ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เทียบท้าปฐพี บทนำ – บทที่ 16
บทที่ 8 ใคร่ถามว่าข้าวในจานหนใดมี
เรือสีดำลำใหญ่แม้ภายนอกจะเรียบง่าย แต่ในประทุนกลับหรูหราถึงสิบส่วน ม่านสีม่วง โต๊ะเก้าอี้สลัก พรมสีสันวิจิตร ผนังแขวนภาพเขียนขุนเขาสายน้ำพร้อมคำกลอน และที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือผู้ซึ่งอยู่บนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง เพราะมีเขา ความหรูหราทั้งหมดถึงกลายเป็นความสูงสง่า งดงามเป็นธรรมชาติ
เฮยเฟิงซีนั่งบนตั่งนุ่ม กำลังถือชาถ้วยหนึ่งบรรจงลิ้มรส จงหลียืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง บนพื้นมีบุรุษผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ เขาก้มหน้าหลุบสายตา ในประทุนเรือมืดสลัวจึงมองเห็นใบหน้าเขาได้ไม่ถนัดตา รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้คล้ายกับเป็นเงาเลือนรางก้อนหนึ่ง มองไม่ชัดและจับต้องไม่ได้
หลังจากดื่มชาหมดไปหนึ่งถ้วย เฮยเฟิงซีถึงเอ่ยปากถามเรียบๆ ว่า “มีเรื่องอะไร”
บุรุษผู้คุกเข่าอยู่ตอบว่า “เรื่องที่กงจื่อสั่งได้ร่องรอยแล้วขอรับ อวิ๋นกงจื่อถามว่าจะให้ลงมือเลยหรือไม่”
“อ้อ” เฮยเฟิงซียื่นถ้วยชาในมือออก จงหลีก็รีบเข้ามารับไปวางไว้ด้านข้างทันที “เกิดอะไรขึ้น”
“ขณะนี้สืบได้ร่องรอยของพวกเขา แต่ยังไม่ชัดแจ้งถึงเป้าหมาย” บุรุษผู้นั้นตอบ
“อย่างนั้นหรือ” เฮยเฟิงซีใคร่ครวญเล็กน้อย “ยังไม่ต้องลงมือชั่วคราว ตามสะกดรอยเอาไว้ก็พอ”
“ขอรับ”
“อีกอย่าง เรื่องป้ายขั้วกาฬบอกให้เขาไม่ต้องสนใจอีก ข้ามีแผนการของข้า” เฮยเฟิงซีกล่าวต่อ
“ขอรับ”
“ไปเถิด” เขาโบกมือ
“ผู้น้อยขอตัว”
หลังจากบุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว ในห้องก็เงียบสงัด สายตาของเฮยเฟิงซีจับอยู่ที่บางสิ่ง ครุ่นคิดอยู่เป็นนานกว่าจะผินหน้าไปถามจงหลีว่า “จัดการดูแลเรื่องแม่นางเฟิ่งเรียบร้อยหรือยัง”
“เรียนกงจื่อ จัดให้แม่นางเฟิ่งพักในห้องประทุนด้านข้างแล้วขอรับ” จงหลีตอบ
“อืม” เฮยเฟิงซีพยักหน้า เอนพิงร่างไปบนตั่งนุ่ม เมื่อเอียงศีรษะมองออกไปนอกประทุน แสงสายัณห์ก็สลัวลงแล้ว
ประตูถูกผลักออกอย่างเบามือ จงหลีประคองกล่องหยกดำเข้ามา เมื่อเดินถึงกลางห้องเขาก็เปิดฝากล่องออก พริบตานั้นเบื้องหน้าสายตาเกิดแสงสุกใสเจิดจ้า ขับไล่ความอึมครึมในห้องให้พ้นไป สิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องคือไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นทารกก้อนหนึ่ง
จงหลีปลดโคมดวงหนึ่งลงจากผนัง วางไข่มุกเข้าไปแล้วค่อยแขวนโคมอีกครั้ง ทันใดนั้นแสงก็สาดส่องจนในห้องประทุนเสมือนหนึ่งเป็นเวลากลางวัน
“สว่างเกินไป” เฮยเฟิงซีกล่าว เขามองแสงโคมสว่างจ้าแวบหนึ่ง ก่อนจะใช้มือทาบหว่างคิ้ว กางนิ้วทั้งห้าออกเล็กน้อย บดบังดวงตาทั้งคู่ไว้ อีกทั้งยังบดบังอาการหม่นหมองอันไร้ที่มาในแววตา
จงหลีและจงหยวนได้ยินดังนั้นก็อดมองหน้ากันมิได้ นับแต่ปรนนิบัติกงจื่อมาพวกเขาก็รู้ว่ากงจื่อไม่ชอบตะเกียงน้ำมันหรือเทียนไขมืดสลัว ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่ที่อื่นก็ล้วนแต่ใช้ไข่มุกราตรีเป็นตะเกียง ไฉนวันนี้ถึงได้เอ่ยว่าสว่างไปเล่า
“เปลี่ยนเป็นดวงอื่น พวกเจ้าออกไปเถอะ” เฮยเฟิงซีลดมือลง หรี่ตาเล็กน้อยแล้วบัญชาด้วยเสียงราบเรียบ
“ขอรับ” จงหลีกับจงหยวนรับคำ
คนหนึ่งปลดโคมลง คนหนึ่งจุดตะเกียงน้ำมัน จากนั้นถึงหับประตูลงอย่างเบามือแล้วจากไป
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาห่างออกไป ในห้องมีเพียงตะเกียงที่ส่องแสงสว่างเท่าเม็ดถั่ว คลอเคล้ากับเสียงคลื่นน้ำบางเบา
บนตั่งนุ่มเฮยเฟิงซีเอนกายอย่างเงียบงัน หลับตาทั้งสองข้าง สีหน้าสงบทั้งคลับคล้ายกำลังตริตรองอย่างหนักทั้งคล้ายหลับไปแล้ว
เวลาล่วงผ่านไปโดยไร้สุ้มเสียง มีเพียงลมแม่น้ำบางเบาที่โชยต้องตะเกียงน้ำมันทอแสงเหลืองนวลเป็นครั้งคราว ก่อให้เกิดเงาเต้นริกๆ เป็นพักๆ ทว่ายังคงเงียบสงัด ประหนึ่งเกรงว่าจะทำให้ผู้แสร้งหลับบนตั่งนุ่มนั้นสะดุ้ง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดเขาถึงลืมตาทั้งสองขึ้น สายตาเคลื่อนไปยังผิวน้ำที่ดำมืด บางคราแสงตะเกียงจากริมฝั่งก็สว่างขึ้น สะท้อนเข้าสู่ดวงตาดำสนิทจนมองมิเห็นก้นคู่นั้น ทำให้ดวงตานั้นเจิดจ้าดั่งมุก ทอประกายอึมครึมเย็นเยียบ
“ป้ายขั้วกาฬ…” เฮยเฟิงซีหลุดคำออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึม ในตาสาดประกายเย็นชาวูบหนึ่ง มือขวายกขึ้น มองฝ่ามือแล้วกำเข้าหากัน ก่อนจะถอนใจเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน “ไป๋เฟิงซี…”
เช้าตรู่เมื่อจงหลีและจงหยวนผลักประตูเข้ามาก็พบว่ากงจื่อของพวกเขายังเอนกายอยู่บนตั่งนุ่ม เครื่องแต่งกายยังเหมือนเดิม พอกวาดตามองเตียงที่ปูให้เมื่อคืนก็พบว่าเรียบกริบ เห็นได้ว่าไม่ได้นอน
“กงจื่อ” จงหลีเรียกเบาๆ
“อืม” เฮยเฟิงซีขานรับแล้วลุกขึ้น ยืดแขนขาที่ตึงแข็งอยู่บ้าง สีหน้าเป็นปกติไม่มีอาการอ่อนล้า
จงหยวนปราดเข้าไปดูแลให้เขาบ้วนปากล้างหน้า หวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้า รอจนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จงหลีก็ยกอาหารเช้าเข้ามาจัดเรียงบนโต๊ะทีละอย่าง
น้ำสะอาดหนึ่งถ้วย โจ๊กหนึ่งชาม เกี๊ยวแก้วหนึ่งจาน เน้นที่ประณีตหาใช่จำนวน
น้ำสะอาดถ้วยนี้คือน้ำจากบ่อน้ำพุชิงไถ (แท่นกระจ่าง) แห่งชิงโจวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบ่อน้ำพุอันดับหนึ่งในใต้หล้า โจ๊กเคี่ยวจาก ‘ลูกเดือยมุกขาว’ ที่มีในยงโจวเท่านั้น ปรุงกับรังนก เห็ดหูหนูขาว และเม็ดบัว ส่วนเกี๊ยวแก้วไส้ทำจากใจผักกาดขาวอ่อนของโยวโจวซึ่งได้รับสมัญญาว่า ‘แผ่นหยกหิมะ’ เฮยเฟิงซีชมชอบอาหารที่เป็นผัก ไม่ชมชอบเนื้อสัตว์
เขาดื่มน้ำสะอาดถ้วยนั้นก่อน จากนั้นถึงกินโจ๊กหนึ่งคำ แล้วค่อยคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้น ทว่าเพิ่งยื่นมาถึงริมฝีปากก็วางตะเกียบลง สุดท้ายก็แค่กินโจ๊กชามนั้นจนหมด
“นึ่งนานเกินไป ใจผักเปื่อยแล้ว คราวหน้าระวังเวลาที่นึ่งด้วย” เขามองเกี๊ยวแก้วจานนั้นแล้วเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” จงหลีเก็บจานชาม
เฮยเฟิงซีลุกขึ้นเดินไปยังหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบพู่กัน ปูกระดาษขาว แล้วโบกสะบัดพู่กันอย่างต่อเนื่อง เขาเขียนเสร็จในรวดเดียว เพียงครู่ก็ได้จดหมายสองฉบับ
“จงหยวน นำจดหมายสองฉบับนี้ให้คนแยกกันไปส่ง” เขาผนึกซองยื่นให้จงหยวน
“ขอรับ” จงหยวนรับจดหมายไว้แล้วผลักประตูออกไป ส่วนจงหลีก็กำลังประคองชาถ้วยหนึ่งเข้ามา
เฮยเฟิงซีรับน้ำชามาดื่มคำหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยวางลง เงยหน้าสั่งว่า “จงหลี ไปตระเตรียมไว้ พรุ่งนี้เช้าให้เรือเข้าเทียบฝั่ง เปลี่ยนมาใช้เส้นทางบกตรงไปโยวโจวแทน”
“ขอรับ” จงหลีก้มศีรษะรับคำ แต่ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงเงยหน้าถาม “กงจื่อ ท่านนัดกับแม่นางซีไว้ว่าจะพบกันที่จี้โจวมิใช่หรือขอรับ”
เฮยเฟิงซีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจือแววอารมณ์เยาะหยัน “สตรีผู้นั้นหากตกปากรับคำเรื่องใดกับผู้อื่นแล้วจะต้องทำได้แน่นอน แต่หากเป็นข้า นางยินดีปรีดาถึงสิบส่วนที่จะทำให้ไม่บรรลุ ยิ่งกว่านั้นวันนั้นเจ้าได้ยินนางรับคำหรือไม่เล่า”
จงหลีใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วส่ายศีรษะ เขาไม่ได้ยินไป๋เฟิงซีเอ่ยรับคำกับปากจริงๆ เสียด้วย
“ดังนั้นเราจะไปโยวโจว” เฮยเฟิงซียกถ้วยชา ไอร้อนสายหนึ่งลอยอวลเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้บัดนี้ดวงตาของเขาพร่าเลือนเฉกเช่นหมอก “สตรีผู้นั้นถึงกับปล่อยให้ป้ายขั้วกาฬตกถึงมือซื่อจื่อแห่งจี้โจว! ช่าง…” วาจาตอนท้ายหาได้เอ่ยออกมา ทว่าน้ำเสียงเขาอับจนปัญญาอย่างคนขบคิดไม่แตก
“เหตุใดต้องไปโยวโจวเล่าขอรับ กงจื่อ พวกเราออกมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่กลับไป” จงหลีขมวดคิ้วถาม เขายังอายุแค่สิบห้า แม้จะติดตามเฮยเฟิงซีมาตั้งแต่เจ็ดขวบ ทำให้ถึงวันนี้คุ้นเคยกับการระหกระเหเร่ร่อนแล้ว ทว่าการจากบ้านนานเกินไปเขาก็คิดถึงท่านแม่เหลือเกิน
“ไปโยวโจวน่ะหรือ เหตุผลเยอะเชียวล่ะ” ดวงหน้าหลังไอน้ำหนาของเฮยเฟิงซีดั่งภูเขาและสายธารอันครึ้มมัวไปด้วยหมอกและฝน เขาวางถ้วยลง ยืดกายขึ้น แล้วตบศีรษะจงหลีเบาๆ “วางใจเถิด เดี๋ยวพวกเราก็กลับบ้าน ใกล้เต็มทีแล้ว”
“ขอรับ” จงหลีพยักหน้าอย่างวางใจ “กงจื่อ ข้าขอตัวก่อน”
จงหลีถอยออกไปแล้ว ในห้องเหลือเฮยเฟิงซีแต่ผู้เดียว เขาเดินไปยังข้างหน้าต่าง แหงนหน้ามองอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ หรี่ตาน้อยๆ มองวิหคร่อนโฉบผิวน้ำแล้วพึมพำเบาๆ “โยวโจว…”
และในเวลานั้นที่ห้องประทุนด้านข้าง เฟิ่งชีอู๋ตื่นขึ้นก็พบว่าปลายเตียงมีดรุณีน้อยอายุสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งยืนอยู่ ศีรษะทำผมเป็นมวยคู่* ใบหน้าสัตย์ซื่อจริงใจมีลักยิ้มน้อยๆ สองแห่ง ดวงตากลมโตทอแววแช่มชื่นอันอ่อนหวาน ชวนให้เห็นแล้วเย็นใจ
“แม่นางเฟิ่ง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวมีนามว่าเซี่ยวเอ๋อร์ ถูกสั่งว่าต่อไปให้บ่าวคอยปรนนิบัติท่านเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยเสียงใส
เฟิ่งชีอู๋พยักหน้าด้วยท่าทีราบเรียบแล้วลุกขึ้น
“ท่านจะลุกจากเตียงหรือ เซี่ยวเอ๋อร์จะช่วยปรนนิบัติท่านนะเจ้าคะ” เซี่ยวเอ๋อร์ว่าพลางช่วยประคองนางลงจากเตียง จากนั้นก็ช่วยสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา หวีผมให้
ส่วนเฟิ่งชีอู๋นั้นแต่ต้นจนจบก็ไม่ส่งเสียงเลยสักคำ แค่ให้ความร่วมมือกับเซี่ยวเอ๋อร์อย่างเฉยชาเท่านั้น
ครั้นหวีแต่งทรงผม และมองดูดวงหน้างามผุดผาดดั่งบุปผชาติในกระจกทองเหลืองแล้ว เซี่ยวเอ๋อร์ก็อดชมเปาะไม่ได้ “ท่านงดงามยิ่งนัก”
มุมปากเฟิ่งชีอู๋โค้งขึ้น ถือว่าตอบรับคำชมของนาง
“ข้าจะไปยกอาหารเช้ามาให้ท่าน” เซี่ยวเอ๋อร์เปิดประตูออกไป
เฟิ่งชีอู๋ลุกขึ้น เดินไปยังหน้าต่างและผลักหน้าต่างให้เปิดออก แสงอาทิตย์ส่องแยงตา นางหรี่ตาลงเล็กน้อย รอให้ดวงตาคุ้นกับแสงสว่างแล้วถึงหันหน้ากลับมามองประเมินห้องประทุนเรือแห่งนี้ ของทุกชิ้นในนี้ล้วนแต่มองออกว่าล้ำค่ามีราคานัก ต่อให้เป็นเมื่อครั้งครอบครัวนางยังมั่งคั่งที่สุดก็มิเคยหรูหราถึงเพียงนี้ แม้จะหรูหราทว่าไม่ฉูดฉาด แต่ละชิ้นแต่ละอย่างเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ มองไปแล้วให้ความรู้สึกสูงส่งโอ่อ่า
นางกลับมิรู้ว่าเฟิงกงจื่อผู้นั้นมีชาติกำเนิดเช่นไรแน่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูก็ถูกผลักออก เซี่ยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว “แม่นาง ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
เฟิ่งชีอู๋ก้าวเท้าไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยวเอ๋อร์ก็เก็บจานชามแล้วถอยออกไป เมื่อนางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็พบว่าเฟิ่งชีอู๋กำลังดีดพิณผีผาอยู่
เสียงดังติงๆ ตังๆ สองสามครา ไม่เป็นบทเพลง เพียงแต่ดีดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
“แม่นางเฟิ่งตื่นแล้วหรือ”
ทันใดนั้นเสียงของเฮยเฟิงซีก็ดังขึ้น เฟิ่งชีอู๋สะดุ้ง เงยหน้ามองไปรอบด้าน แต่กลับไม่พบเจ้าของเสียง
“กงจื่ออยู่ที่ห้องประทุนกลางเจ้าค่ะ” เซี่ยวเอ๋อร์เอ่ยอยู่ด้านข้าง
“ขอเชิญแม่นางเฟิ่งมาสนทนากันสักครา” เสียงของเขาดังขึ้นอีกรอบ ชัดเจนประหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
ดังนั้นเฟิ่งชีอู๋จึงอุ้มพิณผีผาลุกขึ้น โดยมีเซี่ยวเอ๋อร์รีบนำทางให้
เมื่อผลักประตูออก สิ่งที่ปรากฏสู่คลองสายตาคือแผ่นหลังของคนผู้นั้นซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ร่างเหยียดตรงสูงโปร่ง แสงอาทิตย์สดใสสาดส่องทะลุหน้าต่างทาบลงมาบนร่างเขา ส่งให้ทั่วร่างของเขาเคลือบด้วยแสงทองจางๆ ชั้นหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด เขาก็หมุนกายกลับมา ขณะยกมือสะบัดแขนเสื้อ แสงทั่วร่างก็เลื่อนไหล พร่างพรายยิ่งกว่าแสงตะวัน ทว่านัยน์ตาดุจหยกดำคู่นั้นยังคงลึกมืดไม่เห็นก้น แต่เมื่อเฟิ่งชีอู๋เห็นนัยน์ตาดำคู่นั้นแล้วมักจะรู้สึกว่าในส่วนลึกของความมืดนั้นซ่อนไว้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยนอันเปี่ยมล้น แต่นางกลับมิรู้ว่าความอบอุ่นอ่อนโยนนั้นซ่อนไว้เพื่อผู้ใด
“แม่นางเฟิ่งพอปรับตัวได้หรือไม่” เฮยเฟิงซีทรุดกายลงบนตั่ง ขณะเดียวกันก็ยกมือเป็นสัญญาณให้นางนั่งลง
“ชีอู๋คุ้นเคยกับการปรับตัวให้เข้ากับที่ใดก็ตามที่ต้องไปอยู่ได้นานแล้ว” เฟิ่งชีอู๋กล่าวเสียงราบเรียบ จากนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งหน้าตั่ง
“เฟิ่งชีอู๋ ชีอู๋…ชื่อนี้ตั้งได้ดีแท้” เฮยเฟิงซีมองเฟิ่งชีอู๋ด้วยแววตาอ่อนโยน สตรีผู้นี้มักจะนำเอาแววโศกเศร้าและความเย็นชามากับตัวเสมอ “บ้านของชีอู๋ยังมีผู้ใดอีกหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาเรียก ‘ชีอู๋’ อย่างแผ่วเบา ในดวงตาเฉยชาของเฟิ่งชีอู๋ก็ทอประกายขึ้นวูบหนึ่ง อ่อนโยนและอบอุ่น ขับให้ดวงหน้าดุจหยกที่เนียนขาวราวกับจะข่มน้ำค้างเทียบหิมะเฉิดฉายเรียกสายตา เมื่อคนทั้งสี่ในห้องเห็นก็ล้วนแต่ชื่นชมจากใจจริง
“ไร้บ้านไร้ญาติ มีต้นอู๋ถงที่ใดก็เกาะพักที่นั่น” น้ำเสียงวังเวง สายตาเฟิ่งชีอู๋ตกอยู่ที่ดวงตาทั้งสองของเฮยเฟิงซี ราวกับแฝงความยึดมั่นบางประการ
สายตานั้นทำให้เขายื่นมือออกไป นิ้วเรียวยาวปัดปอยผมที่หน้าผากนางออก ปลายนิ้วไล้ผ่านดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบา
คิ้วเป็นประกายแวววาวดุจขนนกยูง นัยน์ตาดั่งดวงดาว ผิวกายขาวเกลี้ยงเกลาประหนึ่งไข ริมฝีปากดั่งชาดแต้ม
ดวงหน้านี้ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมแม้แต่นิดเดียว ที่เห็นเป็นความงามตามธรรมชาติ แม้จะมีทีท่าเฉยชา ทว่ากลับทอรัศมีบริสุทธิ์สูงส่งบางอย่าง
นี่เป็นยอดหญิงงามที่พบได้ยากยิ่ง อยู่ในยุทธภพกว่าสิบปี เขามิได้พบคนผู้หมดจดผุดผาดเช่นนี้มานานแล้ว
“ทำไม” เฮยเฟิงซีถามเบาๆ ราวกับรำพึงรำพัน ถามโดยไม่มีที่มาที่ไป ทว่าเฟิ่งชีอู๋กระจ่างแจ้งแก่ใจ
นางหลับตาทั้งคู่ลงอย่างแช่มช้า ปล่อยให้ปลายนิ้วของเขาวาดผ่านแก้ม สัมผัสถึงความอบอุ่นน้อยนิดจากปลายนิ้วนั่น “เพราะเต็มใจ”
ใช่ เพราะเต็มใจ เพราะนางยินยอมพร้อมใจ
ปลายนิ้วเฮยเฟิงซีหยุดอยู่ที่คางของนาง ก่อนจะจับให้เชิดขึ้นน้อยๆ แล้วเรียกอย่างแผ่วเบาประหนึ่งเป็นเสียงถอนหายใจ “ชีอู๋”
เฟิ่งชีอู๋ลืมตาขึ้น นัยน์ตาบริสุทธิ์ใสดั่งสายน้ำไม่มีสิ่งปลอมปนสักเศษเสี้ยว ไม่มีแววลังเลแม้น้อยนิด สะท้อนเงาของเขาผู้อยู่ตรงหน้า สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
ราวกับได้เห็นตัวเองอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ในนัยน์ตาหมดจดนั้นสะท้อนดวงตาอันอ่อนโยนทว่าไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง วาจามาถึงข้างริมฝีปาก แต่เฮยเฟิงซีก็ลังเลเสียแล้ว เขาหดมือกลับแล้วแย้มยิ้ม ยิ้มอย่างงามสง่าเยือกเย็น “ชีอู๋ ข้าจะช่วยหาอู๋ถงต้นที่ดีที่สุดให้แก่เจ้า”
หัวใจหนักอึ้ง พริบตานั้นนางก็ปวดร้าวเหลือต้านทาน เหตุใดถึงมิใช่ ‘ปลูกอู๋ถงให้เจ้าต้นหนึ่ง’ เล่า
“ชีอู๋ไม่ใคร่ชอบพูดนัก เช่นนั้นก็ร้องเพลงเถิด” เฮยเฟิงซีเอนกายพิงตั่งนุ่ม เขายังคงเป็นเฟิงกงจื่อผู้สูงศักดิ์ดั่งราชา บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายที่ไม่เคยลดเลือน “เสียงขับขานของชีอู๋เหมือนหนึ่งคีตสำเนียงจากฟ้า ชวนให้ฟังนับร้อยครั้งก็มิเบื่อหน่าย ข้าชมชอบยิ่งนัก”
ชมชอบยิ่งนักกระนั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี ให้ท่านฟังสักร้อยปีเป็นอย่างไร
“กงจื่อเคยฟัง ‘คำนึงแดนสวรรค์’ หรือไม่” เฟิ่งชีอู๋เอ่ยถามเสียงเบา
“ชีอู๋ลองร้องมาให้ฟังสักหน่อยเถิด” เฮยเฟิงซีหลับตาลง
พิณผีผากังวานขึ้น เกรื่องกร่างดั่งฝนพรำ ลึกล้ำดั่งคำพร่ำพลอด ระบายออกมาอย่างเงียบเชียบ
“วสันต์ทัศไนย ชื่นฤทัยเมื่อสัญจร
ดอกซิ่ง* ผลิกลีบอ่อน ลมพาว่อนติดเกศา
มรรคาพามาพบ ด้วยมาณพสวยสง่า
หมดจดมากอัชฌา สำรวยท่าศักดามี
ข้าหมายฝากกายา เข้าวิวาห์ร่วมชีวี
พอแล้วชาตินี้มี ผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณ์
แม้นพี่แล้งน้ำใจ ท้ายทิ้งให้ว้างเอกา
ไม่อายไม่ปริว่า เมื่อเลือกมาไม่เสียใจ”
เสียงครวญบริสุทธิ์ใสกังวาน จะเจือเศษธุลีสักนิดก็หามีไม่ เสียงนั้นพลิ้วลอยออกจากหน้าต่าง ขจรขจายเหนือผิววารี
ผืนวารีกว้างใหญ่ แสงตะวันเจิดจ้า กกอ้อสามสี่กอ เรือประมงสามสี่ลำ คละเคล้ากับเพลงเรือห้าวหาญสามสี่เสียง ล้อกับเสียงนกกระเต็นขับขาน ผสานรวมเป็นภาพวาด เป็นภาพวาดอันวิจิตรที่มีควันจางสายหนึ่งม้วนตลบอยู่เลือนราง คล้ายมีคล้ายไม่มี คล้ายลอยล่องคล้ายลับหาย
“ข้าหมายฝากกายา เข้าวิวาห์ร่วมชีวี
พอแล้วชาตินี้มี ผู้เดียวตราบสิ้นวิญญาณ์
แม้นพี่แล้งน้ำใจ ท้ายทิ้งให้ว้างเอกา
ไม่อายไม่ปริว่า เมื่อเลือกมาไม่เสียใจ”
อารมณ์ที่แม้จะถูกทอดทิ้งอย่างแล้งน้ำใจก็ไร้ความคับแค้นไร้เสียใจ เส้นสายที่เกาะเกี่ยวพันพัวอย่างงมงายลอยม้วนอยู่กลางน้ำ แม้สายลมจะเป่าเท่าใดก็มิสลายไป
ณ ไท่เฉิง ซังโจว
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของซังโจว ถัดไปก็คือเอ่อร์เฉิง เอ่อร์เฉิงเป็นเมืองชายแดนเชื่อมต่อกับจี้โจว เดิมทีต่อจากเอ่อร์เฉิงยังมีเกอเฉิงและอิ่นเฉิง ทว่าถูกจี้โจวผนวกรวมไปเมื่อห้าปีก่อน
“เอาล่ะ มาถึงไท่เฉิงเสียที” นอกประตูเมืองไท่เฉิงไป๋เฟิงซีแหงนหน้ามองอักษรขนาดเขื่องบนประตูเมือง จากนั้นถึงผินหน้ากลับมากวักมือเรียกนายท่านน้อยผู้เปราะบางที่เดินหนึ่งก้าวอิดออดสามครา “หานผู่ เจ้าเร็วหน่อย พวกเราเข้าไปกินอาหารเที่ยงในเมืองกัน”
“ท่านมีเงินหรือ” หานผู่กุมท้องว่างโหวง เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง
เวลานี้ทั้งสองเนื้อตัวสะอาดเกลี้ยงเกลาดีแล้ว เว้นเสียแต่หานผู่ใบหน้าเขียวคล้ำ
“ไม่มี” ไป๋เฟิงซีตบกระเป๋าเงินที่เป็นผ้าแนบติดกับผ้า ตอบอย่างแจ่มแจ้งถึงสิบส่วน
“ไม่มีเงินแล้วท่านจะมีกินได้อย่างไร หรือท่านคิดจะขโมย” หานผู่ยืดเอวขึ้น อย่าได้โทษที่เขาพูดจาเสียมารยาท เพราะหลายวันที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เขารู้สึกว่าพฤติกรรมไม่ปกติใดๆ ก็ตาม หากเอามาครอบไว้บนร่างไป๋เฟิงซีแล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียสิ้น
“ขโมย?” ไป๋เฟิงซีร้องเสียงหลง ส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมกับเอ่ยว่า “ได้อย่างไรกัน ข้าคือไป๋เฟิงซีเชียวนะ ไหนเลยจะทำเรื่องไร้ศีลธรรมเยี่ยงนั้นได้”
“ท่านทำไว้น้อยเสียเมื่อไรเล่า โอสถบ้านข้าที่ท่านแอบขโมยบ้างชิงต่อหน้าบ้างมีน้อยหรือ” หานผู่เบะปาก หวนนึกถึงตอนแรกที่เขานับถือเลื่อมใสจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างไป๋เฟิงเฮยซีตั้งปานใด ทว่าตอนนี้พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาแล้วก็รู้สึกเพียงแต่ว่าที่เรียกว่าจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้น บางคราก็ต่างจากโจรอันธพาลไม่มาก
“หึๆ ผู่เอ๋อร์ เรื่องโอสถบ้านเจ้าน่ะ เรียกว่าทำบุญกุศล” ไป๋เฟิงซีหัวเราะแห้งๆ สองที “ส่วนเงินค่าอาหารสำหรับวันนี้ ข้าจะจัดการหามา”
“หามาด้วยวิธีใด” สายตากินแหนงแคลงใจของหานผู่เหล่มองนาง
“ไปกับข้าก็พอแล้ว” ไป๋เฟิงซีเหลือบมองหานผู่สองครา ยิ้มอย่างมีนัยลึกซึ้ง
พอถูกสายตาของนางเหลือบมองเข้าหานผู่ก็รู้สึกท้ายทอยเย็นวาบ ขนบนหลังคอลุกซู่ สัญชาตญาณบอกว่าไม่เข้าที
“รีบเดินเข้าสิ ผู่เอ๋อร์ ยังมัวเหม่ออะไรอีก” ไป๋เฟิงซีเร่งเร้า
หานผู่อับจนหนทาง จำต้องตามหลังนางไป
ทั้งสองเข้าเมือง เดินตัดผ่านถนนสายหนึ่งแล้วอ้อมผ่านถนนอีกสองสายก็มาถึงถนนสายที่พลุกพล่านถึงสิบส่วน
“ถึงแล้ว”
ข้างหูได้ยินเสียงไป๋เฟิงซีร้องขึ้น พอหานผู่แหงนหน้ามองก็พบว่าตรงหน้ามีอักษรเขียนว่า ‘บ่อนเบี้ย’
“นี่ไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นโรงบ่อนเบี้ย” หานผู่ร้อง ถึงแม้เวลาอาจารย์สั่งสอน เขามักจะหลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี ทว่าอักษร ‘โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่’ ไม่กี่ตัวนี้เขาจำได้อ่านออก
“ข้าย่อมรู้ว่าเป็นโรงบ่อนเบี้ย” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะเขา ชี้ไปยังป้ายของโรงบ่อนเบี้ยแล้วเอ่ยว่า “โรงบ่อนเบี้ยจิ่วไท่นี้เป็นโรงบ่อนเบี้ยที่ใหญ่ที่สุดในไท่เฉิง ชื่อเสียงที่กล่าวต่อๆ กันมาไม่เลว ไม่เคยหลอกโกงคนต่างถิ่น”
“หรือท่านหมายจะหาเงินด้วยการพนัน” หานผู่คาดเดาเจตนาของนาง ไม่ไปทุ่มเทความคิดให้รกสมองกับเรื่องที่นางเป็นสตรี อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธภพ แต่ถึงกับไปเล่นการพนันขันต่อ หลายเดือนที่อยู่ร่วมกันมาเขาเห็นเรื่องแปลกจนชาชินแล้ว
“ผู่เอ๋อร์ เจ้าฉลาดจริงๆ” ไป๋เฟิงซีชมเปาะ
“ท่านไม่มีเงินจะพนันอย่างไร” หานผู่เอ่ยอย่างเคลือบแคลง หาได้ถูกกรอกยาให้สติเลอะเลือนไม่ ครั้งใดที่นางออกปากชมเขาก็แสดงว่านางกำลังวางแผนเล่นงานเขาอยู่
“ผู้ใดว่าข้าไม่มีต้นทุนเล่า” ไป๋เฟิงซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มระรื่น รอยยิ้มบนใบหน้ายามนี้คล้ายกับเฮยเฟิงซีอยู่บ้าง
หานผู่มองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่เครื่องประดับบนหน้าผาก “หรือท่านคิดใช้เจ้าสิ่งนี้แทนเงิน เช่นนั้นมิสู้ไปวางเอาเงินจำนำที่โรงจำนำยังจะเชื่อได้มากกว่า”
“ของชิ้นนี้หรือ…” ปลายนิ้วไป๋เฟิงซีแตะเครื่องประดับบนหน้าผากอย่างเบามือ เอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “นี่เป็นของตกทอดในสกุล วางจำนำไม่ได้ หากทำได้ข้าก็เอาไปวางแลกของกินนานแล้ว”
“เช่นนั้นท่านจะใช้สิ่งใดแทนเงินหรือ” หานผู่ถามอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างสามเชียะกับนาง ตลอดทางมานี้ของบนร่างเขาที่จำนำได้ก็จำนำจนสิ้นแล้ว สุดท้ายเหลือเพียงมีดพกสั้นเลี่ยมอัญมณีที่ท่านพ่อให้มา จะให้นางเอาไปเป็นต้นทุนเล่นพนันไม่ได้โดยเด็ดขาด หากแพ้และเสียของไป วันหน้าไปถึงปรโลกเขาจะถูกท่านพ่อตำหนิเอาได้
“มากับข้า ประเดี๋ยวก็รู้เอง” ไป๋เฟิงซีคว้าเขาไว้ กึ่งดึงกึ่งลากให้เขาเข้าไปในโรงบ่อนเบี้ย
ทันทีที่เข้าสู่ด้านในสิ่งที่ปะทะเข้าจังหน้าก็คือกลิ่นเหม็นพิกลและเสียงตะโกนร้องกึกก้องถึงชั้นฟ้า
“พวกเราเล่นสิ่งที่ง่ายที่สุดอย่างทายสูงต่ำเถิด” ไป๋เฟิงซีลากหานผู่เบียดฝ่าเข้าไปในฝูงชน
หานผู่มือข้างหนึ่งถูกนางคว้าไว้ อีกข้างที่ว่างอยู่ก็ปิดปากและจมูก
ขณะนี้เป็นปลายเดือนสิบแล้ว อากาศหนาวเย็นยิ่ง โรงบ่อนเบี้ยจึงเปิดประตูใหญ่ไว้เพียงบานเดียว แต่ด้านในมีผู้คนล้มหลาม อากาศไม่ถ่ายเท กลิ่นย่อมไม่สู้จะพึงประสงค์ หานผู่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่ยังเยาว์ แม้หลายเดือนมานี้จะติดตามไป๋เฟิงซีนอนกลางดินกินกลางทราย ทว่าไม่เคยคลุกคลีกับคนระดับล่างเหล่านี้จริงๆ จังๆ บัดนี้หูได้ยินเสียงพวกเขาตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย ดวงตามองเห็นใบหน้าโลภโมโทสันอันมีกิเลสเกี่ยวกระหวัดใบหน้าแล้วใบหน้าเล่า จมูกได้กลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยวและกลิ่นกายของพวกเขาที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน หลายเดือน หรือกระทั่งเป็นปี ในอกก็ปั่นป่วนขึ้นมาระลอกหนึ่ง ปรารถนาจะออกไปทันที แต่มือก็ถูกไป๋เฟิงซีคว้าไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนมิได้
ไป๋เฟิงซีลากหานผู่มุดเข้าไปในฝูงคน ลอดซ้ายแทรกขวาจนสุดท้ายก็เบียดเข้ามากลางวงได้สำเร็จ
“รีบซื้อๆ! จะเปิดแล้วนะ!” เจ้ามือตะโกนร้อง
“ข้าแทงสูง!” นางฟาดฝ่ามือลง
เสียงนี้ใสกังวานเป็นที่สุด ทำเอาบรรดาผีพนันพากันสะดุ้งตัวลอย แต่ละคนเบนสายตาจากโต๊ะพนันมายังร่างนาง
พริบตานั้นเหล่าผีพนันผู้เดิมทีแยกฟ้าแยกดินแยกเหนือแยกใต้ไม่ออก จำบิดรมารดาภรรยาและบุตรไม่ได้ก็ประหนึ่งได้น้ำใสมาประพรมใบหน้า แต่ละคนสะดุ้งสุดตัวได้สติ ดวงตาแดงก่ำแต่ละคู่เห็นดรุณีอาภรณ์ขาว ผมดำยาวสลวย นัยน์ตาสุกใส ดวงหน้าหมดจด แช่มชื่นสะคราญตา ราวกับดอกบัวสีครามชูก้านชดช้อยอยู่กลางน้ำ ทำให้สติเลอะเลือนไปเล็กน้อย
“นี่ ข้าแทงสูง รีบเปิดซี” ไป๋เฟิงซีโบกมือ แขนเสื้อก่อให้เกิดลมวูบหนึ่ง ทำให้ผู้คนได้สติ
นับแต่โรงบ่อนเบี้ยเปิดกิจการมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีสตรีเข้ามา ดังนั้นเจ้ามือจึงลังเลเล็กน้อย “แม่นาง…มาเล่นพนันหรือ”
“แน่นอน” น้ำเสียงของไป๋เฟิงซีก้องกังวานและมั่นใจเต็มเปี่ยม
เจ้ามืออยู่ในโรงบ่อนเบี้ยนี้มาหลายปีแล้ว ลูกค้าจากเหนือใต้ท่าทางพิลึกพิลั่นทั้งหลายก็เคยพบมาบ้าง ดังนั้นยามนี้จึงเรียกสมาธิ ไม่ยึดติดว่าลูกค้าผู้อยู่เบื้องหน้าเป็นสตรี เพียงถามว่า “แม่นางจะแทงเท่าไร”
“เรื่องนี้หรือ…” ไป๋เฟิงซีลากหานผู่ที่หันหน้าไปด้านนอกให้ขึ้นมาด้านหน้า “เขาก็แล้วกัน”
“หา?” คราวนี้คนทั้งหลายล้วนตกตะลึงเป็นคำรบที่สอง
“ท่าน…” หานผู่ได้ยินก็แตกตื่นโมโห เพิ่งจะอ้าปากเสียงก็หายไป จุดใบ้เขาถูกสกัดไว้แล้ว
“เจ้าดูสิว่าเด็กนี่ได้ราคาเท่าไร” ไป๋เฟิงซีถามเจ้ามือด้วยรอยยิ้มระรื่น
“ห้าแผ่นเงินกระมัง” เจ้ามือเอ่ย เด็กนี่ผอมๆ แห้งๆ เกรงจะทำงานอะไรไม่ไหว ด้วยสภาพบ้านเมืองทุกวันนี้ ได้ห้าแผ่นเงินก็เป็นราคาที่สูงมากแล้ว
“ห้าแผ่นเงินน้อยไปแล้วกระมัง” นางต่อรองราคากับเขา พลิกมือบิดหน้าของหานผู่ให้เจ้ามือดู “เจ้าดูสิว่าเด็กนี่หน้าตาดีแค่ไหน คิ้วตาคมคาย ผิวขาวเนียนนุ่ม งามกว่าสตรีตั้งมากมายด้วยซ้ำ หากว่า…” นางลดเสียงลงอย่างมีเลศนัย “หากว่าขายเป็นเด็กบำเรอให้บ้านคนมั่งมี…อย่างชั่วก็ต้องขายได้สามสิบสี่สิบแผ่นเงินแล้ว แต่ข้าหาได้ต้องการมากมายเพียงนั้น เอาเป็นสิบแผ่นเงิน เช่นนี้เป็นอย่างไร”
“เรื่องนี้…” เจ้ามือพินิจพิเคราะห์หานผู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นว่าเด็กน้อยผู้นี้สวยคมคายผิดสามัญโดยแท้ แค่ว่าตอนนี้ตาทั้งสองมีเพลิงโทสะพลุ่งพล่าน เห็นแล้วชวนสะท้านทั้งที่ไม่หนาว จึงเบนสายตาออก “ก็ได้ เอาเป็นสิบแผ่นเงิน”
“ตกลงตามนี้” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า เร่งเร้าเจ้ามือ “รีบเปิดเถิด ข้าแทงสูง”
ดังนั้นเจ้ามือจึงเขย่าลูกเต๋ากรอกแกรก ดวงตาหลายสิบคู่จับจ้องมือของเขา สุดท้ายถ้วยก็กระแทกลงกับโต๊ะ สายตาทั้งหมดล้วนแต่จับจ้องไม่วางตา
“รีบเปิดๆ!”
“สูงๆๆ!”
“ต่ำๆๆ!”
บรรดาผีพนันตะโกนร้อง เจ้ามือยั่วน้ำลายทุกคนเต็มที่กว่าจะเปิดฝาออกในที่สุด
“ฮ่าๆๆ…สูง!” ไป๋เฟิงซีหัวเราะลั่น ยื่นมือโกยเงินอย่างไม่เกรงใจ
“เฮ้อ ดวงซวย!” บางคนยินดี บ้างก็กลัดกลุ้ม
“เอาใหม่ๆ!” ไป๋เฟิงซีร้องอย่างกระชุ่มกระชวย
ครั้นแล้วนางจึงแทงต่อ เจ้ามือก็เปิดแต้มต่อ มิทราบว่านางดวงดีเป็นพิเศษหรือเจ้ามือเอ็นดูนางเป็นพิเศษ เพราะนางแทงอะไรก็ออกอย่างนั้น ครั้นหลายตาเข้า เบื้องหน้านางก็มีแผ่นเงินซ้อนกันเป็นกอง
“วันนี้มือขึ้นดีนัก” ไป๋เฟิงซีโกยแผ่นเงินเข้ากระเป๋า กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “ขออภัย ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน”
“แค่นี้ก็ไปเสียแล้วหรือ” ทันใดนั้นก็มีคนไม่น้อยโวยวาย นางชนะได้เงินแล้วก็ไป?
“ใช่น่ะสิ ข้าหิวแทบแย่แล้ว จะไปกินข้าวก่อน วันหลังค่อยมาเล่นใหม่” ไป๋เฟิงซีผินหน้ากลับไปยิ้ม รอยยิ้มนั้นสดใสไร้เดียงสาดังบุปผา ทำให้ผู้คนตาลายใจสั่นไหว ระหว่างที่ผู้คนกำลังเลอะเลือน นางก็จูงหานผู่เผ่นแผล็วออกจากโรงบ่อนเบี้ยไป
เมื่อเดินอยู่บนถนนแล้ว ไป๋เฟิงซีก็คลายจุดใบ้ให้หานผู่ในที่สุด
“ท่าน…ท่านถึงกับเอาข้าไปเป็นเดิมพันแทงพนัน! ท่านถึงกับจะขายข้าทิ้ง!” ทันทีที่จุดคลายออกหานผู่ก็ตะโกนอย่างโกรธแค้นโดยมิสนใจผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน
“ชู่!” ไป๋เฟิงซีใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปาก มองหานผู่ด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ผู่เอ๋อร์ เจ้าอยากถูกสกัดจุดใบ้อีกหรือไม่”
วาจานี้ได้ผล หานผู่ไม่กล้าโวยวายเสียงดังอีก ทว่าเพลิงโทสะอัดแน่นในอกหาที่ระบายมิได้ จึงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาเอ่อท้นไปด้วยน้ำ กล่าวโทษด้วยยังไม่ยินยอมว่า “เสียทีที่ข้าอุตส่าห์ไว้ใจท่านนักหนา เห็นท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ แต่ท่านถึงกับเอาข้าไปแทงพนัน ยังจะเอาข้าไปขายเป็น…เป็นเด็กบำเรออะไรนั่นอีก!”
“ผู่เอ๋อร์ นี่เป็นแค่แผนชั่วคราวที่เหมาะกับจังหวะพอดีเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีตบศีรษะของเขาเบาๆ ราวกับตบสุนัขน้อยที่ไม่เชื่อฟัง
“หากท่านแพ้จะทำอย่างไร หรือจะขายข้าทิ้งจริงๆ” หานผู่ย่อมต้องไม่เชื่อ
“จะได้อย่างไรกัน” นางโต้แย้งเสียงเฉียบขาด
“หึ ยังนับว่าเหลือความรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง” หานผู่แค่นเสียง
ไหนเลยจะรู้ว่านางจะกล่าวต่อว่า “ผู่เอ๋อร์ เจ้าช่างดูแคลนพี่สาวอย่างข้าคนนี้เสียจริง ข้าผาดโผนในโรงบ่อนเบี้ยมาเกือบสิบปี เคยแพ้เมื่อใดกัน ด้วยวรยุทธ์ของข้าแน่นอนว่าแทงสูงออกสูง แทงต่ำออกต่ำ ไม่มีทางพลาดเป็นอันขาด!” ในน้ำเสียงมีแววภูมิใจในตัวเองไม่น้อย
“ท่าน…” หานผู่ฟังแล้วลมหายใจสะดุด จากนั้นก็สะบัดหน้าหมุนกายจากไป ทางหนึ่งก็เดินทางหนึ่งก็กล่าวด้วยความโมโหว่า “ข้าไม่ไปกับท่านแล้ว! แล้วข้าก็ไม่นับถือท่านเป็นพี่สาวแล้ว! ข้าจะไม่เหลียวแลท่านอีกต่อไปแล้วด้วย!”
“ผู่เอ๋อร์…ผู่เอ๋อร์” ไป๋เฟิงซีเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนั้นก็กลัดกลุ้มขึ้นมาจริงๆ นางรีบดึงเขาไว้พร้อมปลอบเสียงนุ่ม “เอาล่ะๆ เมื่อครู่ข้าล้อเล่น ด้วยวรยุทธ์ของข้า จะแพ้เสียเจ้าไปได้อย่างไร อีกอย่างต่อให้แพ้จริงข้าก็จะแย่งเจ้ากลับมา รู้ไว้ว่าด้วยวรยุทธ์ของข้า ต่อให้จิ้งจอกดำนั่นมาก็แย่งกับข้าไม่ชนะหรอก!”
“ฮึ!” หานผู่แม้จะถูกยุดไว้ ทว่ากลับเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองนาง
“หานผู่คนดี พี่สาวสัญญากับเจ้าว่าต่อไปจะไม่เอาเจ้าไปเดิมพันอีกแล้ว” ไป๋เฟิงซีจนปัญญา จำต้องปลอบโยนด้วยถ้อยคำหวานหู
“ท่านเป็นผู้พูดเองนะ พูดแล้วต้องคำไหนคำนั้น ห้ามเอาข้าไปเดิมพันอีก” หานผู่หันกลับมาถลึงตาใส่นาง
“อืม คำไหนคำนั้น” นางพยักศีรษะ
หานผู่จ้องนาง เอ่ยต่อทันใด “วันหน้าไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามเอาข้าไปเดิมพัน ห้ามขายข้าทิ้ง ห้ามเบื่อรำคาญข้า และก็ห้าม…และก็ห้ามทอดทิ้งข้า!” พอเอ่ยถึงตอนท้ายก็สะอึกสะอื้นขึ้นมากะทันหัน ขอบตาแดงผ่าว น้ำตาไหลรินลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความหวาดกลัวอย่างแท้จริงเข้ามาเกาะกุม เขากลัวถูกทอดทิ้ง กลัวต้องอยู่เพียงลำพังอีกเฉกเช่นคืนที่เกิดเพลิงไหม้ใหญ่นั้น แม้จะตะโกนจนคอแตกก็ไร้ผู้ขานรับ
“ได้ๆๆ ข้ารับปากหมดเลย” ไป๋เฟิงซีเห็นเขาน้ำตาตกก็อดถอนใจมิได้ ยื่นมือรวบเขามากอดไว้ ไม่มีใจจะแกล้งอีก พอหวนนึกว่าเขาเผชิญกับความพลิกผันครั้งใหญ่ในครอบครัว ใจก็ทั้งสงสารทั้งเวทนา “ผู่เอ๋อร์ พี่สาวจะไม่ไปจากเจ้า จะดูแลเจ้าจนถึงวันที่เจ้าเติบใหญ่” โดยไม่รู้ตัวนางก็เอ่ยคำมั่นสัญญาเช่นนี้ออกมาเสียแล้ว
“ท่านรับปากแล้วนะ ห้ามกลับคำเด็ดขาด” หานผู่กอดนางไว้แน่น หวั่นใจเหลือเกินว่าอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้จะพลันหายไป
“อืม” ไป๋เฟิงซีพยักหน้า จากนั้นถึงปล่อยเขาออก ปาดน้ำตาบนดวงหน้าของเขา “โตจนป่านนี้แล้วยังร้องไห้อีก นึกถึงตอนที่ข้าออกจากบ้านเพียงลำพังครั้งแรกยังไม่ร้องไห้เลย ผู้ที่ร้องกลับเป็นบิดาข้า เอาล่ะ ไม่ร้องแล้ว ไปหาร้านอาหารสักร้านกินอะไรกันก่อนเถิด”
“อืม” หานผู่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอย่างรู้สึกอายตัวเอง
ขณะที่คนทั้งสองกำลังจะไปหาร้านอาหาร เบื้องหน้าก็มีคนกลุ่มใหญ่เดินมา ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ บ้างขี่รถเทียมวัวมา บ้างหาบหลัว บนร่างยังแบกห่อสัมภาระน้อยใหญ่ ทุกคนล้วนแต่หน้าเหลืองหิวโซ ทั่วร่างเต็มไปด้วยร่องรอยอ่อนล้าจากการเดินทาง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนพากันหลีกทางให้ ไป๋เฟิงซีและหานผู่ก็ถูกเบียดเข้าข้างทางเช่นกัน ทั้งสองเห็นคนกลุ่มนี้เดินผ่านตลาด บ่ายหน้าตรงไปยังประตูเมืองด้านใต้
“เฮ้อ ลี้ภัยกันมาอีกแล้ว” ข้างหูได้ยินเสียงคนทอดถอนใจ
“ท่านลุง คนพวกนั้นมาจากที่ใดหรือ แล้วนี่พวกเขาจะไปที่ใดกัน” ไป๋เฟิงซีถามผู้เฒ่าข้างทางคนหนึ่ง
“แม่นางคงมิได้เข้าเมืองนานแล้วกระมัง” ผู้เฒ่าพิจารณานาง “นี่ก็หลายระลอกแล้ว ล้วนแต่มาจากแถบเจี้ยนเฉิงทั้งสิ้น ท่านอ๋องทรงส่งแม่ทัพใหญ่ทั่วป๋าหงบุกตีเป่ยโจวอีกแล้ว พวกนี้ต่างก็เป็นชาวบ้านที่หนีภัยสงครามมา”
“บุกตีเป่ยโจว? นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน” ไป๋เฟิงซีได้ยินก็อดตกตะลึงมิได้
“ตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว” ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “พูดไปพูดมาก็เพื่อป้ายขั้วกาฬ ไม่รู้ต้องตายกันอีกเท่าไร”
“ป้ายขั้วกาฬ?” ไป๋เฟิงซีขมวดคิ้วมุ่น
“ใช่” ดวงตาที่เข้าใจโลกของผู้เฒ่าทอแววโศกเศร้าเห็นใจ “ได้ยินว่าป้ายขั้วกาฬปรากฏขึ้นที่เป่ยโจว ท่านอ๋องตรัสว่าเป่ยโจวได้ป้ายขั้วกาฬแต่ไม่ถวายคืนนครหลวง มีใจกระด้างกระเดื่อง ดังนั้นจึงทรงยกทัพไปปราบ”
“ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น” ไป๋เฟิงซีกล่าวกับตัวเอง
“ถึงที่นี่ก็ปลอดภัยแล้วนี่ แล้วเหตุใดคนเหล่านั้นถึงต้องไปต่อด้วยเล่า” หานผู่เอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา
หากจะหนีภัยสงคราม ระหว่างไท่เฉิงกับเจี้ยนเฉิงก็มีเมืองกั้นกลางหลายเมือง ไกลจากสมรภูมิมากแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงยังต้องเดินทางต่ออีก ถัดไปก็ถึงเอ่อร์เฉิงแล้ว นั่นก็เป็นเมืองชายแดน
“พวกเขาคิดจะไปจี้โจวกระมัง” ผู้เฒ่ามองไปยังท้ายถนน ทางนั้นคือประตูทิศใต้ ออกนอกประตูไปก็คือทางหลวงที่มุ่งหน้าไปเอ่อร์เฉิง “เป่ยโจว ซังโจวมีไฟสงครามไม่ว่างเว้น ซ้ำยังกำลังสูสี ทุกคราที่เปิดศึกแต่ละฝ่ายต่างมิมีผู้ใดได้เปรียบ ผู้ที่นั่งบนที่สูงยังไม่เท่าไร ที่ทุกข์เข็ญคือประชาชน เมื่อสถานการณ์ไม่สงบ ชีวิตและบ้านเรือนก็ยากจะรักษา ส่วนจี้โจวเป็นแคว้นที่กำลังกล้าแข็ง น้อยครั้งที่จะมีสงคราม อีกทั้งจัดการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยจากแคว้นต่างๆ อย่างเหมาะสม ฉะนั้นทุกคนจึงอยากไปที่นั่น”
“อ้อ” หานผู่พยักหน้าแล้วหันมามองไป๋เฟิงซี แต่กลับพบว่าสายตาของนางจับอยู่ที่บางสิ่งที่เบื้องหน้า
ในกลุ่มผู้ประสบภัยมีเด็กหญิงอายุราวหกเจ็ดขวบผู้หนึ่ง คิดว่าคงหิวเหลือประมาณจึงชี้แผงขายเซาปิ่ง ข้างทาง ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย มารดาผู้อ่อนล้าผอมซูบของนางปลอบโยนสารพัด แต่นางก็เอาแต่ร้องไม่หยุดกระทั่งมารดาจนใจ จำต้องอ้อนวอนขอให้เจ้าของแผงสงเคราะห์ แต่กลับถูกเจ้าของแผงผลักล้มลงกับพื้น
สายตาของผู้เฒ่าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เขามองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “มีคนเหล่านี้มาทุกวัน แผงเซาปิ่งนั่นหากให้ทานเปล่าๆ เขาเองก็มิต้องกินข้าวแล้ว เฮ้อ ความจริงประชาชนก็หวังเพียงให้ท้องอิ่มเท่านั้น หาได้เหลียวแลป้ายขั้วกาฬ ป้ายแกนกาฬใดๆ ไม่”
ไป๋เฟิงซีเดินเข้าไปประคองสตรีที่อยู่บนพื้น ล้วงแผ่นเงินหนึ่งแผ่นในกระเป๋าแล้วยื่นให้นาง
“ขอบคุณแม่นาง! ขอบคุณแม่นาง!” นางแทบหลงนึกว่าได้พบกับเทพธิดา เอาแต่ขอบคุณไม่ขาดปาก
ไป๋เฟิงซีส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้ม ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจยิ้มให้สดใสได้ นางหันกลับมาจูงหานผู่ “ผู่เอ๋อร์ พวกเราไปกันเถิด” นางเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้ายังคงสีฟ้าอยู่เช่นนั้น แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า ทว่ากลับมิอาจสาดแสงให้เกิดเป็นดินแดนอันสงบรุ่งเรืองได้
“หวังเพียงให้ท้องอิ่ม…หวังเพียงให้ท้องอิ่มเท่านั้น” นางพึมพำถอนใจ แฝงความอาดูรและแฝงแววเข้าใจ