอนใจยาวคราหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยแววเสียดาย “เสียบัวหิมะหยกพันปีของข้าไปหนึ่งดอก นี่สูงค่ากว่าโอสถเม็ดพุทธจิตนับร้อยเท่าเชียวนะ นำมาช่วยคนที่ไม่รู้จักซาบซึ้งเช่นเจ้า มิคุ้มค่าเลยแท้ๆ”
“บัวหิมะหยก?” ไป๋เฟิงซีตาเป็นประกาย “ได้ยินว่าบัวหิมะหยกปรุงเป็นโอสถแล้วจะหอมละมุน รสชาติออกหวานน้อยๆ?”
“แน่นอน” เฮยเฟิงซีดุจรู้ถึงความในใจนาง รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงเล่ห์กระเท่ไว้หนึ่งส่วน “แค่ว่าบัวหิมะหยกตอนนั้นก็ให้เจ้ากินไปแล้ว ส่วนโอสถชามนี้เป็นโอสถบำรุงสลายพิษชั้นเลิศที่หมอเทวดาอย่างข้าผู้นี้ปรุงขึ้น”
“เจ้าปรุงเอง?” ไป๋เฟิงซีหัวคิ้วขมวดมุ่น มองโอสถชามนั้นประหนึ่งเห็นสิ่งที่ชวนขนพองสยองเกล้าที่สุดในโลกา
“ใช่แล้ว ข้าปรุงเอง” เฮยเฟิงซีเห็นรอยในแววตานางอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งแช่มชื่นยินดี
“ข้าไม่ดื่มแล้ว ข้ากลัวว่าโอสถนี้จะเป็นพิษรุนแรงยิ่งกว่าหญ้าเหว่ยมั่น” ไป๋เฟิงซีออกอาการเคลือบแคลง
“แม่นางซี กงจื่อของข้าพลิกเขาเซวียนซานทั้งลูกเพื่อตามหาท่าน” จงหลีเห็นไป๋เฟิงซีทำท่าไม่เห็นค่าในน้ำใจก็รู้สึกว่าควรช่วยพูดให้กงจื่อของตนบ้าง “หนำซ้ำตอนใช้บัวหิมะหยกแก้พิษให้ท่าน โอสถเพิ่งเข้าปากท่านก็อาเจียนออกมา ดีที่กงจื่อ…”
“จงหลี เจ้าพูดมากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยากตัดเล็มลิ้นสักหน่อยหรือไม่” เฮยเฟิงซีชายตามองจงหลี
“ข้าขอตัวขอรับ กงจื่อ” จงหลีเงียบเสียงทันควัน ตะลีตะลานถอยออกไป
“สตรี มา กินโอสถได้แล้ว” เฮยเฟิงซีทรุดตัวลงบนตั่งนุ่ม ใช้ช้อนน้ำแกงตักโอสถยื่นไปถึงปากไป๋เฟิงซี
นางขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี โอสถนี้ต้องขมเป็นที่สุดและฝาดเป็นที่สุดอย่างแน่นอน เพียงดมกลิ่นก็ชวนคลื่นเหียน “ข้ามีมือ ไม่ต้องรบกวนเจ้า”
“สตรี ข้าเป็นห่วงเจ้าหรอกนะ ต้องรู้ไว้ด้วยว่าผู้ที่ข้าป้อนโอสถให้ด้วยตัวเองมีไม่มาก” เฮยเฟิงซียิ้มน้อยๆ ช้อนในมือยังคงอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
ไป๋เฟิงซีหาได้หวั่นไหวไม่ เบือนศีรษะหนีสุดกำลัง ประสงค์แต่จะหลบให้พ้นเท่านั้น โอสถนี้กลิ่นไม่ดีเอาเสียเลย นางจวนจะอาเจียนอยู่แล้ว
“หรือไป๋เฟิงซีผู้มีนามระบือทั่วยุทธภพถึงกับกลัวขม?” เขามองนางอย่างไม่สะทกสะท้าน “พิษในร่างเจ้ายังสลายไม่สิ้น โอสถนี้ต้องกินอีกสามวัน”
“สามวัน?” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็เบิกตากว้าง สวรรค์ กินอีกสามวัน! แค่กินคำเดียวก็เอาชีวิตนางไปครึ่งหนึ่งแล้ว!
“สตรี เจ้ากลายเป็นทารกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงขั้นกลัวกินโอสถราวกับเด็กสามขวบ” ในดวงตาหงส์ของเฮยเฟิงซีเจือแววเสียดสี
“หึ!” ไป๋เฟิงซีแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็กลั้นหายใจ อ้าปาก อมช้อนไว้แล้วกลืนโอสถลงท้อง คิ้วนางขมวดเป็นปมทันใด จากนั้นปากก็อ้าออก พอส่งเสียงแหวะหนึ่งครา โอสถที่กลืนลงท้องไปแล้วก็ถูกขย้อนออกมา เคราะห์ดีที่เฮยเฟิงซีเคลื่อนไหวรวดเร็ว หลบได้ทันท่วงที หาไม่แล้วอาเจียนคงราดรดลงบนร่างเขาเป็นแน่
“ไม่เป็นไร เจ้าค่อยๆ อาเจียนไป ข้าให้จงหลีต้มเผื่อไว้อีกหม้อแต่แรกแล้ว” เฮยเฟิงซีกล่าวเรียบๆ
ไป๋เฟิงซีได้ฟังดังนั้น หัวใจก็เย็นเฉียบไปกว่าครึ่ง นางแหงนหน้ามองเขา สายตามีแววคับแค้น ทว่านางเก็บกลับลงไปทันใด ต่อมาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยากว่า “จิ้งจอกดำ เจ้ามีโอสถเม็ดหรือไม่ โอสถน้ำเช่นนี้ข้ากินแล้วเป็นต้องอาเจียน”
“ไม่มี” เขาตอบอย่างหมดจดยิ่ง จากนั้นก็ตักโอสถอีกช้อนไปจ่อที่ริมฝีปากนาง “หากเจ้าอาเจียนชามนี้หมดเมื่อไร ข้าจะให้จงหลีส่งมาอีกชาม ตอนต้มโอสถครั้งที่สองข้าจะเพิ่มหวงเหลียน ลงไปอีกสักหน่อย”
ไป๋เฟิงซีได้ฟังดังนั้น มือก็ยื่นเข้าสู่แขนเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง ทว่ากลับได้ยินเฮยเฟิงซีกล่าวขึ้นว่า “ข้าลืมบอกเจ้าไป ภูษาขาวของเจ้าอยู่ที่ห้องข้า”
มือนางชะงักทันใด มองเขาอย่างเคืองแค้น จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ อ้าปากกินโอสถแล้วปิดริมฝีปากอย่างแน่นหนา กลืนโอสถลงท้อง ส่วนมือทั้งสองกุมเสื้อผ้าแน่น ใบหน้าย่นจนคล้ายมะระ
เฮยเฟิงซีมองอาการของนางด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อสายตากวาดผ่านรอยแผลบนริมฝีปากนาง แววตาก็ขรึมลง ช้อนในมือกดลงยังตำแหน่งนั้นโดยไม่รู้ตัว
“อ๊า!” เฟิงซีร้องเสียงหลง “จิ้งจอกดำ เจ้าซ้ำเติมคนมีภัย! วันหน้าเจ้าอย่าตกอยู่ในเงื้อมมือข้าบ้างก็แล้วกัน ถึงตอนนั้น…อือ…อือ…แค่กๆ…แค่ก…จิ้งจอกดำ เจ้า…”
“เวลากินโอสถอย่าพูดจาเหลวไหลไร้สาระพวกนั้น” น้ำเสียงยังคงราบเรียบ ทว่าแยกแยะได้ไม่ยากถึงอารมณ์สาแก่ใจ
จงหลีและจงหยวนที่อยู่ด้านนอกส่ายหน้าให้แก่กัน ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุไฉนกงจื่อผู้สุภาพอ่อนโยนกับใครต่อใครทั้งหมดกลับเป็นเยี่ยงนี้กับแค่แม่นางซี หรือเป็นเพราะฉายาของแม่นางซีอยู่ก่อนหน้าเขา?
สุดท้ายโอสถก็หมดชาม สภาพไป๋เฟิงซีเหมือนหนีพ้นหัตถ์มัจจุราช
“ชา!” นางอ้าปาก ออกแรงพ่นลม ปรารถนาจะปัดเป่ารสชาติในปากให้หมด
“หลังกินโอสถห้ามดื่มชา เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ?” เฮยเฟิงซีวางชามโอสถในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นถึงหยิบของกล่องหนึ่งมาจากถาดบนโต๊ะ “นี่บ๊วยแห้ง เจ้าเอาไว้แก้ขมเถอะ”
ไป๋เฟิงซีรับมาจากมือเขาอย่างรอไม่ไหว หยิบโยนเข้าปากทันทีหนึ่งชิ้น “เปรี้ยว!” นางอดยื่นมือขึ้นตบแก้มทั้งสองข้างไม่ได้
เขาเห็นนางเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกขันนัก “พูดออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อเป็นแน่ว่าไป๋เฟิงซีผู้โด่งดังกลัวการกินโอสถ”
“นี่ไม่เรียกว่ากลัว แต่เรียกว่าไม่ชมชอบ พ่อข้าพี่ชายข้าล้วนไม่ชอบทั้งนั้น นิสัยนี้สืบทอดมาจากบรรพชนของพวกเรา!” นางแก้ไขให้เขาเต็มปากเต็มคำอย่างชอบด้วยเหตุผล
“อ้อ?” แววตาเฮยเฟิงซีไหววูบ “ส่วนบรรพชนสกุลข้ามีวิธีการอันหนึ่งสืบทอดกันมา กล่าวไว้ว่าเมื่อพบผู้ที่กลัวขมไม่ยอมกินโอสถ ให้ขืนกรอกลงไปเสีย ภายหลังหาของรสเปรี้ยวให้กินสักหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว”
“วิธีการอันใดกัน!” ไป๋เฟิงซีย่นจมูกแค่นเสียง รอจนรสเปรี้ยวอมหวานกลบรสขมแล้วนางถึงเหลือบมองเฮยเฟิงซี “จิ้งจอกดำ เจ้าพลิกเขาทั้งลูกจริงหรือ” เชื่อมิได้จริงๆ ว่าผู้ที่ชอบแสร้งทำเป็นมีคุณธรรมผู้นี้จะค้นเขาเซวียนซานเพื่อนาง
“ยินว่าจี้โจวมีประเพณีโบราณอย่างหนึ่ง เมื่อบุรุษสตรีลอบพบกันในยามราตรีจะใช้จุมพิตแทนคำมั่นสัญญา และขณะมอบคำมั่นสัญญา หากกัดริมฝีปากอีกฝ่ายเป็นแผล ก็แสดงว่าผิดจากคนผู้นี้จะไม่แต่ง เป็นตายมิเสียใจ” เฮยเฟิงซีจะสนใจคำถามของนางก็หาไม่ได้ กลับเอ่ยเรื่องสัพเพเหระขึ้นมาแทน
“ผิดจากคนผู้นี้จะไม่แต่ง…เป็นตายมิเสียใจ…” ไป๋เฟิงซีลูบข้างริมฝีปาก ลมหายใจร้อนผะผ่าวในความมืดนั่น น้ำเสียงแผ่วทุ้มเด็ดเดี่ยวนั่น…
‘ชาติภพหน้าข้าจะกลับมาหาเจ้า! ชาติภพหน้าข้าจะไม่อายุสั้นแน่นอน! เฟิงซี จดจำข้าเอาไว้!’ …เป็นเช่นนี้หรอกหรือ มอบสัตย์สาบานสำหรับชาติภพหน้า? แต่มนุษย์เรามีชาติภพหน้าด้วยหรือ
เยียนอิ๋งโจว…
ชั่วอึดใจนั้นบ๊วยแห้งรสหวานอมเปรี้ยวในปากกลายเป็นฝาดขมไม่ผิดกับโอสถ ยากจะกลืนลงคอ ในอกมีบางสิ่งดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง…ดิ่งลึกลงไปสู่มุมอันเร้นลับที่สุดที่ยังคงถูกซุกซ่อนไว้ยังห้วงลึก ชาตินี้อาจมิมีวันผุดขึ้นมาอีกเลย
“สตรี เจ้าไปสาบานรักกับผู้อื่นเสียแล้วหรือ” เฮยเฟิงซีคีบบ๊วยแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นคล้ายจะป้อนให้นาง ทว่าเมื่อมาถึงมุมปากกลับกดเข้าใส่บาดแผลนั้นอย่างกะทันหัน
“โอ๊ย!” ไป๋เฟิงซีเจ็บจนได้สติ มองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผินหน้าออกนอกหน้าต่าง “จะเป็นไปได้อย่างไร นั่นคือประเพณีของจี้โจว หาเกี่ยวอันใดกับข้าไม่!”
“อย่างนั้นหรือ” บนหน้าเฮยเฟิงซีผุดรอยยิ้มชวนคิด สายตาหยุดนิ่งอยู่บนดวงหน้านางประหนึ่งจะพิเคราะห์บางสิ่ง
ไป๋เฟิงซีได้ยินก็หันหน้ากลับมามองเขา สีหน้าราบเรียบถึงที่สุด “จิ้งจอกดำ เจ้าไปฟังเรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด หรือเจ้าปรารถนาจะหาใครสักคนมาลองประเพณีของจี้โจว อาศัยรูปโฉมนี้ของเจ้าก็คงมีสตรีเบาปัญญาไม่น้อยที่จะถูกลวงมาถึงมือเจ้าได้”
“หึ ไหนเลยข้าต้องมอบสัตย์สาบาน” เฮยเฟิงซีหัวเราะ แต่พอเห็นสีหน้าเยือกเย็น แววตาอึมครึมของนาง นัยน์ตาสีดำขลับก็สาดประกายจ้าวูบหนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวก็หลุบตาเก็บซ่อนเอาไว้
ทั้งสองหมดอารมณ์จะปะทะฝีปากกันอย่างกะทันหัน ในห้องเงียบลงทันใด
ครู่ต่อมาเฮยเฟิงซีก็ลุกออกไป “พิษของเจ้ายังสลายไม่หมด พักให้มาก อย่าคิดฟุ้งซ่าน”
ไป๋เฟิงซีมองเงาหลังที่จากไปของเขา แววตานิ่งลึก
ยามสายัณห์ของวันถัดมา ไป๋เฟิงซีมายังเชิงเขาทางทิศเหนือของเขาเซวียนซาน นางแหงนมองเขาเซวียนซานท่ามกลางแสงอัสดง ทิวทัศน์ยังคงงดงามดั่งภาพวาด หาได้เปลี่ยนแปลงไปสักเศษเสี้ยวเพราะมีวิญญาณวีรบุรุษผู้หนึ่งนิทราชั่วนิรันดร์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่
นางก้าวเท้าเดินขึ้นเขา หมายจะไปเยี่ยมคนผู้นั้นสักหน่อย แม้จะเป็นแค่หลุมศพก็ตาม
ทันใดนั้นปลายจมูกก็คล้ายกับได้กลิ่นบางอย่าง เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าบนพื้นหญ้าเหมือนเพิ่งถูกเก็บกวาด ทว่ายังเหลือคราบโลหิตจางๆ สองสามแห่ง ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้น แล้วสายตาก็ถูกศิลาหลายก้อนดึงดูดไว้ ศิลาใหญ่เหล่านั้นมีผิวเรียบเสมอกัน ผิดจากศิลาตามธรรมชาติในที่แห่งนี้ เพราะเหตุใดถึงมาปรากฏที่นี่ได้ นางเดินเข้าไปมองให้ถ้วนถี่ บนนั้นยังมีรอยดาบและกระบี่กรีดผ่านอีกด้วย
นางเหินร่างขึ้น ทิ้งกายลงบนต้นไม้สูงต้นหนึ่งแล้วมองไปรอบด้าน
ดังคาด ห่างไปไม่ไกลนักก็มีก้อนศิลาลักษณะนี้กระจายอยู่เช่นกัน บางก้อนถูกเคลื่อนย้ายมาแล้ว บางก้อนก็ยังอยู่ในตำแหน่งอันลึกลับ นางพินิจพิเคราะห์ทิศทางที่ศิลาเหล่านี้วางอยู่ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมอง ส่งผลให้นางขาอ่อนยวบเจียนจะร่วงจากต้นไม้ จึงรีบประคองร่างกายและจิตใจให้มั่นคง นับจำนวนศิลาเหล่านั้นโดยละเอียด หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ไม่มากไม่น้อย หนึ่งร้อยสามสิบหกก้อนพอดี
มิผิดเลย…เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย!
ทั้งที่อากาศยังคงร้อนอบอ้าว ทว่านางกลับรู้สึกถึงความเย็นเยียบสายหนึ่งซึ่งแผ่คลุมมาจากทั้งสี่ด้าน มันซึมตรงลงไปยังส่วนลึกของหัวใจ กิ่งไม้ที่มือคว้าอยู่ส่งเสียงใสกังวาน
ไป๋เฟิงซีเหินร่างลงสู่พื้นดิน บ่ายหน้าขึ้นเขาต่อไป ทว่าหัวใจกลับดำดิ่งลงสู่ก้นหุบเขา
กลางยอดเขาทางทิศใต้ หลุมศพใหม่แห่งหนึ่งเพิ่งถูกก่อขึ้น บนป้ายวิญญาณมีอักษรเรียบง่ายห้าคำ…’หลุมศพเยียนอิ๋งโจว’
ไป๋เฟิงซียืนอยู่หน้าหลุมศพนิ่งไม่ไหวติงประหนึ่งกลายเป็นก้อนศิลา
เวลาล่วงผ่านไปนานถึงยื่นนิ้วออก แตะอักษรบนป้ายอย่างแผ่วเบา ในใจมีแต่ความโศกศัลย์
บุรุษเฉกเช่นนี้ต้องมานิทราชั่วนิรันดร์ยังที่แห่งนี้เสียแล้ว เมื่อสามวันก่อนยังเป็นคนที่มีชีวิต คล่องแคล่วมีเลือดมีเนื้อ เขายังเคยตระกองนางไว้แน่น ใช้ร่างกายปกป้องนาง
น้ำตาหยดหนึ่งรดลงบนป้ายศิลา ไป๋เฟิงซีย่อกายลงมองป้ายวิญญาณ
เยียนอิ๋งโจว สุดท้าย…สุดท้ายแล้วเจ้าตายด้วยมือผู้ใดกัน หากเป็นพรรคต้วนหุน ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าแน่! หากเป็นเขา…หากเป็นเขา…
เวลาเคลื่อนคล้อย แสงสายัณห์เก็บความอาวรณ์สุดท้ายที่มีต่อแผ่นดินอันไพศาลลง โถมสู่อ้อมกอดกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของปัจฉิมทิศ ม่านนภาสีดำทิ้งตัวลงอย่างอ้อยอิ่ง ครอบคลุมผืนฟ้าและแผ่นดิน อำพรางขุนเขาสีคราม ธาราเขียว บุปผชาติแดง และหญ้าชอุ่มไว้
“เจ้าจะก่อกระท่อมไว้ทุกข์ตรงนี้เลยหรือไม่” ท่ามกลางอนธกาลแห่งสายัณห์ เงาร่างสง่าของเฮยเฟิงซีก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า
ทันใดนั้นภูษาขาวก็ลอยออก พันรอบคอเขาในพริบตา
ไป๋เฟิงซีหมุนร่าง มือกุมภูษาขาวแน่น ดวงตาทั้งคู่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
เฮยเฟิงซีไม่ขยับเขยื้อน ยืนนิ่งอย่างผ่าเผย ปล่อยให้ภูษาขาวพันรอบลำคออย่างกระชับแน่น และแน่นขึ้นไปอีก
“ทำไม ทำไมต้องโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้” นางเค้นเสียงลอดไรฟัน คมกริบดั่งคมดาบ
“เจ้ารู้แล้ว?” น้ำเสียงเฮยเฟิงซียังคงสุขุม
“ทางขึ้นเขาทั้งเหนือใต้ออกตก ถึงเจ้าจะเก็บกวาดแล้ว แต่ก้อนศิลาและคราบเลือดที่เหลืออยู่พวกนั้นก็มากพอให้ข้ามองออก ที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ตั้งของค่ายกลอสูร! เจ้าถึงกับตั้งค่ายกลอสูร! คืนนั้นเห็นทีว่าคนทั้งพันกว่าคนบนเขาลูกนี้หาได้มีผู้ใดเดินกลับออกไปไม่ ล้วนแต่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ทั้งสิ้น!” มือที่กระชับภูษาขาวไว้สั่นสะท้าน ไม่ทราบว่าเกิดจากแรงแค้นหรือความเศร้า “เพื่อป้ายขั้วกาฬชิ้นเดียวเจ้าถึงกับอำมหิตเช่นนี้ เจ้าก็ต้องการครอบครองป้ายขั้วกาฬโดยไม่เกี่ยงวิธีเช่นเดียวกับคนเหล่านั้น? หลงคิดไปว่าหากครองป้ายแล้วก็จะสามารถบัญชาทั่วหล้าได้?”
“ไม่ว่าข้าทำเรื่องใด อาจอำพรางจากคนทั่วหล้า แต่อำพรางจากเจ้าไม่ได้อยู่ผู้เดียวจริงๆ เสียด้วย” เฮยเฟิงซีถอนใจแผ่วเบา “มิผิด ค่ายกลอสูรข้าเป็นคนตั้ง คนทั้งหมดบนเขาเซวียนซานในคืนนั้นนอกจากเจ้าแล้วก็ล้วนแต่ฝังร่างไว้ที่นี่”
เขากล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ราวกับการคร่าชีวิตคนนับพันไม่ผิดอันใดกับขยี้เศษธุลีบนนิ้ว เมื่อสิ้นวาจา ภูษาขาวที่พันอยู่รอบลำคอก็แน่นขึ้นอีกหลายส่วน
“สุดท้ายป้ายขั้วกาฬก็ตกอยู่ในมือเจ้า? เพื่อมิให้ผู้ใดรู้เจ้าจึงสังหารคนที่อยู่บนเขาเซวียนซานในคืนนั้นจนสิ้น?” ไป๋เฟิงซีจ้องเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้แปลกหน้าเหลือเกิน นี่คือเฮยเฟิงซีผู้ที่รู้จักกันนับสิบปี ยอมให้นางหยอกล้อด่าว่าตามใจผู้นั้นจริงๆ หรือ เขาไม่เคยอำมหิตเฉียบขาดถึงเพียงนี้มาก่อน!
“ใช่” เฮยเฟิงซีตอบอย่างหมดจด “คืนนั้นเรื่องแทบจะทุกประการล้วนแต่อยู่ใต้การควบคุมของข้า ทว่าป้ายขั้วกาฬเป็นของปลอมกลับอยู่เหนือความคาดหมาย”
“ปลอม?” ภูษาขาวในมือไป๋เฟิงซีคลายลง
“คาดว่าเยียนอิ๋งโจวก็หาได้บอกเจ้าไม่ ป้ายขั้วกาฬในมือเขาเป็นของปลอม หลังจากพวกเขาได้ป้ายมาครอง ในที่แจ้งก็บอกว่าให้ขุนพลวายุกล้าอารักขาป้ายกลับแคว้น ดึงให้คนทั่วหล้าตามแย่งชิง ในที่ลับกลับให้ผู้อื่นนำป้ายจริงไปส่ง” เฮยเฟิงซีถอนหายใจยาว
ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหยัน “มิน่าเล่า เมื่อข้าถามถึงป้ายขั้วกาฬเจ้าถึงตอบว่า ‘ไม่มี’ สิ่งที่ล่อให้คนมากมายต้องเอาชีวิตไปทิ้งคือป้ายปลอมชิ้นหนึ่ง ช่างน่าหัวเราะจริง!” สายตาของนางเปลี่ยนไปจับที่ป้ายวิญญาณ “ส่วนเขาก็ถึงขั้นยอมแลกชีวิตเพื่ออารักขาป้ายปลอมนั่น”
“ได้ยินว่าสี่ขุนพลวายุน้ำค้างหิมะพิรุณล้วนแต่จงรักภักดีต่อซื่อจื่อแห่งจี้โจว บุกน้ำลุยไฟไม่เกี่ยงงอน เห็นทีวาจานี้คงไม่ปลอมแปลง” เฮยเฟิงซีมองไปทางหลุมศพ ในดวงตาฉายแววชื่นชม “เพื่อให้ป้ายจริงถูกส่งกลับแคว้นอย่างปลอดภัย เยียนอิ๋งโจวก็นำป้ายปลอมมาล่อให้คนทั่วหล้าไล่สังหาร จนกระทั่งตายก็ไม่คายความจริง ใจภักดีเยี่ยงนี้หาได้ยากยิ่ง”
“ไม่ว่าป้ายจะเป็นของจริงหรือปลอม ผู้คนมากมายต้องตายตกด้วยมือเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซี ประกายในดวงตาซับซ้อน “แม้เจ้าจะขึ้นชื่อเรื่องคุณธรรม ทว่าข้ารู้มาโดยตลอดว่าเจ้าไม่ทำเรื่องที่ตนไม่ได้ผลประโยชน์ ข้าแค่ไม่นึกฝันว่าเจ้าจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้ ทหารเป่ยโจวเหล่านั้นก็แค่ทำตามบัญชา ชาวยุทธ์เหล่านั้นหลายคนถูกหลอกใช้ ความผิดพวกเขาเดิมทีไม่ถึงตาย แต่เจ้า…”
“ข้าทำสิ่งใดก็ย่อมมีเหตุผลของข้า” เฮยเฟิงซีกลับกล่าวเพียงเรียบๆ
“เจ้าก็ประสงค์จะครอบครองป้าย ครอบครองใต้หล้าเช่นกัน?” ไป๋เฟิงซียิ้มเย็นชา “ผู้ที่สังหารผู้บริสุทธิ์เป็นผักปลา มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นเจ้าจะคู่ควรนั่งครองสายน้ำและขุนเขาอันไพศาลได้อย่างไร!”
“ฮ่าๆๆ…” เฮยเฟิงซีพลันระเบิดเสียงหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงแววเสียดสีอย่างหาได้น้อยครั้ง “สตรี ผู้ที่มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดไม่คู่ควรครองใต้หล้าอย่างนั้นหรือ มีปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกแผ่นดินพระองค์ใดได้แผ่นดินมาโดยไม่มีโลหิตไหลเป็นสายน้ำ ซากศพกองเป็นภูเขา!”
“อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ทึบเขลาเชื่อว่าป้ายคำสั่งกระจ้อยร่อยชิ้นหนึ่งจะสามารถช่วยให้ได้ครองแผ่นดิน พวกเขาสังหารคนในสนามรบ สู้เพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน มิใช่สังหารคนนับพันเพื่อป้ายคำสั่งชิ้นเดียว!” นางเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด
“ฮึ!” เฮยเฟิงซีแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าพูดให้คนเหล่านั้นสูงส่งขึ้นมาหน่อยเลย ในสถานซึ่งอยู่ระหว่างฟ้าและดินแห่งนี้ ผู้ใดก็ตามที่กลายเป็นราชัน มันผู้นั้นหาใช่วีรบุรุษอย่างที่ใจเจ้าหลงนึกเป็นอันขาด”
คำกล่าวนี้ประหนึ่งค้อนอันหนักอึ้งซึ่งทุบใส่ไป๋เฟิงซี สีหน้านางฉายแววหม่นหมอง กำลังมือผ่อนลง ภูษาขาวคลายออกช้าๆ แต่ทันใดนั้นนางก็รวบภูษาขาวแน่นอีกครา สายตาจับจ้องเฮยเฟิงซีเขม็ง “เขาถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่”
เฮยเฟิงซีฟังแล้วบนหน้าก็สาดแววขุ่นเคืองวูบหนึ่ง ทว่าสลายไปในพริบตา เขาเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “นับแต่เจ้ากับข้ารู้จักกันมา ข้าเคยโป้ปดเจ้าหรือไม่ ข้าเฟิงซีเป็นผู้ทำสิ่งใดแล้วไม่กล้ายอมรับกระนั้นหรือ ยิ่งกว่านั้นข้าก็บอกแต่แรกแล้วว่าบุรุษเฉกเช่นเขา ข้าจะไม่ลงมือ”
ไป๋เฟิงซีก้มหน้าลง ยกมือขึ้น ภูษาขาวพลันคืนสู่แขนเสื้อ “หากมิใช่เพราะรู้จักเจ้าดี เมื่อครู่ข้าคงสังหารเจ้าไปแล้ว!” สิ้นเสียงก็หมุนร่างลงเขา เดินไปไม่ถึงสองจั้งก็ได้ยินเสียงติ๊งแว่วขึ้น คล้ายเป็นเสียงอาวุธคืนฝัก ฝีเท้านางชะงัก ยิ้มอย่างฝาดขม จากนั้นก็พลิ้วร่างจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
เฮยเฟิงซีมองป้ายวิญญาณของเยียนอิ๋งโจว ครู่หนึ่งใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มอันขมขื่น “คิดว่าเจ้าเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้ก็น่าจะปลาบปลื้มเต็มหัวอกเลยกระมัง นางถึงขั้นจะสังหารข้าเพื่อเจ้า รู้จักกันนับสิบปี ถึงกับเทียบผู้ที่รู้จักไม่กี่วันอย่างเจ้าไม่ได้” กล่าวจบเขาก็ลงเขาไปเช่นกัน
ท่ามกลางแสงสลัวของยามเย็น เหลือเพียงหลุมศพใหม่อันเดียวดาย เสียงนกกาดังกังวานขึ้นเป็นครั้งคราว ลมภูเขาหนาวเย็นโชยผ่านเขาเซวียนซาน รอยเปียกชื้นสองสามหยดบนป้ายวิญญาณแห้งไปกับสายลมในเวลาอันรวดเร็ว
สองคนลงเขา คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ห่างกันประมาณห้าจั้ง เมื่อถึงเชิงเขาสีรัตติกาลก็เข้มจัดแล้ว สรรพสิ่งไร้สำเนียง เมื่อเดินไปถึงหร่วนเฉิง ตามถนนก็มีแสงโคมประปราย เป็นเวลาที่แต่ละบ้านแต่ละเรือนจมลงสู่ห้วงความฝันแล้ว
ขณะนั้นเอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งสู่เวหาจากทางปัจฉิมทิศ ย้อมม่านราตรีให้เป็นสีแดงเข้มในพริบตา
คนทั้งสองหนาวเยือก ใช้วิชาตัวเบาโผนร่างไปทันที เมื่อไปถึงก็พบว่าคฤหาสน์สกุลหานทั้งหลังตกอยู่ในทะเลเพลิง
หน้าคฤหาสน์แน่นขนัดไปด้วยเพื่อนบ้านที่แตกตื่นเพราะเพลิงกาฬ พวกเขากำลังราดน้ำดับไฟเป็นพัลวัน เสียงกู่เรียก เสียงตวาด และเสียงร่ำไห้ปนเปเซ็งแซ่ โกลาหลไปทุกที่
“สกุลหานเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ผู้ใดจะรู้เล่า นานขนาดนี้แล้ว แต่ไม่เห็นคนสกุลหานหนีออกมาแม้แต่คนเดียว”
“ประหลาดแท้ คงมิใช่ถูกเผาตายอยู่ด้านในหมดแล้วหรอกนะ”
“เฮ้อ น่าอนาถ”
เบื้องหน้าเปลวเพลิง ผู้คนมิวายวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
ทันใดนั้นเงาร่างสีขาวสายหนึ่งก็วูบเข้าสู่ทะเลเพลิง จากนั้นเงาร่างสีดำก็เหินตามเข้าไปติดๆ
คนทั้งหลายพากันขยี้ตา หมายจะมองให้ชัด ทว่าเงาทั้งสองสายหายไปเสียแล้ว จึงอดตะขิดตะขวงระคนแตกตื่นมิได้ว่าเมื่อครู่ตาฝาดมองพลาดไปหรือไม่ หาไม่แล้วเพลิงกำลังโหมกระหน่ำเช่นนี้ ใครเล่าจะพุ่งเข้าใส่ นี่มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ
ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ขัดดาลจากด้านใน ตลอดทางที่ผ่านมีผู้คนล้มอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ล้วนแต่ถูกดาบฟันตรงหน้าอก สิ้นชีพในดาบเดียว บ้างก็โลหิตไหลจนหมดกายแล้ว บ้างก็ยังมีโลหิตอุ่นๆ ไหลจากอก บ้างเบิกตาทั้งคู่กว้าง ตายตาไม่หลับ บ้างก็กุมศาสตราวุธประหนึ่งจะลุกขึ้นแลกชีวิตกับศัตรู…
บนธรณีประตู บนพื้นศิลา บนบันได ล้วนแล้วแต่เป็นโลหิตสีแดงฉาน แม้จะก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ตำแหน่งที่ลงเท้าก็ยังเป็นพื้นเปื้อนโลหิต
“มีคนหรือไม่ ยังมีผู้ใดอีกหรือไม่” ไป๋เฟิงซีตะโกน ทว่ามิมีผู้ใดขานรับ มีเพียงควันหนาที่ม้วนตลบอย่างเกรี้ยวกราดและเพลิงแรงกล้าที่คำรามอย่างบ้าคลั่ง
“ตาเฒ่าหาน ท่านตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ขานรับสักคำ!”
“ตายสิ้นแล้ว ถึงกับไม่เหลือรอดแม้สักผู้เดียว” เสียงปลดปลงของเฮยเฟิงซีดังขึ้นจากเบื้องหลัง
ไป๋เฟิงซีหมุนร่างขวับ หันหน้ามองไปทางเขา สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง คมดุจกระบี่ “เพื่อสูตรโอสถใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ข้า” เฮยเฟิงซีเอ่ยคำ เมื่อสิ้นเสียงเพลิงโทสะก็พลันท่วมทะลักอก ไยต้องอธิบาย จะอธิบายไปเพื่ออันใด หึ!
“เจ้าพำนักที่คฤหาสน์สกุลหานมิใช่เพื่อสูตรโอสถผงตำหนักม่วงและโอสถเม็ดพุทธจิตหรอกหรือ ตาเฒ่าหานบูชาเจ้าเหมือนเป็นโพธิสัตว์ แต่อย่านึกว่าข้ารู้ไม่เท่าทันว่าเจ้าคิดการใดไว้” สีหน้าไป๋เฟิงซีอ่อนลง ทว่าน้ำเสียงยังคงเย็นชา
“สูตรโอสถข้าลอกไว้นานแล้ว” เป็นครั้งแรกที่เฮยเฟิงซีหุบรอยยิ้มไม่อนาทรร้อนใจลง แทนที่ด้วยอาการเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง
“ตามคาด” ไป๋เฟิงซียิ้มเย็น ทันใดนั้นก็เอียงหูสดับฟัง แล้วพลันโผนร่างไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเฮยเฟิงซีตามติดอยู่ด้านหลัง
เมื่อทะลวงผ่านทะเลเพลิง ตรงหน้าก็คือสวนดอกไม้ด้านหลังของสกุลหาน เสียงร่ำไห้อันแผ่วเบาดังแว่วมาเป็นระยะ ทั้งสองเหินร่างไปตามเสียงก็พบว่าข้างภูเขาจำลองมีเงาร่างกระจ้อยร่อยคุกเข่าอยู่
“ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ท่านลุกขึ้นซี ลุกขึ้นมา! ฮือๆๆ…ท่านพ่อ ท่านลุกขึ้นซี ผู่เอ๋อร์จะพาท่านออกไป!” ร่างเล็กจ้อยกอดซากศพบนพื้นไม่ยอมปล่อยพร้อมกับร่ำไห้เรียกหา
“หานผู่?” ไป๋เฟิงซีเห็นร่างน้อยๆ นั่นก็หลุดปากเรียก
ร่างเล็กได้ยินเสียงคนเรียกก็หันมามอง จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่นาง
“ท่านมันสตรีนิสัยไม่ดี จะมาชิงโอสถบ้านข้าอีกแล้วใช่หรือไม่ ท่านชิงเอาไปเลย! เอาเลย! ท่านพ่อข้าตายเสียแล้ว! ท่านเอาไปอีกซี! ฮือๆ…ดูว่าท่านยังจะเอาสิ่งใดไปได้อีก!” ทางหนึ่งร่ำไห้โวยวาย ทางหนึ่งก็ทุบตีไป๋เฟิงซี ดวงหน้าเต็มไปด้วยโลหิตและน้ำตา
“หานผู่!” ไป๋เฟิงซีคว้าเขาไว้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“สตรีนิสัยไม่ดี! เพราะท่านผู้เดียว! เหตุใดต้องแช่งท่านพ่อด้วย ฮือๆๆ…ท่านพ่อจัดงานฉลองวันเกิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! สตรีนิสัยไม่ดี! สตรีบ้า! ข้าชังท่านแทบตายแล้ว! คืนท่านพ่อข้ามา!” หานผู่ดิ้นสุดฤทธิ์ เมื่อสู้ไม่ได้ก็อ้าปากกัดมือไป๋เฟิงซี
“โอ๊ย!” นางร้องอย่างเจ็บปวด ขณะสะบัดออก เฮยเฟิงซีก็โบกมือสกัดจุดหานผู่ เขาพลันสิ้นสติไปในอ้อมกอดไป๋เฟิงซีทันที
“พาเขาออกจากที่นี่ก่อนเถอะ หาไม่พวกเราก็จะทิ้งร่างอยู่กลางทะเลเพลิงเช่นกัน” เฮยเฟิงซีกล่าว
“ได้” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะ อุ้มหานผู่ขึ้น เมื่อกลอกตาเห็นหานเสวียนหลิงบนพื้นก็ทอดถอนใจ “จิ้งจอกดำ เจ้าพาเขาออกไปด้วยเถิด”
ว่าแล้วนางก็อุ้มหานผู่ขึ้นเหินร่างจากไป ทิ้งให้เฮยเฟิงซีถลึงตามองศพหานเสวียนหลิงบนพื้น ครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจยาว ก้มกายลงอุ้มหานเสวียนหลิง “ข้าเฮยเฟิงซีถึงกับตกต่ำจนต้องมาอุ้มคนตาย ไม่ผิดคาดเลย รู้จักสตรีนางนี้เป็นการเริ่มต้นเคราะห์กรรมชั่วชีวิต”
เนินรกร้างทางชานเมืองตะวันตกของหร่วนเฉิงมีหลุมศพใหม่ก่อขึ้นอีกแห่ง
“ท่านพ่อ ท่านพักให้สบายเถิด ผู่เอ๋อร์จะล้างแค้นให้ท่านเอง” หานผู่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาว คุกเข่าอยู่หน้าหลุม ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซียืนอยู่ด้านหลัง
“ท่านพ่อ ท่านวางใจได้ วันหน้าผู่เอ๋อร์จะดูแลตัวเอง ฮือๆ…” หยาดน้ำตาที่ฝืนกลั้นไว้ร่วงลงมา ในกาลข้างหน้าบิดาผู้รักและเมตตาเขาไม่อาจกางแขนทั้งสองออกปกป้องเขาได้อีกต่อไป บนโลกใบนี้สกุลหานเหลือเพียงเขาผู้เดียวแล้ว
ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีมองหานผู่ด้วยความเวทนา ทว่าในใจกลับไม่เกิดความโศกเศร้าอันล้ำลึกอีก พวกเขาผาดโผนในยุทธภพมานับสิบปี พบเจอการพลัดพรากทั้งเป็นและลาจากด้วยความตายจนชาชินนานแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคำอวยพรสุดท้ายแก่ผู้วายชนม์ ขอให้พักผ่อนอย่างสงบในโลกหน้าเท่านั้น
“เจ้าว่าเขาจะร้องจนถึงเมื่อใด” เฮยเฟิงซีถาม
“ไหนเลยข้าจะรู้ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษก็ขี้แยได้ถึงเพียงนี้” ไป๋เฟิงซีตอบอย่างไม่อินังขังขอบ
“เจ้าผิดแล้ว เขายังมิอาจนับเป็นบุรุษ เป็นแต่เพียงทารกน้อยเท่านั้น” เฮยเฟิงซีแก้ไขให้นาง
เสียงของทั้งสองไม่ดังไม่เบา พอเพียงให้หานผู่ได้ยินพอดิบพอดี
ดังคาด ครั้นได้ยินเสียงราวกับเสียงนกเสียงกาของทั้งสองแล้ว หานผู่ก็หันหน้าไปถลึงตาใส่พวกเขา แค่ว่าในตาทั้งคู่ยังเอ่อด้วยหยาดน้ำ บนหน้ามีทั้งคราบน้ำตาทั้งน้ำมูก หาความน่าเกรงขามสักนิดก็ไม่มี
หานผู่เช็ดหน้าหนึ่งครา โขกศีรษะหนักๆ อีกหนึ่งที จากนั้นถึงหยัดกายขึ้น ก้าวไปตรงหน้าไป๋เฟิงซี ล้วงถุงแพรออกจากอกยื่นให้นาง “ก่อนท่านพ่อจะเอาตัวข้าไปซ่อนได้กำชับว่าให้มอบสิ่งนี้ให้ท่าน”
“คืออะไรหรือ หรือท่านพ่อเจ้าชังข้าเข้ากระดูก ก่อนตายจึงนึกวิธีล้างแค้นอะไรออก?” ไป๋เฟิงซีรับมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดออก ท่าทางขลาดเขลาหวาดกลัว
นางเปิดถุงแพร ล้วงผ้าไหมที่เก่าจนเหลืองแล้วออกมาสองผืน บนนั้นมีอักษรเขียนไว้แน่นขนัด เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของไป๋เฟิงซีก็เต็มไปด้วยความแตกตื่นตกใจ “ถึงกับเป็นสูตรโอสถผงตำหนักม่วง โอสถเม็ดพุทธจิต!”
เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็อดประหลาดใจอยู่บ้างมิได้ จึงเขยิบเข้าไปดู เป็นสูตรโอสถสองอย่างที่เขาแอบลอกไว้เมื่อครั้งลอบเยี่ยมชมห้องลับในบ้านสกุลหานจริงๆ “สตรี ไม่นึกฝันว่าหานเสวียนหลิงปากบอกว่าชังเจ้าเข้ากระดูก ในทางลับกลับปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพิเศษ ก่อนตายยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วย”
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ตาเฒ่าหานอยากจับข้ามาขยี้กระดูกให้เป็นผุยผงจนแทบคลั่งมิใช่หรือ ไฉนกลับมอบสูตรโอสถล้ำค่าที่เขาเห็นว่าสำคัญยิ่งชีพให้ข้าเล่า” ไป๋เฟิงซีพึมพำ ประหลาดใจเป็นที่สุด
“ท่านพ่อบอกว่าเฮยเฟิงซีแม้คล้ายจะมีเมตตาธรรมและคุณธรรมล้ำเลิศ แต่น้ำใจไม่แน่นอน ยากจะคาดเดา หากมอบสูตรโอสถแก่เขา มิรู้จะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ ส่วนไป๋เฟิงซีแม้จะนอกรีตนอกรอย บ้าระห่ำไม่เห็นหัวผู้ใด แต่สิ่งที่ทำล้วนไม่ขัดต่อคุณธรรมของชาวยุทธ์ ซ้ำวรยุทธ์สูงส่ง หากมอบให้นางก็มิต้องห่วงว่าจะถูกคนชั่วชิงไป ด้วยอัธยาศัยของนางจะสร้างความผาสุกให้ใต้หล้า” หานผู่ทวนคำของหานเสวียนหลิงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ไป๋เฟิงซีและเฮยเฟิงซีฟังวาจานี้แล้วก็มองหน้ากันอยู่เป็นนาน จากนั้นไป๋เฟิงซีก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาและแช่มช้าว่า “ผู่เอ๋อร์น้อย แน่ใจหรือว่านั่นคือคำพูดของพ่อเจ้า”
“ฮึ!” หานผู่แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง “ท่านไม่เอาใช่หรือไม่ เช่นนั้นคืนให้ข้า!”
“เอาซี! จะไม่เอาได้อย่างไร!” เฟิงซีรีบเก็บผืนผ้าไหมใส่ถุงแพร จากนั้นก็ยัดใส่อกเสื้อ “ผู่เอ๋อร์น้อย ขอบใจมากนะ”
“อย่ามาเรียกข้าผู่เอ๋อร์น้อย คลื่นไส้แทบตายแล้ว!” หานผู่จ้องนางด้วยสายตาเคืองแค้น
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเรียกเจ้าว่าผู่เอ๋อร์เป็นอย่างไร หรือจะเป็นน้องผู่ หรือว่า…” นัยน์ตานางกลอกไปมา ปากร่ายคำเรียกขานออกมาเป็นชุด
“ข้ามีชื่อมีแซ่ อย่าเรียกเสียชวนขนลุกเช่นนั้น ข้ากับท่านก็หามีความสัมพันธ์อันใดไม่! สตรี!” หานผู่ตะโกนลั่น ทว่าไม่ทันขาดคำก็รู้สึกตึงวูบที่ลำคอ ขาลอยจากพื้น เบื้องหน้าคือใบหน้าไป๋เฟิงซีที่ใหญ่ขึ้นเท่าตัว
“ผู่เอ๋อร์ ข้าขอเตือนเจ้า ‘สตรี’ นี้มิใช่คำเรียกที่เจ้าจะสามารถเรียกได้ จำเอาไว้ว่าวันหน้าให้เรียกพี่สาว! ได้ยินหรือยัง” ไป๋เฟิงซีหิ้วหานผู่ขึ้นมาจ้องตาในระดับเดียวกัน
“แค่กๆ…ท่าน…แค่กๆ…ปล่อยข้าลง!” หานผู่กุมคอเสื้อ ไออย่างหนัก ขาทั้งสองปัดป่ายไปมากลางอากาศ
“เรียกพี่สาว!” ไป๋เฟิงซีมิเหลียวแลแม้แต่น้อย ยังคว้าเขาไว้ หรี่ตาลงจนเป็นเส้น
“พี่สาว…พี่ซี…พี่สาวคนดี…” ด้วยเรื่องวรยุทธ์ หานผู่จึงจำต้องก้มศีรษะอันสูงส่งลง
“นี่จึงจะเรียกว่าว่าง่าย ผู่เอ๋อร์” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะเขาเบาๆ แล้วจึงปล่อยมือ แล้วหานผู่ก็มีอันต้องร่วงลงมากองที่พื้น
“สตรี เพิ่งจะรู้ว่าตาเฒ่าหานชื่นชมเจ้า เจ้าก็รังแกบุตรชายเขาแล้ว หากเขารู้เข้าจะต้องคลานขึ้นมาจากหลุมเป็นแน่” เฮยเฟิงซีส่ายศีรษะถอนใจ
“นี่ จิ้งจอกดำ เรามาหารือกันสักเรื่อง” ไป๋เฟิงซีมองเฮยเฟิงซีด้วยอาการหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม
“ไม่หารือด้วย” เฮยเฟิงซีปฏิเสธเฉียบขาด ไม่ไว้หน้าแม้น้อยนิด “ไม่เกี่ยวกับข้า”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร! เจ้าก็แอบลอกสูตรโอสถผู้อื่นเช่นกัน จะอย่างไรก็ได้ผลประโยชน์แล้ว ฉะนั้นกับบุตรกำพร้าสูงสามเชียะของผู้อื่น ตามเหตุผลเจ้าควรต้องดูแลสักหน่อย” ไป๋เฟิงซีหาแยแสคำปฏิเสธของเขาไม่
“สูตรโอสถนั้นข้าได้มาด้วยความสามารถของตน ไม่นับว่าเขาอำนวยให้ กลับเป็นเจ้า ผู้อื่นมอบให้ด้วยตัวเอง กับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ เจ้าควรต้องตอบแทนให้มากเป็นน้ำพุจึงจะถู” เฮยเฟิงซีทำท่าดั่งไม่ใช่เรื่องของตน
“จิ้งจอกดำ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องดูแลเองนี่ เจ้าไปไหนก็มีคนตามเป็นพรวนอยู่แล้วมิใช่หรือ ให้จงหลีหรือจงหยวนดูแลก็เรียบร้อยแล้ว” ไป๋เฟิงซีเกลี้ยกล่อมเต็มกำลัง
“เจ้าเป็นสตรี ดูแลเด็กเป็นเรื่องของสตรี” เฮยเฟิงซีไม่หวั่นไหว
“ผู้ใดกำหนดว่าสตรีมีหน้าที่ดูแลเด็ก!?” ไป๋เฟิงซีโวยวาย
“มิสู้ให้เขาเลือกเองเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีเอ่ยขณะมองหานผู่ที่ยังนั่งคลำบั้นท้ายน้อยๆ อยู่บนพื้น
“ได้ ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเลือกไปกับเจ้า” ไป๋เฟิงซีตอบด้วยความมั่นใจล้นปรี่
“หานผู่ เจ้ามานี่” เฮยเฟิงซีกวักมือเรียกหานผู่ให้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา “ต่อไปเจ้าจะไปกับข้าหรือจะไปกับสตรีผู้นั้น”
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าไปกับจิ้งจอกดำตัวนี้หรือไม่ ขอบอกให้รู้ว่าหากติดตามเขา ทุกวันจะได้กินของหายากอาหารเลิศรส ระหว่างทางยังมีหญิงงามมากหน้าหลายตาโถมกายเข้าสู่อ้อมอก มิพักต้องเอ่ยถึงเสื้อผ้าแพรไหมซึ่งตัดเย็บด้วยมือหยกเรียวบางเหล่านั้นที่มีมาให้ใส่ไม่หวาดไม่ไหว ขนมถูกปากเยอะจนกินไม่หมด…แค่คิดข้าก็น้ำลายไหลแล้ว” ไป๋เฟิงซีล่อลวงเขา
หานผู่มองเฮยเฟิงซี แล้วก็หันไปมองไป๋เฟิงซีต่อ จากนั้นก็หันหน้าไปหาเฮยเฟิงซี จ้องนิ่งอยู่ที่เขา ไป๋เฟิงซีเห็นก็อดยินดีมิได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคำที่หลุดจากปากหานผู่จะเป็นเช่นนี้ “ข้าไม่ไปกับท่าน ข้าจะไปกับนาง” ว่าแล้วก็เดินมาอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี แหงนหน้ามองนาง ท่าทางประหนึ่งมีบุญคุณต่อผู้อื่น “ต่อไปท่านดูแลข้าก็แล้วกัน”
“อะไรนะ” ไป๋เฟิงซีกรีดร้อง “เหตุใดเจ้าถึงจะอยู่กับข้าเล่า ต้องรู้นะว่าอยู่กับข้าไม่มีของดีๆ ให้กิน ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ให้ใส่ ไม่แน่ว่าแต่ละวันยังต้องนอนกลางป่าด้วย แต่หากอยู่กับเขา…”
“ข้ารู้” ไม่รอให้ไป๋เฟิงซีกล่าวจบหานผู่ก็พยักหน้าประหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ข้ารู้ว่าอยู่กับเขาจะมีของดีๆ กิน มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ แต่ข้าห่วงว่าวันดีคืนดีนอนหลับฝันอยู่ก็อาจโดนขายทิ้งไปแล้ว อยู่กับท่านถึงแม้จะลำบากไปบ้าง แต่อย่างน้อยทุกวันก็ยังสามารถนอนหลับอย่างวางใจ”
“หา?” ไป๋เฟิงซีคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ นางพลันอึ้งไปกะทันหัน ครู่ต่อมาก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ…จิ้งจอกดำ!” นางหัวเราะจนตัวงอ มือข้างหนึ่งกุมท้อง มืออีกข้างชี้เฮยเฟิงซี “นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าถึงกับมีวันนี้ด้วย ถูกเด็กน้อยคนหนึ่งรังเกียจ! ฮ่าๆๆๆ…ฮ่าๆๆๆ…ข้าขันจะตายอยู่แล้ว”
ส่วนเฮยเฟิงซี พริบตาที่ได้ยินคำตอบก็ฉายสีหน้าประหลาดใจ แต่อึดใจเดียวก็คืนสู่สภาพกงจื่อผู้สูงศักดิ์สง่างาม ใบหน้าฉายรอยยิ้มผ่อนคลายอันเป็นเอกลักษณ์ “สตรี ตกลงตามนี้ เจ้าผีน้อยนี้มอบให้เจ้าเป็นผู้ดูแล เพียงแต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตาเฒ่าหานจะถึงกับให้กำเนิดบุตรเฉลียวฉลาดออกมาได้” ประโยคสุดท้ายเบายิ่งกว่าเบา ราวกับในใจไม่ยินยอม