ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 6 คำมั่นชั่วครู่ยามฤๅมีวัน
“เก็บกระบี่”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ในน้ำเสียงราบเรียบมีความน่าเกรงขาม ฟังราวกับฮ่องเต้บัญชาขุนนาง
บุรุษชุดสีหิมะได้ยินดังนั้น รัศมีคุกคามทั่วร่างก็พลันปลาสนาการ เขาขยับข้อมือ หมายจะชักกระบี่แล้วถอย ทว่าไม่อาจชักกลับได้
ปลายกระบี่ถูกคีบไว้ในมือไป๋เฟิงซี เขาขมวดคิ้วออกแรงดึงกระบี่อีกคำรบ แต่ก็ไม่อาจดึงให้ขยับได้สักกระเบียด สีฟ้าในตาของเขาซึ่งเพิ่งจางลงมิทันใดเข้มขึ้นฉับพลัน จับจ้องนางนิ่งไม่ยอมละ ราวกับคิดจะตวัดกระบี่เข้าห้ำหั่นเป็นที่สุด แต่กลับต้องอดทนถึงสิบส่วน
“แม่นางก็ปล่อยมือเป็นอย่างไร” เสียงนั้นกังวานขึ้นอีกครา น้ำเสียงยังราบเรียบดังเดิม ทว่ามีแววแห่งคำสั่งอันไม่อาจมองข้ามอยู่ด้วย แต่กลับไม่ชวนให้รู้สึกต่อต้าน คนผู้นี้คล้ายกับเกิดมาก็เป็นเยี่ยงนี้
“ไม่ปล่อยแล้วจะอย่างไร” ไป๋เฟิงซีกล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง
“ถ้าเช่นนั้นแม่นางต้องการอย่างไรจึงจะยอมปล่อยมือ” เสียงจากด้านหลังดังขึ้นอีก แฝงแววข่มกลั้นอันน่าพิศวง
“ขอขมา” ไป๋เฟิงซีเอ่ยเบาๆ มองบุรุษชุดขาวเขม็ง
“หืม?” เสียงจากเบื้องหลังคล้ายกับนึกขันอยู่บ้าง
“คนผู้นี้ชักกระบี่แทงน้องชายข้าโดยไร้สาเหตุ หากมิใช่ข้าติดตามมาทัน น้องชายตัวน้อยก็คงจะสิ้นชีพด้วยกระบี่ของเขาแล้ว” ไป๋เฟิงซียังคงไม่หันไปมอง เอาแต่จับจ้องบุรุษชุดขาวหิมะเท่านั้น แววเกียจคร้านในดวงตาบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นประกายเย็นเยียบ “บางทีในสายตาพวกท่านชีวิตอาจเป็นดั่งต้นหญ้า ทว่าในสายตาข้า น้องชายข้าล้ำค่าเกินกว่าอัญมณีใดบนแผ่นดิน”
“อ้อ?” ผู้อยู่ด้านหลังเหลือบสายตามองหานผู่แวบหนึ่ง “น้องชายของท่านยังมิได้รับบาดเจ็บสักเศษเสี้ยว”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีหรี่ตาเล็กน้อย “เพียงเพราะยังไม่บาดเจ็บหรือสิ้นชีพ เช่นนั้นที่เขาต้องเสียขวัญก็ได้แต่โทษที่เขาโชคไม่ดีหรือฝีมือสู้ผู้อื่นมิได้?” นางเอียงศีรษะยิ้ม ยิ้มอย่างสดใสเป็นที่สุด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าเองก็สังหารผู้คนมาไม่น้อย แต่ถามใจตนแล้วว่าหาเคยสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่ ทว่าบัดนี้จะลองสังหารคนแปลกหน้าดูบ้าง!”
บุรุษชุดขาวหิมะยังมิทันคืนสติจากรอยยิ้มของนางก็รู้สึกข้อมือปวดร้าว นิ้วทั้งห้าชา กระบี่หลุดจากมือไปแล้ว
“เจ้าก็ลิ้มรสชาตินี้ดูบ้าง!” ไป๋เฟิงซีตวาดเบาๆ ชิงกระบี่แล้วหมุนกาย นางพลิกข้อมือหนึ่งครา กระบี่ก็กลายเป็นสายรุ้งยาวแทงเข้าใส่ผู้อยู่ด้านหลัง
“กงจื่อ ระวัง!” บุรุษชุดขาวหิมะร้องลั่น
ประกายกระบี่วิจิตร รวดเร็วดั่งสายลม ชั่วพริบตาก็จ่อถึงลำคอคนผู้นั้น
คนผู้นั้นก็หาใช่ชนชั้นสามัญไม่ พลิ้วร่างไปทางซ้ายอย่างว่องไว กระบี่นี้จึงเฉียดผ่านร่างไป ทว่าไม่รอให้เขาได้หายใจกระบี่ที่สองก็ตามติดดุจเงา แทงตรงเข้ายังดวงตา
“หือ?” คนผู้นั้นหลากใจอยู่บ้าง มิคาดฝันว่าท่าร่างของอีกฝ่ายจะเร็วปานนี้ เมื่อหลบจนเหลือหลบก็พลิกข้อมือ ในแขนเสื้อมีประกายสีฟ้าสาดวูบ ต้านรับกระบี่ยาวไว้พอดี ปลายกระบี่อยู่ห่างจากดวงตาไม่ถึงครึ่งชุ่น
“กงจื่อ!” บุรุษชุดขาวหิมะเห็นเหตุการณ์ก็แตกตื่นลนลาน ทว่าก็มิกล้าวู่วาม
“ไม่เลว” ไป๋เฟิงซีออกปากชมเบาๆ ขณะเดียวกันข้อมือก็ขยับ ปลายกระบี่เคาะลงบนแสงสีฟ้า…นั่นคือดาบโค้งที่ยาวไม่ถึงหนึ่งเชียะ ตัวดาบทอประกายสีฟ้าอ่อน ภายใต้แสงอาทิตย์ดูประหนึ่งจันทร์เสี้ยวสีฟ้าอันเคลื่อนคล้อย
คนผู้นั้นเห็นนางขยับข้อมือก็โคจรกำลังไว้ที่แขนโดยพลัน
ติ๊ง! พละกำลังที่ทั้งสองโคจรไว้เคลื่อนมาปะทะกัน ดาบและกระบี่ที่กระทบกันก่อให้เกิดเสียงโลหะใสกังวาน ขณะเดียวกันทั้งสองก็ห้านิ้วชาวาบ
“วรยุทธ์เยี่ยมยอด!” ครั้งนี้เป็นคนผู้นั้นออกปากชื่นชม ยังมิทันสิ้นเสียงเขาก็งอนิ้วดีดกระบี่ พร้อมกับวาดดาบสั้น พาประกายสีฟ้าลึกล้ำพุ่งเข้าพัวพันลำคอไป๋เฟิงซี
ไป๋เฟิงซีเห็นดังนั้นก็หนาวเยือก กระบี่ยาวในมือโบกอย่างดุดัน ถักทอเป็นกำแพงกระบี่อันแน่นหนาจนลมมิอาจผ่าน
ได้ยินเพียงเสียงดาบและกระบี่ปะทะกันดังเกรื่องกร่างต่อเนื่อง คนทั้งสองเข้าต่อสู้ระยะประชิด ชั่วพริบตาก็แลกกันสิบกว่ากระบวน ฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“รับกระบวนท่านี้ของข้า” ไป๋เฟิงซีตวาดเบาๆ ข้อมือขวาพลิกหนึ่งครา ทันใดนั้นกระบี่ยาวก็วาดกลับ กระแทกดาบอีกฝ่ายออก จากนั้นก็หมุนเร็วรี่แล้วแทงตรงใส่หน้าอกอีกฝ่าย ขณะเดียวกันแขนเสื้อซ้ายก็สะบัดดุจเมฆขาวลอยขึ้นกลางเวหา พุ่งเข้าใส่หน้าคนผู้นั้น แขนเสื้อยังไม่ถึง กระแสลมเกรี้ยวกราดก็กรีดจนผิวกายแสบเล็กน้อย
คนผู้นั้นเห็นแล้วอดชื่นชมมิได้ที่นางวรยุทธ์ล้ำเลิศ กระบวนท่าพลิกแพลงฉับไว ทว่าเขายังไม่ลนลาน พลิกมือขวา ดาบสั้นขวางหน้าอก กั้นกระบี่ยาวที่แทงเข้ามาเอาไว้ พร้อมกับมือซ้ายโบกออก แปลงเป็นฝ่ามือดาบ แฝงกำลังแปดส่วน ฟันตรงเข้าใส่แขนเสื้อซ้ายของไป๋เฟิงซี
“ฮิ…รับกระบวนท่านี้ต่อ” ครั้นเห็นกระบวนท่ากำลังจะถูกคลี่คลาย ไป๋เฟิงซีก็พลันหัวเราะเบาๆ นางชูมือซ้ายขึ้น ทำให้แขนเสื้อใหญ่หลวมพลิ้วไปก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะมาถึง ฝ่ามือคนผู้นั้นจึงพบกับอากาศธาตุ ขณะคิดจะแปลงกระบวนท่า แขนเสื้อของไป๋เฟิงซีก็ม้วนเข้าหาอีกคำรบ หมายจะพันฝ่ามือซ้ายของเขาไว้ กระบวนท่านี้หากเป็นผล ฝ่ามือซ้ายของเขาก็จะหลุดออกจากข้อมือ!
คนผู้นั้นประสบอันตรายก็มิแตกตื่น วรยุทธ์ของเขาก็สูงล้ำเช่นกัน พริบตาที่แขนเสื้อยาวเริ่มพัวพันฝ่ามือซ้าย เขาก็แปลงฝ่ามือเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วคว้าลง ยินเพียงเสียงแควก แล้วทั้งสองก็แยกออก แขนเสื้อครึ่งท่อนลอยละล่องอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
“พี่สาว!” หานผู่เห็นคนทั้งสองแยกออกจากกันก็รีบบึ่งไปอยู่ข้างกายไป๋เฟิงซี
“กงจื่อ!” บุรุษชุดขาวหิมะก็เร่งเดินไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้นเช่นกัน ทว่าดวงตากลับถลึงใส่ไป๋เฟิงซี ในสีหน้าทั้งอายทั้งโกรธ อายที่ลำพองตนว่าวิชากระบี่ไร้ผู้เทียมทาน แต่วันนี้กลับถูกชิงกระบี่ โกรธที่สตรีบ้านนอกผู้นี้ลงมือกับกงจื่อ!
“พี่สาว ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง” หานผู่มองไป๋เฟิงซีด้วยความห่วงใย
“ไม่” นางก้มศีรษะ ยิ้มตอบหานผู่เป็นเชิงให้เขาไม่ต้องกังวล ต่อมาถึงยกมือซ้ายขึ้น พบว่าแขนเสื้อถูกฉีกไปครึ่งท่อน เผยให้เห็นลำแขนขาวผุดผาดดั่งหิมะ เพียงแค่ว่าฝ่ามือยังดำสกปรก “อื้ม ถูกฉีกแขนเสื้อเชียวรึ ไม่ได้พบคู่มือเช่นนี้มาหลายปีแล้ว”
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ” บุรุษชุดขาวหิมะไถ่ถามนายของตนด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไร” คนผู้นั้นส่ายศีรษะ ยกมือซ้ายของตนขึ้น บนแขนมีรอยโลหิตตื้นๆ ยาวราวสามชุ่น “นึกไม่ถึงว่ากลางป่าเขากันดารจะได้พบกับยอดฝีมือเช่นนี้”
ไป๋เฟิงซีเบนสายตาไปทางเขา พริบตานั้นก็อดตกตะลึงไปมิได้
นั่นคือบุรุษหนุ่มที่ต่อให้มองเพียงปราดเดียวก็ยากจะลืมเลือน รูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์แพรไหมสีม่วงอ่อน เส้นผมดำยาวรวบอยู่ที่ท้ายทอยด้วยสายคาดแพรสีม่วง ดวงหน้าประหนึ่งสวรรค์เบื้องบนเลือกเฟ้นหยกงามที่สุดมาบรรจงสลักเสลาเป็นผลงานชิ้นเอก นัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลทองอย่างหาได้ยาก ยามกะพริบดั่งมีประกายทองระยิบระยับ เขายืนเอามือไพล่หลังอย่างผ่อนคลาย กลางภูเขากันดารนี้กลับคล้ายราชันท่องหล้า มีความสูงศักดิ์และหยิ่งทะนงบางอย่าง
นางและเฮยเฟิงซีรู้จักกันสิบกว่าปี รู้สึกมาตลอดว่าบุรุษในแผ่นดินนี้หากกล่าวถึงรูปโฉมแล้วก็ยากจะหาผู้ใดทัดเทียม นางรู้ว่าต่อให้เป็นผู้มีรูปโฉมโดดเด่นเพียงใด นางก็ล้วนสามารถมองด้วยจิตใจสงบนิ่งได้ ทว่าขณะนี้กลับอดตะลึงในความงามมิได้
“อืม เป็นครั้งแรกทีเดียวที่ได้พบกับผู้ที่สูสีกับจิ้งจอกดำตัวนั้น” นางพึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่อยู่
“พี่สาว ท่านพูดว่ากระไรหรือ” หานผู่ถาม เพราะเสียงของไป๋เฟิงซีเบาเกินไป เขาจึงได้ยินไม่ชัดเจน
“ข้ากำลังพูดว่า…เมื่อไรเจ้าจะโตเสียที” ไป๋เฟิงซีก้มหน้าเหลือบตามองหานผู่ มองดวงหน้าน้อยๆ อันหมดจดคมคายนั่น ลอบคิดในใจว่าหากหานผู่เติบใหญ่เมื่อใดก็อาจจะทัดเทียมกับเขาก็เป็นได้
“วรยุทธ์อันล้ำเลิศของแม่นางพบได้ยากยิ่ง มิทราบว่าแม่นางมีแซ่สูงส่งนามยิ่งใหญ่ว่าอันใด” ขณะที่ไป๋เฟิงซีกำลังประเมินบุรุษชุดม่วง คนผู้นั้นก็กำลังสำรวจตรวจตรานางเช่นกัน
สตรีตรงหน้านี้ เสื้อผ้าอาภรณ์แยกไม่ออกแล้วว่าเดิมเป็นสีใด ดวงหน้าขาวหย่อมหนึ่งดำหย่อมหนึ่ง แยกแยะรูปโฉมไม่ออกเช่นกัน มองปราดแรกหาดีใดๆ มิได้เลย ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสุกใสผิดจากสามัญ ราวกับดวงดาวโดดเดี่ยวที่เหลืออยู่เพียงสองดวงกลางไพรเถื่อนอันมืดดำโกลาหล มันทอประกายสุกใสจับตา ชวนให้อดมองเป็นหนที่สองมิได้ และเมื่อมองดูอีกคราก็พบว่าสตรีมอมแมมเหลือทนผู้นี้มีท่วงท่าปลอดโปร่งเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งสายลมเย็นอันอิสรเสรี ไร้ผูกมัดท่ามกลางความพลุกพล่านสับสน อาจพัดจากไปได้ทุกเมื่อ
“หึ! นามสูงส่งของพี่สาวข้าไหนเลยจะเที่ยวแจ้งแก่ผู้อื่นอย่างส่งเดชได้” หานผู่ฟังคำก็แค่นเสียง คางเชิดสูง “อย่างน้อยพวกท่านต้องขออภัยข้าก่อนถึงจะได้”
“อ้อ?” บุรุษชุดม่วงกวาดสายตามองหานผู่อย่างเฉื่อยชา
ถูกบุรุษชุดม่วงมอง หานผู่ก็หัวใจกระตุกวูบโดยไม่ทราบสาเหตุ เพลิงโทสะก็อ่อนลง “พวก…พวกท่านทำให้ข้าเสียขวัญโดยใช่เหตุ ย่อมต้องขอขมาต่อข้า”
“อ้อ” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว “เช่นนั้นไม่ทราบว่าน้องชายมีนามว่าอันใด”
หานผู่ได้ยินผู้อื่นถามถึงชื่อก็ประกาศเหล่ากอของตนด้วยความฮึกเหิมที่พุ่งสูงหมื่นจั้งในทันใด “ข้ามีนามว่าหานผู่ แม้ว่าตอนนี้วรยุทธ์ยังอยู่ในขั้นธรรมดา ทว่าอนาคตจะต้องเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจเหนือกว่าไป๋เฟิงเฮยซีอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าๆๆ!” ยินดังนั้นบุรุษชุดม่วงก็อดแหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะไม่ได้ ขณะหัวเราะเสียงดัง ทั้งร่างก็แผ่รัศมีระห่ำลำพองออกมา ชวนให้มิกล้าดูแคลน
บุรุษชุดขาวหิมะกลับขมวดคิ้วมองหานผู่ สายตานั้นบอกอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่เชื่อว่าหานผู่จะมีความสามารถนั้น
หานผู่ผู้โดนเสียงหัวเราะของบุรุษชุดม่วงและแววตาของบุรุษชุดขาวหิมะทิ่มแทงกำหมัดร้องขึ้นทันใด “ท่าน…ท่านขันอันใด ท่านไม่เชื่อหรือ ฮึ รู้ไว้เสียด้วยว่าพี่สาวของข้า…” ทว่ายังเอ่ยไม่ทันจบ หน้าผากก็โดนตบเข้าไปหนึ่งฝ่ามือ ตบเอาครึ่งประโยคหลังกลับลงท้องไป
“เจ้าเอาหน้าตัวเองไปขายผู้เดียวไม่พอ ยังจะเอาหน้าข้าไปด้วยอีกคนหรือ” ไป๋เฟิงซีตบหานผู่เบาๆ เหล่ตามองบุรุษชุดม่วงพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “อันระลอกคลื่นในแม่น้ำและมหาสมุทรก็ล้วนแต่ลูกหลังดันลูกหน้า เรื่องราวในโลกหล้าก็มักจะมีคนใหม่แทนคนเก่า ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งในกาลข้างหน้า ชื่อเสียงทางวรยุทธ์ของเขาอาจเหนือกว่าคนเหล่านั้นได้จริงๆ เหตุใดท่านต้องหัวเราะเขาด้วย”
“แม่นางหาน ข้าหาใช่เยาะที่เขาพูดจาลำพอง ทว่าชื่นชมที่เขายังเล็กแต่กลับมีปณิธานเช่นนี้” บุรุษชุดม่วงหุบยิ้ม สายตามองหานผู่ “เพียงแต่บุคคลเยี่ยงไป๋เฟิงเฮยซีในรอบสิบปีก็หาปรากฏไม่ จะเหนือกว่าพวกเขานั้นมิใช่พูดแต่ปากก็จะบรรลุได้”
“พี่สาวข้าไม่…โอ๊ย!” หานผู่เห็นคนผู้นี้เรียกไป๋เฟิงซีผิดเป็น ‘แม่นางหาน’ ก็คิดจะแก้ไข ทว่าหน้าผากก็โดนเข้าอีกหนึ่งฝ่ามือ ตบเอาครึ่งประโยคหลังกลับเข้าไปอีกครั้ง
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ล้างตารอชมเถิด” ไป๋เฟิงซีกล่าวเรียบๆ จากนั้นก็ซัดกระบี่ยาวในมือไปปักอยู่ตรงหน้าบุรุษชุดขาวหิมะอย่างเหมาะเจาะแล้วกุมมือหานผู่ไว้ “ผู่เอ๋อร์ ในเมื่อกำปั้นเจ้าแข็งสู้ผู้อื่นมิได้ พวกเราก็ไปกันเถิด”
“ช้าก่อน” บุรุษชุดขาวหิมะพลันส่งเสียงรั้งพวกเขาไว้
“ทำไม เจ้าจะสู้อีกคราให้ได้? แม้เอาชนะกงจื่อของเจ้าจะตึงมือไม่น้อย แต่เอาชนะเจ้านั้นมิใช่เรื่องยากเป็นอันขาด” ไป๋เฟิงซีชะงักเท้า หันหน้าไปมองบุรุษชุดขาวหิมะ
“ขออภัย” บุรุษชุดขาวหิมะพลันเอ่ยขึ้น
“หา?” ไป๋เฟิงซีได้ยินก็แปลกใจ
“ข้าเซียวเจี้ยนมิใช่ผู้ที่เที่ยวสังหารคนบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด” บุรุษชุดขาวหิมะกล่าว แต่ก็หลุดมาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ยังคงหยิ่งทะนงไม่ยอมอธิบายสาเหตุที่ชักกระบี่แทงคน
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีได้ยินวาจานี้ก็อดผินร่างกลับมาพิจารณาเขาอย่างถ้วนถี่คำรบหนึ่งมิได้ ครู่เดียวนางก็ยิ้มอย่างสดใส “เซียวเจี้ยนหรือ ทราบแล้ว”
เซียวเจี้ยนถูกรอยยิ้มนี้ของนางกระทำจนงงงวย ทั่วทั้งใบหน้าดำสกปรกแท้ๆ ไม่เอ่ยว่านางอัปลักษณ์ก็นับว่าไว้ไมตรีถึงสิบส่วนแล้ว ทว่าเมื่อแย้มยิ้มกลับเป็นดั่งไข่มุก ถึงแม้จะคลุกฝุ่นแต่ก็ยังฉายประกายอันวิจิตร ชวนให้เผลอชำเลืองมองมิได้ พอหวนนึกว่าเมื่อครู่ก็เพราะนางคลี่ยิ้มเขาถึงได้เหม่อลอยจนกระบี่พลาดเป้า ใจจึงนึกคับข้องกับรอยยิ้มเช่นนี้ขึ้นมาสามสี่ส่วน
บุรุษชุดม่วงพลันถามขึ้น “ไม่ทราบเหตุใดแม่นางถึงได้มาปรากฏกายอยู่กลางเขาร้างป่ารกแห่งนี้”
ไป๋เฟิงซีหันหน้าไปเผชิญสายตาค้นหาของเขา “บุคคลเช่นท่านต่างหากที่ไม่ควรมาปรากฏกายอยู่กลางเขาร้างป่ารกพรรค์นี้”
ดวงตาสีน้ำตาลทองของบุรุษชุดม่วงจ้องไป๋เฟิงซีไม่วางตา คมกริบราวจะมองนางให้ทะลุ “ฝีมือของแม่นาง จนถึงบัดนี้เป็นผู้ที่สองที่ข้าไม่มีความมั่นใจสิบส่วนว่าจะสามารถเอาชนะได้”
“หืม? ผู้ที่สอง?” ไป๋เฟิงซีเอียงศีรษะ “เช่นนั้นคนผู้แรกคือใครกัน”
“อวี้อู๋หยวน” ขณะชายชุดม่วงผู้ทระนงกล่าวถึงนามนี้ น้ำเสียงก็ฉายความเคารพยกย่อง
“อวี้อู๋หยวน?” ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนี้ ดวงตาเกียจคร้านก็เป็นประกายสุกใสเจิดจ้า ใบหน้าผุดรอยยิ้มปีติยินดี “กงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า อวี้อู๋หยวน? ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ท่านไม่อาจเอาชนะได้ร่วมกันกับเขา ช่างเป็นเกียรติแก่ข้าโดยแท้”
บุรุษชุดม่วงเห็นว่านามอวี้อู๋หยวนทำให้นางถึงกับปลาบปลื้มชื่นชมยิ่งก็อดถามมิได้ว่า “แม่นางก็รู้จักอวี้อู๋หยวน”
“ลมฝนพันสิงขร อวี้สัญจรเดียวดาย ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา อวี้กงจื่อผู้มีบุคลิกโดดเด่นไม่เป็นสอง ใต้หล้านี้ผู้ใดเล่าจะไม่อยากทำความรู้จัก แต่เสียดายที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน ทว่าไร้วาสนาพานพบ” ไป๋เฟิงซีทอดถอนใจอย่างเสียดาย แหงนหน้ามองท้องฟ้า อาทิตย์แผดแสงกล้า มิทราบบุรุษในคำกล่าวขานผู้นั้นจะโชติช่วงเช่นตะวันหรือไม่ “ในแผ่นดินนี้ผู้ที่ข้าอยากรู้จักมากที่สุดก็คืออวี้กงจื่อนี่แล”
“อ้อ?” บุรุษชุดม่วงเผยรอยยิ้มชวนขบคิด “ทั้งแผ่นดินมีเพียงอวี้กงจื่อผู้เดียวเองหรือที่เข้าตาแม่นาง”
“ฮ่าๆๆ…” ไป๋เฟิงซีหันกลับมาหัวเราะ มองบุรุษชุดม่วง “แน่นอน การได้พบหวงเฉากงจื่อผู้เป็นซื่อจื่อแห่งจี้โจวและเป็นหนึ่งในสี่กงจื่อก็เป็นเกียรติอย่างสูง แค่ว่า…” ดวงตานางกลอกกลิ้ง แฝงแววแกมโกง “แต่หากที่ได้พบคืออวี้กงจื่อ ข้าก็จะยินดีกว่าไม่น้อย”
“อย่างนั้นหรือ” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ…นิสัยเปิดเผยของแม่นางหาได้น้อยนัก” เสียงหัวเราะอันปรีดาสะท้อนทั่วทั้งขุนเขา
“ระห่ำ ไร้มารยาท” เซียวเจี้ยนมองไป๋เฟิงซีแล้วหลุดปากออกมาสองคำ
ครู่ต่อมาบุรุษชุดม่วงก็เก็บเสียงหัวเราะ ทว่าแววขันในดวงตายังไม่ลดไป “เกิดมาจนถึงบัดนี้ยังมิเคยมีผู้ใดพูดกับข้าเช่นนี้เลย แต่ข้าฟังแล้วกลับยินดีนัก”
“หวงซื่อจื่อฐานะสูงส่ง ย่อมยากจะได้ยินวาจาอัน ‘ระห่ำไร้มารยาท’ ” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้วมองเซียวเจี้ยนคราหนึ่ง กลับคล้ายจะยอมรับว่าตนระห่ำไร้มารยาท
“เหตุใดแม่นางจึงมั่นใจว่าข้าคือหวงเฉา” บุรุษชุดม่วง…หวงเฉามิใคร่จะใส่ใจนักที่ฐานะถูกมองออก
“จี้โจวเทิดทูนสีม่วง” สายตาไป๋เฟิงซีกวาดผ่านอาภรณ์ของหวงเฉา “ยิ่งกว่านั้น…” นางก้มกายเก็บแขนเสื้อครึ่งท่อนบนพื้น “หาใช่ข้าทะนงตน ทว่าท่องยุทธภพมาหลายปี ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถประมือกับข้าได้อย่างสูสีมีไม่มาก” นางปัดขี้เถ้าและดินบนแขนเสื้อแล้วเก็บไว้ จากนั้นถึงหันหน้าไปทางเซียวเจี้ยน “อีกอย่าง ผู้ที่วิชากระบี่งดงามอัศจรรย์ซ้ำมีนามว่า ‘เซียวเจี้ยน’ นึกดูแล้วคงไม่มีผู้ที่สอง…ขุนพลกวาดหิมะแห่งจี้โจว ข้าพูดผิดหรือไม่”
เซียวเจี้ยนหัวคิ้วขมวดน้อยๆ มองนาง ผ่านไปอึดใจก็ประสานมือเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เมื่อครู่น้องชายท่านลับๆ ล่อๆ ข้าจึงนึกว่าเป็นมือสังหาร ล่วงเกินไปมาก โปรดอภัย”
กับเรื่องนี้ไป๋เฟิงซีกลับแค่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “เด็กบ้านี่ทำจนข้าเลอะขี้เถ้าไปทั้งตัว เดิมทีหมายใจจะซ้อมเขาสักยก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาหนีไวเสียยิ่งกว่ากระต่าย ให้ท่านทำเขาขวัญหายสักครั้งก็สมน้ำหน้าแล้ว”
“แม่นางมองฐานะของเราสองคนออกแล้ว แต่พวกเรายังมิรู้เลยว่าแม่นางคือผู้ใด เห็นทีกล่าวถึงสายตาในการแยกแยะผู้คน พวกเราก็แพ้เสียแล้ว” หวงเฉากล่าว
ไป๋เฟิงซียิ้มเย้ย “ฐานะหวงซื่อจื่อข้ามองออกด้วยตัวเอง ฐานะของข้าก็ควรให้ซื่อจื่อแยกแยะด้วยตัวเองเช่นกัน แบบนี้ถึงจะยุติธรรมมิใช่หรือ”
หวงเฉาสดับดังนั้นก็ยิ้มเช่นกัน พินิจพิเคราะห์นางด้วยแววตาคมกริบ สมองใคร่ครวญถึงบุคคลทั้งหมดที่เคยได้ยินนาม
“ใต้หล้านี้สตรีที่วรยุทธ์เลิศล้ำอันดับแรกก็คือไป๋เฟิงซี ต่อมาก็คือซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจว จากนั้นก็คือชิวจิ่วซวงขุนพลปีกน้ำค้างแห่งแคว้นของข้า”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซีเลิกคิ้ว นิ่งฟังวาจาต่อมาของเขา
“จิ่วซวงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า ข้าย่อมรู้จัก ส่วนไป๋เฟิงซีแม้จะไม่เคยพบ ทว่าปกติยินว่านาง ‘อาภรณ์ขาว จันทร์หิมะ เฉิดโฉมปราดเปรื่องไร้เปรียบปาน’ แม่นาง…” หวงเฉาชะงัก มองสตรีตรงหน้าที่สกปรกมอมแมม เครื่องหน้าเห็นได้ไม่ชัด ไหนเลยจะนับได้ว่า ‘เฉิดโฉม’
“ฮิ ตัวอัปลักษณ์อย่างข้าย่อมมิใช่ไป๋เฟิงซีผู้ ‘เฉิดโฉม’ ที่ท่านว่ามิใช่หรือ” ไป๋เฟิงซีได้ยินคำก็หัวเราะเบาๆ หาได้ขุ่นเคืองไม่
“ในเมื่อแม่นางมิใช่ไป๋เฟิงซี ก็ย่อมไม่มีทางเป็นซีอวิ๋นกงจู่ไปได้เช่นกัน ซีอวิ๋นกงจู่แห่งชิงโจวก่อตั้งกองทัพวายุเมฆา นามเกริกเกียรติ ทว่าไม่เคยได้ยินว่านางก้าวมายุ่งเกี่ยวกับยุทธภพ อีกทั้งกงจู่เกิดในสกุลอ๋อง ความเป็นอยู่สมบูรณ์พูนสุข แวดล้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ไหนเลยจะมาปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ” หวงเฉาว่าต่อ
“อื้ม” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วก็พยักหน้าประหนึ่งเห็นพ้องกับการคาดเดาของเขา
“ส่วนสตรีอื่นในยุทธภพที่มีวรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง…” หวงเฉางอนิ้วนับอีกครั้ง “ซั่นเฟยเสวี่ยแห่งอารามเสวี่ยเฟย (หิมะเหิน) ได้สมัญญา ‘อสูรหน้าเย็น’ แต่แม่นางมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์ อีกอย่างซั่นเฟยเสวี่ยออกบวชเป็นนักพรตแล้ว แม่นางย่อมไม่ใช่นาง เหมยซินอวี่แห่งเทือกเขาเหมยฮวา (ดอกเหมย) ชื่อเสียงก้องหล้าด้วยวิชา ‘พิรุณดอกเหมย’ แต่สามปีก่อนนางแต่งเป็นภรรยา ‘จอมยุทธ์ดอกท้อร่วง’ หนานเจา สองสามีภรรยารักใคร่ลึกซึ้ง ไม่คลาดคลาดั่งเป็นเงาของกันและกัน ย่อมไม่ปรากฏตัวเพียงลำพังที่นี่ ส่วนจวินผิ่นอวี้แห่งศาลาผิ่นอวี้เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ได้ยินว่าแต่ละวันมีผู้เดินทางไปขอรับการรักษาเนืองแน่นไม่ขาดสาย ย่อมไม่มีเวลาว่างมาเตร็ดเตร่ในภูเขารกร้างนี้เป็นแน่”
“อื้ม” ไป๋เฟิงซีพยักศีรษะต่อ
หวงเฉาไล่เรียงสตรีผู้มีวรยุทธ์สูงล้ำทั้งหมดที่รู้ออกมาทีละคน ทว่ากลับไม่พบผู้ใดที่มีลักษณะพ้องกับสตรีเบื้องหน้าสักคนเดียว “แม่นางแซ่หาน โปรดอภัยที่ข้าความรู้ตื้นเขินประสบการณ์อ่อนด้อย มิเคยได้ยินว่าในยุทธภพมีผู้ใดนามนี้เลย”
“ฮิๆ…หวงซื่อจื่อแม้จะพำนักอยู่ในวัง ทว่าแจ่มแจ้งถึงบุคคลและเรื่องราวในใต้หล้าประหนึ่งชี้เส้นลายมือตัวเอง แต่ในโลกนี้ผู้ที่ท่านและข้าไม่รู้จักมีมากมายเทียวนะ” ไป๋เฟิงซีเอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหรี่เป็นเส้น
“หรือแม่นางเพิ่งจะเข้าสู่ยุทธภพไม่นาน?” หวงเฉาเอ่ย จ้องใบหน้าไป๋เฟิงซีตาไม่กะพริบ “หรือไม่แม่นางก็ล้างหน้าสักหน่อย ให้ข้าได้ยลโฉมที่แท้จริง ไม่แน่อาจจะแยกแยะได้ว่าแม่นางคือผู้ใด”
“อ้อ?” ไป๋เฟิงซียกมือทาบใบหน้า มือและหน้าล้วนมีแต่ขี้เถ้าดำเต็มไปหมด จากนั้นก็ก้มลงมองตัวเองแล้วอดยิ้มเยาะตนมิได้ “ไม่ใช่แค่ต้องล้างหน้ากระมัง ยังต้องอาบน้ำด้วย” นางกล่าว นัยน์ตากลอกกลิ้งคราหนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มแฝงเล่ห์กระเท่ มองหวงเฉาแล้วเอ่ยต่อว่า “หวงซื่อจื่อประสงค์จะยลโฉมที่แท้จริงของข้า หรือคิดจะตามไปด้วยให้ได้”
“หือ?” หวงเฉาอึ้งไปเป็นครู่
เขาชาติกำเนิดสูงส่ง ยามปกติสตรีที่ได้พบล้วนแต่เป็นธิดาสกุลใหญ่ที่นุ่มนวลเรียบร้อย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพที่ค่อนข้างห้าวหาญ พวกนางที่ไม่เคร่งครัดธรรมเนียมปานใดก็ไม่มีทางเป็นเช่นสตรีตรงหน้านี้ที่ถามบุรุษว่านางจะไปอาบน้ำ ท่านจะตามไปดูด้วยหรือไม่
หวงเฉาเงียบกริบ พิจารณาไป๋เฟิงซีด้วยสายตาเอาจริงเอาจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน เบื้องหน้านี้คือผู้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมั่วโลกีย์? ไม่เหมือน! ดวงตาคู่นั้นบริสุทธิ์ใสกระจ่าง ไร้คาวโลกีย์แม้เศษเสี้ยว รอยยิ้มบนใบหน้าก็เปิดเผยใจกว้าง แม้จะเปรอะเปื้อนไปทั้งกาย ทั่วร่างก็ยังคงมีกลิ่นอายปลอดโปร่งแจ่มใส
ครั้นแล้วดวงหน้าคมคายอันสูงส่งจริงจังและเคร่งขรึมของหวงเฉาก็ผุดอารมณ์นึกสนุกขึ้นมาเป็นครั้งแรก เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า “หากแม่นางเชื้อเชิญ หวงเฉายินดีเสนอตัวช่วยตักน้ำถือผ้าซับกาย”
“หา?” หนนี้ถึงคราวไป๋เฟิงซีตะลึงบ้าง
นับแต่ออกสู่ยุทธภพมาจนบัดนี้ นอกจากจิ้งจอกดำตัวนั้น น้อยคนนักที่จะสามารถโต้ตอบวาจาและพฤติกรรมอันจารีตสังคมยากจะยอมรับของนางได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเยียนอิ๋งโจว ตอนนี้จะต้องหน้าแดงก่ำ พูดตะกุกตะกักเป็นแน่ และหากเปลี่ยนเป็นมนุษย์หิมะผู้งดงามคนนั้น ดวงหน้าเย็นเป็นน้ำแข็งนั่นจะต้องไว้ทีเย็นชา หางตาไม่ชายมาแลนางสักนิดแน่นอน ทว่าหวงเฉาผู้นี้…หึ ผู้ที่สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในสี่กงจื่อได้ไม่สามัญเลยจริงๆ
“อะไรกัน แม่นางมิกล้าเสียแล้วหรือ” หวงเฉาเห็นอาการแตกตื่นแปลกใจของไป๋เฟิงซีก็อดยิ้มสัพยอกมิได้
“เอ่อ…มิใช่ไม่กล้า” ไป๋เฟิงซีถูมือ เกาศีรษะ “ทว่าให้ซื่อจื่อแห่งจี้โจวมาปรนนิบัติ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ผู้ประทับ ณ ตำหนักทองในนครหลวงก็ยังมิมีบุญญาถึงขั้นนี้ ประสาอะไรกับประชาชนตัวเล็กๆ อย่างข้า ข้าเกรงว่าจะอายุสั้นน่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ…” หวงเฉาได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะเสียงกังวานอย่างชื่นบาน จากนั้นถึงชูแขนทั้งสอง “วันหน้าข้าจะถางภูเขารกร้างลูกนี้ทำเป็นทะเลสาบใส ถึงเวลานั้นค่อยเชิญแม่นางมาล้างหน้าชำระฝุ่นที่นี่เป็นอย่างไร”
“หืม?” ไป๋เฟิงซีฟังแล้วอดจ้องไปทางหวงเฉามิได้ และก็ไม่พบแววล้อเล่นแม้สักเศษเสี้ยวจากใบหน้าระห่ำลำพองนั้น ในความมึนงง สัญชาตญาณก็บอกนางว่าคนผู้นี้พูดได้ทำได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า “หากท่านขุดทะเลสาบที่นี่จริง เช่นนั้นแม้ข้าจะอยู่ถึงสุดขอบฟ้ามหาสมุทรก็จะกลับมาล้างหน้าสักคราอย่างแน่นอน”
“ดี คำไหนคำนั้น!”
“คำไหนคำนั้น!”
ทั้งสองถึงขั้นตบมือเป็นการสาบาน หลังตบมือกันแล้วก็มองอีกฝ่าย ครั้นแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะลั่นพร้อมกัน
เสียงหัวเราะชื่นบานแจ่มใสส่งผ่านไปถึงชั้นเมฆ
เซียวเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างมองสองคนหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสุกใสดั่งหิมะก็มีแววแช่มชื่นวูบผ่าน จากนั้นเขาก็พินิจไป๋เฟิงซีโดยละเอียดถี่ถ้วน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามิให้มีส่วนใดหลุดรอดไปสักกระเบียด สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่หน้าผากของนาง ตรงนั้นคล้ายกับมีเครื่องประดับชิ้นหนึ่งห้อยอยู่
“นี่ ข้าหิวแล้ว ท่านเลี้ยงข้าวข้าสักมื้อซี” ทันทีที่เสียงหัวเราะหยุดลงไป๋เฟิงซีก็เรียกร้องอย่างไม่เกรงใจ
“หืม?” หวงเฉาเลิกคิ้ว
“ทำไม ท่านไม่ยินดีเลี้ยงอาหารชาวป่าชาวเขาต่ำต้อยอย่างข้ารึ” นางเบิกตากว้าง
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หวงเฉาส่ายหน้ายิ้ม ก่อนจะตกปากรับคำอย่างฉับไวใจกว้าง “ข้าจะเลี้ยงอาหารท่าน”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วไป๋เฟิงซีก็ตบหานผู่ที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้างเบาๆ “ผู่เอ๋อร์ ครานี้มื้อเที่ยงของเราหาที่ลงได้แล้ว”
“พี่สาว นี่คือหวงเฉาเชียวนะ! ซื่อจื่อแห่งจี้โจว! หนึ่งในสี่กงจื่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้ถูกขานนามร่วมกับเฮยเฟิงซีเชียวนะ!” เมื่อถูกไป๋เฟิงซีตบ หานผู่ก็พลันได้สติ ส่งเสียงเอะอะอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างเป็นประกาย มองหวงเฉาอย่างเลื่อมใสเหลือคณา
“แล้วอย่างไรเล่า กลืนน้ำลายของเจ้ากลับลงไป!” นางเคาะศีรษะหานผู่แรงๆ คราหนึ่ง
“น้องชาย เจ้ามีพี่สาวเยี่ยงนี้ อนาคตย่อมไม่อาจธรรมดาไปได้” หวงเฉามองหานผู่พร้อมกับยิ้มบาง
หานผู่คลำศีรษะที่ถูกไป๋เฟิงซีเคาะป้อยๆ แต่เมื่อได้ฟังวาจาหวงเฉา ก็ได้แต่หัวเราะอย่างโง่งม “เฮ่อๆๆ…นั่นสิ”
“นี่ จัดการปัญหาปากท้องก่อนดีกว่ากระมัง” ไป๋เฟิงซีนวดหนังท้อง
หวงเฉายิ้มแล้วพยักหน้า
ไป๋เฟิงซีจูงหานผู่เดินตามอยู่ด้านหลังหวงเฉาและเซียวเจี้ยน ทั้งสี่ลดเลี้ยวอยู่ในป่าชัฏ เดินเพียงครู่เดียวก็เห็นเนินหญ้าที่ค่อนข้างราบเรียบ เบื้องหน้ามีคนสี่คนยืนอยู่
“กงจื่อ” เมื่อทั้งสี่เห็นหวงเฉากลับมาก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ อีกทางก็ประเมินไป๋เฟิงซีและหานผู่ไปด้วย
“โอ้ ของอร่อยมากมายเหลือเกิน!” หานผู่ร้องขึ้นก่อนเป็นผู้แรก
บนเนินหญ้ามีพรมอันวิจิตรรูปจัตุรัสขนาดหนึ่งจั้งลาดไว้ บนพรมมีอาหารนานาชนิดวางอยู่
“ข้าจะกินเป็ดย่างตัวนี้!” หานผู่พุ่งเข้าใส่เป็ดที่ย่างจนเหลืองอร่ามซึ่งวางอยู่ตรงกลางอย่างรวดเร็วราวกับบิน
“หยิบก่อนได้ก่อน” ไป๋เฟิงซีเอ่ยบ้าง
เงาร่างสองสาย หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กถลาเข้าหาเป็ดย่างเช่นเดียวกัน เป็ดนั้นจวนจะรักษาตนไม่รอดอยู่แล้ว ทว่าทั้งสองก็พลันชะงักโดยพร้อมเพรียงกัน มือสี่ข้างค้างกลางอากาศห่างจากเป็ดย่างออกไปเพียงชุ่นเดียว
หาใช่พวกเขาเสียสละ แต่เพราะมือสี่ข้างนั้น…สกปรกเหลือทน!
“ยืมชุดท่านหน่อย!”
เซียวเจี้ยนยังไม่ทันตั้งตัว ตายังพร่าอยู่ไป๋เฟิงซีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว จากนั้นแขนเสื้อเขาก็ตึงวูบ เมื่อก้มมอง ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่…นางถึงกับเช็ดมือบนแขนเสื้อเขา! แขนเสื้อขาวราวหิมะโดนประทับรอยเป็นสีขี้เถ้า!
“ท่าน…ท่าน…” เซียวเจี้ยนถลึงตาใส่นาง เอ่ยคำอื่นใดมิออก
“นี่ อย่าได้ตระหนี่ไปหน่อยเลย ถ้าเสื้อผ้าของข้ายังสะอาดอยู่ ข้าก็ไม่ต้องเช็ดกับเสื้อท่านหรอก ไหนๆ ท่านก็เป็นขุนพลใหญ่เงินทองมากมาย กลับไปค่อยซื้อใหม่ทั้งชุดก็ได้แล้ว” ไป๋เฟิงซีทางหนึ่งส่งเสียง ทางหนึ่งเช็ดคราบเปรอะเปื้อนบนมืออย่างขมีขมัน
“ท่าน…ไปล้างมือก็ได้!” ในที่สุดเซียวเจี้ยนก็คำรามออกมา น้ำเสียงไม่สอดรับอย่างยิ่งกับรูปลักษณ์ภายนอกอันหมดจดงดงาม ส่วนนัยน์ตาคู่นั้นก็ทอสีฟ้าอ่อนอันน่าอัศจรรย์อีกครั้ง
“ว้าว! เปลี่ยนอีกแล้ว! เปลี่ยนอีกแล้ว!” ไป๋เฟิงซีเห็นเข้าก็ประหนึ่งได้เห็นของล้ำค่า ชี้ไปที่ดวงตาของเขาแล้วร้องเอะอะเหมือนเด็กๆ
“อะไรเปลี่ยนๆ” หานผู่ที่กำลังเทสุราในกามาล้างมืออยู่อีกด้านได้ยินเสียงร้องของนางก็หิ้วกาสุราวิ่งมาหา
“เจ้า…เจ้า…ถึงกับใช้สุราล้างมือ!” ทันทีที่เซียวเจี้ยนเห็นกาสุราในมือหานผู่ เส้นเลือดตรงขมับก็กระตุกริกๆ ดวงตางดงามจวนเจียนจะถลนออกนอกเบ้าอยู่รอมร่อ สีฟ้านั้นก็เข้มยิ่งขึ้น “นั่นคือ ‘ชาดเมามาย’ เชียวนะ!”
“โอ้! ตาเขากลายเป็นสีน้ำเงินแล้ว!” หานผู่ก็ร้องอย่างตื่นเต้น
“ชาดเมามาย? ชาดเมามายกาละพันตำลึงทอง?” ไป๋เฟิงซีคว้าหมับ ชิงเอากาสุราในมือหานผู่มาดม “อืม ใช่จริงๆ ด้วย”
“ท่านก็รู้เหมือนกันหรือว่ากาละพันตำลึงทอง” เซียวเจี้ยนแค่นเสียงเย็นชา
เดิมทีเขาหลงนึกว่านางจะเสียดายเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่า…
“เช่นนั้นให้ข้าล้างด้วย!” สิ้นคำกาก็เอียงลง สุราที่เหลือรดลงบนมือนางจนสิ้น
ยามนั้นเซียวเจี้ยนได้แต่เบิกตามองอ้าปากค้าง ส่งเสียงใดไม่ออกไปโดยสิ้นเชิง
“ยกกาให้ท่าน” ไป๋เฟิงซีโบกมือ แล้วกาสุราก็ร่วงลงในมือเซียวเจี้ยน จากนั้นมือทั้งสองก็ตบลงบนหัวไหล่เขา “ให้ข้ายืมเช็ดอีกหน่อย”
บนไหล่เซียวเจี้ยนจึงมีรอยมือเปียกชื้นสองรอยทิ้งเอาไว้
“เป็ดย่างตกเป็นของข้าแล้ว” นางสะกิดปลายเท้า ทิ้งร่างลงบนพรม พอมือยื่นออกเป็ดย่างก็จ่อถึงข้างปาก อ้าปากกัดหนึ่งครา น่องเป็ดครึ่งน่องก็เข้าไปอยู่ในปาก
“อ๊ะ!” หานผู่ที่มัวเหม่อมองดวงตาเซียวเจี้ยนได้สติในที่สุด เขารีบวิ่งกลับไป นั่งแปะลงแล้วยื่นมือ “เช่นนั้นน่องไก่น้ำผึ้งสองน่องนี้เป็นของข้า!”
“เนื้อกุ้งน้ำซีอิ๊วจานนี้เป็นของข้า”
“กลีบบงกชหยกถ้วยนี้เป็นของข้า”
“ซี่โครงเมฆาม่วงนี้เป็นของข้า”
…
ทั้งสองแบ่งสันปันส่วนอาหารบนพรมทีละชนิดจนครบ อีกทั้งทุกครั้งที่ชิงได้หนึ่งอย่างก็จะแหงนหน้ามองเซียวเจี้ยนหนึ่งครา ดูสีฟ้าในดวงตาอันเย็นเยียบดุจหิมะนั้นเข้มขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความพึงใจ จนสุดท้ายกลายเป็นสีน้ำเงินครามดั่งฟ้าใสหมื่นลี้
“วันนี้เหมือนอารมณ์เจ้าจะกระทบกระเทือนง่ายนะ” หวงเฉานั่งตัวตรงมองอยู่ด้านข้างโดยตลอด เห็นขุนพลคนสนิทผู้แต่ไหนแต่ไรมาเฉยชาสุขุม น้อยครั้งนักที่จะมีอารมณ์กับสิ่งต่างๆ ทว่าวันนี้กลับถูกยั่วให้มีโทสะต่อกันหลายครั้งหลายครา จึงอดสะท้อนใจมิได้
เซียวเจี้ยนได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งรู้ตัวในทันที จากนั้นก็สงบจิตสงบใจให้อารมณ์กลับสู่สภาพปกติ ดังนั้นสีน้ำเงินในดวงตาจึงจางลงช้าๆ ท้ายสุดแววตาก็นิ่งสงัดดุจวังน้ำลึก
“เฮ้อ…ไม่…มีแล้ว” หานผู่ซึ่งเคี้ยวเนื้อไก่อยู่ในปากส่งเสียงอู้อี้ด้วยความเสียดาย
“ขุนพลเซียว ท่านมีนามอื่นบ้างหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หรี่ตามองท้องนภา “ดวงตาของท่านเหมือนฟ้าครามเหนือทุ่งหิมะ ใสกระจ่างและบริสุทธิ์ สวยยิ่งนัก ควรตั้งชื่อว่า ‘เสวี่ยคง’ ถึงจะถูก”
เซียวเจี้ยนได้ยินก็ตกตะลึง จับจ้องไป๋เฟิงซีนิ่ง ผ่านไปเป็นนานเขาถึงได้เอ่ยแผ่วเบาว่า “ฉายาเสวี่ยคง”
“ประเสริฐแท้” นางแย้มยิ้มพลางพยักหน้า มองดูเขาอีกครั้ง ทางหนึ่งเคี้ยวอาหารทางหนึ่งเอ่ยว่า “ท่านไม่ควรสวมชุดสีขาวหิมะเช่นนี้ อืม…ท่านเหมาะกับอาภรณ์สีฟ้าอ่อน สีฟ้าอย่างท้องฟ้านั่นแหละ” ระหว่างง่วนกับการกินก็ยังอุตส่าห์สละนิ้วมือมันแผล็บชี้ไปยังท้องนภา
ครั้งนี้เซียวเจี้ยนไม่ตอบคำ เพียงแค่เงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้ฟ้าโปร่งสีเขียวครามสะท้อนสู่นัยน์ตาใสกระจ่าง เมฆบางเบาคล้อยผ่านเป็นครั้งคราว
หวงเฉาฟังอยู่ด้านข้าง คลี่ยิ้มบางๆ มองคนทั้งสองที่ตะกรุมตะกรามเป็นหมาป่าฮุบเสือเขมือบ
ทันใดนั้นไป๋เฟิงซีที่กำลังก้มหน้าก้มตากินเป็นการใหญ่และหวงเฉาที่นั่งตัวตรงอยู่ด้านข้างก็เบือนหน้าเหลือบไปทางซ้ายพร้อมกัน แล้วไป๋เฟิงซีก็ละสายตากลับมาก้มหน้ากินอย่างขะมักเขม้นต่อ ส่วนหวงเฉาเก็บสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ลงช้าๆ
ต่อมาเซียวเจี้ยนถึงสังเกตพบอีกคน จึงเหินร่างหายไป ชั่วพริบตาก็ไม่เหลือร่องรอย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเจี้ยนก็แบกบุรุษผู้หนึ่งกลับมา ด้านหลังยังมีบุรุษชุดครามตามมาอีกห้าคน
“กระหม่อมถวายบังคมกงจื่อ”
ทันทีที่ทั้งหกมาถึงเบื้องหน้าหวงเฉาก็ทรุดกายลงคารวะ แม้แต่บุรุษที่เซียวเจี้ยนแบกไว้ผู้นั้นก็ตะเกียกตะกายลงมาคารวะกับพื้น
“ทุกท่านลุกขึ้นเถิด” หวงเฉาสั่งเสียงเรียบ กวาดตามองแวบหนึ่ง พบว่าคนเหล่านี้ต่างได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่เซียวเจี้ยนแบกกลับมามีบาดแผลฉกรรจ์ที่สุด อาภรณ์สีครามถูกโลหิตบริเวณท้องน้อยย้อมเป็นสีแดงฉาน
“ช่วยรักษาแผลให้เขาก่อน” หวงเฉาสั่งเซียวเจี้ยน
เซียวเจี้ยนพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือเล็กน้อย บุรุษสี่คนที่เฝ้าอยู่ด้านข้างโดยตลอดก็ก้าวเข้ามาประคองทั้งหกให้นั่งลง แล้วรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขาทันที
เมื่อจัดการบาดแผลของทั้งหกเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่มีบาดแผลฉกรรจ์ที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นก็ก้าวเข้ามาหาหวงเฉา มืออันสั่นเทาทั้งสองข้างล้วงวัตถุซึ่งห่ออยู่ในผ้าแพรสีครามออกจากอกเสื้อ คุกเข่าลงหนึ่งข้าง ประคองห่อผ้าสีครามนั้นขึ้นเสมอศีรษะ มอบให้หวงเฉา
หวงเฉายื่นมือไปรับ ทว่ากลับไม่รีบร้อนเปิดดู ส่งสัญญาณให้เซียวเจี้ยนพยุงเขาขึ้น จากนั้นถึงมองของในมือ ดวงตาเขาสาดประกายชวนครั่นคร้าม แต่แล้วก็กระหวัดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้ ทันใดนั้นแววตาเจิดจ้าดั่งอสนีบาตก็กวาดตรงไปยังคนผู้นั้น “เยียนอิ๋งโจวเล่า”
มือทั้งสองที่เดิมทีก็สั่นเทาของคนผู้นั้นบัดนี้ยิ่งสะท้านรุนแรง เขาเงยหน้า ดวงตาพยัคฆ์เริ่มเปียกชื้นทว่าฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ขุน…ขุนพลเยียน…สละชีพบนเขาเซวียนซานเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ” หวงเฉาร่างโงนเงน จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น ปราดมาถึงหน้าบุรุษผู้นั้นในพริบตา ยื่นมือซ้ายคว้าหัวไหล่เขาไว้ แววตาเจิดจ้าคมกริบ “พูดอีกทีซิ!”
“ทูลกงจื่อ ขุนพลเยียนสละชีพบนเขาเซวียนซานเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” คนผู้นี้ฝืนข่มความเจ็บปวดบนหัวไหล่ ตอบอีกครั้งอย่างชัดเจน หยาดน้ำในดวงตารินออกมาในที่สุด
หวงเฉาได้ยินดังนั้นก็ปล่อยเขา ก่อนจะหยัดร่างตรง ริมฝีปากเม้มสนิท สีหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลทองนั้นที่ม่านตาหรี่เล็กลงไม่หยุด
กระบี่ของเซียวเจี้ยนส่งเสียงเคร้งเบาๆ มือข้างที่กุมกระบี่มีเส้นเลือดเขียวปูดโปน เขาก้มหน้าลงน้อยๆ เส้นผมขาวราวหิมะพลิ้วระบำโดยไม่มีลม
เมื่อไป๋เฟิงซีได้ยินหวงเฉากล่าวถึงเยียนอิ๋งโจว มิรู้ด้วยเหตุใดมือถึงอ่อนแรง ทำให้เป็ดในมือร่วงลงบนพรม นางก้มศีรษะเหม่อลอย นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
หานผู่ที่ความรู้สึกช้าบัดนี้ก็รู้สึกได้แล้วเช่นกันว่าบรรยากาศมิใคร่จะถูกต้อง จึงชะงักมือ กระเถิบเข้าใกล้ไป๋เฟิงซี พอเห็นอาการของนางในตอนนี้ก็อดกระตุกแขนเสื้อเพียงข้างเดียวที่เหลืออยู่ด้วยความเป็นห่วงมิได้ “พี่สาว?”
ไป๋เฟิงซียินเสียงก็เงยหน้ามองเขา คลี่ยิ้มบางเป็นเชิงว่านางไม่เป็นไร ขณะนั้นหานผู่กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ได้ผ่านพันขุนเขาหมื่นสายน้ำ พ้นพันคดร้อยโค้ง แฝงความเหนื่อยอ่อนและความโศกศัลย์จางๆ
“อิ๋งโจว!” หวงเฉาที่นิ่งงันอยู่เป็นนานส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาในที่สุด มือกำห่อผ้าสีครามแน่นโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลทองฉายแววอาดูร เขาเงียบไปชั่วขณะก่อนจะส่งเสียงเรียก “เซียวซี”
“พ่ะย่ะค่ะ” หนึ่งในสี่คนที่ช่วยคนเจ็บพันแผลมีอยู่ผู้หนึ่งยืนขึ้นก้มศีรษะขานรับ
“พวกเจ้าสี่คนอารักขาพวกเขาหกคนกลับไป” หวงเฉาสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวซีรับบัญชา
หวงเฉาหันหน้ามาหาเซียวเจี้ยนแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากับข้าไปเขาเซวียนซาน”
เซียวเจี้ยนได้ยินคำก็ตกตะลึง จากนั้นจึงเกลี้ยกล่อมว่า “กงจื่อ ในเมื่อของอยู่ในพระหัตถ์แล้ว พระองค์เสด็จกลับไปพร้อมกับพวกเซียวซี ให้กระหม่อมไปเขาเซวียนซานผู้เดียวพอ”
หวงเฉามองห่อผ้าในมือ ใบหน้าผุดยิ้มบางๆ ทว่ากลับหนักอึ้งและหมองหม่น “ก่อนไปเยียนอิ๋งโจวเคยกล่าวไว้ว่าจะชิงป้ายกลับมาให้จงได้ ไม่ให้ข้าผิดหวังเป็นอันขาด ในเมื่อเขาหาได้ทำให้ข้าผิดหวัง มีหรือข้าจะทอดทิ้งเขาได้”
“กงจื่อ การไปครานี้อันตรายถึงสิบส่วน…” เซียวเจี้ยนทำท่าจะเกลี้ยกล่อมซ้ำ แต่กลับถูกหวงเฉาโบกมือขัด
“ข้าตัดสินใจแน่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทัดทานอีก ระหว่างทางไปเขาเซวียนซานนี้ข้าก็อยากจะดูว่าผู้ใดสามารถชิงของไปจากมือข้าได้”
เห็นดังนั้นเซียวเจี้ยนก็ไม่ยับยั้งอีก หวงเฉาผินร่างมากำชับเซียวซีแทนว่า “พวกเจ้าอารักขาพวกเขาหกคนกลับไป ส่งข่าวให้เซียวฉือด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวซีรับคำสั่ง ต่อมาก็จากไปอย่างรวดเร็วพร้อมคนเหล่านั้น
หวงเฉาหมุนร่างเดินมาตรงหน้าไป๋เฟิงซี ชูห่อผ้าในมือขึ้นถามว่า “แม่นางรู้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด”
นางลุกขึ้น ไม่มองห่อผ้าแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ริมฝีปากหยักขึ้นน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “นี่มิใช่ป้ายขั้วกาฬที่สกปรกโสมมเสียยิ่งกว่าข้าหรอกหรือ”
“สกปรก?” หวงเฉาไม่นึกฝันว่านางจะให้ค่าวัตถุอันสูงค่าที่สุดในแผ่นดินเช่นนี้
“มือผู้คนตั้งมากมายเคยสัมผัสมาก่อน ซ้ำยังย้อมด้วยโลหิตเหลือคณา ไม่สกปรกหรอกหรือ” ไป๋เฟิงซีมองเขา แววตาเย็นชา
“ฮ่าๆ” หวงเฉาหัวเราะ เปิดห่อผ้าที่พันไว้อย่างแน่นหนาออก
เมื่อผ้าชั้นสุดท้ายคลี่ออกก็เผยให้เห็นป้ายคำสั่งโลหะสีดำรูปร่างยาว เขาใช้นิ้วคีบขึ้น รู้สึกเย็นเยียบถึงกระดูก ป้ายนั้นยาวราวเก้าชุ่น ด้านหน้ามีอักษร ‘ขั้วกาฬโอรสสวรรค์’ ด้านหลังคือลายมังกรดั้นเมฆา มันทอประกายดำแวววาวภายใต้แสงสุริยัน
“นี่ก็คือป้ายขั้วกาฬกระนั้นรึ” เขาใช้นิ้วลูบไล้ แววตาบ่งบอกถึงความอัศจรรย์ใจ “ป้ายขั้วกาฬโอรสสวรรค์ยาวเก้าชุ่นเก้าเฟิน หนักเก้าชั่งเก้าตำลึง”
“ก็แค่ป้ายขั้วกาฬสกปรกๆ ชิ้นเดียว แต่กลับเกี่ยววิญญาณวีรบุรุษไปนับไม่ถ้วน” ไป๋เฟิงซีมองป้ายขั้วกาฬที่ทำให้ผู้คนมากมายสุดที่จะนับต้องจบชีวิตลง ในดวงตามีเพียงความชิงชังอันเย็นชา
“ที่แม่นางว่ามาก็ชอบด้วยเหตุผล ของสิ่งนี้สกปรกจริง ทว่า…” หวงเฉาชูป้ายขั้วกาฬขึ้น มองป้ายคำสั่งที่ทอประกายสีหมึก “ในบางแง่มันกลับมีมนตร์ขลังนัก เพราะมันคือสิ่งซึ่งสูงส่งที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในใต้หล้า”
“ฮ่า!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเสียงเย็น “อันใดกันนี่ ท่านก็เชื่อเช่นกันหรือว่าเจ้าของสิ่งนี้สามารถทำให้บัญชาทั่วหล้าได้”
“บัญชาทั่วหล้า?” หวงเฉาทวนคำหนึ่งคำรบ จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ…ของชิ้นนี้ย่อมไม่อาจบัญชาทั่วหล้าได้ ที่จะบัญชาทั่วหล้าได้คือมนุษย์ต่างหาก มันเป็นเพียงสัญลักษณ์ ป้ายขั้วกาฬคือสัญลักษณ์ของฮ่องเต้แห่งต้าตง ป้ายแกนกาฬคือสัญลักษณ์แห่งอ๋องทั้งเจ็ดแคว้น ป้ายขั้วกาฬอยู่ในมือข้า สำหรับอาณาประชาราษฎร์แล้ว ข้าก็คือผู้ที่ชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นฮ่องเต้ ฉะนั้นผู้ที่สามารถบัญชาทั่วหล้าได้อย่างแท้จริงก็คือข้าผู้นี้ คือข้าหวงเฉา!”
ไป๋เฟิงซีนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง เพียงแต่มองหวงเฉาอย่างเงียบงัน
ผู้ที่ยืนหยัดอยู่ ณ เบื้องหน้าหัวเราะเสียงดัง ทั่วทั้งร่างเปล่งรัศมีหยิ่งผยองอันบ้าระห่ำ ลำพองตนเสมือนอสูรที่แค่อ้าปากก็จะกลืนฟ้าทั้งผืนลงไปได้ ขยับเท้าก็จะทำให้แผ่นดินแยกขุนเขาคลอน
ด้านข้างเซียวเจี้ยนมองนายของตนด้วยอาการเคารพเลื่อมใส ส่วนหานผู่เพิ่งเคยเห็นผู้ที่บ้าระห่ำราวกับสามารถกำฟ้าดินไว้ในอุ้งมือได้เช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นนอกจากปากอ้าตาค้างแล้ว หัวใจในอกก็เต้นโครมครามดุจรัวกลอง ความร้อนสายหนึ่งแผ่ไปทั่วร่าง
“วันหน้าไม่ว่าผู้ที่ได้นั่งบัลลังก์ครองแผ่นดินจะใช่ท่านหรือไม่ ท่านก็จะได้เป็นเจ้าผู้เหี้ยมหาญที่มีนามจารึกในประวัติศาสตร์” ไป๋เฟิงซีพลันเอ่ยขึ้นช้าๆ ในน้ำเสียงมีแววยอมรับอันเกิดได้น้อยยิ่ง
“ย่อมต้องเป็นข้าอยู่แล้ว!” หวงเฉาประกาศอย่างเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
“หึ ความมั่นใจของหวงซื่อจื่อหาใช่คนทั่วไปจะทัดเทียมได้” นางหัวเราะเบาๆ “ทว่าตามความเห็นของข้ากลับมีโอกาสเพียงห้าส่วนเท่านั้น”
“เหตุใดมีเพียงห้าส่วนเล่า” หวงเฉาได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว
“ได้ยินว่าบนยอดเขาชังหมังมีหมากอยู่กระดานหนึ่ง มิทราบซื่อจื่อเคยสดับหรือไม่” ไป๋เฟิงซีเบนสายตาขึ้นมองเบื้องหน้า
หวงเฉากลอกตา พยักหน้า “เคย”
นางเอ่ยอย่างแช่มช้า “ข้างกระดานหมากมีอักษรสลักไว้ว่า ‘หมากจนบนชังหมัง เว้นอาสน์ร้างว่างรอรา ฟ้าใหม่เหล่าผู้กล้า เทียบฤทธาชิงปฐพี’ ชาวโลกล้วนแต่กล่าวขานกันว่าหมากกระดานนั้นและอักษรสองวรรคนั้นเป็นสวรรค์ที่ประทานไว้เป็นนิมิตล่วงหน้าว่าจะมีวีรบุรุษล้ำหล้าสองคนร่วมชิงปฐพี หากท่านเป็นหนึ่งในนั้น โลกนี้ก็ยังมีผู้ต่อกรอีกผู้หนึ่งซึ่งทัดเทียมกัน กล่าวเช่นนี้ก็เหลือเพียงห้าส่วนแล้วมิใช่หรือ”
“อ้อ?” แววตาหวงเฉาลึกล้ำเกินคาดเดา
“ยิ่งกว่านั้นวีรบุรุษในใต้หล้าปรากฏขึ้นไม่ขาดสาย ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่ทัดเทียมด้วยตำแหน่งกับท่านคล้ายกับหาได้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีหันกลับมามองหวงเฉา คลี่ยิ้มจางอันเกียจคร้าน ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับสุกใสดุจกระจก ทอแสงแห่งปัญญาอันดึงดูดสายตา ประหนึ่งสรรพสิ่งในโลกล้วนสะท้อนอยู่ในดวงตาของนางจนหมดสิ้น “โยวโจวมี ‘กองทัพเสื้อทอง’ ยงโจวมี ‘กองทัพปีกกาฬ’ ชิงโจวมี ‘กองทัพวายุเมฆา’ สามแคว้นนี้ล้วนแต่มีทหารกล้าขุนพลแกร่ง โยวอ๋อง หลันซีกงจื่อ ซีอวิ๋นกงจู่ หรือคนเหล่านี้มิอาจเป็นคู่มือของท่าน? อีกอย่างแผ่นดินกว้างใหญ่นัก ที่ใดเล่ามิมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน วีรบุรุษที่อาจต่อกรกับท่านได้ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีอีกนับไม่ถ้วน”
“ฮ่าๆๆ…หากเป็นเช่นที่ท่านว่า แม้แต่โอกาสห้าส่วนข้าก็ไม่มีแล้ว” หวงเฉาหาได้ขุ่นเคืองหรือทดท้อไม่ เขากางแขนทั้งสองออกราวกับกำลังโอบกอดผืนฟ้าและแผ่นดิน “กระดานหมากบนยอดเขาชังหมังนั้นข้าจะต้องไปเยี่ยมชมสักครา แต่ข้าไม่เชื่อนิมิตฟ้าประทานอะไรนั่น ข้าเชื่อเพียงตัวเองเท่านั้น สิ่งที่ข้าหวงเฉาหมายใจจะทำจะต้องบรรลุผลอย่างแน่นอน ข้าจะใช้มือทั้งสองนี้กุมใต้หล้าไว้ให้จงได้”
“เช่นนั้นข้าจะล้างตารอชม ดูว่าผู้ที่จะชิงความเป็นใหญ่บนยอดเขาชังหมังคือผู้ใดกันแน่” ไป๋เฟิงซีก็ยิ้มตาม ทว่าในรอยยิ้มเฉื่อยชานั้นแฝงไว้ด้วยแววคมปลาบที่บางเบาเป็นที่สุด
“ผู้ที่จะยืนอยู่บนยอดเขาชังหมังมีเพียงข้าหวงเฉาผู้เดียวเท่านั้น” หวงเฉามองอย่างลำพอง ความฮึกเหิมแผ่ไกลไปหมื่นจั้ง
“ฮ่าๆๆ…อยู่ในยุทธภพสิบปี ท่านเป็นผู้ที่มั่นใจและบ้าระห่ำที่สุดที่ข้าเคยพบ” ไป๋เฟิงซียิ้มสดใส จากนั้นก็จับมือหานผู่ไว้ สะกิดปลายเท้าเหินร่างขึ้นกลางเวหา “ข้าจะรอวันที่ได้พบกับท่านบนยอดเขาชังหมังด้วยใจจดจ่อ” เมื่อสิ้นกระแสเสียง ร่างของนางก็ห่างออกไปหลายจั้งแล้ว
“เรื่องที่ข้าจะทำ โลกนี้ไม่ว่าผู้ใด เรื่องใด หรือสิ่งใดก็ไม่อาจยับยั้งขัดขวางได้ ข้าจะเหยียบทางเบื้องหน้าให้ราบคาบเพื่อเป็นหนทางใหญ่ไปสู่เขาชังหมัง” หวงเฉาเปล่งเสียงกัมปนาท
บนภูเขารกร้าง เสียงสะท้อนก้องไปมา วาจาที่ว่า ‘ข้าจะเหยียบทางเบื้องหน้าให้ราบคาบเพื่อเป็นหนทางใหญ่ไปสู่เขาชังหมัง’ ดังกังวานอยู่เป็นนาน