“หยุดพูด!” เขาตะคอกออกมาด้วยความโกรธเคือง “อย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเสียใจเพียงใดที่พาเจ้ากลับมาที่นี่”
ราวกับโลกทั้งโลกพลันเงียบสงัดในชั่วพริบตา…
ฟู่เหลียงเฉินมองเขาด้วยความนิ่งอึ้ง น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่นั้นค่อยๆ แห้งเหือดไป
ความเกลียดชังจากเขาเด่นชัดถึงเพียงนี้ แววตาแห่งความชิงชังและมุมปากเหยียดหยามราวกับเห็นตัวประหลาดที่น่าเอือมระอา น่าขยะแขยง
นางพลันรู้สึกว่า…ตนเองจะน่าเวทนา…น่าขันยิ่งกว่านี้ได้อีกหรือ
ถ้าหากเขาฆ่านางด้วยดาบเดียวบางทีอาจมีความสุขบ้างก็เป็นได้
เวลาเพียงครู่เดียว ความหวังและความคาดหวังอันแรงกล้าที่เกาะกุมอยู่ทั้งหมดขาดกระจายเหมือนกระดาษขาวโพลนที่ปลิวไปกับสายลม ความยุ่งเหยิงปลิดปลิวไป ฝังความคิดเพ้อฝันตลอดสิบกว่าปีของนางไว้
จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา
เซียวอี้เหรินซึ่งสังเกตสีหน้าของนางมาโดยตลอด ท่าทีตอบสนองของนาง เขาเคยลองคิดว่าหากตนมาพูดอย่างตรงไปตรงมากับนางเช่นนี้ ฉีกหน้ากากที่เสแสร้งว่าทุกอย่างนั้นดีออกไปอย่างไม่ปรานีจะได้เห็นการต่อต้านที่รุนแรงเช่นไรจากนาง หรือจะเห็นการขอร้องด้วยความเศร้าโศกกัน
แม้เขาจะเคยหาข้อบกพร่องของนางที่เซียวอีได้รวบรวมไว้ อยากจะใช้สิ่งเหล่านั้นมาข่มขู่ไม่ยอมให้นางนอกเสียจากสถานะนั้นแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดเลย…ว่านางจะหัวเราะออกมา
เขาเผลอกลั้นหายใจ หัวใจบีบรัดกะทันหัน
“เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางนั้นบางเบา ราวกับความรู้สึกเสียใจทุกอย่างนั้นแห้งเหือดหายไปแล้ว “ข้าเข้าใจแล้ว”
เซียวอี้เหรินค่อยๆ ขมวดคิ้ว ยังคงจ้องมองนางด้วยความระแวง
“อีกสิบวันก็จะฉลองปีใหม่แล้ว รอจนวันที่สิบห้าฉลองเทศกาลหยวนเซียว* ข้าจะให้ท่านได้สมดังใจ”
คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นสูง แววตาเย็นชาแต่ระแวดระวัง ในใจอดสงสัยไม่ได้ “เจ้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องราวดำเนินมาถึงทุกวันนี้ ข้ายังจะมีความสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรไปหลอกล่อต่อหน้าท่านได้อีกหรือ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาพูดไม่ออกอยู่ชั่วครู่
เมื่อฟู่เหลียงเฉินพูดจบก็คารวะด้วยท่าทีนิ่งเฉยเป็นพิธี จากนั้นจึงหมุนตัวกลับออกไป
หอพลิ้วคลื่นซึ่งสูงตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนนั้นราวกับสัตว์ใหญ่อันตราย ดุร้ายอ้าปากอยู่ ชั่วพริบตาเดียวก็กลืนกินร่างผอมบางของนางเข้าไป
ใจของเขาพลันตึงเครียด ลางสังหรณ์ไม่ดีวาบผ่านไปชั่วขณะ จากนั้นจึงสลัดความสับสนหงุดหงิดที่คลุมเครือนั้นทิ้งไป
ไม่ผิดแน่ นางตกอยู่ในกำมือของเขาเรียบร้อยแล้ว ยังจะพลิกฟ้าได้อีกหรือ
เซียวอี้เหรินมองลึกไปทางหอพลิ้วคลื่นที่ปิดประตูสนิทแล้วหันหลังเดินจากมา
ก่อนจะกลับไปที่เรือนไร้อักษร เขาตั้งใจเดินรอบเรือนคอยจันทร์ที่กู่เหยาเอ๋อร์พักอยู่ เมื่อเห็นสตรีงามในอาภรณ์สีแดงที่คุ้นเคย แววตาของเขาเผลอเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา
กู่เหยาเอ๋อร์กำลังคนโจ๊กปลาใส่เทียนหมา* ด้วยความเบื่อหน่ายและไม่ปิดบังความรังเกียจเลย เมื่อเห็นเขามาก็อดดวงตาเป็นประกายไม่ได้ นางกระโดดลงจากที่นั่งด้วยความดีใจแล้ววิ่งมาทางเขา
“ข้านึกว่าคืนนี้ท่านจะไม่มาเสียแล้ว”
“ขอโทษด้วย” เขาลูบหัวนางเบาๆ พลางเอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว”
นางยิ้มออกมาด้วยความร่าเริงอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่เป็นไร เพียงท่านรู้ว่าข้าทนไม่ไหวกับการใช้แผนการสกปรกลับหลังเพราะความอิจฉาริษยาก็ดีแล้ว ข้ากินอะไรไม่ลงจนตอนนี้รู้สึกหิวมาก ท่านพาข้าออกไปกินอาหารดีๆ ข้างนอกได้หรือไม่”
“เจ้านี่นะ” เขายิ้มออกมา ดวงตาดำขลับเปล่งประกายอ่อนโยนเล็กน้อย “เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็รอให้ฉลองปีใหม่เสร็จไปก่อน นางจะไม่มีอันใดมาขู่เจ้าได้อีกแล้ว นอกจากนั้นเมื่อเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิเราค่อยออกเดินทางกลับไปทางเหนือ หลังจากนั้นเจอกันมากที่สุดก็ปีละครั้ง นางทำร้ายเจ้าไม่ได้หรอก”
แววตาของกู่เหยาเอ๋อร์ทอประกายออกมาเล็กน้อย ดวงหน้างดงามมีรอยยิ้มเปล่งประกาย “อือ ข้าเชื่อท่าน”
คืนจันทร์เงียบสงัด นางอิงแอบข้างกายสูงใหญ่ของเซียวอี้เหริน ดวงตาเผลอมองออกไปไกลยังทิศทางของหอพลิ้วคลื่น มุมปากปรากฏรอยยิ้มเริงร่าเจ้าเล่ห์
อย่าโทษข้าที่มีความคิดเล็กๆ เช่นนี้ต่อเจ้า ถ้าแม้แต่วิธีเบาๆ ของข้าเจ้ายังไม่อาจชำระคืนได้แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพใหญ่ ยิ่งไม่มีความสามารถที่จะขัดขวางหนทางการเป็นใหญ่ที่อาจมีสถานการณ์เสี่ยงอันตรายได้
ในเมื่อเจ้าทำไม่ได้ก็มอบเขามาให้ข้า ข้าไม่รังเกียจที่สองมือต้องแปดเปื้อนเพื่อเขาอย่างแน่นอน