ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 5 ประกายกระบี่ดุจหิมะ คนดุจบุปผา
“ผู่เอ๋อร์ คืนนั้นเจ้าเห็นคนร้ายเหล่านั้นหรือไม่”
นอกหร่วนเฉิง อาชาขาวตัวหนึ่งเหยาะย่างอย่างแช่มช้า บนหลังม้ามีคนสองคนนั่งอยู่ หานผู่อยู่ด้านหน้า ไป๋เฟิงซีอยู่ด้านหลัง
หานผู่ส่ายหน้า “ข้าเห็นคนเหล่านั้น แต่พวกมันล้วนปิดหน้า ทำให้มองไม่เห็นหน้า”
“มองไม่เห็นหน้า…” ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้นพวกมันใช้ศาสตราวุธใด”
“ดาบ เป็นดาบที่กว้างมากและใหญ่มากทั้งสิ้น” หานผู่เอ่ย
“ดาบรึ…” นางขมวดคิ้วอีกครา “แล้วเจ้าจำได้หรือไม่ว่าพวกมันใช้กระบวนท่าใดบ้าง”
หานผู่ส่ายหน้าอีกคำรบ “ทันทีที่คนชุดดำเหล่านั้นมา ท่านพ่อก็ซ่อนข้าเอาไว้ บอกว่าหากท่านพ่อไม่เรียกก็ห้ามออกมาเป็นอันขาด ฉะนั้นเรื่องในเวลาต่อมาข้าก็ไม่รู้เลย”
“เฮ้อ เจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง เช่นนี้จะให้ข้าไปตามหาคนชุดดำเหล่านั้นได้ที่ใดเล่า” ไป๋เฟิงซียกมือขึ้นเคาะศีรษะหานผู่ “ชาตินี้เจ้ายังต้องการล้างแค้นอยู่หรือไม่”
หานผู่ถูกนางพูดใส่เช่นนี้ก็อดสูยิ่งนัก “ย่อมต้องการอยู่แล้ว! แม้ข้าจะไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพวกนั้น แต่ข้ารู้ว่าพวกมันมาเพื่อสูตรโอสถของบ้านข้า เพราะข้าได้ยินพวกมันบอกให้ท่านพ่อมอบสูตรโอสถออกมา”
“มิน่าเล่าโอสถบ้านเจ้าถึงได้ถูกกวาดจนเรียบ ส่วนสูตรโอสถนั้นหรือ ตอนนี้ก็อยู่ในมือข้า…” ไป๋เฟิงซีจับคาง ดวงตาสาดประกายเจ้าเล่ห์ “หากพวกเราปล่อยข่าวออกไปว่าสูตรโอสถแห่งสกุลหานอยู่ในมือข้า เช่นนั้นแล้วผู้ที่ละโมบอยากครอบครองสูตรโอสถวิเศษทั้งหมดก็จะแห่ตามมา คนชุดดำเหล่านั้นก็ต้องตามมาด้วยอย่างแน่นอน”
“ท่าน…หากท่านทำเช่นนี้ ถึงเวลานั้นคนทั่วหล้าก็จะพากันมาไล่สังหารท่าน!” ทันทีที่หานผู่ได้ยินดังนั้นก็อดร้องขึ้นไม่ได้ “ท่านไม่ต้องการชีวิตแล้ว!” แม้เขาจะเยาว์วัย ทว่าเรื่องเช่นนี้ก็แจ่มแจ้งดี
“พูดอะไรอย่างนั้น!” ไป๋เฟิงซียกมือขึ้นเขกอีกครั้ง
“โอ๊ย อย่ามาเขกข้า” หานผู่กุมศีรษะร้องโอดโอย
“เด็กน้อย เจ้ากลัวคนเหล่านั้นใช่หรือไม่” ไป๋เฟิงซียิ้มยั่วเย้า
“ข้ามิได้กลัวสักหน่อย!” หานผู่ยืดอก ดวงหน้าน้อยๆ อันคมคายเชิดสูงไม่หยอก “ท่านยังไม่กลัว ข้าเป็นชายชาตรีแท้ๆ จะกลัวอันใด! ยิ่งกว่านั้นข้าจะสังหารพวกมันเพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อ!”
“อืม ค่อยสมกับเป็นลูกผู้ชายหน่อย” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า พอเห็นหานผู่พยายามวางท่าเป็นผู้ใหญ่ เชิดดวงหน้าเล็กจ้อยที่หมดจดคมคายขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะเขกศีรษะเขาอีกครา
“อย่าเขกหัวข้าสิ เจ็บนะ!” หานผู่ลูบศีรษะป้อยๆ
“โบราณว่าไว้ว่าไม่เขกไม่บรรลุแจ้ง ฉะนั้นเขกสักหน่อยเจ้าจะได้ฉลาดขึ้นบ้าง” ไป๋เฟิงซียิ้มกล่าว ทว่าก็หยุดมือ
“ข้าฉลาดมากอยู่แล้ว ท่านพ่อกับท่านอาจารย์ต่างก็เคยชมข้าทั้งนั้น” หานผู่ลูบศีรษะพึมพำ สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า
เส้นทางเบื้องหน้ายาวไกล มิรู้จะไปยังทิศทางใด ในหัวสมองน้อยๆ ของเขาเคว้งคว้างไร้แผนการ รู้เพียงว่าหนทางในกาลข้างหน้าจะไม่เหมือนเดิมแล้ว อาภรณ์แพรไหม อาหารชั้นเลิศ ไออุ่นอันรายล้อม ความไร้เดียงสา และความสุขในอดีตล้วนแต่ถูกสะบั้นลงในคืนนั้น บางทีตลอดหนทางข้างหน้าอาจเป็นลมฝน ควันไฟ และฝุ่นผง
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หานผู่ก็หันหน้ากลับมาเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ ขอบใจนะ”
แม้เขาจะยังเล็กนัก ทว่าก็เกิดในสกุลชาวยุทธ์ ยามปกติมักจะได้ยินบรรดาผู้อาวุโสพร่ำบอกว่ายุทธภพมากเภทภัยมีสารพัดเล่ห์ กระทั่งอาจต้องเอาชีวิตไปทิ้ง พอกระหวัดถึงตรงนี้ใจก็นึกซาบซึ้ง
“มา ‘นี่’ อันใดกัน เรียกพี่สาวสิ!” ศีรษะเขาถูกเขกอีกครา
“ถ้าท่านรับปากว่าจะไม่เขกอีก ข้าก็จะเรียก” หานผู่กุมศีรษะไว้ ป้องกันมิให้โดนเขกอีก
“ได้ แต่ลองเรียกให้ฟังสักคำก่อน” ไป๋เฟิงซีรับปากด้วยรอยยิ้มละไม
“เออ…พี่…พี่สาว” ในที่สุดหานผู่ก็กระมิดกระเมี้ยนเรียกออกมาคำหนึ่งด้วยเสียงเบาอย่างยิ่ง
“อืม ผู่เอ๋อร์เด็กดี” ไป๋เฟิงซียื่นมือ จากเดิมที่คิดจะเขกซ้ำ สุดท้ายก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งตกปากรับคำขึ้นได้ จึงเปลี่ยนจากเขกเป็นลูบในทันใด
“พี่สาว พวกเราจะไปไหน” เรียกไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อหานผู่เรียกซ้ำอีกครั้งก็คล่องปากขึ้นเป็นกอง
“ไม่รู้” นางกลับตอบส่งเดช
“อะไรนะ” หานผู่ฟังแล้วแทบกระโดด ทว่าตอนนี้นั่งอยู่บนหลังอาชาจึงไม่อาจกระโดดได้
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ไฉนจึงขวัญอ่อนเกินเหตุอยู่เรื่อย เจ้าต้องโตให้เร็ว ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น หากพบเหตุพลิกผันต้องไม่แตกตื่น เข้าใจหรือไม่” ไป๋เฟิงซีไม่ลืมอบรมน้องชายคนใหม่ผู้นี้เมื่อมีโอกาส
“ถึงเทศกาลฉงหยาง ก็ครบสิบขวบแล้ว” หานผู่ตอบตามตรง
“อ้อ ตอนข้าโตเท่าเจ้าก็กล้าออกไปเที่ยวคนเดียวแล้ว” นางกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ
“หือ?” หานผู่นึกสนใจขึ้นมาทันใด “ท่านออกจากบ้านคนเดียวหรือ ท่านพ่อท่านแม่ไม่เป็นห่วงหรือ”
ผู้ใดจะรู้ว่าไป๋เฟิงซีหาเหลียวแลคำถามของเขาไม่ นางขมวดคิ้วราวกับกำลังใคร่ครวญบางสิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งตาก็เป็นประกาย ปรบมือแล้วร้องว่า “ผู่เอ๋อร์ ข้านึกได้แล้ว”
“นึกอันใดได้หรือ”
“ถ้าปล่อยข่าวไปว่าสูตรโอสถอยู่ที่ข้า ถึงเวลาทั้งคนและม้าจากทั่วสารทิศจะต้องตามมาล่าสังหารเป็นแน่ ข้านั้นไม่กลัว แต่ว่าเจ้า…” นางเหล่มองเขา “ด้วยวรยุทธ์ปลายแถวของเจ้าจะต้องรักษาชีวิตไม่อยู่แน่นอน ดังนั้นข้าจึงคิดหนทางชั้นเยี่ยมทางหนึ่งขึ้นมาได้”
“หนทางชั้นเยี่ยมอันใดหรือ” หานผู่ถาม คิดดูแล้วคำพูดของนางก็มีเหตุผล วรยุทธ์เท่านี้ของเขาอย่าว่าแต่ล้างแค้นเลย กระทั่งรักษาตัวให้รอดก็ยังมิได้ ถึงเวลาไม่แน่ว่าจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย
“สูตรโอสถนั่นจิ้งจอกดำก็ลอกไว้ฉบับหนึ่งเช่นกัน วรยุทธ์ของเขาสูงล้ำกว่าเจ้ามิรู้กี่เท่า มิหนำซ้ำข้างกายยังมียอดฝีมือมากมาย ฉะนั้นเรามิสู้ปล่อยข่าวไปว่าสูตรโอสถอยู่ในมือเขา ให้คนไปไล่ล่าเขาแทน แล้วพวกเราก็ตามอยู่ด้านหลัง รอให้คนชุดดำเหล่านั้นปรากฏตัวก็ได้แล้ว” ไป๋เฟิงซียิ้มหน้าชื่นตาบาน ประหนึ่งภาคภูมิใจกับความคิดนี้เป็นนักหนา “หนทางของพี่สาวผู้นี้วิเศษยิ่งใช่หรือไม่”
หานผู่ฟังแล้วก็นิ่งงันไป ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ท่าน…ทำแบบนี้มิใช่ให้ร้ายเขาหรอกหรือ”
“พูดอะไรอย่างนั้น!” ฝ่ามือไป๋เฟิงซีตบลงบนศีรษะเขา ถึงจะรับปากว่าไม่เขก แต่หาได้รับปากว่าจะไม่ตบ “จิ้งจอกดำตัวนั้นมากเล่ห์ รู้พลิกแพลง ชั่วร้าย เลือดเย็น ไร้น้ำใจ…วรยุทธ์ก็ยากจะมีผู้ต่อกร เจ้ามิสู้เป็นห่วงว่าบรรดาผู้ที่ตามไล่ล่าจะสิ้นชีพลงด้วยมือเขาหรือไม่จะดีกว่า!”
“ลอบกัดลับหลัง สาดโคลนใส่ผู้อื่นกลับยังพูดเต็มปากได้เป็นฉากๆ เยี่ยงนี้นับว่าพบได้น้อยนัก”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงเยือกเย็นผ่าเผยดังขึ้น ทั้งสองหันหน้ามองไปก็พบอาชาพ่วงพีสีดำตัวหนึ่งซึ่งบรรทุกเฮยเฟิงซีเยื้องย่างมาอย่างช้าๆ เบื้องหลังมีพลอาชาตามมาสองคน คือฝาแฝดจงหลีและจงหยวนผู้มีหน้าตาเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ถัดไปอีกคือรถม้าคันหนึ่ง สารถีคือผู้เฒ่าอายุราวห้าสิบ สีหน้าอมเหลือง ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสาดประกายคมปลาบ
“จิ้งจอกดำ เจ้าก็ใช้เส้นทางนี้เหมือนกันหรือ” ไป๋เฟิงซีทักทายด้วยรอยยิ้มระรื่น ไม่มีอาการละอายใจสักนิดเดียว “ในเมื่อทางเดียวกัน เช่นนั้นก็ขอยืมรถม้าเจ้าใช้หลับสักงีบ ข้าง่วงแล้ว” สิ้นคำนางก็เหินร่างขึ้นจากหลังอาชา ทิ้งร่างลงบนรถม้า โบกมือให้สารถีหนึ่งครา “ท่านลุงจง ไม่พบกันนานเชียวนะ” จากนั้นเอ่ยกับจงหลีและจงหยวนว่า “ขนมบนรถข้ากินล่ะนะ หากจิ้งจอกดำหิว พวกเจ้าค่อยคิดหาทางอุดปากของเขาเสีย ถึงที่แล้วค่อยปลุกข้า” ว่าแล้วก็มุดเข้ารถม้า
“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใดกัน” หานผู่ผู้ถูกทิ้งไว้บนหลังอาชาถามอย่างร้อนรน
ผ้าม่านรถม้าเลิกขึ้น ไป๋เฟิงซีเยี่ยมหน้าออกมา ชี้ไปยังเฮยเฟิงซี “ตามเขาไปก็แล้วกัน” แล้วก็หดกลับเข้าไป ไม่โผล่ออกมาอีก
หานผู่มองเฮยเฟิงซีเป็นเชิงถามโดยไร้สุ้มเสียง
“พวกเราไปอูเฉิงก่อน” เฮยเฟิงซีเอ่ยเสียงราบเรียบ ดึงเชือกกระตุ้นอาชาขึ้นนำหน้าไป
หานผู่เหลียวกลับมามองรถม้าที่เงียบกริบ เริ่มสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยว่าตนเลือกติดตามคนผิดหรือไม่
ในอาณาเขตเป่ยโจวมีภูเขาสูงมากมาย ทางทิศใต้มีภูเขานามว่าอูซาน เชิงเขามีเมืองนามว่าอูเฉิง เป็นเมืองชายแดนที่เชื่อมต่อกับราชอาณาเขตของฮ่องเต้ มีแม่น้ำอันมีต้นกำเนิดจากบนเขาอูซานอ้อมผ่านเมือง ไหลเข้าสู่ที่ราบฉีอวิ๋น พาดผ่านราชอาณาเขตทั้งผืน เรื่อยต่อไปยังโยวโจว นี่ก็คือแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับสามของต้าตง…แม่น้ำอูอวิ๋น (เมฆนิล)
ยามนี้ริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋นมีเรือลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ เรือนี้ลักษณะภายนอกไม่ผิดอะไรกับเรือทั่วไป ความพิเศษเพียงอย่างเดียวก็คงจะเป็นตัวเรือซึ่งทาเป็นสีดำสนิท
บัดนี้หัวเรือมีคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็ก นั่นก็คือเฮยเฟิงซีและหานผู่นั่นเอง
ส่วนไป๋เฟิงซี เดิมทีนั่งเอียงร่างพิงระเบียงเรือ ทว่ายามนี้กลับไหลลงไปหลับฝันหวานบนพื้นเรือเสียแล้ว
เวลาพลบค่ำ อาทิตย์อัสดงทอแสงสีทองอ่อนจางมาจากเส้นขอบฟ้า สะท้อนกับระลอกคลื่นบนผิวน้ำอูอวิ๋นเป็นประกายระยิบระยับ ท้องน้ำผืนฟ้าเป็นสีเดียว บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน กระทั่งกกอ้อสี่ห้าพุ่มที่ริมแม่น้ำก็ยังถูกฉาบด้วยสีทองอ่อนๆ ไว้หนึ่งชั้น มันไหวลู่ท่ามกลางสายลม ดุจจะอวดเสน่ห์เสี้ยวสุดท้าย
ดวงตาหงส์เรียวยาวของเฮยเฟิงซีหรี่ลง เขาเชิดศีรษะมองไกลไปยังดวงตะวันสีแดงที่ห้อยอยู่ทางทิศตะวันตกดวงนั้น รัศมีทองอร่ามนับหมื่นสายครอบคลุมอยู่บนร่าง เขาในขณะนี้เงียบงันไร้ซึ่งวาจาใด เสมือนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่นี้มาแต่บรรพกาล มิคล้ายกงจื่อสูงศักดิ์ผู้นุ่มนวลงามสง่าชวนเบิกบานในยามปกติสักนิดเดียว เงาร่างดำทะมึนสูงโปร่งกลางแสงสายัณห์แลดูสูงใหญ่ถึงเพียงนั้น สุขุมยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา แฝงความอ้างว้างอันเป็นลักษณะเฉพาะของภูผาสูงกลางแสงอัสดง ราวกับทั่วทั้งฟ้าดินเหลือเพียงเงาของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ทว่าสายตาหานผู่กลับจับจ้องอยู่ที่ไป๋เฟิงซีผู้หลับอุตุอยู่บนพื้นเรือ เพียงแต่จ้องอยู่เป็นครึ่งวันก็ยังคงขบคิดไม่แตกว่าไฉนคนเฉกเช่นนี้ถึงเป็นไป๋เฟิงซีผู้มีนามลือเลื่องทั่วหล้าไปได้
ตลอดทางจากหร่วนเฉิงถึงอูเฉิง หลักๆ แล้วไป๋เฟิงซีกระทำเพียงสองเรื่อง นั่นก็คือกินข้าวและนอนหลับ ดูเหมือนนางจะนอนไม่พออยู่ร่ำไป เว้นเสียแต่เวลายืน ขอแค่นั่งลงหรือเอนร่างสักหน่อยนางก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้ทันที วิชาหลับอันฉกาจฉกรรจ์นี้ทำให้หานผู่นับถือยิ่งนัก
ส่วนเรื่องกินน่ะหรือ เฮ้อ! นึกถึงวันแรก นางเอาข้าวปลาอาหารที่พี่น้องสกุลจงเตรียมไว้พอให้เฮยเฟิงซีกินสองวันมาเทลงท้องจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็หลับไป สุดท้ายพวกเขาจึงมีแต่ต้องกินอาหารที่ร้านเล็กๆ ข้างทาง พออาหารมาพวกเขาสามสี่คนที่กำลังหิวจนหน้ามืดก็ตะกรุมตะกรามเป็นการใหญ่ แต่เฟิงกงจื่อกลับมองเพียงแวบหนึ่ง ไม่ขยับตะเกียบสักคราก็ลุกขึ้นเดินกลับรถม้าไป
อึดใจต่อมาก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากในรถ ผสมกับเสียงบริภาษที่ฝืนข่มความเจ็บปวด ‘จิ้งจอกดำ ข้าจะฆ่าเจ้า!’
เมื่อได้ยินเสียงโอดโอยในรถม้า จงหลี จงหยวน และท่านลุงจงผู้นั้นก็ยังคงก้มหน้าก้มตากินดังเดิม มีแค่เขาที่เหลือบมองรถม้าอย่างหวาดวิตก ห่วงว่าจะรถทลายคนม้วย กระทั่งอาหารก็ลืมกินเสียแล้ว ท้ายที่สุดท่านลุงจงก็ตบเขาเบาๆ เป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล และแน่นอนว่าสุดท้ายทั้งสองก็มิได้ก่อเรื่องจนมีผู้ใดถึงแก่ชีวิต แม้แต่รอยแผลก็ยังมิเห็นสักครึ่งแห่ง
นางในยามนี้…สตรีผู้หนึ่ง กำลังนอนหงายร่างหลับบนพื้นเรืออย่างผ่าเผย มิแยแสแสงสว่างจ้าสักนิดเดียว มิแยแสว่ารอบข้างมีบุรุษอยู่ด้วย ประหนึ่งว่าฟ้าดินก็คือที่นอนและม่านมุ้งของนาง หลับสบายฝันหวานได้ถึงเพียงนั้น
หานผู่มองอย่างเงียบงัน พอมองนานเข้าจิตใจก็เริ่มเหม่อลอย
ไป๋เฟิงซีตะแคงร่างบนพื้นเรือ แขนข้างหนึ่งซ้อนอยู่ใต้ศีรษะ แขนอีกข้างพาดเฉียงๆ บนหน้าท้อง เส้นผมยาวเหยียดสยายบนพื้นเรือราวกับดาดไว้ด้วยที่นอนแพรไหมสีดำ พอลมแม่น้ำพัดผ่าน แพรสีดำขลับก็พลิ้วขึ้นเป็นสาย บางปอยร่วงลงบนชุดสีขาวดุจควันบางเบาตลบม้วนเมฆา บางปอยก็ลอยละล่องพลิ้วไหวในอากาศสองสามคราก่อนจะร่วงลงบนพวงแก้มของนาง เส้นผมนุ่มเงางามค่อยๆ ระผ่านดวงหน้าขาวราวหิมะอย่างอาลัยอาวรณ์…
เมื่อเฮยเฟิงซีหันกลับมาก็พบว่าหานผู่กำลังจับจ้องไป๋เฟิงซีนิ่ง ในดวงตาฉายแววงุนงง สงสัย ชื่นชม อัศจรรย์ใจ…บนใบหน้าเล็กจ้อย ในดวงตาน้อยๆ เปี่ยมไปด้วยความครุ่นคิดอันลึกซึ้งอย่างไม่สอดคล้องกับอายุ เขายื่นมือตบศีรษะเล็กๆ ของหานผู่ เด็กชายเหลียวศีรษะกลับมามองเขา กึ่งขุ่นเคืองกึ่งจนใจ
ทันใดนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้น ทั้งสองหันหน้าไปมองพร้อมเพรียง แต่กลับหาไป๋เฟิงซีไม่พบเสียแล้ว เห็นเพียงที่หัวเรือมีสายน้ำกระเซ็นออกเป็นวง สาดลงบนพื้นเรือ ครู่ต่อมาทั้งสองได้สติแล้วถึงกระจ่างแจ้งว่าไป๋เฟิงซีร่วงตกลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว!
“อ้า นางว่ายน้ำเป็นหรือไม่”
หานผู่ร้องด้วยความตระหนก พุ่งไปยังกราบเรือ แต่เฮยเฟิงซีกลับดึงตัวเขาเอาไว้ ปากนับเบาๆ ว่า “หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบ!”
พรวด! ผิวน้ำแตกกระจาย จากนั้นก็เห็นไป๋เฟิงซีลอยขึ้นมา
“แค่กๆ…เจ้า…เห็นคนจะตายก็ไม่ช่วย…แค่กๆ…เจ้ามัน…จิ้งจอก!” นางทางหนึ่งก็สำลัก ทางหนึ่งก็ว่ายเข้ามา
“สตรี วิชาหลับของเจ้าทำให้ข้านับถือยิ่งนัก กระทั่งอยู่ในน้ำก็ยังอุตส่าห์หลับได้” ปากส่งเสียงชื่นชม ทว่าฟังออกไม่ยากถึงเจตนากระทบกระเทียบ
ไป๋เฟิงซีพุ่งจากน้ำขึ้นสู่เวหา ม้วนกายกลางอากาศหนึ่งรอบ ทำให้หยดน้ำสาดพรมลงบนเรือจนร่างของสองคนที่อยู่บนเรือชุ่มโชกไปด้วยน้ำ
“สำราญเพียงลำพังมิสู้สำราญร่วมกัน น้ำเย็นชื่นใจเยี่ยงนี้ข้าขอแบ่งปันให้พวกเจ้าร่วมสำราญด้วย” ไป๋เฟิงซีทิ้งร่างลงบนหัวเรือ พอเห็นคนทั้งสองที่ถูกน้ำสาดใส่จนเปียกชุ่มแล้วก็อดหัวเราะอย่างเริงร่ามิได้
“จุ๊ๆ!” เฮยเฟิงซีเอียงศีรษะ ดวงตาดำจับจ้องไป๋เฟิงซี “แม้เจ้าจะเกียจคร้านจนน่าทึ่ง แต่เจ้าก็หาได้เกียจคร้านจนเนื้อพอกพูนไม่” สายตาเขาเคลื่อนสำรวจขึ้นๆ ลงๆ พินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งรอบ “ส่วนที่ควรมีก็มี ส่วนที่ไม่ควรมีก็ไม่มี อื้ม หากว่ากันด้วยจุดนี้ เจ้าก็ยังมีดีอยู่”
ยามนี้ไป๋เฟิงซีเปียกโชกไปทั้งร่าง ชุดสีขาวหลวมๆ นั้นแนบชิดกับผิวกาย ส่วนเว้าส่วนโค้งเห็นได้ชัดตา เส้นผมดำยาวเหยียดแนบอยู่บนร่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หยาดน้ำหยดแล้วหยดเล่าร่วงจากเรือนร่างและเส้นผม ดวงหน้าดั่งหยกขาวสัมผัสน้ำ ชุ่มชื้นบริสุทธิ์ยวนใจ ประหนึ่งภูตน้ำที่ผุดขึ้นจากสายธาร เปี่ยมเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลง
หานผู่เห็นสภาพไป๋เฟิงซีในยามนี้ แม้อายุยังน้อยแต่ก็หมุนกายไปอีกทาง เขาหลับตาลง ในสมองนึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยสั่งสอนว่า ‘ผิดจริยาอย่ามอง’ แต่ก็นึกสงสัยในใจว่าสำหรับคนเยี่ยงไป๋เฟิงซี ในสมองของนางจะมีคำว่า ‘จริยา’ หรือไม่
ไป๋เฟิงซีก้มศีรษะ ย่อมรู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น ทว่าไป๋เฟิงซีก็คือไป๋เฟิงซี หาได้มีทีท่าประดักประเดิดสักนิด นางสะบัดศีรษะ แล้วเส้นผมยาวเหยียดเปียกชื้นก็ถูกเหวี่ยงมาอยู่ด้านหน้า อำพรางทัศนียภาพแห่งฤดูใบไม้ผลิบนเรือนกายไว้บางส่วน ต่อมาก็กล่าวพร้อมกับยิ้มหน้าระรื่น “สามารถได้รับคำชมเช่นนี้จากเฟิงกงจื่อผู้เผื่อแผ่น้ำใจไปทั่วหล้า ช่างเป็นเกียรติสูงสุด” เสียงหัวเราะยังมิทันขาดคำ ร่างก็โผนมาหยุดตรงหน้าเฮยเฟิงซี นางยื่นแขนทั้งสอง หมุนร่างอ้อนแอ้นดุจดั่งภูตน้ำเริงระบำ “สภาพนี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้างเมื่อเทียบกับบรรดาแม่นางในหอบุปผาเหล่านั้น” ระหว่างเอ่ยคำ หยดน้ำกระเซ็นวนเป็นเกลียว ถักทอเป็นม่านน้ำสลัวเลือนครอบคลุมเรือนกาย ทำให้เห็นได้ไม่ชัด และม่านน้ำนั้นก็ครอบลงบนร่างเฮยเฟิงซีเช่นกัน
“แม่นางในหอบุปผาแต่ละคนล้วนอ่อนโยนช่างเอาใจ ฉอเลาะเย้ายวน ไม่มีทางสาดน้ำใส่ข้าจนเปียกไปทั้งร่างเป็นอันขาด” เฮยเฟิงซีหรี่ตายิ้มอย่างขมขื่น
“อ้อ เช่นนี้เองหรือ” นางหยุดร่าง เอียงศีรษะถามสั้นๆ อาจเพราะดวงตาทั้งคู่ถูกน้ำ มันจึงทอประกายใสบริสุทธิ์วาววับ
“ถึงแม้เจ้าจะทั้งไม่อ่อนโยนและไม่ฉอเลาะเย้ายวน แต่แม่นางในหอบุปผาคนใดก็ไม่มีความสามารถที่จะสาดน้ำใส่จนข้าเปียกไปทั้งร่างได้” เฮยเฟิงซีปาดน้ำที่พร่างพรมเต็มหน้าออก ถอนใจอย่างอับจนปัญญา
“ฮ่าๆๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหัวเราะร่า หางตาเหลือบเห็นดวงหน้าน้อยๆ ที่แดงเป็นตำลึงสุกของหานผู่ จึงดีดนิ้วคราหนึ่ง แล้วหยดน้ำหยดหนึ่งก็กระทบกลางหน้าผากเขาอย่างจัง
“โอ๊ย!” หานผู่ร้องอย่างเจ็บปวด คลำหน้าผากป้อยๆ เบิกตาถลึงใส่ไป๋เฟิงซีอย่างเคืองแค้น ในที่สุดเขาก็แน่ใจว่ากับคนเฉกเช่นนี้ไม่ควรกล่าวถึง ‘จริยา’
“ผีน้อยอย่างเจ้ายืนทึ่มทำอันใด ยังไม่เร่งไปหาเสื้อผ้ามาให้พี่สาวเปลี่ยนอีก” ไป๋เฟิงซีกล่าวพร้อมกับชายตามองเขา
เมื่อสิ้นกระแสเสียง จงหยวนก็ประคองเสื้อผ้าชุดหนึ่งมายื่นให้นางอย่างนอบน้อม “แม่นางซี โปรดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือเถิด”
“จงหลี ยังเป็นเจ้าที่ว่าง่าย!” ไป๋เฟิงซีรับเสื้อผ้าไว้ ตบศีรษะเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้มละไม
“แม่นางซี ข้าคือจงหยวน” ดวงหน้าหมดจดของจงหยวนแดงราวกับอาทิตย์ยามเย็นทางปัจฉิมทิศ
“อ๋อ” คิ้วยาวเรียวของไป๋เฟิงซีเลิกขึ้น จากนั้นก็พูดเองเออเองว่า “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรจงหลีจงหยวนก็ล้วนแต่หมายถึงพวกเจ้าทั้งนั้น” ว่าแล้วก็หมุนร่างเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือ
รอจนนางเปลี่ยนชุดเสร็จถึงก้าวออกมา แล้วก็เห็นที่หัวเรือมีคนกำลังชักใบเรือ
“เจ้าจะไปที่ใด” เฮยเฟิงซีเอามือไพล่หลัง เหยียดร่างอยู่ที่หัวเรือ ถามเสียงราบเรียบโดยไม่หันกลับมามอง
“แล้วแต่” นางก็ตอบอย่างเรียบง่าย เงยหน้ามองไปยังมวลเมฆที่พลิกผันหมื่นพันบนท้องนภาฝั่งตะวันตก “ขึ้นฝั่งแล้วเดินไปถึงที่ไหนก็คือที่นั่น”
หานผู่ได้ยินดังนั้นก็คว้าแขนเสื้อไป๋เฟิงซีไว้ตามสัญชาตญาณ
หางตาเฮยเฟิงซีเหลือบเห็นทุกสิ่ง มุมปากจึงโค้งขึ้น ผุดรอยยิ้มบางๆ “หานผู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปกับนาง”
“แน่นอน!” หานผู่กุมแขนเสื้อไป๋เฟิงซีแน่น ตอบโดยไม่ลังเลแม้เศษเสี้ยว ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทุกคราวที่ถูกสายตาของเฮยเฟิงซีผู้นี้กวาดผ่าน หัวใจก็จะเย็นวาบ รู้สึกเสมอว่าตาคู่นั้นเจิดจ้าเกินไป ลึกล้ำเกินไป จะหมื่นเรื่องหมื่นสิ่งก็ล้วนแต่ถูกสายตาเขามองทะลุประหนึ่งเป็นของโปร่งใส นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่หานผู่ไม่ไปกับเขา
“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีหัวเราะอย่างลึกล้ำยากคาดเดา จากนั้นก็ก้มลงเอ่ยอย่างปลดปลงด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินว่า “เดิมคิดจะช่วยฉุดเจ้าขึ้นมาสักหน ทว่า…ภายหน้าเจ้าก็จะได้รู้จักความยากลำบากแล้ว”
“ท่านพูดอะไรน่ะ” หานผู่ได้ยินไม่ชัดและก็ฟังไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร” เฮยเฟิงซีหันหน้าไปมองไป๋เฟิงซี “เรื่องสืบหาตัวคนร้ายที่สังหารล้างบ้านสกุลหาน เจ้าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อจริงหรือ”
“ใช้สิ่งใดเป็นเหยื่อล่อก็ขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ของข้า ส่วนคนเหล่านั้น…” ไป๋เฟิงซียกมือเสยผมยาวสลวยที่ยังมีน้ำหยดอยู่ ดวงตาทอแววคมกริบเจิดจ้าดั่งประกายกระบี่ ทว่าเลือนหายในพริบตา ท่วงท่ายังคงเอื่อยเฉื่อย “สิ่งที่เจ้ากับข้าคาดเดา คิดว่าความจริงคงผิดไปไม่มาก ห้าปีก่อนแม้เจ้ากับข้าจะเหยียบพรรคต้วนหุนจนราบคาบไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจตัดรากถอนโคนได้ ห้าปีให้หลังพวกเขาปรากฏตัวอีกครั้งที่เขาเซวียนซานในเป่ยโจวเพื่อล้อมสังหารเยียนอิ๋งโจว ส่วนคดีโศกนาฏกรรมล้างสกุลหาน คิดดูแล้วคงสลัดความเกี่ยวข้องกับพวกเขาไม่หลุด แต่ไหนแต่ไรมาคนเหล่านั้นก็รู้จักแต่รับเงินทำงาน ผู้ที่สามารถจ้างพวกเขาได้อย่างน้อยจะต้องเป็นพ่อค้าคหบดี”
เฮยเฟิงซีเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบเรือกางออกแล้ว “ข้าจะตรงเข้าฉีอวิ๋นจากทางแม่น้ำอูอวิ๋น เจ้ามิสู้ใช้เส้นทางที่ผ่านซังโจว ระหว่างทางข้าจะช่วยเจ้าสืบหาร่องรอยของมือสังหาร ส่วนเจ้าช่วยข้าตามหาร่องรอยของป้ายขั้วกาฬ แล้วมาพบกันอีกทีที่จี้โจว เช่นนี้เป็นอย่างไร”
ไป๋เฟิงซีมองเขา นางจับประกายที่วาบขึ้นแล้วหายไปในดวงตาเขาได้จึงกล่าวยิ้มๆ “เหตุใดเจ้าต้องยึดติดอยู่กับป้ายขั้วกาฬด้วยเล่า หรือเจ้าเฮยเฟิงซีประสงค์จะสร้างจักรวรรดิแซ่เฟิงจริงๆ”
“จักรวรรดิแซ่เฟิงรึ…” เฮยเฟิงซีผุดยิ้มบางที่ชวนให้ขบไม่ออก เขามองตรงไปจนสุดสายตา “ข้าก็แค่ได้รับการไหว้วานจากผู้อื่นเท่านั้น”
“ใครกันที่มีเกียรติสูงเพียงนี้ ถึงกับสามารถบอกให้เจ้าทำงานให้เขาได้” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้ว “เขาผู้นั้นมิกลัวไหว้วานผิดคนหรือ”
“หลันซีกงจื่อแห่งยงโจว” เฮยเฟิงซีตอบเสียงราบเรียบ เบนสายตากลับมาอยู่บนร่างไป๋เฟิงซี “อัญมณีที่ใช้หนี้แทนเจ้าวันนั้นก็เป็นสิ่งที่เขามอบให้ กล่าวเช่นนี้เจ้าก็ติดค้างน้ำใจเขาอยู่เหมือนกัน ในเมื่อป้ายขั้วกาฬคือสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าช่วยเขาสืบข่าวคราวสักหน่อยก็เป็นการสมควร”
“หลันซีกงจื่อ?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ จากนั้นมุมปากก็คลี่ยิ้มเหน็บแนม “ได้ยินว่าหลันซีกงจื่อผู้เป็นหนึ่งในกงจื่อทั้งสี่แห่งต้าตงเป็นผู้หมดจดงามสง่าดุจกล้วยไม้ในหุบเขาลึก คิดดูแล้วคงเป็นผู้อยู่เหนือโลกียวิสัย หลุดพ้นจากความหยาบยุ่ง แต่ไฉนเขาจึงยึดติดกับป้ายขั้วกาฬซึ่งมือโสมมนับพันหมื่นเคยจับ คราบโลหิตสกปรกนับไม่ถ้วนเคยแปดเปื้อน มิเพียงส่งขุนพลมาแย่งชิง ยังใช้ทรัพย์สินจ้างชาวยุทธ์ เห็นทีเมื่อเอ่ยถึงบัลลังก์ฮ่องเต้ ตำแหน่งเจ้าแห่งขุนเขาลำเนาหลวง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงส่งเพียงไรก็ไม่อาจสามารถหนีโลกียวิสัยอันสามัญนี้พ้น”
กับคำกระทบกระเทียบเสียดสีของไป๋เฟิงซี เฮยเฟิงซีคุ้นเคยจนเป็นสิ่งปกติไปเสียแล้ว รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าจึงมิแปรเปลี่ยน เพียงมองท่าน้ำแล้วเอ่ยว่า “เรือออกแล้ว เจ้าจะร่วมทางไปฉีอวิ๋นกับข้าหรือ”
“ข้าไม่ไปกับจิ้งจอกดำอย่างเจ้าหรอก” ไป๋เฟิงซียื่นมือคว้าคอเสื้อหานผู่ สะกิดปลายเท้าเหินร่างขึ้นแล้วทิ้งตัวลงบนฝั่งอย่างนุ่มนวล
“สตรี อย่าลืมที่นัดกันเสียเล่า พบกันที่จี้โจว” เสียงเฮยเฟิงซีลอยล่องมาประโยคหนึ่ง
“ฮ่า…จิ้งจอกดำ ให้ข้าพบป้ายขั้วกาฬก็ไม่บอกเจ้า ข้าจะยกให้ซื่อจื่อแห่งจี้โจว” ไป๋เฟิงซีกลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำไม” เฮยเฟิงซีถาม
เรือยิ่งลอยยิ่งห่าง ทว่าคำตอบของไป๋เฟิงซียังคงถ่ายทอดมาอย่างชัดเจน
“เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาปรารถนา คือสิ่งที่เขาเอาชีวิตเข้าแลก” นางมองใบเรือขาวที่ลอยห่าง นั่นคือสิ่งเดียวที่เป็นสีขาวบนเรือลำนั้น ไป๋เฟิงซีพึมพำว่า “ยิ่งกว่านั้นนัดของเจ้า ข้าก็มิได้รับปากเสียหน่อย”
สุดท้ายใบเรือสีขาวผืนนั้นก็ลับหายไปในเส้นขอบฟ้า ผู้ที่อยู่บนฝั่งยังคงยืนเหม่อ มองดูขุนเขาครามสายธารเขียวกลางแสงสายัณห์ หัวใจกลับหนักอึ้งโดยไร้ที่มาที่ไป
“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใดกันหรือ” หานผู่เรียกไป๋เฟิงซีที่ยังทอดสายตาไปไกล
“ที่ไหนก็ได้” คำตอบของนางเท่ากับมิได้ตอบ
“ข้าไม่ต้องการไป ‘ที่ไหนก็ได้’ ” หานผู่ข้องใจในการเลือกของตัวเองอีกครั้ง
“อ้อ” ไป๋เฟิงซีก้มมองเขา จากนั้นถึงเอียงศีรษะตริตรอง “เช่นนั้นเราก็เดินไปตามเส้นทางนี้ ซังโจว จี้โจว โยวโจว ชิงโจว ยงโจว จากนั้นค่อยไปราชอาณาเขตฉีอวิ๋น…ไปตามนี้เถิด ต้องมีสักวันที่ได้พบคนเหล่านั้นแน่”
ฟังไป๋เฟิงซีร่ายเส้นทาง หานผู่ก็หัวสมองอุดตัน เบิกตามองนาง “จะเดินเช่นนี้เรื่อยไป?” คำที่ยุทธภพกล่าวไว้ว่านางห้าวหาญร้ายกาจไม่ธรรมดา เฉลียวฉลาดสติปัญญาล้ำเลิศ จะต้องเป็นคำที่เล่าลือกันอย่างผิดพลาดเป็นแน่!
“ไป เจ้าผีน้อย ชักสีหน้าอันใดใส่ข้า” นิ้วเรียวบางของไป๋เฟิงซียื่นออก ดีดลงบนหน้าผากหานผู่ จากนั้นก็เดินนำหน้าไป “เคยได้ยินคำกล่าวประโยคหนึ่งหรือไม่ สวมใส่อยู่เป่ยโจว กินอยู่ซังโจว ยุทธ์อยู่จี้โจว ความรู้อยู่ชิงโจว เที่ยวอยู่โยวโจว ศิลป์อยู่ยงโจว พี่สาวจะพาเจ้าไปหาประสบการณ์กินดื่มเที่ยวหาความสำราญสักตั้ง!”
“ท่านเดินช้าๆ หน่อยซี” หานผู่รีบตามไป ก้าวเข้าสู่การเดินทางครั้งแรกในชีวิตของเขา
ครึ่งเดือนให้หลัง ณ ซังโจว เส้นทางบนภูเขาทางชายแดนตะวันตก
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กกำลังเร่งเดินทาง ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าคือสตรีอาภรณ์ขาว เสื้อคลุมหลวมแขนเสื้อใหญ่ เส้นผมดำยาวทิ้งตัวดุจสายน้ำ ฝีเท้าแผ่วเบา สีหน้าแช่มชื่น ผู้ที่เดินอยู่ด้านหลังคือเด็กชายอาภรณ์ขาว บนหลังแบกห่อสัมภาระขนาดย่อม เครื่องแต่งกายสีขาวบนร่างจวนจะกลายเป็นสีเทา ใบหน้าคมคายสูญสิ้นความกระปรี้กระเปร่า ดวงตาทั้งสองหมองหม่น ปากยังมิวายรำพึงรำพันอย่างอ่อนแรง… “ข้ามากับท่านได้อย่างไรกันนะ อยู่กับท่านมีกินมื้อนี้ไม่มีมื้อหน้า บางครายังกินแล้วชักดาบ หากหนีไม่พ้นก็เอาข้าจำนำไว้ที่นั่น มิอย่างนั้นก็กินผลไม้ป่าผักป่าถ่วงท้อง น้ำยังดื่มเอาจากลำธารร่องเขา! ยามนอนหากมิใช่นอนใต้ชายคาบ้านผู้อื่นก็ห้อยอยู่ตามต้นไม้ หาไม่ก็อาศัยเสื่อหญ้าตามวัดผุพังมาห่อกาย ตากลม กรำแดด เปียกฝน ไม่ได้สุขสบายเลยสักวัน!
เหตุใดไป๋เฟิงซียอดฝีมืออันดับต้นๆ ในยุทธภพถึงไม่มีเงินเล่า จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมิใช่ล้วนแต่มีบารมีน่าเกรงขาม เอวพันด้วยพวงเงินนับหมื่นหรอกหรือ ข้าน่าจะไปกับเฮยเฟิงซี ต่อให้โดนขายทิ้งไปขณะหลับฝัน อย่างน้อยก็ได้กินอิ่มสักหลายมื้อ และได้หลับอย่างสบาย”
…
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าผู้ที่กำลังบ่นคือหานผู่ที่ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าจะไปกับไป๋เฟิงซี ทว่ายามนี้เขาสำนึกเสียใจภายหลังอย่างรุนแรง
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าสิบขวบหรือแปดสิบกันแน่ อย่าเดินกระต้วมกระเตี้ยมเป็นตาแก่สิ” ไป๋เฟิงซีที่ด้านหน้าหันกลับมาเรียกหานผู่ผู้ล้าหลังไปสี่ห้าจั้ง
ทันทีที่ได้ยินหานผู่ก็นั่งแปะลงบนพื้น ไม่ยอมขยับแล้ว เขาใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายถลึงตาใส่ไป๋เฟิงซีอย่างดุดัน
ไป๋เฟิงซีย้อนกลับมาตรงหน้าเขา มองหานผู่ที่อ่อนล้าแวบหนึ่ง ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน “ผู้ใดอ้างตนว่าเป็นชายชาตรีหนอ เหตุใดเดินนิดเดินหน่อยเท่านี้ก็ไม่ไหวแล้ว”
“ข้ากระหาย…ข้าหิว…ข้าไม่มีแรง…” หานผู่โต้แย้งอย่างกะปลกกะเปลี้ย
“เฮ้อ ก็ได้ ข้าจะไปหาดูว่ามีกระต่ายป่าหรือไก่ภูเขามาให้เจ้ากินรองท้องสักตัวหรือไม่”
ไป๋เฟิงซีจนปัญญา ดูแลเด็กนั้นไม่ดีเลย โดยเฉพาะพวกที่โตมาด้วยอาภรณ์แพรไหม อาหารชั้นเลิศดั่งหยก ร่างกายถูกประคบประหงมเต็มที่ ซ้ำยังเลือกกินเลือกดื่ม ทว่า…นิสัยเสียชอบเลือกกินของเขาถูกนางรักษาไปมากแล้วระหว่างทางที่ผ่านมา ฮ่าๆ อย่างน้อยยามที่เขาหิว ขอแค่เป็นสิ่งที่กินได้ เขาก็ล้วนแต่กลืนลงท้องประหนึ่งหมาป่าฮุบเสือเขมือบ
“ส่วนอาการกระหายของเจ้า…ละแวกนี้คล้ายจะไม่มีน้ำบาดาล” นางกลอกตา กดเสียงกระซิบข้างหูเขาว่า “มิสู้ดื่มโลหิตกระต่ายป่าหรือไก่ภูเขาเถิด ทั้งแก้กระหายทั้งได้บำรุง”
“แหวะ! แหวะ!” หานผู่ผลักนางให้พ้นตัวแล้วพุ่งไปอาเจียน แต่กลับอาเจียนแห้งๆ สามสี่ครั้ง หาได้อาเจียนเอาสิ่งใดออกมาไม่ เพราะของทั้งหมดในกระเพาะย่อยหมดสิ้นไปนานแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ…ผู่เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสนุกนัก” ไป๋เฟิงซีจากไปด้วยเสียงหัวเราะร่า “จำไว้ เก็บฟืนมาสักหน่อย ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ลงแรง”
“รู้แล้ว” หานผู่รับคำงึมงำ จากนั้นก็โซซัดโซเซไปเก็บฟืนจำนวนหนึ่งกลับมา หาพื้นราบแห่งหนึ่ง แล้วใช้มีดพกสั้นถางเป็นที่ว่างขนาดเล็ก นำฟืนมาก่อแล้วรอเพียงไป๋เฟิงซีกลับมา
“ผู่เอ๋อร์เด็กดี ก่อไฟได้” เสียงไป๋เฟิงซีดังมาแต่ไกล หานผู่รู้ว่านี่หมายถึงนางล่าสัตว์ได้แล้ว จึงรีบหาหินไฟมาจุด เมื่อฟืนติดไฟ ไป๋เฟิงซีก็มือข้างหนึ่งหิ้วไก่ภูเขา มือข้างหนึ่งถือสาลี่ป่าผลค่อนข้างใหญ่สองผลเดินกลับมาถึงที่แล้ว
“แก้กระหายก่อนเถิด” นางโยนสาลี่ป่าให้หานผู่
หานผู่รับได้ก็กัดคำหนึ่ง ออกแรงดูดน้ำในเนื้อสาลี่ทันที จากนั้นก็ผ่อนหายใจยาวอย่างมีความสุข ยามนี้สำหรับเขา น้ำสาลี่เปรี้ยวอมหวานเทียบได้กับน้ำทิพย์ก็ไม่ปาน
“ผู่เอ๋อร์ จะกินไก่ย่างหรือไก่ขอทาน” ไป๋เฟิงซีถอนขนไก่ภูเขาอย่างคล่องแคล่ว แหวกอกผ่าท้อง ท่วงท่าชำนิชำนาญเช่นนั้น หากไม่ฝึกฝนมาสามปีห้าปีไม่มีทางทำได้
“ย่าง…” ในปากหานผู่มีเนื้อสาลี่อยู่ หวังแค่ให้มีของกินโดยเร็วเท่านั้น
“เช่นนั้นก็ไก่ย่างสกุลเฟิงแล้วกัน” ไป๋เฟิงซีเสียบไก่ไว้เหนือกองไฟ “ผู่เอ๋อร์ ไฟน้อยไปหน่อย เจ้าเป่าให้ลุกกว่านี้อีกนิด”
หานผู่กินสาลี่ป่าไปหนึ่งผล จึงเริ่มมีกำลังขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเขี่ยๆ กองไฟแล้วเป่าฟู่
“ไม่ได้ แรงอีกหน่อย!” ไป๋เฟิงซีพูดพลางพลิกไก่ไปพลาง “ถ้าไฟยังไม่แรงอีก ประเดี๋ยวจะให้เจ้าแทะกระดูกไก่”
ประจักษ์ดีว่านางพูดได้ทำได้ หานผู่จึงรีบสูดหายใจเข้าลึกๆ รวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน จากนั้นก็ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเป่าออกไป
ฟืนไฟและฝุ่นตลบขึ้นในอากาศ ขี้เถ้าดำปลิวว่อนแล้วร่วงลงสู่ศีรษะ ใบหน้า และทั่วร่างของทั้งสอง
ไป๋เฟิงซีปาดขี้เถ้าออกจากใบหน้า ดวงหน้าขาวผ่องกลายเป็นหน้าลายดำสลับขาว นางเบิกตา เค้นคำสองคำผ่านไรฟันด้วยเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำค้างฤดูใบไม้ร่วง “หานผู่!”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย!” หานผู่ถดร่างหนีเข้าไปในพุ่มไม้ทันที บัดนี้การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวยิ่งกว่ากระต่ายป่าอย่างแน่แท้
“หยุดนะ!” ไป๋เฟิงซีเหินร่างไล่ตาม ในพุ่มไม้หนาทึบ ไหนเลยจะยังเห็นเงาร่างของเขาได้
หานผู่ที่เร้นกายในพุ่มไม้กระถดร่างอย่างช้าๆ เกรงว่าทันทีที่ไม่ระวังก็จะถูกไป๋เฟิงซีพบเข้า เขานึกเสียใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยว่าควรตามเฮยเฟิงซีไป อย่างน้อยก่อนตายอีกฝ่ายคงให้ตนได้กินอิ่มสักมื้อ
สวบสาบ! ด้านหลังมีเสียงแว่วขึ้น นางไล่มาแล้ว! เขากระโดดโหยง รีดพลังทั้งหมดทั้งมวลที่ได้จากนมแม่สำแดงวิชาตัวเบาที่อยู่ในระดับแมวสามขาพุ่งหนีไปข้างหน้า
ฟุบ! เสียงลมด้านหลังคล้ายกับเสียงศาสตราวุธแหวกอากาศ คมเกินต้านรับ!
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ครั้งหน้าข้าจะระวัง!” หานผู่ร้องเอะอะอย่างน่าเวทนา
ทว่าเสียงลมจากด้านหลังกลับยิ่งกระชั้น ความเย็นเยียบสายหนึ่งจ่อมาถึงท้ายทอยเขาแล้ว
นางไม่ใจเหี้ยมถึงขั้นนี้กระมัง? ท่ามกลางความชุลมุนเขาหันหน้ามองกลับไปแวบหนึ่ง การมองครานี้ทำเอาเขาตระหนกจนขวัญแทบจะหลุดออกจากร่าง!
บางสิ่งราวกับผลึกหิมะแซมด้วยประกายเข็มดาดทั่วฟ้า ม้วนตลบเข้าใส่เขาอย่างแน่นหนาดั่งสายฝน หานผู่ยังมิทันส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกกับลีลาอันวิจิตร ปลายคมก็ใกล้จะถึงผิวเนื้อแล้ว กระแสเย็นแผ่ลามมาทะลวงกระดูก เขาหลับตาลง ปากได้แต่ร้องตะโกนว่า “พี่สาวช่วยข้าด้วย!”
ผ่านไปเป็นนาน ความเจ็บปวดจากคมอาวุธทะลวงร่างก็ยังไม่มาถึง กระทั่งกระแสเย็นสายนั้นก็ทอนลงไปไม่น้อย รอบด้านคล้ายกับจะเงียบสงัดยิ่ง หานผู่ลอบเปิดตาขึ้นเป็นร่องเล็กๆ ทันใดนั้นลมหายใจเฮือกหนึ่งก็จุกอยู่ที่ลำคอ
ปลายกระบี่คมกริบเจิดจ้าดุจหิมะจ่ออยู่ห่างจากลำคอเขาไปชุ่นเดียว เมื่อมองตามกระบี่ยาวขึ้นไป บริเวณสองชุ่นก่อนถึงปลายกระบี่คือนิ้วเปื้อนขี้เถ้าดำสองนิ้ว นิ้วกลางและนิ้วชี้เรียวยาวคีบใบกระบี่ไว้โดยสะดวกดาย ครั้นมองผ่านนิ้วต่อขึ้นไป ด้านบนก็คือมือข้างหนึ่งที่กุมด้ามกระบี่ มือนั้นขาวผ่องหมดจด เรียวยาว ต่างกันราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับนิ้วเปื้อนขี้เถ้า ถ้ามองต่อไปตามมือข้างนั้นก็คือแขนเสื้อขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ต่อจากแขนเสื้อขึ้นไปเหนือหัวไหล่คือดวงหน้าประหนึ่งหิมะ
ผุดผ่องดั่งผลึกหิมะ งดงามดั่งผลึกหิมะ เย็นเยียบดั่งหิมะ และเปราะบางดั่งผลึกหิมะ ราวกับเพียงแตะอย่างแผ่วเบา ดวงหน้านี้ก็จะปลิวลอยและละลายไป
“ตกใจจนเขลาไปแล้วหรือ” ข้างหูมีเสียงเหน็บแนมของไป๋เฟิงซีดังขึ้น
“พี่สาว!” หานผู่ได้สติ ตื่นเต้นจนกอดนางไว้ กระแสเย็นทั้งหมดจึงสลายไป หัวใจที่สะท้อนขึ้นลงก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม
“อืม” นางขานรับเบาๆ ดวงตาจับจ้องคนตรงหน้าเขม็ง
คนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี? เว้นเสียจากดวงหน้านั้น ส่วนอื่นดูแล้วน่าจะเป็นบุรุษ…ดูเหมือนมนุษย์หิมะ!
ผมยาวขาวดุจหิมะ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ผิวกายขาวดุจหิมะ ยังมีดวงตาเย็นชาเจิดจ้าที่สุกใสดุจหิมะ ทั้งบุคลิกยังเฉยชาเย็นเยียบดุจหิมะ สิ่งเดียวที่มีสีดำก็คือคิ้วรูปกระบี่นั่น
ผู้ที่งดงามประหนึ่งหิมะเช่นนี้ มิรู้ว่าจะเปราะบางไม่อาจทานแรงกระเทือนแม้สักคราเช่นเดียวกับหิมะหรือไม่
ความคิดในใจเพิ่งแล่น มือซ้ายก็ยกขึ้น งอนิ้วดีดบนใบกระบี่ เสียงติ๊งดังเกรื่องกร่าง มือที่บุรุษชุดขาวหิมะกุมกระบี่สั่นสะท้าน ทว่ายังคงกุมไว้ได้อย่างมั่นคง ดวงตาเย็นเยียบดั่งหิมะจ้องนางไม่วางตา นัยน์ตาถึงขนาดฉายสีฟ้าขึ้นเล็กน้อยอย่างน่าพิศวง
“เอ๋?” ไป๋เฟิงซีตระหนกระคนประหลาดใจ ดีดครั้งนี้นางใช้แรงถึงห้าส่วน เดิมคิดว่าบุรุษชุดขาวหิมะจะต้องกระบี่หลุดจากมือเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่าเขายังกุมไว้ได้ เห็นทีวรยุทธ์คงมิใช่ชั่ว
บุรุษชุดขาวหิมะพรั่นพรึงยิ่งกว่า สตรีบ้านนอกผู้เปรอะฝุ่นดินไปทั่วร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้าดำเป็นปื้น มอมแมมเหมือนโผล่ออกมาจากบ่อดินตรงหน้าถึงกับสามารถใช้สองนิ้วคีบกระบี่ซึ่งเขาแทงออกไปด้วยแรงทั้งหมดไว้ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ และแรงดีดเพียงคราเดียวก็ทำให้นิ้วเขาชาด้าน หากมิใช่เพราะเดินกำลังภายในทั้งหมดคุ้มกันอยู่ เกรงว่ากระบี่ล้ำค่าคงปลิวหลุดมือไปแล้ว
นางคือผู้ใด ยุทธภพมีสตรีที่วรยุทธ์ร้ายกาจเพียงนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ข้าปล่อยมือเจ้าเก็บกระบี่ หรือเอาเป็น…” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะมองบุรุษชุดขาวหิมะตรงหน้า มุมปากหยักน้อยๆ เป็นรอยยิ้มจางๆ แค่ว่าดวงหน้าที่ดำเมี่ยมพอคลี่ยิ้มแล้วก็ดูน่าขันยิ่ง “หรือเอาเป็น…ข้าหักมันทิ้ง?”
ดังคาด ทันทีที่สิ้นเสียงดวงตางดงามคู่นั้นก็ทอจิตสังหาร ทางด้านบุรุษชุดขาวหิมะ สีฟ้าอ่อนในดวงตาก็เข้มขึ้นประหนึ่งท้องฟ้าครามเหนือทุ่งหิมะ และทั้งร่างของเขาก็แผ่รัศมีคมกล้าออกมาคุกคามนาง ราวกับนักรบในสนามศึกที่จิตฮึกเหิมพลุ่งพล่าน
ช่างหยิ่งทะนงนัก! นางอดนึกทอดถอนใจมิได้