ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เพียงหนึ่งใจ บทที่หนึ่ง – บทที่สิบหก
บทที่สิบหก
ตัวอักษรสุนัขเขี่ย
ผ่านไปสองสามวัน บาดแผลบนร่างกายของอาเป่านับว่าเกือบจะหายดีแล้ว หมอหลวงเวินจึงถูกเมิ่งซังอวี๋เรียกเข้าวังปี้เซียวเพื่อแกะผ้าพันแผลให้อาเป่าตั้งแต่เช้าตรู่
“เป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งซังอวี๋ถามอย่างทนไม่ไหว
“ฟื้นตัวได้ดีมากพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าอาเป่าจะอ้วนขึ้นและแข็งแรงขึ้น เต๋อเฟยทรงดูแลได้อย่างดียิ่ง” หมอหลวงเวินยิ้มตาหยีพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี ยังมีตรงไหนต้องระวังอีกหรือไม่” เมิ่งซังอวี๋พ่นลมหายใจเฮือก
“ยังต้องบำรุงดูแลลำคออีกสักระยะหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ พยายามอย่าให้อาเป่าเห่าหรือส่งเสียงดัง” หมอหลวงเวินกำชับอย่างง่ายๆ จากนั้นก็หิ้วล่วมยาขึ้นมาพร้อมกับถวายบังคมขอตัวลา
เมิ่งซังอวี๋ตกรางวัลให้หมอหลวงเวินอย่างงาม จนกระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว นางจึงจับอุ้งเท้าเล็กๆ ของอาเป่าขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด เล็บงอกขึ้นมาใหม่แล้ว เป็นสีขาวกึ่งใส ผิวเนื้อที่ตอนแรกถลอกปอกเปิกบัดนี้กลับเป็นสีชมพูนุ่มนิ่มอีกครั้ง ลูบแล้วอ่อนนุ่มยิ่ง ทันใดนั้นนางก็ถูกความน่ารักทำให้หัวใจคันยุบยิบ จึงจับเท้าน้อยๆ ของอาเป่าวางไว้ตรงริมฝีปากพร้อมกับจุมพิตอย่างอดไม่ได้ บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม
สัมผัสแผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อทำให้กู่เซ่าเจ๋อชาวาบไปทั้งร่าง ความร้อนผ่าวแผดเผาจากฝ่าเท้าลามไปจนถึงหัวใจ เสียงหัวใจเต้นระรัวดังกึกก้อง ราวกับทั้งโลกล้วนได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขา ถ้าหากไม่มีขนปกคลุมเอาไว้ ใบหน้าแดงก่ำและสีหน้าหวั่นไหวของเขาจะต้องถูกคลื่นความรักที่โถมกระหน่ำภายในหัวใจเปิดโปงออกมาจนไม่เหลือเป็นแน่
เขาไม่เคยใจเต้นเพราะสตรีผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าได้ครอบครองนางก็ประหนึ่งได้ครอบครองโลกทั้งใบ สีสันทุกอย่างล้วนชืดจางไป มีเพียงนางที่มีสีสันโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด ในวังหลวงอันกว้างใหญ่ เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเสาะหา แค่อาศัยกลิ่นหอมเพียงน้อยนิดก็สามารถหาตำแหน่งของนางได้อย่างแม่นยำ นี่คือความรักอย่างหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับสัญชาตญาณ
กู่เซ่าเจ๋อร้องครวญอยู่ในอ้อมอกอันอบอุ่นของเมิ่งซังอวี๋ ทันใดนั้นพลันมีความรู้สึกราวกับร่วงลงสู่หุบเขาลึกหมื่นจั้ง ทว่าเขากลับยินยอมพร้อมใจ
สุ้มเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของนางแว่วเข้าหูเขาอย่างรางเลือน “อาเป่า สะบัดหางซิ! ให้ข้าดูหน่อยว่ากระดูกหางของเจ้าหายบาดเจ็บหรือยัง”
ยังมิทันได้รอให้คลื่นความรักในดวงใจจางหายไป เขาก็ปีนขึ้นมาจากอ้อมอกนาง สะบัดหางน้อยๆ ของตนอย่างเริงร่าภายใต้การสั่งการจากจิตใต้สำนึก
เมิ่งซังอวี๋กอดอาเป่าพลางหัวเราะคิกคัก ทว่าในใจกู่เซ่าเจ๋อกับกำลังคร่ำครวญ…เราหมดหนทางเยียวยาแล้ว! สตรีหน้าเหม็น ดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำสิ เรากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าไปแล้วจริงๆ
หลังจากคร่ำครวญเสร็จ เขาก็เริ่มหลงใหลในใบหน้าแย้มยิ้มอันงามตราตรึงของนาง แววรักใคร่ในดวงตาสีดำสนิทนั้นลึกล้ำราวกับมหาสมุทร แต่น่าเสียดายที่นางกับเขาถูกขวางกั้นด้วยระยะห่างที่ยากจะก้าวข้ามได้ นางอ่านความรักลึกซึ้งในดวงตาของเขาเป็นความรักใคร่อาวรณ์ที่สัตว์เลี้ยงมีต่อเจ้านาย
หนทางในการไล่คว้าหัวใจภรรยาของฮ่องเต้สุนัขยังอีกยาวไกลนัก…
นอกจากนี้เรื่องผู้ร้ายในวังเฉียนชิงผ่านไปสิบวันแล้ว แต่ใต้เท้าหลัวแม่ทัพตรวจการเก้าประตูก็ยังหามิได้แม้แต่วี่แววของข่าวคราว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจับตัวคนร้าย เดิมทีเขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ จึงคิดว่าฮ่องเต้จะทรงผ่อนผันให้เขาอีกสองสามวัน คิดไม่ถึงว่าพอถึงกำหนดเวลาฮ่องเต้ก็ทรงถอดเขาออกจากตำแหน่งทันที ทั้งยังรับสั่งให้เขากักบริเวณตัวเองเพื่อสำนึกผิด
แม่ทัพตรวจการเก้าประตูเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นหนึ่งชั้นโท รับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งเมืองหลวง ตำแหน่งสูงส่ง มีอำนาจมากมาย เป็นตำแหน่งที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก หลังจากฝ่ายราชครูเสิ่นและหลี่เซียงผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด ตำแหน่งนี้ก็ตกไปอยู่ที่ใต้เท้าหรงอดีตแม่ทัพซีอาน ใต้เท้าหรงนั้นเป็นน้องเขยของหลี่เซียง แต่งงานกับน้องสาวแท้ๆ ของภรรยาเอกหลี่เซียง ดังนั้นตำแหน่งผู้รับผิดชอบความปลอดภัยในเมืองหลวงนี้จึงอยู่ในกำมือของหลี่เซียง ราชครูเสิ่นได้เสียหมากไปหนึ่งตัวแล้ว
ถึงแม้เมิ่งซังอวี๋จะไม่ได้ออกนอกประตูวังตลอดทั้งวัน แต่เส้นสายของสกุลเมิ่งก็มิได้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารในราชสำนักหรือว่าตำหนักใน นางมักจะได้รู้เป็นคนแรกเสมอ และอาเป่าก็ได้ฟังด้วยเช่นกัน
ราชครูเสิ่นพลาดโอกาสดูแลแนวป้องกันเมืองหลวงไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นดังที่คาดการณ์เอาไว้ แต่กู่เซ่าเจ๋อก็ยังคงเดือดดาลไม่หยุด จากนั้นก็ยังลอบยินดีว่าตำแหน่งนี้ตกไปอยู่ในมือหลี่เซียงยังดีกว่าตกไปอยู่ในมือของราชครูเสิ่น หากช่วงชิงตำแหน่งแม่ทัพตรวจการเก้าประตูไปได้ก็จำเป็นต้องควบคุมกองกำลังอวี้หลินและทหารองครักษ์หลวงไว้ให้ได้ด้วยถึงจะสามารถตั้งตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยสมบูรณ์ สองคนนี้ยังต้องทำสงครามกันอีกหลายยก
ถึงแม้จะรู้ว่าคนของทั้งสองฝ่ายยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอีกมาก ทว่ากู่เซ่าเจ๋อก็มิกล้ารั้งรออีกต่อไป เขาต้องหาทางติดต่อกับเหยียนจวิ้นเหว่ยทันที คิดหาวิธีกลับร่างเดิมให้ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในราชสำนักก็คงถึงขั้นที่ยากจะแก้ไข
วันนี้เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่เมิ่งซังอวี๋กำลังนอนกลางวัน ส่วนปี้สุ่ย อิ๋นชุ่ย และแม่นมเฝิงกำลังพักผ่อนพลางพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ในอีกห้องหนึ่งของตำหนักปีกข้าง ลอบเข้าไปในห้องหนังสืออย่างคล่องแคล่วว่องไว กระโดดขึ้นบนตั่งรองนั่งแล้วปีนขึ้นโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งออกมาเตรียมเขียนจดหมายให้เหยียนจวิ้นเหว่ย
หลังจากสาละวนอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เขียนลงบนกระดาษว่า
‘จื่อเหิง จงเชิญนักบวชผู้มีวิชาสูงส่งมาเรียกวิญญาณเรากลับเข้าร่าง แล้วส่งคนมาคุ้มครองเต๋อเฟย หากเราไม่อาจฟื้นขึ้นมา จงพาเต๋อเฟยไปส่งยังข้างกายเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงอย่างปลอดภัย ฮั่นไห่’
จื่อเหิงและฮั่นไห่เป็นชื่อที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตั้งให้ใช้แทนตัวพวกเขาทั้งสอง นอกจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนและพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่รู้เรื่องนี้อีก เมื่อใช้คำเรียกเช่นนี้ หากเหยียนจวิ้นเหว่ยเห็นจะต้องให้ความสนใจเป็นแน่
กู่เซ่าเจ๋อครุ่นคิดพลางพยายามควบคุมอุ้งเท้า หมายจะเขียนตัวอักษรออกมาให้ดี แต่น่าเสียดายที่อุ้งเท้าน้อยๆ เทียบกับพู่กันขนสัตว์มิได้ อักษรหลายตัวจึงบิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งตัวอักษรที่มีเส้นขีดค่อนข้างสลับซับซ้อนก็ยังเปรอะเปื้อนน้ำหมึกเป็นหยดๆ ดูแล้วช่างเหมือนกับยันต์กันผีนัก
หลังจากเขียนเสียไปหลายแผ่น ในที่สุดเขาก็สามารถเขียนตัวอักษรที่ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ กู่เซ่าเจ๋อใช้เท้าพับกระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าด้านหน้าชุดกันหนาวตัวน้อยของตน โชคดีที่เมิ่งซังอวี๋ปฏิบัติกับอาเป่าเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้มัน มิเช่นนั้นกระดาษแผ่นนี้คงไม่มีที่เก็บ หากคาบไว้ในปากก็คงจะเปียกน้ำลายทันที ทำให้ตัวอักษรเปรอะเปื้อน เขียนไปก็เสียเปล่า
เขาคาบกระดาษที่ใช้แล้วใส่ไว้ในถ้วยล้างพู่กันซึ่งบรรจุน้ำไว้จนเต็มปริ่ม กระดาษค่อยๆ เปียกชุ่ม เลอะจนกลายเป็นรอยหมึกไม่เป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นเขาจึงกระโดดลงบนตั่งรองนั่งแล้วจากไปอย่างวางใจ ทางเข้าเส้นทางลับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในอุทยานหลวงซึ่งอยู่ห่างจากวังปี้เซียวเป็นระยะทางสองสามร้อยจั้ง เพราะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งบนคอยังแขวนป้ายห้อยคอพระราชทาน คราวนี้กู่เซ่าเจ๋อจึงวิ่งได้อย่างราบรื่นตลอดทาง ครั้นเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน จึงลอดเข้าไปในภูเขาจำลองลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว อุโมงค์ในภูเขาจำลองทั้งลึกและมืดสนิท พอเดินไปจนสุดเขาก็ใช้อุ้งเท้าขยับหินทรงไข่ห่านบนพื้น ปกติแค่เหยียบเบาๆ ก็สามารถเปิดกลไกได้แล้ว แต่คราวนี้ขยับอยู่ถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงจะเปิดได้
เขาสะบัดเท้าที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย จากนั้นจึงลอดเข้าไปในทางใต้ดินที่ค่อยๆ เปิดแง้มออกมา
ภายในทางใต้ดินเยียบเย็นหนาวเหน็บยิ่ง สายลมระลอกแล้วระลอกเล่าพัดผ่านข้างกาย นำมาซึ่งความหนาวเย็นเสียดกระดูก ไอสีขาวหนาทึบถูกพ่นออกมาจากปลายจมูก เขาตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ ลอบยินดีที่เมิ่งซังอวี๋ให้เขาสวมชุดกันหนาว
พอคิดถึงเมิ่งซังอวี๋ความอบอุ่นบางเบาก็บังเกิดขึ้นในหัวใจ เขาตั้งสมาธิ รีบเดินไปตามผนังภายในทางเดินใต้ดินพลางหาท่อที่เหล่าราชองครักษ์ลับใช้ส่งข่าวกรองที่เสาะหามาได้และคอยแจ้งข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ท่อพวกนี้จะถูกฝังอยู่ในรอยแยกของช่องอิฐบนผนัง เพียงแค่นำข่าวกรองที่สืบมาได้หรือข่าวสารที่ต้องการส่งต่อสอดลงไป กระแสลมในท่อก็จะทำให้กระดาษข้อความตกลงไปภายในตลับเล็กๆ ที่อยู่ปลายสุด ตลับเล็กๆ นี้มีเพียงเหยียนจวิ้นเหว่ยเท่านั้นที่มีกุญแจเปิด ทุกวันเขาจะมาเปิดตลับเพื่อรวบรวมข่าวสารตามกำหนดเวลา แล้วเลือกเอาข้อมูลข่าวสารที่สำคัญๆ มารายงาน
ทว่าตอนนี้เขาสลบไปไม่ได้สติ จึงได้แต่หวังว่าเหยียนจวิ้นเหว่ยจะยังคงรักษากิจวัตรเดิมๆ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้น อุ้งเท้าของกู่เซ่าเจ๋อก็คลำเจอร่องเล็กๆ บริเวณด้านล่างของผนัง ภายในร่องมีลมเย็นๆ เล็ดลอดออกมา กระแสลมอันรุนแรงกรีดใส่อุ้งเท้าของเขาจนเจ็บปวด
ตรงนี้แหละ!
ดวงตาของกู่เซ่าเจ๋อพลันลุกวาว นำกระดาษซึ่งอยู่ในชุดกันหนาวออกมา เหยียบให้กลายเป็นม้วนเล็กๆ จากนั้นก็คาบแล้วสอดเข้าไปในร่อง
เพิ่งจะสอดเข้าไปแค่ส่วนปลาย กระแสลมอันรุนแรงก็ม้วนเอากระดาษข้อความทั้งใบลงไปดังฟึ่บ
ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดาษจะถูกลมฉีกกระชากจนขาดหรือไม่ การไม่มีมือนี่ช่างลำบากเสียจริง กู่เซ่าเจ๋อยืนอยู่ที่เดิมพลางส่ายหน้า จากนั้นก็วิ่งกลับไปตามเส้นทางเดิม โดยทั่วไปแล้วคนจะสนใจแต่บริเวณที่เสมอกับระดับสายตาของตน ดังนั้นเหนือศีรษะกับใต้เท้าจึงเป็นสองแห่งที่มักจะถูกมองข้ามได้ง่าย เพราะพิจารณาถึงจุดนี้ กลไกในทางลับจึงถูกออกแบบให้อยู่เหนือศีรษะหรือไม่ก็ใต้ฝ่าเท้า หากไม่หาให้ละเอียดก็ยากจะมองเห็น เมื่อก่อนเขายังเคยคิดว่ายุ่งยาก แต่บัดนี้กลับลอบยินดีอยู่ไม่น้อยที่กลไกในทางลับถูกออกแบบมาเช่นนี้ หากกลไกถูกออกแบบไว้ตรงตำแหน่งที่สูงกว่าศีรษะของคนล่ะก็ อาเป่าคงไม่มีทางเอื้อมถึงแน่นอน
พอมาถึงปากทางออกจากทางใต้ดินเขาก็ใช้น้ำหนักตัวกดลงบนอิฐสีเข้มก้อนหนึ่ง รอจนกระทั่งประตูเปิดออก จึงลอดออกไปอย่างว่องไว จากนั้นกดกลไกจากด้านนอกเพื่อปิดประตู ครั้นแน่ใจแล้วว่าด้านนอกภูเขาจำลองไร้ผู้คน เขาก็วิ่งห้อตะบึงกลับวังปี้เซียวอย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม เมิ่งซังอวี๋คงใกล้จะตื่นแล้ว หากไม่เห็นเขา นางก็จะร้อนใจเอาได้ กู่เซ่าเจ๋อจึงรีบกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูพุ่งออกจากคันศร
เขาวิ่งเข้าไปในวังปี้เซียวอย่างเร่งร้อน พวกปี้สุ่ยยังคงคุยเล่นกันอยู่ในห้องปีกข้าง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าเขาหายตัวไป กู่เซ่าเจ๋อผ่อนลมหายใจ รีบวิ่งไปยังตำหนักบรรทมของเมิ่งซังอวี๋ พลิกตัวข้ามธรณีประตู พอวิ่งต่อไปสองสามก้าวก็ถึงข้างตั่งเตียง ใบหน้าของเมิ่งซังอวี๋นิ่งสงบ นางกำลังหลับสนิท เขาผลิยิ้มน้อยๆ ใช้เท้าเล็กๆ เกาะขอบเตียงหมายจะปีนขึ้นไปอยู่ในอ้อมกอดของนาง
แต่เมื่ออุ้งเท้าประทับลงบนผ้าปูที่นอนสีม่วงเข้มแล้ว รอยสกปรกเลอะเทอะก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ชะงักไป รีบหยุดการเคลื่อนไหวทันที ทว่าน่าเสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว บนผ้าปูที่นอนหลงเหลือรอยดอกเหมยสีน้ำตาลเข้มสองแห่งเอาไว้ เห็นแล้วสะดุดตายิ่งนัก
กู่เซ่าเจ๋อก้มหน้าโอดครวญ ตัดสินใจวิ่งไปยังตำหนักปีกข้างทันที เขาจำได้ว่าบนโต๊ะแปดเซียนมีกาน้ำชาวางอยู่ สามารถนำมาใช้ล้างเท้าเขาได้พอดี
เขาปีนขึ้นไปบนโต๊ะแปดเซียนโดยอาศัยตั่งรองนั่ง ใช้เท้าเปิดฝากาออก จุ่มเท้าลงในน้ำชาเพื่อชำระล้างรอยหมึกและเศษฝุ่นบนเท้า จากนั้นจึงใช้ลิ้นเลีย ต้องทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน จะได้ไม่ถูกซังอวี๋รังเกียจ
หลังจากเลียขนเสร็จ เขาถึงตระหนักได้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ สวรรค์! ฮ่องเต้แห่งต้าโจวผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างเราถึงกับเลียขนตัวเอง เพื่อประจบให้เจ้านายรักใคร่? เรากลายเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วจริงๆ!
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดเหลือแสน แต่เขากลับไม่หยุดเลียขนเลยแม้แต่น้อย เมิ่งซังอวี๋ยังหลับอยู่ หากนางตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นกังวลแค่ไหน
“อาเป่าอยู่ที่นี่! กำลังเล่นน้ำอยู่บนโต๊ะ รีบไปบอกเต๋อเฟยเร็วเข้าว่าทรงไม่ต้องเป็นห่วง” อิ๋นชุ่ยยื่นหน้าเข้ามาจากนอกตำหนัก พอเห็นอาเป่าอยู่บนโต๊ะสีหน้าเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง หันไปพูดกับปี้สุ่ยซึ่งอยู่อีกด้าน
ปี้สุ่ยขานรับ วิ่งกลับไปรายงานสถานการณ์แก่ผู้เป็นนาย
ดูท่าซังอวี๋คงจะตื่นแล้ว
กู่เซ่าเจ๋อไหล่ตก ในใจรู้สึกหดหู่ยิ่ง สุดท้ายก็กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของเมิ่งซังอวี๋ก่อนที่นางจะตื่นไม่ทัน ซ้ำยังทำให้นางเป็นห่วงอีกด้วย
“อาเป่ากำลังทำอะไรอยู่หรือ” อิ๋นชุ่ยยิ้มตาหยี เดินเข้าไปหน้าโต๊ะพลางถาม พอเห็นน้ำชาที่กลายเป็นสีโคลนและสภาพเลอะเทอะเปรอะเปื้อนของอาเป่านางก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “อาเป่า เจ้าเด็กดื้อ แอบออกไปเล่นมาอีกแล้วใช่หรือไม่! ดูสิว่าเจ้าสกปรกไปหมดทั้งตัว ชุดกันหนาวที่เพิ่งเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำตาลไปหมดแล้ว ไป ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยส่งเจ้าไปหาเต๋อเฟย” พูดจบนางก็ยื่นมือเตรียมจะจับมัน
กู่เซ่าเจ๋อไม่คุ้นเคยกับการถูกสตรีอุ้มไว้ในอ้อมกอดเป็นเวลานานๆ เพราะนั่นเท่ากับทำลายเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของเขา แน่นอนว่าเมิ่งซังอวี๋เป็นข้อยกเว้น เขาจึงหลบมือของอิ๋นชุ่ย กระโดดลงจากโต๊ะด้วยตัวเองแล้ววิ่งไปรอข้างประตู
อิ๋นชุ่ยส่ายศีรษะอย่างขบขัน แล้วจึงพาอาเป่าไปอาบน้ำ
ภายในตำหนักบรรทม หลังจากได้ยินวาจาที่ปี้สุ่ยไหว้วานนางกำนัลให้มาบอก เมิ่งซังอวี๋ก็ชี้ไปยังผ้าปูที่นอนของตน “อาเป่า เจ้าเด็กแสนรู้นี่ มันคิดว่าข้าไม่รู้ว่ามันแอบหนีออกไปหรือ ดูสิ นี่ก็คือหลักฐาน ไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรมาเท้าถึงได้ดำเช่นนี้…”
ปี้สุ่ยมองรอยเท้าเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มสองรอยพร้อมกับปิดปากหัวเราะเบาๆ
แม่นมเฝิงทั้งเหนื่อยใจทั้งขบขัน นางรีบเรียกให้นางกำนัลสองสามคนมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ผู้เป็นนาย
เมิ่งซังอวี๋เปลี่ยนไปนั่งบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าไฟในเตาไฟใต้ดินในตำหนักยังคงแรงอยู่ อบอุ่นจนพาให้คนอ่อนยวบไปทั้งร่าง นางก็ปลดปิ่นปักผมบนศีรษะออกให้เส้นผมสยาย จากนั้นก็เปลื้องอาภรณ์ตัวนอกออก แล้วชี้ไปยังขวดแก้วใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง เอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “มิได้ผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้ว ปี้สุ่ยมานวดให้ข้าทีซิ แรงๆ หน่อยล่ะ”
“เพคะ” ปี้สุ่ยหัวเราะพลางรับคำสั่ง ล้างมือทั้งสองข้างอย่างละเอียดแล้วจึงเปิดฝาขวดแก้วออก เทน้ำมันดอกกุหลาบลงบนฝ่ามือพร้อมกับถูไถ พอเห็นผู้เป็นนายปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมดสิ้นจึงเดินเข้าไปบีบนวดเนื้อตัวอันขาวนวลเนียนของนาง
แม่นมเฝิงรีบสาวเท้าเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วปิดบานหน้าต่างให้สนิท เพื่อมิให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจนทำให้ผู้เป็นนายของตนจับไข้
สองเค่อผ่านไป ในที่สุดอาเป่าก็อาบน้ำจนสะอาด เส้นขนทั่วทั้งร่างก็ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งและเปลี่ยนใส่ชุดใหม่ กู่เซ่าเจ๋อวิ่งไปทางตำหนักบรรทมอย่างลิงโลด ด้านหลังมีอิ๋นชุ่ยซึ่งหอบหายใจแฮกๆ ตามมาด้วย เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้แล้วเห็นว่าหน้าต่างปิดอยู่ เขาก็เกิดความสงสัยขึ้น จากนั้นเสียงครางอือๆ อาๆ ก็ดังมาจากด้านใน ทำให้เขาพลันตัวแข็งไปทั้งร่าง
เสียงนี้ช่างชวนให้คนคิดไปไกลนัก เขาอดคิดไปในทางนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ผู้ใดอยู่ข้างในกันแน่ เป็นผู้ใดที่ทำให้ซังอวี๋เปล่งเสียงอ่อนหวานเย้ายวนเช่นนี้ ลูกตาสีดำสนิทของเขาย้อมด้วยไอสังหารเย็นยะเยียบ ย่นจมูกหนึ่งที จากนั้นเสียงเห่าคำรามอันดุร้ายก็ตั้งเค้าอยู่ในลำคอ
“เต๋อเฟย แรงแค่นี้พอหรือไม่เพคะ” ปี้สุ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“แรงอีกนิด! อืม…อย่างนั้นแหละ สบายยิ่ง!” เสียงต่ำพร่าของเมิ่งซังอวี๋ยากจะปกปิดความสุขสมไว้
ซังอวี๋กับปี้สุ่ย? มิน่าเจ้าถึงไม่แยแสไม่สนใจเรา! มิน่าเจ้าถึงปฏิบัติต่อปี้สุ่ยกับอิ๋นชุ่ยดีถึงปานนั้น! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง คิดไม่ถึงว่าศัตรูหัวใจของเราจะเป็นสตรี! ไฟริษยาแผดเผาหัวใจจนร้อนรุ่ม กู่เซ่าเจ๋อจวนเจียนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ เขาเห่าโฮ่งๆ ราวกับหมาบ้าพลางวิ่งไปหน้าประตู ใช้เล็บตะกุยอย่างบ้าคลั่ง
“อ๊ะ มาแล้วๆ ไม่ต้องเห่าแล้ว ประเดี๋ยวคอจะแย่เอา!” ครั้นแม่นมเฝิงได้ยินเสียงก็รีบร้อนเดินมาเปิดประตูตำหนักบรรทมออก
อาเป่ารีบผลุบเข้าไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าไปทางตั่งนุ่ม แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ต้องตะลึงงันไป
เมิ่งซังอวี๋ซึ่งปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมดนอนคว่ำเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง ทรวงอกกลมกลึงครึ่งหนึ่งถูกที่นอนดันจนกลายเป็นรูปทรงอันเย้ายวน แผ่นหลังงามเด่น บั้นท้ายอวบอิ่มงอนงาม ขาทั้งสองข้างเรียวยาว ทุกสัดส่วนประดุจผลงานชิ้นเอกที่สวรรค์บรรจงปั้นแต่งขึ้นมา เผยความงามละมุนสวยหยาดเยิ้มของสตรีเพศออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
ปี้สุ่ยยืนอยู่ข้างตั่งนอน กำลังออกแรงบีบนวดเรือนร่างงดงามนั้น กลิ่นหอมกรุ่นสายหนึ่งลอยมาปะทะจมูก พาให้วิงเวียนตาลาย ผิวขาวบริสุทธิ์นั้นทาน้ำมันเอาไว้ จึงเปล่งประกายแวววาวน้อยๆ ราวกับแม่เหล็กที่ดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง
ก็จริงอยู่ที่ภาพนั้นงามรัญจวนใจ แต่ทว่ามิได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เพลิงโทสะที่ลุกโชนอยู่ในใจของกู่เซ่าเจ๋อมอดดับลง ได้แต่อ้าปากค้าง ยืนนิ่งทึ่มทื่ออยู่ข้างตั่งนอน น้ำลายหยดติ๋งๆ จากมุมปากจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ
“พรืด!” เมิ่งซังอวี๋หัวเราะ ยื่นมือออกไปเกาคางของอาเป่าที่กำลังอ้าปากค้าง กล่าวหยอกล้อว่า “มองอะไรหรือ ดูท่าทางเซ่อซ่าของเจ้าสิ น้ำลายไหลออกมาอีกด้วย เจ้าสุนัขลามก!”
พวงแก้มของเขาพลันร้อนขึ้นมา หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปเกรงว่าแม้แต่ขนก็จะลุกติดไฟขึ้นมาด้วย! กู่เซ่าเจ๋อร้องคร่ำครวญ จากนั้นก็รีบสะบัดก้น วิ่งออกจากตำหนักไป เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินของเมิ่งซังอวี๋ดังแว่วมาจากด้านหลัง คล้ายกับกำลังเร่งให้เขารีบหายตัวไป
น่าขายหน้าเหลือเกิน แค่มองผู้หญิงของตนก็ถึงกับน้ำลายไหล! สวรรค์ โปรดให้เรากลับเข้าร่างได้โดยเร็วเถิด ให้เราได้กอดซังอวี๋อย่างที่ใจนึก!
ในราชสำนัก สกุลหลี่และสกุลเสิ่นยังคงสู้รบกันไม่เลิกรา คนสนิทของกู่เซ่าเจ๋อบ้างก็ถูกกีดกัน บ้างก็ถูกโยกย้าย สถานการณ์วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางคนใกล้ชิดของโอรสสวรรค์ต่างพากันซุบซิบว่าเหตุใดนับวันฝ่าบาทถึงทรงอ่อนแอไร้ฝีพระหัตถ์ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะไม่จัดการกับปัญหานี้ แล้วพอมองดูตำหนักในที่หมู่มวลบุปผาแข่งขันกันเบ่งบาน บรรดาขุนนางใหญ่ก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ฝ่าบาททรงถูกสตรีล่อลวงวิญญาณไปแล้วจริงๆ หรือนี่! พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมพรรษาสิบเจ็ดพรรษา บัดนี้ครองราชย์มาครบสิบปีพอดี ที่ผ่านมาทรงเคร่งครัดเรื่องอิสตรียิ่ง ไฉนพอได้รับบาดเจ็บแล้วถึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายปานนี้เล่า หรือว่าทรงถูกข่าวลือในช่วงก่อนหน้านี้กระตุ้น?
ขุนนางใหญ่ที่มีนิสัยตรงไปตรงมาต่างยื่นหนังสือกราบทูลทัดทานฮ่องเต้ตรงๆ ว่ามิให้หมกมุ่นกับอิสตรีจนละทิ้งพระราชกิจ แต่ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่ทรงรับฟัง แต่ยังลงโทษคนต้นคิดหลายคนอีกด้วย ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ผิดหวังในตัวฮ่องเต้เข้าแล้วจริงๆ คราวนี้ฮ่องเต้เสด็จไปบนเส้นทางทรราชย์แล้วกระมัง!
ข่าวอันน่ากังวลใจนี้แพร่เข้ามาในวังปี้เซียวอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย กู่เซ่าเจ๋อได้แต่มองเจ้าตัวปลอมทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียงไปต่อหน้าต่อตา ทำลายผืนแผ่นดินของเขา แต่เขากลับไม่อาจทำอะไรได้ จิตใจจึงยิ่งหม่นหมองขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่มีเมิ่งซังอวี๋อยู่เคียงข้างตลอดเวลา ทำขนมทำน้ำแกงอันเลิศรสให้เขากิน พาเขาออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในวังปี้เซียวทุกเช้าเย็น ช่วงเช้าทำสวนปลูกต้นไม้ ช่วงบ่ายไปอ่านหนังสือเขียนอักษรในห้องหนังสือ วันคืนผ่านไปอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ จึงทำให้เขามิได้ถูกข่าวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าโจมตีจนเสียสติ หากไม่มีเมิ่งซังอวี๋ เขารู้ดีว่าตนคงจะฝืนทนต่อไปภายใต้สภาวะอันย่ำแย่นี้ได้ไม่นานนัก เขามิได้พูดเกินจริงแม้แต่นิดเดียว เมิ่งซังอวี๋คือความหวังที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ เขาไปจากนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง
วันนี้กู่เซ่าเจ๋อที่หมดอาลัยตายอยากมาหลายวันก็ได้รับข่าวดีในที่สุด เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงได้รับชัยชนะจากสงครามที่ด่านชายแดน เขาใช้กำลังพลหกหมื่นนายโจมตีกองทัพอันยิ่งใหญ่สิบหมื่นนายของชาวหมานจนล่าถอย อีกทั้งยังยกพลโอบล้อมวังหลวงของชาวหมานเอาไว้ ไม่เกินหนึ่งเดือนก็จะสามารถล้มล้างอำนาจของชาวหมานได้ ทำให้แผ่นดินต้าโจวสงบสุขไปได้อีกเป็นร้อยปี
พอข่าวนี้แพร่มาวังปี้เซียวที่เงียบสงัดมาเนิ่นนานก็อยู่ในสายตาของบรรดานางสนมในวังหลวงอีกครั้ง ถึงแม้เต๋อเฟยจะไม่ได้รับความโปรดปรานแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สกุลของนางยิ่งใหญ่เกรียงไกร รอให้เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกงยกทัพกลับเมืองหลวง นางจะต้องกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกเป็นแน่ คุณงามความดีอันใหญ่หลวงเช่นนี้ หากฮ่องเต้ไม่ทรงเลื่อนตำแหน่งให้นางก็นับว่าไร้เหตุผล เหนือกว่าตำแหน่งสูงสุดของสี่ราชชายาเช่นเต๋อเฟยก็คือกุ้ยเฟย หวงกุ้ยเฟย กระทั่งถึงฮองเฮา อาศัยอำนาจชาติตระกูลเช่นนี้ ใครจะกล้าตีเสมอนางอีกเล่า เกรงว่าแม้แต่หลี่กุ้ยเฟยเองก็ยังต้องถอยให้นางสามเซ่อ
เมิ่งซังอวี๋มิได้สนใจความเคลื่อนไหวในแต่ละวัง ยามนี้นางกำลังถือจดหมายแจ้งข่าวชัยชนะอ่านซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่า มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มสบายใจ
“ดินแดนปกครองของชาวหมานใกล้จะถูกตีจนแตกพ่าย ความปรารถนาอันยาวนานของท่านพ่อในที่สุดก็ใกล้จะเป็นจริงแล้ว ในจุดนี้ท่านพ่อและฝ่าบาทถือว่าสมัครสมานสามัคคีกันทั้งผู้เป็นเจ้าแผ่นดินและขุนนาง ต่างก็ทุ่มเทให้กับการสู้รบกับกองทัพชาวหมาน ทำให้ชายแดนสงบ หากกำจัดความหวาดระแวงในพระทัยไปได้ ฝ่าบาทก็นับว่าทรงเป็นฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่หาตัวจับได้ยากพระองค์หนึ่ง หากมิใช่เพราะพระองค์ทรงยืนหยัดที่จะล้มเลิกนโยบายยกย่องขุนนางฝ่ายบุ๋นกดขี่ขุนนางฝ่ายบู๊ ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาการทหารเพื่อรักษาป้องกันแผ่นดิน เกรงว่าบัดนี้แผ่นดินต้าโจวก็ยังคงต้องรับศึกจากสงครามชายแดนรอบด้าน ไหนเลยจะเจริญรุ่งเรืองได้อย่างเช่นในตอนนี้” เมิ่งซังอวี๋ถอนหายใจยาว ยื่นจดหมายแจ้งข่าวชัยชนะให้กับแม่นมเฝิงที่กำลังยิ้มหน้าบาน
สายตาที่กำลังมองจดหมายแจ้งข่าวของกู่เซ่าเจ๋อเคลื่อนไปยังเมิ่งซังอวี๋ซึ่งกำลังตีสีหน้าเคร่งขรึม ยากที่จะเห็นสตรีผู้นี้เอ่ยชื่นชมตน มุมปากของเขาจึงยกยิ้มกว้าง หางน้อยๆ สะบัดไปมาไม่หยุด
“เต๋อเฟยตรัสได้ถูกต้องเพคะ ต่อให้กองทัพชาวหมานพวกนั้นเก่งกล้าเพียงใด แต่พอปะทะกับท่านกั๋วกงของพวกเราก็กลายเป็นแค่หอกปลายเทียนเลียนอย่างเงิน** ไปในทันที ดูต้องตาแต่ใช้การไม่ได้ ได้ยินมาว่าในหมู่ชาวหมาน แค่พวกเขาได้ยินชื่อของท่านกั๋วกงก็ขวัญหนี หน้าเปลี่ยนสีกันทั้งนั้น ทั้งยังใช้ห้ามมิให้เด็กเล็กๆ ร้องไห้งอแงได้ด้วยนะเพคะ!” แม่นมเฝิงโอ้อวดพลางหัวเราะ
เมิ่งซังอวี๋เองก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในดวงตาหงส์แวววาวนั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความภาคภูมิใจ
กู่เซ่าเจ๋อก็เห่าโฮ่งๆ คล้อยตาม บัดนี้พอเอ่ยถึงเฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง เขาก็ไม่มีอคติและความหวาดระแวงอย่างในตอนแรกอีกแล้ว กลับรู้สึกว่าแผ่นดินต้าโจวมีขุนศึกที่เกรียงไกรคอยปกปักรักษาชายแดน การที่เขามีขุนนางผู้ทรงคุณธรรมและความสามารถคอยช่วยดูแลแผ่นดินเช่นนี้เป็นพรที่สวรรค์ประทานให้แผ่นดินต้าโจวจริงๆ
“สงครามที่ด่านชายแดนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว อีกไม่นานท่านพ่อก็จะกลับมาช่วยฝ่าบาทได้ พวกเราเองก็จะปลอดภัยด้วยเช่นกัน” เมิ่งซังอวี๋เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า พ่นลมหายใจออกมา
กู่เซ่าเจ๋อไม่คิดเลยว่าตนจะตกต่ำถึงขั้นนี้ คนที่อยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลืออย่างสุดกำลังกลับเป็นคนที่เมื่อก่อนเขาหวาดระแวงและระแวดระวังอย่างที่สุด กู่เซ่าเจ๋อหวนคำนึงถึงอดีตก็อดรู้สึกปลงตกมิได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งกว่านั้นยังขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เขาได้พบกับเมิ่งซังอวี๋ ทำให้เขาได้ทำความรู้จักกับตัวเขาเองใหม่ และมองคนรอบข้างได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
หลังจากข่าวชัยชนะแพร่มาถึงเมืองหลวง ชื่อเสียงของสกุลเมิ่งในกองทัพและในหมู่ประชาชนต้าโจวก็ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมขึ้นมาทันใด พอพูดถึงสกุลเมิ่งแม้แต่ชาวบ้านก็สามารถกล่าวบทกลอนสรรเสริญคุณงามความดีออกมาได้คนละวรรคสองวรรค ตำนานนิทานเรื่องแสนยานุภาพสกุลเมิ่งตีกองทัพหมานจนแตกพ่ายกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจที่สุดในเมืองหลวง ถูกนักเล่านิทานนำมาร้องเล่าต่ออย่างไม่มีเบื่อหน่าย คนเข้าฟังเต็มหมดทุกรอบ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะที่ผ่านมาแผ่นดินต้าโจวยกย่องขุนนางฝ่ายบุ๋นควบคุมขุนนางฝ่ายบู๊ ประชาชนต้าโจวจึงประสบกับการกดขี่รังแกจากชาวหมานมาโดยตลอด บัดนี้ในที่สุดก็สามารถลืมตาอ้าปากได้เสียที
‘กำจัดชาวหมานไปให้สิ้น!’ วาจานี้พอพูดออกมาก็น่าเกรงขามเหลือล้น ห้าวหาญเหลือหลาย! ในเมืองหลวงหากมีผู้ใดพูดว่าร้ายสกุลเมิ่งจะต้องถูกผู้คนพากันรุมประณามทันที
ภายในวังหลวง เรื่องที่เคยเล่าลือกันว่าวังปี้เซียวแปดเปื้อนไออัปมงคลก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นอย่างกระจ่างแล้ว ครอบครัวของคนที่แปดเปื้อนไออัปมงคลจะชนะศึกได้หรือ จะสามารถกำจัดกองทัพชาวหมานนับสิบหมื่นนายได้หรือ ใครเป็นผู้แพร่ข่าวลือนี้กันแน่ ช่างเหลวไหลสิ้นดี! ดังนั้นเต๋อเฟยจึงถูกยกเลิกการกักบริเวณเป็นธรรมดา อีกทั้งฝ่าบาทยังเสด็จมาปลอบขวัญด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระราชทานสิ่งของล้ำค่าให้ไม่น้อย หากมิใช่เพราะร่างกายของเต๋อเฟยยังไม่หายดี เกรงว่าคงจะได้รับความโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวติดต่อกันหลายเดือนเป็นแน่
สนมชายาทุกคนในตำหนักในต่างจ้องมองเมิ่งซังอวี๋อย่างอิจฉาตาร้อน หนึ่งในนั้นมีเสิ่นฮุ่ยหรูเป็นตัวหลัก
เมื่อเมิ่งจ่างสยงยกกองทัพทหารกว่าร้อยหมื่นนายกลับเมืองหลวงแล้ว หากสกุลเสิ่นจะคิดการใหญ่ก็คงจะยากแล้ว ไม่เห็นหรือว่าช่วงนี้หลี่เซียงก็เงียบหายไป เขาเองก็คงถูกพลังอันฮึกเหิมของเมิ่งจ่างสยงสะกดเอาไว้เช่นกัน ไม่ได้การ ต้องหาวิธีกำจัดเมิ่งจ่างสยงและเมิ่งซังอวี๋โดยเร็ว!
เมิ่งซังอวี๋เองก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ จึงเพิ่มการเฝ้ายามในวังปี้เซียวให้เข้มงวดมากขึ้น คนนอกทั้งหมดห้ามเข้าตำหนักกลางและห้องหนังสือ ผู้ที่แวะเวียนมาหาก็ต้องถูกตรวจสอบทีละคนๆ เช่นกัน ก่อนที่ท่านพ่อจะกลับมาถึงเมืองหลวง นางจะต้องป้องกันวังปี้เซียวไว้มิให้มีช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว
(ติดตามต่อได้ในเล่ม)