ไม่ ในความทรงจำของเขาน้องฟู่งดงามราวดอกไม้ ตัวเล็กบอบบาง แก้มกลมเนียนราวผลผิงกั่ว มือก็เล็กนิดเดียว บนหลังมือยังมีรอยปานวงเล็กๆ ทั้งยังถูกเขาหยอกล้อว่ามีกระเป๋าอยู่ที่มือ
ตอนนี้นางเปลี่ยนเป็นผอมบางจนไม่มีน้ำมีนวลเลย
ใจเขาจมดิ่งอยู่เพียงครู่อารมณ์เสียก็เกิดปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มือที่บีบแน่นด้วยสัญชาตญาณคลายลง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งออกไป “เจ้าอย่าคิดว่าตนเองอดทนจนมีสภาพแย่เช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าใจอ่อน!”
ฟู่เหลียงเฉินนิ่งอึ้งไป รอยยิ้มแห่งความคาดหวังบนหน้าค้างไปทันที
เมื่อพูดออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจในทันใด
เขาทำหน้านิ่งฝืนใจไม่ให้หันกลับไป ก่อนจะกระชากเสียงกล่าว “ออกมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” พูดจบพลันหมุนตัวแล้วเดินออกมาข้างนอก
ฟู่เหลียงเฉินยังคงยืนสูดหายใจเข้าลึกอยู่ที่เดิม แล้วจึงกล้ำกลืนความเจ็บปวดแสบร้อนลงลำคอไป นางยิ้มขมขื่นอยู่ครู่เดียวแล้วสะบัดหัวจากนั้นก้าวเดินออกไปด้วยความเงียบเชียบ
เขาอยู่ที่เมืองหลวงเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น ระยะเวลาสามเดือนนี้จะเพียงพอให้นางเรียกคืนทุกอย่างได้หรือ
ที่หอพลิ้วคลื่นแห่งนี้เป็นเรือนหลักสำหรับพวกเขาทั้งคู่แต่ในนาม แต่สามปีที่ผ่านมานี้เซียวอี้เหรินกลับเคยเข้ามาเพียงหนึ่งครั้ง และในคืนนี้เป็นครั้งที่สอง
เมื่อครู่ชำเลืองมองด้วยความรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นของตกแต่งในห้องโถงล้วนเป็นแบบที่เขาชอบ รวมไปถึงกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่ถูกจุดอยู่ในเตากำยาน
เป็นเพราะทุกสิ่งล้วนตั้งใจและเอาใจเช่นนี้จึงทำให้เขาเอือมระอามากขึ้น รู้สึกว่านางมีเจตนาแอบแฝงลึกๆ
เขานึกถึงยามที่ตนเองไม่รู้ตัว นางก็ทำให้เขามากมายเช่นนี้แล้ว มากเสียจนกลายเป็นภาระและข้อผูกมัดที่แน่นหนาที่สุดสำหรับเขา ทำให้เขาขยับไม่ได้ ทอดทิ้งก็ผิด ผลักไสก็ผิด ความเกลียดชังในใจยากจะเลือนหาย
“ท่านพี่” เสียงเบาเรียกมาจากทางด้านหลัง เซียวอี้เหรินนิ่งไป
“ฟู่เหลียงเฉิน” เขาหันกายกลับมา มองนางด้วยตาคมเคร่งขรึม “ไม่มีประโยชน์หรอก”
กายนางสั่นเทา แต่ยังคงอดกลั้นไว้ แผ่นหลังยืดตรงยิ่งขึ้น
“ข้าไม่ชอบเจ้า” เขาเอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ยิ่งเจ้าพยายามหนึ่งเท่าก็ทำให้ข้าจงเกลียดจงชังเจ้าขึ้นหนึ่งเท่า”
ฟู่เหลียงเฉินขบริมฝีปากล่างแน่น ลมหายใจอ่อนฝืนกลั้นให้ไร้เสียง ไม่ยอมเปิดปากพูดเพราะกลัวว่าเมื่อพูดออกไปจะสูญเสียการควบคุมจนส่งเสียงร้องไห้ออกมา
เหลียงเฉิน อดทนไว้ เจ้าจะร้องไห้ไม่ได้ น้ำตาของเจ้ารังแต่จะทำให้เขาเกลียดชังยิ่งขึ้น
“อีกอย่าง ข้าเป็นคนพาเหยาเอ๋อร์กลับมา เจ้าไม่พอใจก็มาลงที่ข้า ไม่ต้องใช้วิธีการสกปรกต่อสู้ลับหลังมารับมือกับนาง” น้ำเสียงเขาเยียบเย็นอย่างยิ่ง “นางแพ้อาหารทะเล ไม่ต้องพูดถึงกลิ่นคาวเลย เห็นได้ชัดว่าได้บอกสาวใช้ของเจ้าไปแล้ว เจ้ากลับคอยส่งปลา ส่งกุ้งมาสามวัน แท้แล้วนี่คือคุณงามความดีที่สมบูรณ์แบบของเจ้า เป็นมารยาทที่ดีของการเป็นภรรยาของเจ้าของบ้านหรือ”
“ข้าเองไม่รู้เรื่องนี้” นางอดกลั้นไว้ ท้ายที่สุดจึงเปิดปากอยากจะแก้ต่าง “ข้าจะไปตรวจสอบให้แน่ใจ…”
“พอได้แล้ว!”
นางตัวสั่นเทา
“ถ้าหากเจ้าถือตัวเป็นน้องสาวของข้าตั้งแต่แรก เดิมทีระหว่างพวกเราคงไม่ต้องเดินมาถึงจุดนี้” เซียวอี้เหรินมีสีหน้าเฉยเมยพลางเอ่ยตามเรื่องตามราว “เจ้าต้องการของที่ไม่ใช่ของเจ้า ยอมให้เจ้าเป็นภรรยาแม่ทัพนี้ก็ถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว ส่วนอย่างอื่นนั้นเจ้าอย่าได้หวัง”
ใจของฟู่เหลียงเฉินเจ็บปวดรวดร้าว ปิดเปลือกตาลงด้วยความจนใจ ไม่อยากมองเห็น ไม่อยากได้ยิน ราวกับทำเช่นนี้แล้วจะหยุดคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกราวกับศรหมื่นดอกปักลงกลางใจไว้ได้
“หลังจากฉลองปีใหม่ ข้าจะแต่งเหยาเอ๋อร์เป็นภรรยารอง ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม”
“ท่านพี่อี้เหริน…” นางตัวสั่นเทา เบิกตากว้างทันทีพร้อมกับใบหน้าถอดสี