ทว่าเพียงครู่เดียวสารินก็ได้ยินเสียงรานีกรีดร้องลั่นบ้าน ก่อนผลุนผลันลงมาลากสารินขึ้นไปข้างบน
“แกเอาเงินฉันไปไหนหมดนังสาริน” รานีชี้มือไปที่ก้นหีบซึ่งบัดนี้มีเศษเถ้ากระดาษกองหนึ่งเท่านั้น
“คุณแม่เก็บเงินไว้ในนี้เหรอคะ”
“อย่ามาทำไขสือ ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร”
“สารินไม่ทราบจริงๆ ค่ะว่าคุณแม่เก็บเงินไว้ในห้องพระ แล้วยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าซ่อนไว้ตรงนี้ คุณแม่ห้ามสารินเข้ามาในห้องนี้แล้วก็ถือกุญแจไว้คนเดียว สารินจะเข้ามาได้ยังไงล่ะคะ”
รานีนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายจำนนด้วยเหตุผล
“คุณแม่เปิดหีบครั้งสุดท้ายเมื่อไรคะ”
“เดือนที่แล้ว”
“สารินหายไปตั้งหลายปี กว่าจะกลับมาก็ไม่กี่วันนี้เอง สารินจะรู้ช่องทางและหาทางขโมยเงินของคุณแม่ได้ยังไงล่ะคะ ทำไมไม่ลองถามพี่มุกตาร์หรือคุณพ่อดูล่ะคะ”
“พวกมันอยู่ให้ฉันถามที่ไหนล่ะ” รานีสะบัดเสียง เหลือบมองกล้องวงจรปิดที่ใช้งานมาเนิ่นนาน ก่อนจะโทรเรียกคนงานให้ขึ้นมาตรวจเช็กกล้องวงจรปิดย้อนหลัง แต่ก็พบว่าวิดีโอดังกล่าวไม่มีการบันทึกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง ไฟแดงที่กล้องยังขึ้นอยู่เลย”
“หรือว่าจะมีคนแอบลบคะคุณแม่”
“หรือว่าเป็นแก”
“สารินลบเป็นเสียที่ไหนล่ะคะคุณแม่ แล้วสารินก็เพิ่งกลับมาจะรู้ได้ยังไงว่ามีอะไรในกล้องวงจรปิดเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว อีกอย่างสารินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องพระมีกล้องวงจรปิดนะคะคุณแม่”
ทว่าความจริงคือเธอแอบลบไฟล์ในกล้องวงจรปิดเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อเพิ่มผู้ต้องสงสัยต่างหาก
“คุณแม่ลองค้นห้องทำงานคุณพ่อกับห้องพี่มุกตาร์สิคะ บางทีอาจพบอะไรก็ได้”
“ฉันค้นแน่ แต่ฉันจะค้นห้องแกก่อน”
รานีลากสารินลงมาที่ห้องพลางสั่งให้คนงานค้นห้องเก็บของที่สารินใช้ซุกหัวนอน แต่ค้นเท่าไรก็ไม่มีเงินหรือทองโผล่ออกมาสักก้อน
“ถ้าไม่ใช่แก แล้วเงินจะหายไปไหนได้”
จะอยู่ได้อย่างไรในเมื่อเธอแอบผ่องถ่ายทั้งเงินและทองคำทั้งหมดออกไปจากบ้านตั้งแต่รานีสั่งให้ไปเฝ้าร้านอาหารแล้ว เธอนำเงินและทองพวกนั้นฝากไว้กับเพื่อนสนิท บางส่วนก็นำไปซ่อนไว้ในห้องเช่าที่ตนเช่าไว้
“คุณแม่ก็รู้ว่าพี่มุกตาร์เป็นคนฉลาด คงไม่ยอมหนีไปทั้งที่ไม่มีเงินติดตัวหรอกค่ะ”
สีหน้าของรานีเข้มขึ้นด้วยความคับแค้นใจ ลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวกลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยขโมยเงิน จึงลากสารินขึ้นไปค้นห้องลูกสาวเพื่อพิสูจน์ความจริง
“ไม่เห็นจะมี เห็นไหมล่ะว่าลูกสาวฉันไม่ใช่ขี้ขโมยเหมือนแกหรอก”
“พี่มุกตาร์จะเก็บเงินไว้ในห้องทำไมล่ะคะ ในเมื่อพี่มุกตาร์หนีไปแล้ว คุณแม่ไม่ลองค้นห้องทำงานของคุณพ่อล่ะคะ อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”
“แกจะใส่ร้ายอะไรเขาอีก”
“สารินแค่สันนิษฐานค่ะ ทั้งพี่มุกตาร์และคุณพ่อต่างมีเหตุผลให้ขโมยเงินของคุณแม่ทั้งนั้น คุณแม่ก็รู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรคุณพ่อก็แอบหยิบเงินคุณแม่ไปใช้อยู่แล้ว บางทีคุณพ่ออาจจะมีปัญหากับ…เอ่อ…เด็กของคุณพ่อ ก็เลยจำเป็นต้องใช้เงิน…สารินไม่ได้จะใส่ร้ายนะคะ แต่สารินเห็นคุณพ่อจงใจหาเรื่องคุณแม่ แล้วก็รีบร้อนออกไปข้างนอก มันดูมีพิรุธค่ะ”
เป็นธรรมดาของคนเราเมื่อเริ่มระแวงแล้ว ต่อให้เป็นคนดีแค่ไหนก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ แล้วคนเลวอย่างอรุณมีหรือจะรอดพ้น
“ค้นห้องทำงานของอรุณซิ” รานีนำคนงานบุกค้นห้องทำงานของสามีแทบจะทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบเงินทองที่ว่าแม้แต่ชิ้นเดียว “ไหนแกว่าอรุณเป็นขี้ขโมยไง ไหนล่ะหลักฐาน”
“สารินแค่พูดตามเนื้อผ้า แล้วอีกอย่างคุณแม่ยังไม่ได้ค้นอีกตั้งหลายจุดนะคะ”
“ตรงไหนอีก” รานีกวาดตาไปทั่วห้องก็ไม่พบจุดที่ตนไม่ได้สั่งให้ชายฉกรรจ์ค้น แต่สารินกลับเป็นฝ่ายคุกเข่าและแทรกตัวเข้าไปใต้โต๊ะทำงาน ก่อนดึงก้อนทองที่แปะสก็อตเทปอยู่ใต้ฐานเก๊ะออกมาส่งให้รานี
“ใช่ทองของคุณแม่รึเปล่าคะ”
“แกรู้ได้ยังไงว่ามีทองซ่อนตรงนี้ หรือว่าแกจงใจใส่ร้ายเขา”
“ถ้าคุณแม่ไม่ลำเอียงจนเกินไปคุณแม่ก็น่าจะมองออกนะคะว่าสารินไม่ได้ใส่ร้าย สารินมีเพื่อนในคุกเป็นโจรย่องเบาค่ะ เขาเล่าให้ฟังว่าพวกเศรษฐีชอบซ่อนเงินไว้ใต้โต๊ะทำงาน สารินก็เลยลองก้มไปดูถึงรู้ว่าคุณพ่อก็ทำแบบนี้เหมือนกัน คุณแม่ลงไปดูสิคะ มีทองตั้งหลายก้อน แล้วก็ไม่ได้มีแค่ทองนะคะ มีซองสีน้ำตาลด้วยค่ะ”