LOVE
ทดลองอ่าน เพลิงธุรี บทที่ 5
บรรดาญาติๆ ต่างถูกจี้ใจดำจึงพากันหน้าดำหน้าแดง สะบัดหน้าพรืดเป็นทิวแถว
“ส่วนมึง…อีสาริน…ไสหัวออกไปจากบ้านนี้ กูไม่รับอสรพิษอย่างมึงเข้าบ้านหรอก!”
สารินเห็นว่าแขกเหรื่อเริ่มทยอยออกจากบ้าน หมดประโยชน์ที่จะแสดงละครอีกจึงหายเข้าไปในห้องเก็บของ คว้ากระเป๋าสะพายไหล่ซอมซ่อใบหนึ่งออกมาจากห้อง ตรงไปยังโถงรับแขกเพื่อมุ่งออกจากบ้าน แต่กลับถูกมุกตาร์เข้ามาดักไว้
“มึงซ่อนอะไรไว้ในกระเป๋า เอาออกมาให้หมด”
“ของใช้ของสารินเองจ้ะพี่มุกตาร์”
“มึงมาที่นี่แต่ตัวก็ไสหัวออกไปแต่ตัว กูบอกมึงแล้วว่าอย่าหวังจะขโมยของบ้านนี้ออกไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว!”
“ไม่มีอะไรจริงๆ จ้ะพี่มุกตาร์” สารินแสร้งทำทีกอดกระเป๋าไว้แนบอก ยิ่งทำให้มุกตาร์และบรรดาญาติที่ยังหลงเหลืออยู่หน้าประตูต่างเดินกลับมาเมียงมองอย่างใคร่รู้
“เห็นไหมว่ามันขโมยของ มันถึงไม่ยอมให้ค้นกระเป๋า”
“ไม่มีอะไรจริงๆ จ้ะพี่มุกตาร์ สารินไม่ได้ขโมยอะไรไปเลยนะจ๊ะ เชื่อสารินเถอะ”
ทว่ายิ่งสารินบ่ายเบี่ยงก็ยิ่งทำให้คำพูดของมุกตาร์น่าเชื่อถือ มุกตาร์เห็นเป็นทีของตนจึงกระชากกระเป๋ามาจากสาริน แต่ด้วยความที่กระเป๋าไม่มีซิป สิ่งที่อยู่ในนั้นจึงร่วงลงมากระจายอยู่บนพื้น
“นี่มันเศษบ้าอะไรของแก”
สารินทรุดฮวบ ใช้มือรวบผงเหล่านั้นเข้ามาประคองไว้ในฝ่ามืออย่างหวงแหน
“ฉันถามไม่ได้ยินรึไง นี่มันอะไร!”
“ถะ…เถ้ากระดูกของคุณแม่ค่ะ” คำตอบของสารินทำให้บรรดาญาติๆ ส่งเสียงฮือฮา จากที่เคยเข้าใจผิดในตอนแรกกลับเหลือเพียงความสงสารจับจิตจับใจ
“แกจะเอาเถ้ากระดูกแม่ไปทำไม จะเอาไปทำพิธีแช่งชักหักกระดูกใช่ไหมนังงูพิษ!”
“เปล่านะคะ สารินรู้ว่าพี่มุกตาร์เกลียดสาริน หากสารินขอเถ้ากระดูกคุณแม่ตรงๆ พี่มุกตาร์ก็คงไม่ให้ สารินจึงแอบเก็บเถ้ากระดูกของคุณแม่ไว้บูชา แต่เมื่อสารินต้องไปจากบ้านนี้ สารินไม่มีของมีค่าติดตัวเลย นอกจากเถ้ากระดูกของคุณแม่ สารินจึงแอบใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้”
นอกจากไม่ได้ทำอะไรผิดแล้ว สารินยังกลายเป็นลูกเลี้ยงยอดกตัญญูในสายตาคนภายนอก ตรงข้ามกับลูกสาวแท้ๆ ที่ขยันก่อแต่เรื่องงามหน้า
“กูไม่ให้! อีตอแหล! มึงไม่ต้องทำเป็นกตัญญู กูรู้เช่นเห็นชาติมึงดีอีงูพิษ”
สารินไม่โต้ตอบ เพียงแต่ลุกขึ้นประคองเถ้ากระดูกในฝ่ามือไว้อย่างหวงแหน ทำเอามุกตาร์เดือดเป็นฟืนเป็นไฟถึงกับกระชากแขนจนเถ้ากระดูกนั้นร่วงลงบนพื้นอีกครั้ง
“จะไปก็ไปแต่ตัว แม้แต่เถ้ากระดูกแม่กูก็อย่าหวังจะได้”
“ทำเกินไปแล้วนะมุกตาร์” เสียงเข้มของญาติอาวุโสในตระกูลดังขึ้นหลังจากเฝ้ามองการทะเลาะเบาะแว้งนี้มานาน
“ไม่เกินไปหรอกค่ะ คุณตาไม่รู้หรอกว่านังนี่มันร้ายแค่ไหน พี่ซันเจย์เกือบเสียคนก็เพราะนังคนนี้”
“เสียคนอะไรกัน ซันเจย์เรียนจบได้งานในกรมใหญ่โต เอาที่ไหนมาพูด ใส่ร้ายกันชัดๆ ตาได้ยินแต่เรานี่แหละคอยก่อเรื่องไม่เว้นวัน นี่ก็เพิ่งหนีงานแต่งงานไปกับเด็กในร้าน ถ้าตระกูลเรามีอะไรจะต้องอับอายก็เห็นจะเป็นเรานี่แหละ…มุกตาร์”
“ถ้าหนูไม่ดีนักก็ตัดหนูออกจากตระกูลไปเลย ไม่ได้อยากอยู่สักหน่อย มีแต่คนแก่โง่เง่าทั้งนั้น”
ท่าทีแข็งกร้าวไร้ความเคารพยำเกรงของมุกตาร์ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลถึงกับควันออกหู
“นับจากนี้แกไม่ใช่คนในตระกูลอีก ถ้าวันหลังเดือดร้อนอย่าหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น”
เมื่อผู้อาวุโสสุดของตระกูลออกปาก มีหรือคนอื่นๆ จะกล้าหือ ได้แต่เดินตามออกไปอย่างว่าง่าย เหลือเพียงมุกตาร์ที่ยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
“สะใจรึยัง ไม่มีใครอยู่แล้ว เผยธาตุแท้ออกมาได้แล้วล่ะสิ”
สารินตวัดสายตากลับไปทางมุกตาร์อย่างเยียบเย็น
“มองทำไม กูพูดผิดคำรึไง”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ สารินจงใจแสดงละครให้เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น ต่อไปพี่มุกตาร์จะไม่เหลือใครให้พึ่งพาสักคน ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะคะ”
“มึงไม่ต้องมาขู่กูหรอก กูไม่เห็นจะง้อ ไล่ออกจากตระกูลก็ไล่ไปสิวะ ใครอยากอยู่กับพวกคนแก่หิวเงิน ดีเสียอีก พวกมันจะได้ไม่โผล่มาขอเงินกู”
“คิดเช่นนั้นก็ดีค่ะ” สารินตอบเรียบๆ เตรียมก้าวออกจากบ้านหลังนี้เป็นการถาวร
“มึงฆ่าพ่อแม่กูใช่ไหม”
สารินชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
“กฎหมายอาจทำอะไรมึงไม่ได้ แต่เงินของกูจะกำจัดมึงให้พ้นไปจากโลกนี้ มึงคอยดู”
สารินหันกลับมายิ้มยียวน “ถ้าคิดว่าแน่ก็ลองดูสิคะพี่มุกตาร์”
“อี…อีสาริน…มึงท้ากูเหรอ!”
“คนอย่างสาริน ถ้าไม่กล้า ไม่ท้าใครเล่นๆ หรอกค่ะ”
“หรือว่ามึงคิดจะหนีไปหาพี่ซันเจย์ คิดเหรอว่าเขาจะคุ้มกะลาหัวมึงได้” ซันเจย์น่ะเหรอ สารินเลิกหวังในตัวผู้ชายคนนี้มาหลายปีแล้ว “หรือมึงคิดว่ามึงมีลูกกับพี่ซันเจย์ แล้วคนบ้านนั้นจะเลี้ยงดูมึง”
‘ลูก!’
สารินคิดถึง ‘เขา’ จับหัวใจ ป่านนี้ลูกคงอายุสามขวบแล้ว เธอตั้งท้องก่อนติดคุก พอคลอดก็ยกให้ซันเจย์ช่วยเลี้ยงดู ได้แต่หวังว่าอดีตคนรักจะดูแลลูกให้ดี อย่างน้อยก็เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน
“ถ้าลูกมึงรู้ว่ามีแม่ขี้คุก ลูกมึงจะรับได้รึเปล่านะ” มุกตาร์กรีดหัวเราะเสียงแหลม
“ถึงยังไงพี่ซันเจย์ก็คงดูแลปาวันได้”
“ดูแลงั้นเหรอ มึงคิดว่าพี่ซันเจย์จะทำลายอนาคตตัวเอง บอกใครว่าตัวเองมีลูกเหรอ มึงนี่โง่เง่าสิ้นดี”
สารินยืนนิ่งงัน ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอระหง ความจริงตอกย้ำว่าเธอยังคงโง่งมไม่เปลี่ยนสักนิด
“พ่อแม่ของพี่ซันเจย์บอกว่าไอ้เด็กนั่นเป็นแค่เด็กเก็บมาเลี้ยงเลยดูแลตามมีตามเกิด แต่ก็อย่างว่าแหละนะ มีแม่ขี้คุก พ่อแม่ที่ไหนจะยอมให้หลานทำลายอนาคตลูกชายตัวเอง”
ถ้อยคำนั้นไม่ต่างจากน้ำเย็นจัดที่สาดโครมใส่ร่างของสารินจนเย็นเยียบไปหมด สารินไม่ได้ยินว่ามุกตาร์ด่าว่าอะไรตนอีก เธอได้แต่ฝืนขึงไหล่ตรง ลากตนเองออกจากบ้านหลังนั้นอย่างไม่รู้อนาคต รู้เพียงอย่างเดียวว่าเธอต้องไปรับลูกกลับมา ชดเชยให้หลายปีอันแสนว้าเหว่ของแก
สารินไม่เคยรู้จักความรักของพ่อแม่ ไม่เคยฟังนิทานก่อนนอน ไม่เคยสัมผัสอ้อมกอดของพ่อแม่ ไม่รู้ว่าเคยมีสักครั้งไหมที่พวกเขาจะหวนคิดถึงเธอบ้าง เคยมีสักครั้งไหมที่ระลึกว่ายังมีลูกสาวคนนี้อยู่อีกคน!
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)