ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16 – หน้า 8 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16

บทที่ 7 บนหอลั่วรื่อ (ตะวันพลบ) บุรุษผู้เป็นดั่งหยก

“พี่สาว หวงเฉากงจื่อนั่นภายหน้าจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่” หลังห่างออกมาไกลแล้ว หานผู่ถึงถามไป๋เฟิงซี

“อาจเป็นเขา และอาจไม่ใช่” นางเงยหน้า ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะแผดแสงกล้าแทงนัยน์ตา ประหนึ่งซื่อจื่อจอมอหังการแห่งจี้โจวผู้นั้น

“แต่ท่าทางที่เขาพูดชวนให้รู้สึกว่าเป็นเขานั่นแหละ” หานผู่ก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าตามแบบนาง เขาหรี่ตารับรัศมีร้อนแรงแห่งดวงอาทิตย์

“ผู่เอ๋อร์ เจ้าเลื่อมใสเขามากหรือ” ไป๋เฟิงซีก้มมองหานผู่ ถามด้วยรอยยิ้มบางเบา “เจ้าก็อยากกลายเป็นคนเยี่ยงเดียวกับเขาด้วยกระนั้นหรือ”

“พี่สาว ข้าเลื่อมใสเขา แต่ข้าไม่อยากเป็นคนเยี่ยงเขา” ดวงหน้าเล็กจ้อยอันมอมแมมตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ทำไมเล่า” นางได้ยินเขาตอบเช่นนี้กลับหลากใจอยู่พอควร

“คนผู้นั้น…” หานผู่กัดปลายนิ้วราวกับกลัดกลุ้มว่าจะเอ่ยเช่นไรดี

ไป๋เฟิงซีก็ไม่เร่งเร้า เพียงแต่อมยิ้มมอง

“นึกออกแล้ว!” หานผู่พลันชี้นิ้วขึ้นฟ้า “พี่สาว หวงเฉากงจื่อก็เหมือนกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เจิดจ้าทิ่มแทงตาเกินไป จะบดบังคนข้างกายเขาจนสิ้น แล้วบนท้องฟ้าก็จะเหลือเพียงเขาผู้เดียว” เขามองไป๋เฟิงซี สีหน้าเอาจริงเอาจังอย่างที่สุด “เขายืนอยู่สูงถึงเพียงนั้นผู้เดียว ไยมิใช่อ้างว้างนัก”

ไป๋เฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย สายตาที่มองหานผู่ค่อยๆ อ่อนลง อึดใจต่อมานางก็ยื่นมือลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน “ผู่เอ๋อร์ ภายหน้าเจ้าจะเป็นผู้ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าไป๋เฟิงเฮยซี”

“หา? จริงหรือ” หานผู่ฉีกยิ้มอย่างปรีดา ทว่าครู่เดียวก็หุบยิ้มกะทันหัน “ข้าไม่อยากเหนือล้ำกว่าพี่สาว ข้าอยากยืนอยู่ในที่เดียวกับพี่สาว”

ไป๋เฟิงซีประหนึ่งมิได้ยิน ยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ปลิวอยู่ข้างจอนหู สายตาทอดไกลไปสู่เบื้องหน้า ลึกล้ำเกินหยั่ง ดั่งเห็นถึงจุดสิ้นสุดของฟ้าดิน

“ตำแหน่งที่สูงที่สุด แม้จะไม่มีสหาย แต่เขาได้ครอบครองอำนาจสูงสุด ปฐพีแผ่ไพศาล ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์นับหมื่นพันน้อมศีรษะ มียศถาบรรดาศักดิ์ให้เสพได้ไม่หมดสิ้น นี่เป็นสิ่งชดเชยอย่างหนึ่งกระมัง”

“แต่ของพวกนั้นหากเขาตายแล้วก็เอาไปไม่ได้นี่นา” หานผู่โต้แย้ง คิ้วก็ขมวดขึ้น “เมื่อก่อนท่านแม่ข้าเคยบอกว่าเมื่อคนเราตายไป ร้อยสิ่งจะจบสิ้นในคราวเดียว ทุกสิ่งเมื่อครั้งมีชีวิตล้วนเป็นดั่งเมฆหมอก ท่านพ่อข้าจึงบอกว่าเมื่อนางตายก็สามารถพาเขาไปด้วยได้ ข้าคิดว่าเมื่อท่านแม่ตายยังพาท่านพ่อไปด้วยได้ ทว่าเมื่อฮ่องเต้ตายกลับนำเอาบัลลังก์ อำนาจ แผ่นดิน ขุนนาง และทวยราษฎร์ไปด้วยมิได้”

“ฮ่า ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่าหานจะเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้เป็น” ไป๋เฟิงซีหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตบหัวหานผู่อย่างเบามือพร้อมเอ่ยว่า “ผู้ใดบอกว่าฮ่องเต้ทรงเอาอะไรไปด้วยมิได้ ท่านแม่เจ้ามีท่านพ่อ ยามฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ มิเพียงมีเพชรนิลจินดามากมายฝังไปด้วย บางครั้งก็มีเหล่านางสนมฝังไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่พระองค์ทรงเอาไปด้วยได้มีมากมายเชียวล่ะ”

“แต่นั่นไม่ได้มาจากใจจริงนี่! หากไม่ได้มาจากใจจริง ถึงยมโลกแล้วก็จะหาไม่พบ ไยมิใช่เดียวดายเพียงลำพัง” หานผู่ยังคงยืนหยัดในความเห็นของตน

“ความจริงใจรึ…” ไป๋เฟิงซีพลันหันมองไปตามเส้นทางที่มา สายตาเลื่อนลอย หลังจากเวลาล่วงผ่านไปนานก็ถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง มิเอ่ยคำใดอีก

“เช่นนั้นภายหน้าเมื่อข้าตาย จะมีผู้ไปกับข้าหรือไม่” หานผู่นึกถึงเรื่องหลังจากตนวายชนม์ขึ้นมาแล้ว

“ก็มิอาจรู้ได้” ไป๋เฟิงซียิ้ม งอนิ้วดีดหน้าผากเขาเบาๆ “หัวสมองเล็กจ้อยร่อยของเจ้าไฉนจึงได้พิลึกเช่นนี้ อายุยังน้อยก็คิดถึงเรื่องตายเสียแล้ว”

“เช่นนั้นเมื่อพี่สาวตาย ข้าจะไปกับท่านดีหรือไม่” หานผู่กลับไม่เลิกคิด ใจนึกแต่จะหาคนอยู่ด้วย

“ไม่ดี” นางปฏิเสธเสียงเฉียบขาด

“ทำไมเล่า”

“เพราะเจ้าอายุน้อยกว่าข้า ตอนข้าตายเจ้ายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานมากเป็นแน่”

“แต่ข้าอยากไปกับพี่สาวนี่ พวกเราอยู่ในยมโลกด้วยกัน ยังไปเกิดใหม่ด้วยกันได้อีกด้วย”

“อย่านะ ไม่ต้องเด็ดขาด! ชาตินี้มีกรรม ต้องแบกภาระอย่างเจ้า ชาติหน้าข้าไม่อยากแบกอีก”

“ข้าไม่ใช่ภาระนะ รอข้าเติบใหญ่เมื่อไรก็เปลี่ยนให้ข้าแบกพี่สาวแทนเถอะ”

“ข้าไม่ต้องให้ผู้ใดแบก เจ้าไปแบกคนอื่นแทนเถอะ”

“ท่านพ่อท่านแม่เสียหมดแล้ว ตอนนี้ข้าก็มีแค่พี่สาวผู้เดียวแล้วนี่”

“เช่นนั้นก็ยังมีลูกเมียอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่มีลูกเมียนี่”

“วันหน้าก็จะมี”

“ไม่มี”

คนหนึ่งใหญ่คนหนึ่งเล็ก ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

อีกด้านหนึ่งบนทางเดินในภูเขา เซียวเจี้ยนเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา “กงจื่อทรงแสดงป้ายขั้วกาฬออกมาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่กลัวว่านางจะนึกละโมบหรือ”

“แม่นางผู้นั้น…ไม่แน่ว่าเอาทั้งแผ่นดินมามอบให้ตรงหน้า นางก็ไม่ชายตาแล มิพักต้องเอ่ยถึง…ป้ายขั้วกาฬที่ในสายตานางมองว่าสกปรกโสมมเหลือทน” หวงเฉาเอ่ยอย่างปลดปลง

“อืม” เซียวเจี้ยนตรองดูแล้วก็พยักศีรษะ จากนั้นถามต่อว่า “กงจื่อมองที่มาที่ไปของนางออกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ออก” หวงเฉาถอนใจ “ตอนที่พวกเขากินอาหาร ข้าสังเกตอย่างถ้วนถี่แล้ว เด็กน้อยนามหานผู่นั่นแม้กล่าวว่าหิวยิ่ง อีกทั้งท่ากินไม่ชวนมองเท่าใด ทว่านั่งตัวตรงเป็นสง่า กินอาหารไม่หกเลอะเทอะสักนิด เห็นได้ว่าครอบครัวอบรมมาดีนัก นอกจากนั้นในบรรดาอาหาร มีอยู่หลายชนิดที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปไม่มีโอกาสได้กิน ทว่าเขาก็เรียกชื่อแต่ละจานได้ราวกับนับอัญมณีในบ้าน พอให้มองออกว่าชาติกำเนิดมั่งมี”

เมื่อเซียวเจี้ยนใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็เห็นจริงตามนั้น

“ส่วนแม่นางผู้นั้น…” หวงเฉาชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมา “เจ้าคิดว่านางเป็นอย่างไร”

เซียวเจี้ยนตริตรองครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม้นางจะขี้ริ้ว ก็ขี้ริ้วได้พ้นโลกียวิสัย แม้นางจะประหลาดก็ประหลาดได้ผ่าเผยนัก”

“ฮ่าๆ เห็นทีเจ้าจะชื่นชมนางไม่น้อย” หวงเฉาหัวเราะเบาๆ พลางก้าวไปข้างหน้าต่อ

เดินอยู่เพียงอึดใจ เซียวเจี้ยนก็เรียกขึ้นกะทันหัน “กงจื่อ”

“หืม?” หวงเฉาขานรับ

เซียวเจี้ยนลังเลเล็กน้อย ทว่าก็กล่าวต่อ “ท่านสังเกตเห็นเครื่องประดับบนหน้าผากนางหรือไม่ขอรับ”

“เครื่องประดับบนหน้าผาก?” หวงเฉาหมุนร่างขวับ สายตาดุจอสนีบาต

“เพราะใบหน้านางเปรอะดำไปด้วยขี้เถ้า มองไม่ใคร่จะชัด แต่กงจื่อเคยตรัสว่าไป๋เฟิงซีอาภรณ์ขาวจันทร์หิมะ…เครื่องประดับบนหน้าผากนางแม้จะดูสามัญ ทว่าสตรีในยุทธภพกลับมีไม่มาก พอยามนี้มาขบคิดอย่างละเอียดแล้ว เครื่องประดับบนหน้าผากนางรูปร่างกลับคล้ายจันทร์เสี้ยวอยู่ไม่น้อย”

“เจ้าหมายความว่า…นางก็คือไป๋เฟิงซี?” หวงเฉาตะลึง ครั้นกระหวัดถึงการประชันเมื่อครู่ ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถประมือกับเขาได้อย่างสูสีก็มีเพียงไม่กี่คน ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าเป็นสตรี ทันใดนั้นเขาก็พลันกระจ่างแจ้ง อดยิ้มชื่นชมมิได้ “ไป๋เฟิงซีตัวดี! เฮ้อ เจ้าและข้าล้วนถูกคำกล่าว ‘เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน’ หลอกให้หลงงงงวยเสียแล้ว นึกเอาว่าต้องเป็นหญิงงามผู้มีรูปโฉมเฉิดฉาย ทว่าแม้นางจะทั้งสกปรกทั้งเหม็น แต่กลับยากจะอำพรางแววสุกใสเพริศพรายได้ เช่นนั้นมิใช่ ‘เฉิดโฉมไร้เปรียบปาน’ แล้วจะเป็นอันใดได้ โลกนี้จะมีสตรีวรยุทธ์สูงล้ำปานนั้นสักกี่คน ข้าควรคิดได้แต่แรกจึงจะถูก”

เซียวเจี้ยนอดเหลียวหลังมองเส้นทางที่จากมามิได้ สตรีผู้นั้นคือไป๋เฟิงซี!

“จะต้องได้พบกันอีกแน่” หวงเฉาเก็บแววครุ่นคิด สืบเท้ายาวไปเบื้องหน้า

 

นับแต่ราชวงศ์แห่งฮ่องเต้เสื่อมลง ราชอาณาเขตฉีอวิ๋นก็เสียเกียรติภูมิแห่งวันวาน แต่ละแคว้นมักหาข้ออ้างเข้ารุกรานอยู่เนืองๆ ราชอาณาเขตจึงถูกตัดแบ่งไปทีละน้อย หากมิใช่ตงซูฟั่งผู้เป็นแม่ทัพป้องเมืองภักดีต่อราชวงศ์ ยาตราทัพทหารราชองครักษ์ใต้บังคับบัญชาจำนวนนับร้อยหมื่นคอยป้องกันฉีอวิ๋นไว้ ราชอาณาเขตก็ถูกบรรดาเจ้าครองแคว้นอื่นๆ ผนวกรวมจนสิ้นไปแล้ว

ที่ราบฉีอวิ๋นในวันนี้มีประชากรเบาบาง เศรษฐกิจซบเซา หากว่ากันด้วยความเข้มแข็งของแผ่นดินและกำลังทหารก็มิอาจเทียบยงโจวและจี้โจว หากว่าด้วยวัฒนธรรมและความมั่งคั่งก็มิอาจสู้ชิงโจวและโยวโจว กระทั่งแคว้นเล็กอ่อนแออย่างซังโจวและเป่ยโจวที่ได้บุกตีและกลืนรวมพื้นที่อื่นมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปียังมีกำลังเข้มแข็งกว่าราชอาณาเขตนานแล้ว

แม่น้ำอูอวิ๋นเป็นสายน้ำหลักที่ทอดตัวจากเหนือลงใต้ จากส่วนเหนือสุดอย่างเป่ยโจวลดเลี้ยวเคี้ยวคดลงใต้ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่หมู่บ้านและเมืองทั้งเล็กใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ในบรรดานี้ได้แก่ อวี๋เฉิง ตอนใต้ของอวี๋เฉิงเชื่อมกับหลินเฉิง ตะวันตกติดเถาลั่ว เหนือประชิดเจี่ยนเฉิง ตะวันออกเป็นแม่น้ำอูอวิ๋น อวี๋เฉิงตั้งอยู่ ณ ตอนกลางของฝั่งตะวันตกของที่ราบฉีอวิ๋น ไม่ได้รับความทุกข์ยากเพราะมีศึกมาติดบ้านติดเมืองอยู่เนืองนิตย์เฉกเช่นเมืองทางชายแดน กอปรกับการคมนาคมสะดวก เชื่อมต่อกันสี่ทิศแปดทาง แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้นอกจากนครหลวงแล้ว อวี๋เฉิงจึงเป็นเมืองที่สงบราบคาบ ร้อยอาชีพฟูเฟื่อง ประชาราษฎร์อยู่เย็นที่สุดในฉีอวิ๋น สะท้อนความรุ่งเรืองมั่งคั่งในอดีตของราชอาณาเขต

ด้านตะวันออกของอวี๋เฉิง ริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋นมีหอสูงห้าชั้นแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งติดถนน สามด้านติดน้ำ นั่นก็คือร้านสุราที่เลื่องชื่อที่สุดในอวี๋เฉิง ‘หอลั่วรื่อ’ หอลั่วรื่อลือนามด้วยอาทิตย์อัสดงริมฝั่งแม่น้ำอูอวิ๋น และ ‘ห่านไพรพลัดฝูง’ ยอดเมรัยที่ทางร้านหมักเอง แต่ละวันมีลูกค้าที่ได้ยินกิตติศัพท์แห่แหนมาอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในยามเย็น หน้าร้านจะมีรถม้าเรียงรายดั่งสายน้ำ อาชาเรียงเป็นแถวยาวดุจมังกร

นายแห่งหอลั่วรื่อก็หาใช่ชนชั้นสามัญ หากมองเพียงชื่อเสียงและกิจการอันรุ่งเรืองในวันนี้ของหอลั่วรื่อ ผู้ไม่รู้อาจหลงนึกว่าหอแห่งนี้ทาสีชาด มุงกระเบื้องมรกต หรูหราตระการตายิ่งใหญ่โอฬาร เยี่ยงนี้จึงจะสมกับสมัญญา ‘หออันดับหนึ่งแห่งฉีอวิ๋น’

ทว่าในความเป็นจริงแล้วหอลั่วรื่อจะหรูหราเพริศแพร้วสักนิดก็หามิได้

แม้ตัวหอสร้างด้วยไม้ชั้นหนึ่ง แต่การตกแต่งภายในเรียบง่ายสมถะ ไม่มีผ้าต่วนปูโต๊ะ ไม่มีพรมแพรไหมลาดพื้น ไม่ได้แขวนโคมแปดเหลี่ยมลวดลายสดใสห้อยพู่ระย้า ทางเข้าก็หาได้มีม่านไข่มุกอันโสภิต มีเพียงโต๊ะเก้าอี้เรียบง่ายและถ้วยชามสะอาดสะอ้านที่ลูกค้าทุกคนจำเป็นต้องใช้ แค่ว่าโต๊ะ เก้าอี้ ตั่ง แคร่ ม่าน ฉาก ทุกชิ้นล้วนแต่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ จัดวางอย่างเหมาะเจาะพอดี ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็ชวนให้รู้สึกแปลกหูแปลกตา ผ่อนคลายอิสระ

 

“สหายเก่าคลาดคลา เหลียวหาอยู่แห่งใด ประจิมไซร้ไม่พบ ตะวันกลบขอบหล้า

ธาตรีแม้ไพศาล ฝันถูกผลาญสะบั้น แหงนประจันผืนฟ้า อนิจจาถอนใจ

หวนไห้การจากลา มินำพารูปตน อัสสุชลไหลเปล่า

เงานาวาแล่นคล้อย ปลิวดั่งศรงามช้อย รี่พ้น พันผา!”

 

เสียงขับขานหวานใสแฝงความเศร้าเคล้าอาดูรแว่วออกมาจากหอลั่วรื่อ กลืนเข้ากับสายลมอันแช่มชื่น จากสายลมสู่ธารน้ำ ขจายเข้าโค้งสีฟ้าแดงอันเวิ้งว้างอย่างแผ่วเบา พลิ้ววนตามทิวากรแดงฉานที่กำลังจะร่วงลงทางปัจฉิมทิศ ท่ามกลางลมเย็นน้ำใสชวนให้บังเกิดจิตอาลัยอาวรณ์บางอย่าง

ในแสงสายัณห์แดงฉาน เรือซึ่งมีใบเรือขาวผืนหนึ่งแหวกผ่านผิวน้ำใสแจ๋ว ผ่าทะลวงแสงทองพิลาส ดูประหนึ่งลูกเกาทัณฑ์ พริบตาเดียวเรือดำใบขาวก็หยุดลงตรงหน้าหอลั่วรื่อ ลูกจ้างร้านผู้ตาพิศหกทางหูสดับแปดทิศก้าวฉับๆ ขึ้นไปบนสะพานไม้ซึ่งก่อไว้หน้าหอ น้อมกายต้อนรับอาคันตุกะผู้ก้าวลงมาจากเรือ

เมื่อผู้ที่อยู่ในประทุนเรือก้าวออกมา ลูกจ้างร้านก็รู้สึกว่ากงจื่อท่านนี้ดุจดั่งเหยียบย่างแสงทองกรายมาจากฟ้าตะวันตก รอบกายปกคลุมด้วยประกายสุกใสจางๆ กะทันหันจึงมองจนปากอ้าตาค้าง ลืมหมดสิ้นว่าตนมาเพื่อการใด จนกระทั่งแขนเสื้อของเขาถูกกระตุกหลายคราถึงรู้ตัวได้สติ และกงจื่อท่านนั้นก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสามเชียะ อาภรณ์ดั่งสีหมึก ลักษณะท่าทางประหนึ่งชาวสวรรค์

“เจ้าขวางทางกงจื่อบ้านข้าแล้ว” แขนเสื้อถูกกระตุกอีกครา

ลูกจ้างร้านหันไปมองถึงได้พบว่าเด็กหนุ่มอาภรณ์ครามหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งกำลังดึงแขนเสื้อเขาอยู่ เขาพลันรู้ตัว ตะลีตะลานหลบให้พร้อมกับเอ่ยว่า “ผู้น้อยเสียมารยาท เชิญกงจื่อขอรับ”

กงจื่ออาภรณ์สีหมึกส่ายหน้าอย่างช้าๆ “รบกวนพี่ชายนำทางด้วย” น้ำเสียงดุจสายลม กังวานใสดั่งเคาะหยก รอยแย้มยิ้มประหนึ่งสายลมพัดบงกชไหว

“กงจื่อ เชิญด้านนี้ขอรับ” ลูกจ้างร้านรีบนำเขาขึ้นสู่สะพานทุ่น

จังหวะที่กงจื่ออาภรณ์สีหมึกก้าวขึ้นสะพาน ณ ด้านที่หอหันเข้าหาลำน้ำนั้นเอง ทางหน้าหอฝั่งที่ติดถนนก็มีรถม้าคันหนึ่งหยุดลง เป็นอาชาดำร่างผอมเปรียวทั่วไป รถเป็นรถสองล้อเรียบง่าย ทว่าลูกจ้างที่หน้าร้านหาตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ไม่ ยังคงวิ่งไปยังหน้ารถอย่างกระตือรือร้น ทางหนึ่งตะโกนว่า “เชิญลงจากรถขอรับ” ทางหนึ่งก็แหวกม่านรถม้าด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

ม่านรถเลิกขึ้น คนในรถก้าวออกมา ยามนั้นเองทั้งลูกจ้างหน้าร้าน ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนก็พากันมองไปยังคนผู้นั้นอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นก็ให้ละอายในรูปลักษณ์หยาบกระด้างของตน

นั่นคือกงจื่ออ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง สวมภูษายาวสีขาว ทั้งร่างหมดจดเรียบง่ายประหนึ่งหยกขาวอันมิผ่านการสลักเสลาแม้แต่น้อยนิด ถูกสรรค์สร้างโดยธรรมชาติตลอดสรรพางค์ ดูสูงส่งบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ในดวงตาใสลึกล้ำดั่งวังน้ำลึกคู่นั้นสงบนิ่ง ไร้คลื่น ไร้ความรู้สึก ไร้ปรารถนา ไร้ความต้องการ เขาเพียงยืนอยู่หน้ารถม้า กวาดสายตาคร่าวๆ คราหนึ่ง กลับคล้ายยืนอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า เหลือบมองสรรพชีวิตในโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยดวงตาราบเรียบเฉยชา ทว่าก็สังเวชและเมตตา

ยามนี้ผู้คนทั้งปวงที่หน้าหอพลันรู้สึกว่ารถม้าแสนสามัญนั้นเปล่งประกายโชติช่วงราวกับจะบรรทุกบุรุษผู้หมดจดจากธุลีแห่งโลกียวิสัยผู้นี้ทะยานเมฆควบหมอกขึ้นไปได้ทุกเมื่อ

“หอลั่วรื่อ” บุรุษภูษาขาวแหงนศีรษะมองป้ายหน้าหอ อ่านพึมพำ

“ขอรับ ใช่แล้วขอรับ! ที่นี่ก็คือหอลั่วรื่อ” ลูกจ้างร้านได้สติก็รีบพยักศีรษะ อีกทางก็นำคนเข้าสู่ด้านใน “กงจื่อ เชิญทางนี้ขอรับ”

“ขอบใจมาก” บุรุษภูษาขาวเอ่ยขอบคุณเรียบๆ

“กงจื่อเกรงใจไปแล้ว” ลูกจ้างได้ยินดังนั้นปากก็แทบจะฉีกไปถึงหลังใบหู

ดังนั้นกงจื่ออาภรณ์สีหมึกและกงจื่อภูษาขาวก็แทบจะย่างเท้าเข้าสู่หอลั่วรื่อพร้อมกัน ผู้หนึ่งจากด้านหน้า ผู้หนึ่งจากด้านหลัง และแทบจะในเวลาเดียวกัน คนทั้งสองก็มองเห็นอีกฝ่าย

ขณะที่ลูกค้าเต็มโถงเหลือบเห็นทั้งสองก็พากันชะงักตะเกียบจ้องมอง มิมีผู้ใดไม่ชื่นชมในบุคลิกท่วงท่าอันเลิศล้ำ

พริบตาที่สายตาปะทะกัน ทั้งสองก็ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกัน ดูประหนึ่งสหายจากภูมิลำเนาเดิมมาพบกันยังถิ่นอื่น

“อวี้กงจื่อ?” กงจื่ออาภรณ์สีหมึกมองบุรุษภูษาขาวบริสุทธิ์ไร้มลทินเบื้องหน้าแล้วประสานมือคารวะ

“เฟิงกงจื่อ?” กงจื่อภูษาขาวมองบุรุษอาภรณ์สีหมึกผู้สุขุมนุ่มนวลเบื้องหน้าแล้วประสานมือคารวะ

ในหนึ่งรอยยิ้ม หนึ่งคารวะ หนึ่งคำเรียกขานนี้ ผู้หนึ่งอบอุ่นงามสง่าผ่าเผยดุจอยู่ ณ ประตูม้าทองตำหนักหยก ผู้หนึ่งชดช้อยงามสง่าดุจเหยียบอยู่เหนือเมฆาขาว

“เฟิงซีมีวาสนา วันนี้ได้พบอวี้อู๋หยวน อวี้กงจื่อผู้ ‘ทั่วหล้าแม้นมีใจ เพียงปลงไร้วาสนา’ ” กงจื่ออาภรณ์สีหมึกยิ้มละไม ไว้ทีและเกรงอกเกรงใจ

“เป็นอู๋หยวนต่างหากที่โชคดี วันนี้ได้พบเฮยเฟิงซี เฟิงกงจื่อ ผู้เป็นหนึ่งใน ‘ไป๋เฟิงเฮยซี’ ” ใบหน้ากงจื่อภูษาขาวผุดรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนทว่าเว้นระยะห่าง

แน่นอนว่ากงจื่ออาภรณ์สีหมึกผู้นี้ก็คือเฮยเฟิงซี ส่วนกงจื่อภูษาขาวผู้นี้ก็คืออวี้อู๋หยวนผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘กงจื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า’

“เมื่อได้พานพบ มิทราบเฟิงซีจะมีเกียรติเชิญอวี้กงจื่อให้ร่วมดื่มห่านไพรพลัดฝูงสักกาหรือไม่” เฮยเฟิงซีเอ่ยถามอย่างละมุนละไมมีมารยาท

“สามารถร่วมดื่มด่ำอาทิตย์อัสดงที่หอลั่วรื่อกับเฟิงกงจื่อนับเป็นวาสนาของอู๋หยวน” อวี้อู๋หยวนก็ตอบอย่างสุภาพเรียบร้อยดุจเดียวกัน

เฮยเฟิงซียิ้มแล้วหันไปถามลูกจ้างร้านที่นำทางให้เขาว่า “ชั้นห้ายังมีห้องเหลือหรือไม่”

“มี! มีขอรับ!” ลูกจ้างพยักหน้าไม่หยุด ต่อให้ไม่มีก็จะทำให้ว่างเพื่อรับรองกงจื่อสองท่านนี้ให้ได้

“อวี้กงจื่อ เชิญ” เฮยเฟิงซีเบี่ยงกาย ให้เกียรติอีกฝ่ายไปก่อน

“เฟิงกงจื่อ เชิญ” อวี้อู๋หยวนก็บ่ายมือให้เกียรติอีกฝ่ายก่อนเช่นกัน

สุดท้ายทั้งสองจึงขึ้นไปพร้อมกัน

ลูกจ้างนำทั้งสองขึ้นไปยังห้องบนชั้นห้า เขาเปิดหน้าต่างออก แสงอาทิตย์อัสดงกำลังแวววามดุจทองคำที่หลอมละลาย สายน้ำและท้องฟ้าเป็นสีเดียว ลมเย็นชื่นโชยผะแผ่ว ภาพเบื้องหน้างามจับตา

เฮยเฟิงซีและอวี้อู๋หยวนนั่งตรงข้ามกันที่ริมหน้าต่าง จงหลี จงหยวนยืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน

“มิทราบกงจื่อทั้งสองจะรับอะไรบ้างขอรับ” ลูกจ้างถามขึ้น

“ที่นี่มีอาหารเลื่องชื่อใดแนะนำบ้าง” เฮยเฟิงซีถาม

“สิ่งที่ลูกค้าที่มายังร้านของเราสั่งกันมากที่สุดก็มี ‘ลมโชยวารี’ ‘ดอกแหนโรยรา’ ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ สี่อย่างนี้ขอรับ”

“ที่พี่ชายกล่าวมาคือกลอนหรือชื่ออาหาร” อวี้อู๋หยวนเห็นลูกจ้างผู้นี้เอ่ยเสียเพราะพริ้งก็อดยิ้มถามมิได้

“เรียนกงจื่อ นี่คืออาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดสี่อย่างของร้านเราขอรับ” ลูกจ้างตอบ “เหตุเพราะอาหารสี่ชนิดนี้เดิมเป็นอาหารต่างฤดูกาลกัน แต่ท่านเจ้าของหอเราสามารถหามาได้ตลอดปีสี่ฤดู ฉะนั้นลูกค้าที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหอลั่วรื่อจึงล้วนแต่สั่งอาหารสี่ชนิดนี้ ดูว่าเป็นจริงดั่งเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือไม่ และแน่นอนว่าที่ทั้งสี่ชนิดขึ้นชื่อถึงเพียงนี้ได้ก็เพราะรสชาติล้ำเลิศจริง”

“อ้อ” เฮยเฟิงซียิ้มน้อยๆ “เห็นทีพวกเราก็ต้องลองชิมดูสักหน่อยแล้ว” เขาเลื่อนสายตาไปทางอวี้อู๋หยวน “อวี้กงจื่อเห็นเป็นอย่างไร”

อวี้อู๋หยวนก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับเช่นกัน “ย่อมต้องลองลิ้มดู”

“เช่นนั้นก็ประเสริฐ เอาอาหารสี่ชนิดนี้และห่านไพรพลัดฝูงอีกหนึ่งกา” เฮยเฟิงซีสั่งลูกจ้าง

“ได้ขอรับ กงจื่อโปรดรอสักครู่”

หลังจากลูกจ้างไปแล้ว ในห้องก็ตกสู่ความเงียบ

กล่าวตามเหตุผล คนทั้งสองต่างก็เป็นหนึ่งในกงจื่อผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ อีกทั้งล้วนเป็นผู้มีบุคลิกท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ ครั้งนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ เดิมทีควรสนทนาปราศรัยอย่างถูกคอเพราะเป็นผู้ทัดเทียมด้วยสติปัญญา ทว่ามิทราบด้วยเหตุใดทั้งสองนั่งอยู่ตรงหน้า แต่เสมือนนั่งมองกันโดยมีสายน้ำกั้นกลาง สามารถมองเห็นความสง่างามของอีกฝ่าย ทว่ามิอาจแลกเปลี่ยนความคิดของตนได้อย่างสะดวกใจ

เฮยเฟิงซีนั่งตัวตรง นิ้วหมุนแหวนน้าว หยกสีคราม สายตาบางครามองไปทางผิวน้ำ บางครามองมาที่ร่างอวี้อู๋หยวน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงามสง่าตลอดเวลา

ส่วนอวี้อู๋หยวนก็เอียงศีรษะมองนอกหน้าต่าง สายตาทอดยาวคล้ายกำลังมองท้องฟ้า ทว่าก็คล้ายกำลังมองแม่น้ำ สีหน้าสงบนิ่ง ทั้งๆ ที่อยู่ตรงหน้า ทว่ากลับเหมือนห่างถึงสุดขอบฟ้า

ไม่นานนักสุราอาหารก็มาถึง

“ ‘ลมโชยวารี’ ‘ดอกแหนโรยรา’ ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ และ ‘ห่านไพรพลัดฝูง’ อีกหนึ่งกาขอรับ” ลูกจ้างร่ายนามอาหาร ทำลายความเงียบสงัดในห้อง “เชิญกงจื่อทั้งสองตามสะดวกขอรับ” กล่าวจบก็หมุนร่างถอยออกไป แต่เมื่อไปถึงประตูก็ย้อนกลับมากะทันหัน “มิทราบกงจื่อทั้งสองท่านประสงค์จะฟังดนตรีหรือไม่”

ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็พากันเลิกคิ้วมองไปยังเขา

“ที่นี่มีขับเพลงด้วยหรือ” อวี้อู๋หยวนถาม

“กงจื่อโปรดอย่าเข้าใจผิด หอลั่วรื่อของเรามิใช่หอคณิกา แม่นางเฟิ่งชีอู๋ซึ่งเป็นผู้ขับเพลงนั้นหาได้เป็นเช่นแม่นางในหอคณิกา เดิมทีนางเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้สุกใสดั่งน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดั่งหยก หากมิใช่เพราะ…” ลูกจ้างเอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันหยุดลง คล้ายกับรู้ตัวว่าตนปากมาก ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวเพียง “บทเพลงที่แม่นางเฟิ่งขับร้อง อย่าว่าแต่อวี๋เฉิงเลย ให้เป็นทั่วฉีอวิ๋นก็เถิด หากไม่นับเป็นที่หนึ่งก็ต้องเป็นที่สอง ถ้ากงจื่อทั้งสองไม่เชื่อ ทันทีที่ได้สดับก็จะทราบว่าผู้น้อยหาได้อวดอ้างเกินจริงสักนิด”

ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็สบตากันคราหนึ่ง รู้สึกว่าฟังดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย

ดังนั้นเฮยเฟิงซีจึงเลื่อนสายตามองไปทางลูกจ้าง “เมื่อครู่อยู่บนเรือได้ยินบทเพลง ‘พานพบภิรมย์’ แว่วมาแต่ไกลสักครึ่งเพลงเห็นจะได้ ก็คือแม่นางผู้นี้ที่เป็นคนร้อง?”

“ถูกต้องขอรับ บทเพลงเมื่อครู่แม่นางเฟิ่งเป็นผู้ขับร้อง” ลูกจ้างพยักศีรษะโดยพลัน

เฮยเฟิงซีพยักหน้า “เช่นนั้นก็เชิญแม่นางเฟิ่งขับขานสักเพลงอยู่หลังม่านกั้นเถิด”

“ได้ขอรับ” ลูกจ้างถอยออกไป

จงหลีก้าวเข้ามารินสุราให้ทั้งสอง

“มาเถิด อวี้กงจื่อ พวกเรามาลองลิ้มชิมอาหารเลื่องชื่อสุราเลิศรสแห่งหอลั่วรื่อดูสักหน่อย” เฮยเฟิงซีชูจอก

อวี้อู๋หยวนก็ชูจอกขึ้นเช่นกัน

ทั้งสองชนจอก เงยหน้าดื่มจนหมด

“เข้าปากแล้วใสเย็นนุ่มละมุน ยอดเมรัย” อวี้อู๋หยวนเอ่ยปากชมขึ้นก่อน

เฮยเฟิงซีก็พยักหน้า “ลงสู่คอแล้วหอมอบอวล ไม่เลว” เขายื่นตะเกียบคีบ ‘ลมโชยวารี’ ที่ดูประหนึ่งดอกบัวสีม่วงดอกหนึ่ง เขาบรรจงลิ้มชิมรสชาติ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นมะเขือม่วง ส่วนที่ทำให้มะเขือปรุงยากก็คือจะอมน้ำมันเป็นพิเศษ ทำให้โดยมากมักจะเลี่ยนเกินไป ทว่าอาหารจานนี้รสอ่อนชุ่มคอ เข้าปากก็ละลาย มิเพียงหอมมะเขือเต็มคำ กลืนแล้วในคอยังคล้ายมีกลิ่นหอมของดอกบัว มิรู้ว่าใส่กลิ่นหอมของดอกบัวนี้เข้าไปได้อย่างไร”

“กลางใบแหนสีเขียวนี้มีสีเหลืองอ่อนแต้มอยู่ มิน่าเล่าถึงชื่อว่า ‘ดอกแหนโรยรา’ ” อวี้อู๋หยวนมองอาหารอีกชนิด จากนั้นก็ยื่นมือใช้ตะเกียบคีบมาชิม “อืม ที่แท้ก็เป็นแตงกวา ควบคุมความสุกได้พอดีนัก หวานกรอบชื่นใจ อีกทั้งน้ำจากแตงกวาชุ่มฉ่ำ ต้องเพิ่งเก็บมาทำสดๆ เป็นแน่”

“จานนี้คาดว่าคงเป็น ‘เดือนเหน็บน้ำค้างหนาว’ ” เฮยเฟิงซีมองอาหารจานที่แต่ละชิ้นกลมอิ่มชุ่มชื้นเหลืองใสดุจจันทร์เต็มดวง เขาคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ด้านบนยังมีหยดกลมๆ ซึ่งดูประหนึ่งน้ำค้างขาวเล็กละเอียดจับตัวแข็งอยู่ เมื่อกัดเบาๆ รสหวานกรอบก็กระจายอยู่ในปาก “เป็นรากบัว รากบัวอ่อนที่เลือกเฟ้นขนาดเล็กใหญ่ได้เหมาะเจาะ ฝานเป็นแผ่นกลมที่หนาเท่ากัน จากนั้นจึงแต้มด้วยน้ำกล้วยไม้หิมะ สีสันชวนมอง รสชาติหอมหวาน ชื่อก็น่าสนใจ”

ครั้นแล้วอวี้อู๋หยวนก็ชิมอาหารชนิดสุดท้าย แต่ละกลีบลักษณะเหมือนฝ่ามือ ใบอ่อนเหลือง สีแวววาวยวนตา “อืม ‘อู๋ถงเหลืองปลิดปลิว’ ที่แท้ก็คือผักกาดขาว ทั้งอ่อนและสดนัก”

เมื่อชิมอาหารทั้งสี่ชนิดเสร็จ เฮยเฟิงซีก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าอาหารขึ้นชื่อทั้งสี่ชนิดของหอลั่วรื่อไม่เพียงเป็นผักทั้งหมด ยังเป็นผักที่สามัญที่สุดด้วย”

“สามารถนำผักสามัญเช่นนี้ปรุงเป็นรูปลักษณ์และรสชาติไม่สามัญเช่นนี้ได้ ซ้ำยังตั้งชื่ออันไม่พื้นเพเยี่ยงนี้ นายแห่งหอลั่วรื่อผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย” อวี้อู๋หยวนยิ้มชื่นชม

“เมื่อดูรูปแบบของหอแห่งนี้แล้วก็จินตนาการถึงเจ้าของได้ไม่ยาก” เฮยเฟิงซีกวาดมองรอบบริเวณแล้วเอ่ยชม “ในความสมถะเรียบง่ายแฝงความสูงสง่า ในความธรรมดามีเอกลักษณ์ ทักษะเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง”

 

“สนธยาท้าศิขราคาร                                   หงส์กู่คูขาน

กาลพลัดกับเพื่อนกลางพน                       

บุรุษร่อนเร่เหหน                                             วเนจรจน

จรดเจียงหนานนครา

พิศอู๋โกวกาจศาสตรา                                 ตรอมอกอาทวา

คว้าดาบเคาะเลาะราวระเบียง

เปรื่องปร่างทางยอดตลอดเรียง                    โล่ห์สองซร้องเสียง

เหวี่ยงดาบกับรั้วรัวแรง

เออกสะทกทุกข์แทง                                      อื่นใจไป่แจ้ง

แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง

มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง                                            ใครเล่าร่วมประวิง

คระนิงสหายคล้ายสูญ”

 

อวี้อู๋หยวนขับขานอย่างแช่มช้า เคลื่อนสายตาไปนอกหน้าต่าง แสงสายัณห์ค่อยๆ อ่อนลง นาวาลำน้อยสามสี่ลำลับไปในขอบฟ้า “ไม่รู้ว่าเมื่อครั้งเจ้าของหอลั่วรื่อสร้างหอแห่งนี้ขึ้นมีความอันใดในใจ”

“หึ…” เฮยเฟิงซีหัวเราะคราหนึ่ง มองไปทางเขา ในดวงตาประหนึ่งสะท้อนแสงทองแห่งอาทิตย์อัสดง “ไม่แน่เขาอาจนำเอา ‘มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง’ ที่ ‘แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง’ หลอมรวมเข้ากับหอแห่งนี้จนสิ้นแล้ว แค่ว่า…อวี้กงจื่อคงไม่กลัดกลุ้มเรื่อง ‘แล้งผู้รู้จิตรมิตรจริง’ เท่านั้นเอง”

“ทว่าน่าเสียดายที่อู๋หยวนก็มิมี ‘มาดมุ่งสูงส่งยงยิ่ง’ สักนิด” อวี้อู๋หยวนละสายตาที่มองออกนอกหน้าต่างมามองตอบเฮยเฟิงซี แววตาสุขุม นิ่งดุจผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซียิ้มบาง

บนบันไดมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น เคล้ามากับกลิ่นหอมจางสายหนึ่ง จากไกลเข้ามาใกล้ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่หลังผ้าม่าน เมื่อมองผ่านม่านบางเบาสีน้ำเงินดั่งสายน้ำก็พอจะเห็นเงาร่างชดช้อยได้อย่างรางเลือน

“มิทราบนายท่านต้องการฟังบทเพลงใด” ในเสียงใสของสตรีนอกม่านแฝงความเฉยเมย ในความเย็นชาแฝงแววทระนง

อวี้อู๋หยวนหยิบตะเกียบคีบเดือนเหน็บน้ำค้างหนาวชิ้นหนึ่งขึ้น ประหนึ่งไม่ได้ยิน

เฮยเฟิงซียกจอก ดื่มสุราในจอกจนหมดแล้วถึงกล่าวเสียงเรียบ “แม่นางอยากร้องเพลงใดก็ร้องเพลงนั้น”

นอกม่านเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นเสียงพิณผีผาก็กังวานขึ้น ดั่งมุกหยกร่วงจากถาด ดั่งสายธารจับตัวใต้ผืนน้ำแข็ง ยังมิทันส่งเสียงขับขานก็สร้างความรู้สึกได้แล้ว

เมื่อได้ยินเสียงพิณผีผาเช่นนี้ ทั้งสองคนในห้องก็พากันประหลาดใจเล็กน้อย อดเหลือบมองผ้าม่านแวบหนึ่งมิได้ นึกไม่ถึงว่าผู้คลุกอยู่ในลมฝุ่นแห่งโลกียะจะมีทักษะถึงเพียงนี้

 

“ราตรีก่อนใครเล่ายินเสียงเซียว            หริ่งหรีดเปลี่ยวเย็นเหงาเฝ้าขานขับ

ในกาดินชาหนาวแสงเดือนลับ                 ร้องร่ำจับระบำสู่นิทรา”

 

เสียงใสสายหนึ่งทะลุผ่านม่านเข้ามา พลิ้วอวลดั่งหมอกควัน เกาะเกี่ยวพัวพันถึงกระดูก ประหนึ่งเงาร่างเดียวดายเผชิญหน้ากับดวงจันทร์อันเย็นเยียบ ทั้งห้องวิเวกมีเพียงจักจั่นในเหมันตฤดู

เมื่อได้ยินเสียงครวญอันเศร้าวังเวง และมองทิวากรแหว่งวิ่นนอกหอ พริบตานั้นคนทั้งสองแม้นั่งอยู่ตรงข้ามกันกลับบังเกิดความอ้างว้างขึ้นจางๆ คล้ายกับต่างคนต่างบรรเลงเสียงเซิง เป็นท่วงทำนองของตนอยู่ในใจ ทว่ากลับมิรู้เป่าให้ผู้ใดฟัง

เมื่อเพลงจบ ทั้งสองก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และผู้ที่อยู่นอกม่านก็ยังมิได้ครวญเพลงต่อ เพียงยืนอย่างเงียบงัน

ล่วงไปพักใหญ่ อวี้อู๋หยวนก็ทอดถอนใจว่า “ซีอวิ๋นกงจู่อัจฉริยภาพลือเลื่องแต่ยังเยาว์ บทกวีที่ประพันธ์ถูกนำมาขับขานกันแพร่หลายในโรงน้ำชาและตรอกซอกซอย”

“แม่นางท่านนี้มีทักษะทางพิณผีผาวิจิตรอัศจรรย์ น้ำเสียงใสรื่น บทเพลงเปี่ยมด้วยอารมณ์ เช่นนี้ก็หาได้ยากเช่นกัน” เฮยเฟิงซีกลับชื่นชมเจ้าของเสียงขับขานที่นอกม่าน

อวี้อู๋หยวนยิ้มเยื้อน “ได้ยินว่าเฟิงกงจื่อมากความสามารถ วันนี้ได้พบ จริงแท้ไม่ปลอมปน”

“ซื่อจื่อแห่งจี้โจวเคยกล่าวว่าสติปัญญาของอวี้กงจื่อสูงล้ำจนสามารถเป็นอาจารย์แห่งราชันได้ ดังนั้นต่อหน้าอวี้กงจื่อ ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแบกรับคำว่ามากความสามารถได้” เฮยเฟิงซียิ้มเรียบเรื่อย

“อู๋หยวนละอาย” อวี้อู๋หยวนส่ายหน้า

ทั้งสองปราศรัยรอยยิ้มแย้ม ล้วนแต่เหมือนลืมไปแล้วว่านอกม่านยังมีอีกผู้หนึ่งยืนอยู่

ตุบๆๆ

จู่ๆ นอกม่านก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นเป็นจังหวะใกล้เข้ามา สุดท้ายก็หยุดอยู่นอกห้อง จากนั้นเสียงหนักแน่นของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังกังวานขึ้น “อวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนได้ยินเสียงก็วางจอกสุราในมือลง เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เข้ามา”

ม่านเลิกขึ้น ทั้งสองเหลือบตามองคราหนึ่งก็เห็นบุรุษหนุ่มใบหน้าสัตย์ซื่อก้าวเข้ามา และย่อมมองเห็นสตรีอาภรณ์ครามใบหน้าไร้อารมณ์ผู้ยืนกอดพิณผีผาอยู่นอกม่านด้วย จากนั้นม่านก็ตกลงอย่างรวดเร็ว

“อวี้กงจื่อ จดหมายขอรับ” บุรุษที่เข้ามาใหม่มอบจดหมายให้ด้วยท่าทีนอบน้อม

อวี้อู๋หยวนรับจดหมาย “เจ้าไปเถิด”

“ขอรับ” บุรุษผู้นั้นถอยออกไป

เมื่อม่านเลิกขึ้นอีกครั้ง สายตาเฮยเฟิงซีก็กวาดผ่านอย่างมิใคร่จะใส่ใจ ทว่ากลับพบดวงตาคู่หนึ่งที่คล้ายกล่าวโทษ คล้ายโมโห และก็คล้ายกับเคว้งคว้างไร้หนทาง

ม่านพลิ้วลงเบาๆ อีกครา บดบังสายตานั้นไว้ ในม่านนอกม่านดั่งคนละฟ้าดิน

อวี้อู๋หยวนเปิดจดหมายออกอ่าน ครู่ต่อมาดวงตานิ่งไร้คลื่นลมก็มีระลอกบางเบาพัดผ่าน

“หากแม่นางเฟิ่งไม่รังเกียจ เข้ามาร่วมดื่มสักจอกเป็นอย่างไร” เฮยเฟิงซีกลับมองม่านแล้วเอ่ยขึ้น

ไร้ความเคลื่อนไหวอยู่ครึ่งค่อนวัน คล้ายอากาศจับตัวเป็นผลึกแข็งราวกับสัมผัสได้ถึงความลังเลของเงาร่างสีครามที่นอกม่าน

สุดท้ายผ้าม่านก็เลิกขึ้น ร่างสีครามสายนั้นเคลื่อนเข้าสู่ด้านใน ดวงตาสุกใสเฉยเมยจับอยู่ที่ร่างอวี้อู๋หยวน ก่อนจะชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตกไปอยู่บนร่างเฮยเฟิงซีแล้วไม่เคลื่อนไปที่ใดอีก

สายตาเฮยเฟิงซีพิจารณาเฟิ่งชีอู๋แวบหนึ่ง ประหลาดใจเล็กน้อย นักร้องอันดับหนึ่งแห่งอวี๋เฉิงถึงกับแต่งตัวเรียบง่าย ปิ่นก้านไม้กระโปรงผ้าหยาบ ไม่แต่งหน้า ถึงกระนั้นก็ยังคงงดงามถึงสิบส่วน คิ้วดำเรียวโค้งดั่งกิ่งหลิว ดวงหน้าดุจดอกท้อ ทว่าหว่างคิ้วกลับมีความอ้างว้างหยิ่งทะนงคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ในสีหน้ามีแววเย็นเยียบดุจจะผลักไสผู้คนให้ห่างออกไปพันลี้

“รินสุราให้แม่นางเฟิ่ง” เฮยเฟิงซีสั่งเรียบๆ

จงหยวนที่ด้านข้างปรี่มาหยิบจอกรินสุรา จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าเฟิ่งชีอู๋

ทว่าเฟิ่งชีอู๋หาได้รับไว้ ตาทั้งสองเอาแต่จับจ้องเฮยเฟิงซี ส่วนเขาก็ปล่อยให้นางจ้องตามสะดวก เพียงดื่มสุราด้วยท่วงท่าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติต่อ

ทางด้านอวี้อู๋หยวน สายตายังคงอยู่ที่จดหมาย แค่ว่าความคำนึงล่องลอยไปไกลโพ้น

นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิ่งชีอู๋ก็รับจอกสุราด้วยมือข้างเดียว แหงนหน้าดื่มจนหมดจอก

เฮยเฟิงซีเห็นนางถึงกับดื่มหมดจอกในคราเดียวก็อดแย้มยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมิได้ว่า “ที่แท้แม่นางก็ตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้”

เฟิ่งชีอู๋ฟังคำก็กลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ชีอู๋ดื่มสุราของลูกค้าเป็นครั้งแรก”

“อ้อ?” เฮยเฟิงซีเลิกคิ้วมองนาง เห็นเพียงว่าพวงแก้มเย็นชาดุจน้ำค้างและหิมะของนางถูกฉาบด้วยฤทธิ์สุรา มีสีแดงระเรื่อขึ้น ทำให้คลายความเย็นชาหยิ่งทะนงลงหนึ่งส่วน เพิ่มความยวนตาขึ้นอีกหนึ่งส่วน “ศิลปะทางพิณผีผาและขับร้องของแม่นางเลิศล้ำถึงเพียงนี้ ควรเป็นที่แย่งชิงเลี้ยงสุราของคนทั่วหล้าจึงจะถูก”

“ชีอู๋ไม่เคยดื่มสุราของลูกค้า” น้ำเสียงของเฟิ่งชีอู๋ยังคงเย็นชา ทว่าตาทั้งสองไม่ละไปจากเฮยเฟิงซีประหนึ่งห้องนี้ไม่มีบุคคลที่สาม

เฮยเฟิงซีได้ยินวาจานี้ ในที่สุดก็หันมามองนางตรงๆ เห็นในดวงตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นฉายแววอ้างว้างอาดูรแวบหนึ่ง “เห็นทีเฟิงซีคงโชคดี ได้รับเกียรติจากแม่นาง”

เฟิ่งชีอู๋มิเอ่ยเอื้อน เพียงแค่มองเฮยเฟิงซี ดวงตาทอแววโศกเศร้าออกมาช้าๆ

ยามที่เปล่งเสียงขับขานในหอลั่วรื่อเป็นคราแรก นางก็รู้ว่าชีวิตนี้จมดิ่งลงสู่โลกียะ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างในกาลก่อนกลายเป็นวันวาน ผ่านเลยไปไม่อาจหวนคืน ทว่าคุณหนูสูงศักดิ์ควรค่ากว่าพันตำลึงทองนั้นยากจะชายตามองผู้ใด มุกหยกโยนทิ้ง ขับไล่บรรดาบุรุษเสเพล ปล่อยให้จันทร์เดือนสารทและสายลมแห่งวสันต์ผ่านเลยไป นางยังคงรักษาความทระนงของวงศ์สกุลไว้ ปกป้องศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ มิปรารถนาจะจมลงสู่ฝุ่นโคลนไปตลอดกาล เพียงเพราะในใจยังมีความคิดบางอย่างเหลืออยู่น้อยนิด…ความคิดที่จะอย่างไรก็ไม่ยอมศิโรราบ

ก่อนมา ลูกจ้างร้านชื่นชมลูกค้าสองท่านในห้องประหนึ่งบนสวรรค์ก็ยังหาได้น้อย นางฟังจนเหนื่อยหน่ายชิงชัง รู้เพียงเป็นบุตรบ้านคหบดีที่มีเพียงเปลือกนอกอีกสองคนที่มาเพราะเรือนกายภายนอกของนางอีกแล้ว ทว่านางหารู้ไม่ว่าคาดคิดผิดไป พวกเขาไสส่งนางไว้นอกม่าน เย็นชาถึงสิบส่วน ทำให้นางทั้งตระหนกทั้งเขินอาย

จังหวะที่ม่านเลิกขึ้น มองเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งซึ่งดำขลับลึกล้ำดุจท้องนภายามราตรี แต่กลับมีแสงเจิดจ้าดึงดูดสายตาอย่างที่อาทิตย์สดใสเท่านั้นจะมีได้ พริบตานั้นนางราวกับร่วงลงสู่ราตรีไพศาลอันมืดมิด ทว่าไม่รู้สึกเหน็บหนาว หวาดหวั่น กลับมีความอบอุ่นจางๆ ส่งมาจากราตรีดำมืด เอ่อเข้าสู่ดวงใจที่หลายปีมานี้ไม่เคยได้อบอุ่นเลยสักครา

ความอบอุ่นนั้นยังไม่ลดลงหรือหายไป ม่านก็เลิกขึ้นอีกครั้ง ครานี้นางได้เห็นดวงตานั้นอีกหน มันประหนึ่งวังน้ำวนสีหมึก แสงเงาผสมถักทอ จังหวะที่แววตาวูบไหวก็รู้สึกได้อย่างรางเลือนว่าหากถลำลงสู่ดวงตานั้นก็จะไม่อาจหลุดพ้นได้เลยชั่วกัปชั่วกัลป์ เคราะห์ดีที่ม่านนั้นร่วงปิดลงอีกครั้ง กั้นห้วงน้ำลึกนั้นไว้ นางคิดว่าเร่งไปจากตรงนี้จะดีกว่า ทว่าขาเจ้ากรรมกลับเหมือนหนักพันชั่ง ยกไม่ขึ้น

ขณะละล้าละลัง เขาก็ส่งเสียงเรียกนาง

เมื่อเสียงดั่งสายลมโชยดุจหยกเคาะกังวานนั้นดังขึ้น ก็ประหนึ่งโชคชะตากำลังกวักมือเรียกนาง ชะตากรรมเพียงร้อยรัดเข้าเบาๆ นางก็สลัดไม่หลุดแล้ว ได้แต่ยอมจำนนอย่างไร้เรี่ยวแรง เลิกม่านขึ้นอีกครา เผชิญหน้ากับนัยน์ตาดุจท้องนภายามราตรีนั้นอีกหน ก้าวเข้าหาบุรุษอาภรณ์สีหมึก เส้นผมดำขลับ บริสุทธิ์ไร้มลทินราวหยกดำผู้อยู่ใต้แสงอัสดงสีทองอันอ่อนจาง

“ชีอู๋ร้องเพลงอยู่ที่หอลั่วรื่อมาสี่ปี ดื่มสุราของกงจื่อเป็นจอกแรก” เฟิ่งชีอู๋เอ่ยอย่างแผ่วเบาทว่าชัดเจน ถ้อยคำซึ่งแตกต่างสื่อความหมายประการเดียว หวังเพียงคนผู้นี้จะสามารถเข้าใจว่าเขาคือคนแรกของนาง

“ชีอู๋…เฟิ่งชีอู๋” เฮยเฟิงซีทวนนามนี้ มองสตรีผู้นี้ด้วยแววตาครุ่นคิด แม้สีหน้านางเฉยชา ทว่าส่วนลึกของดวงตาทอแววปรารถนา ซ่อนอยู่ลึกถึงเพียงนั้น ชวนให้เห็นแล้วเวทนา

ครั้นได้ยินเขาทวนนามของนาง หัวใจเฟิ่งชีอู๋ก็รวดร้าว ผู้ที่ตั้งชื่อให้นางได้กลายเป็นดินเหลืองกองหนึ่งนานแล้ว ส่วนนางเล่าก็มีเพียงนามเสียเปล่า สุดท้ายกลับทำลายความคาดหวังของผู้ตั้ง

“หลายปีมานี้ข้าท่องไปทั่วแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังเสียงขับขานอันไพเราะเช่นนี้ของแม่นาง” เฮยเฟิงซีชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็มองเฟิ่งชีอู๋ เอ่ยปากเรียบๆ ว่า “มิทราบแม่นางยินดีร่วมทางกับข้าหรือไม่ ไปชมดูขุนเขาและสายธารที่อยู่นอกฉีอวิ๋น” ว่าแล้วก็หยิบกาสุรามารินเอง ไม่มองเฟิ่งชีอู๋อีก ราวกับนางจะรับปากหรือไม่รับปากก็ล้วนแต่ไม่สลักสำคัญ

ชั่วขณะที่ได้ยิน ดวงตาของเฟิ่งชีอู๋ก็ทอประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง ทว่าก็สงบลงในพริบตา ยังคงเฉิดฉายดั่งดอกท้อ เย็นดุจน้ำค้างแข็ง มือบอบบางทั้งคู่ดีดสายอย่างแผ่วเบา เส้นสายซึ่งสะท้อนไหวเบาๆ เผยถึงระลอกแห่งความแตกตื่นนับพันชั้นในใจของนางยามนี้

เฮยเฟิงซีดื่มสุราหมดไปหนึ่งจอก เคลื่อนสายตามายังอวี้อู๋หยวนที่เบื้องหน้า ทว่ากลับต้องประหลาดใจที่พบว่าหว่างคิ้วของคนผู้ผุดผ่องจากฝุ่นแห่งโลกียะผู้นี้ฉายแววเศร้าสลดจางๆ

“สารจากหวงซื่อจื่อเขียนข่าวดีอันใดหรือ ถึงกับทำให้อวี้กงจื่อมีอารมณ์คล้อยตามได้เช่นนี้” เฮยเฟิงซีออกปากถาม ในใจกลับแจ่มแจ้งนานแล้ว

พริบตาที่อวี้อู๋หยวนได้ฟังก็คืนสู่ความสุขุม สายตาทอดออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นมือทั้งสองก็ถูเข้าด้วยกัน โบกแผ่วเบาคราหนึ่ง กระดาษจดหมายซึ่งกลายเป็นเศษผงก็โปรยปรายลงสู่ผิวน้ำ “มีข่าวดีและข่าวร้าย”

“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีแววตาไหววูบ กล่าวต่อว่า “ข่าวดีที่ว่าคงเกี่ยวกับป้ายขั้วกาฬกระมัง”

อวี้อู๋หยวนยังคงมีอาการเยือกเย็น ยื่นมือยกจอกสุราขึ้น มองสุราใสในจอกกระเบื้องเคลือบสีขาว ก่อนจะโยกจอกเบาๆ ทำให้ผิวสุราไหวเป็นระลอก “เฟิงกงจื่อทราบได้อย่างไรว่าเป็นจดหมายที่หวงซื่อจื่อเขียนมา”

“หวงซื่อจื่อยกย่องอวี้กงจื่อเป็นอาจารย์ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า” เฮยเฟิงซียกจอกสุราขึ้น ขยับเข้าหาปลายจมูก หรี่ตาเล็กน้อย ละเมียดดมกลิ่นหอมของสุรา “ยิ่งไปกว่านั้นกระดาษหยกไหมเป็นกระดาษที่ใช้กันในวงศ์ของฮ่องเต้และสกุลอ๋อง”

“สายตาเฟิงกงจื่อเฉียบคมนัก” อวี้อู๋หยวนพยักหน้า มองไปยังเฮยเฟิงซี รอยแย้มยิ้มดั่งลมวสันตฤดู ทว่าแววตากลับเย็นเยียบราวกับลมเดือนสารท “สารของหวงซื่อจื่อมีข่าวดีสองข่าว ข่าวร้ายหนึ่งข่าว”

“ข่าวดีอย่างแรกคือป้ายขั้วกาฬอยู่ในมือแล้ว ส่วนข่าวร้าย…” เฮยเฟิงซีหลุบสายตาลงเล็กน้อย บรรจงมองจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวในมือ เอ่ยคำอย่างราบเรียบว่า “ข่าวร้ายนี้…น่าจะเป็นเรื่องที่ขุนพลวายุกล้าทิ้งร่างไว้ยังเขาเซวียนซานกระมัง”

“อืม” อวี้อู๋หยวนพยักหน้าอีกครา มิได้ประหลาดใจว่าเฮยเฟิงซีรู้ได้อย่างไร เขาคว่ำมือสาดสุราในจอกลงไปยังแม่น้ำอูอวิ๋น “เยียนอิ๋งโจวล่วงหน้าไปแล้ว พรุ่งนี้อาจเป็นพวกเราที่ต้องไป”

“เพียงไม่รู้ว่าข่าวดีอีกข่าวคือเรื่องใด” เฮยเฟิงซีถามขึ้น

“ไป๋เฟิงซี” อวี้อู๋หยวนเอ่ยเรียบๆ ขณะหลุดนามคนผู้นี้ออกมาแววตาไร้อารมณ์ก็วูบไหว

“ไป๋เฟิงซี?” เฮยเฟิงซีทวนคำ มือที่กุมจอกเกือบจะสั่น

“อืม เขาบอกว่าได้พบกับไป๋เฟิงซีที่ซังโจว เป็นสตรีที่บุคลิกไม่ธรรมดาเลย” รอยยิ้มที่มุมปากอวี้อู๋หยวนลึกขึ้นเล็กน้อย

“พบสตรีผู้นั้นจะจัดเป็นข่าวดีได้อย่างไร” เฮยเฟิงซีบุ้ยปากโดยไม่รู้ตัว

“ได้พบจอมยุทธ์หญิงแซ่เฟิงผู้ถูกขานนามร่วมกับเฟิงกงจื่อเป็นไป๋เฟิงเฮยซี ย่อมเป็นโชคดีที่หาได้ยากในใต้หล้า” อวี้อู๋หยวนมองเขาแวบหนึ่ง ยังคงยิ้มไม่แปรเปลี่ยน

“ในความเห็นของข้า ขอเพียงพบสตรีผู้นั้นเข้าก็จะมีเคราะห์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย” เฮยเฟิงซีวางจอกในมือลง รู้สึกว่าสุรานี้สิ้นกลิ่นหอมเข้มข้นเสียแล้ว แน่นอนว่ารอยยิ้มบนใบหน้ามิได้จางลงแม้สักส่วนเดียว

“ฮ่าๆ ดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับคน” อวี้อู๋หยวนมิใคร่จะเห็นด้วย สายตาที่มองเฮยเฟิงซีเจือแววลึกซึ้งบางอย่าง

ปี๊ด! บนผิวน้ำพลันมีเสียงขลุ่ยสั้นกระชั้นดังขึ้น

เฮยเฟิงซีได้ยินแววตาก็ไหวน้อยๆ จากนั้นถึงหยัดกายขึ้น “ยากนักที่จะได้มาพบอวี้กงจื่อ เดิมทีควรจะไม่เมาไม่เลิกราจึงจะถูก ทว่าทางบ้านมีธุระด่วน จำต้องขอตัวก่อน หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสร่วมเมามายไปกับอวี้กงจื่อ”

อวี้อู๋หยวนลุกขึ้น หาได้เหนี่ยวรั้งไม่ เพียงเอ่ยว่า “เมื่อเฟิงกงจื่อมีธุระต้องไปก่อน วันหน้าหากมีวาสนาย่อมได้พบกันใหม่”

“ข้าขอตัวแล้ว” เฮยเฟิงซีประสานมือ จากนั้นก็หมุนกายจะจากไป ทว่ากลับเห็นเฟิ่งชีอู๋ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “แม่นาง…”

“ข้าจะไปกับท่าน!” เฟิ่งชีอู๋โพล่งออกมา พริบตานั้นนางราวกับมองเห็นโชคชะตากำลังพยักหน้าแย้มยิ้มเพราะมีผู้ยอมศิโรราบให้กับสิ่งที่มันกำหนด และในขณะเดียวกันนั้นนางก็รู้สึกว่าสายตาของอวี้อู๋หยวนผู้นั้นมองกวาดผ่านนาง ทั้งยังคล้ายกับได้ยินเสียงทอดถอนใจอันแผ่วเบาของเขาอีกด้วย

ทว่านางกลับได้แต่ยิ้มอย่างสิ้นแรง

นี่คือคราวเคราะห์ของนาง เป็นเคราะห์กรรมที่นางยินดีรับไว้

คิ้วยาวของเฮยเฟิงซีเลิกขึ้นเล็กน้อย “แม่นางตัดสินใจแล้วกระนั้นหรือ”

“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด” น้ำเสียงเฟิ่งชีอู๋เบาจนแทบหลงนึกไปว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยิน ทว่าคนในห้องล้วนแต่ได้ยินอย่างชัดเจน

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เฮยเฟิงซียิ้มบาง สาวเท้าจากไป

เฟิ่งชีอู๋กอดพิณผีผาในอ้อมอกแน่น นี่คือสิ่งเดียวที่นางมี จังหวะที่เลิกม่านขึ้น นางก็ผินหน้ากลับมามองอวี้อู๋หยวน พยักหน้าน้อยๆ ถือเป็นการอำลา นางรู้สึกขอบคุณคนผู้มองจิตใจของนางออกในปราดเดียวผู้นี้ ต่อให้ใจของนางมิเป็นที่ล่วงรู้ของคนผู้นั้นและไม่มีวันได้เอ่ยกับคนนอกไปตลอดกาล แต่อย่างน้อยก็มีเขาผู้นี้ที่ล่วงรู้

ม่านร่วงตกลง นางสาวเท้าเร็วๆ ตามไป ในหอลั่วรื่อสายตานับไม่ถ้วนมองส่ง ทว่าหามีผู้ใดหน่วงเหนี่ยวไม่

บนสะพานทุ่น ลูกจ้างผู้หนึ่งตามมาและยื่นห่อสัมภาระห่อหนึ่งให้ “แม่นางเฟิ่ง ท่านเจ้าของหอให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้ท่าน เขาว่านี่คือสิ่งที่แม่นางควรได้รับ”

เฟิ่งชีอู๋รับมา ในดวงตากระเพื่อมไหวน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงหน้างดงามก็เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งดังเดิม “ฝากขอบคุณท่านเจ้าของหอที่ดูแลข้ามาตลอดหลายปีนี้ด้วย”

ลูกจ้างพยักหน้า “แม่นางเฟิ่งดูแลตนเองให้ดี”

“อืม” เฟิ่งชีอู๋พยักหน้า จากนั้นถึงก้าวไปยังเรือลำใหญ่สีดำ ก้าวไปสู่สิ่งที่โชคชะตากำหนดให้นาง ก้าวไปสู่…ที่พึ่งพิง?

ในห้องด้านบนของหอ อวี้อู๋หยวนมองส่งเรือที่ชักใบจากไปลำนั้นด้วยสายตา ก่อนจะรินสุราเลิศรสทั้งหมดลงในจอก ดื่มจนหมดในคราเดียว

“ที่แท้เฮยเฟิงซีเป็นบุคคลเช่นนี้” น้ำเสียงมิทราบว่าชื่นชมหรือถอนใจ “เดินแผนด้วยวิธีเช่นนี้ ให้เป็นหวงเฉาก็หาทำได้ไม่”

เมื่อกระหวัดถึงสายตาก่อนจากปราดนั้นของเฟิ่งชีอู๋แล้ว เขาก็ให้ถอนหายใจยาว นางมองเห็นขวากหนามที่อยู่เบื้องหน้า แต่กลับยังยืนหยัดเดินต่อไป มิรู้ควรกล่าวว่านางเขลาหรือควรกล่าวว่ากล้าหาญน่าชื่นชม อวี้อู๋หยวนก้มมองฝ่ามือของตน ปลายนิ้วแตะไปบนลายมือ พร้อมกับแย้มยิ้มฝืดขมอันเจือด้วยความอ้างว้างของผู้ที่ต้องสัญจรข้ามพันเขาอย่างเดียวดาย

“ไม่รู้ว่าไป๋เฟิงซีผู้นั้นจะเป็นบุคคลเช่นไร” เสียงรำพึงรำพันแฝงแววกำสรด

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com