ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทที่ 1
ทางด้านเรือนชิงถานเพิ่งจะจุดกำยานเตาแรก
ก่อนจางตั๋วจะจากไปได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งให้แก่สีอิ๋น ‘ใต้กวนอินไร้ฝุ่นผง ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นกำยาน ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักนิดจะถูกโบยทันที’
คนผู้นี้พูดแล้วต้องทำ บนถนนถงถัว สีอิ๋นเคยประจักษ์แก่ตามาแล้ว
ด้วยเหตุนี้นางจึงทำงานอย่างขยันขันแข็งตลอดทั้งวัน พับผ้าห่ม ตัดแต่งดอกเหมย ปัดกวาด จนในที่สุดนางก็ได้หยุดงานก่อนตะวันตกดิน หลังจุดกำยานหอมแล้วก็รวบเสื้อคลุมคุกเข่านั่งอยู่หน้าเตาป๋อซานเนื้อสำริดด้ามไม้ไผ่เคลือบทอง
นางจ้องไปยังควันขาวที่ลอยลอดออกมาจากเตาพลางหายใจหอบ กลิ่นหอมนั้นเข้มข้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกลิ่นหอมทั่วไปของกำยานที่ขายในตลาดเหนือของชุมชนเยวี่ยลวี่หลี่ เมื่อสูดดมนานเข้านางก็เกิดความง่วงเป็นระยะๆ ตัวเริ่มเอนเอียง ขาที่คุกเข่าอยู่อ้าออก เผยให้เห็นเท้าที่ผิวเนื้อราวกับไขมันแข็งตัวของนางคู่นั้น พอไอเย็นมากระทบ นางก็รีบดึงชายเสื้อไปปิดบังเอาไว้
จางตั๋วดูเหมือนตั้งใจจะไม่ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่เกินสิบวันจริงๆ ถึงขั้นแม้แต่เสื้อผ้าที่เหมาะสมก็คร้านจะหาให้นาง
เสื้อคลุมบุรุษบนตัวนางตัวนี้ไม่มีเสื้อซับใน พอนั่งลงจึงเปิดออกเป็นธรรมดา หากไม่ระวังจะเผยให้เห็นภาพวาบหวาม ดูลามกอนาจารยิ่งกว่าหญิงคณิกาเสียอีก ทว่าชายผู้นั้นไม่เคยชายตามองมาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะรักษาชื่อเสียงใสสะอาดของตนเองหรือรังเกียจนางอย่างที่สุด
ถึงแม้นางจะอายุน้อย แต่ก็เคยเห็นชายหนุ่มมากมายน้ำลายไหลย้อย แสดงท่าทางปรารถนาในตัวนาง นางเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการสนองความชั่วร้ายทางโลกเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูคนตาบอดในบ้าน ดังนั้นนางจึงรู้สึกยินดีในร่างกายของตนเองเสมอมา และไม่รู้สึกรังเกียจคนที่ละโมบในกายเนื้อนี้ ในทางกลับกันนางไม่เคยเห็นใครเหมือนจางตั๋วมาก่อน เขาเหมือนอีกาบนต้นถง หมางเมินต่อความงามล้ำเลิศของนาง ราวกับว่าสามารถบีบคอนางเพื่อจบชีวิตนางได้ตลอดเวลาโดยไร้ซึ่งความสงสาร
แสงตะวันยามเย็นอ่อนแรงลง
เสียงเห่าดังมาจากนอกประตู สีอิ๋นตัวสั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันหมุนตัวกลับ ประตูก็ถูกคนผลักเปิดออกแล้ว จางตั๋วดูเหมือนจะออกไปข้างนอกมา บนตัวยังสวมเครื่องแบบทางการอยู่
เขาไม่ได้เข้ามา เพียงมองนางผ่านม่านมุ้ง “เจ้าออกมา”
สีอิ๋นไม่กล้าหยุดนิ่ง นางไม่มีรองเท้าจึงต้องเดินเท้าเปล่าไปบนบันไดหิน รู้สึกหนาวเหน็บเจ็บปวดถึงกระดูก
ทว่านางยังไม่ทันรู้สึกสงสารตนเองก็เห็นบนต้นเหมยแคระต้นหนึ่งกลางลานมีเชือกผูกปมอยู่ เจียงหลิงยืนอยู่ข้างต้นไม้ ในมือถือแส้เส้นบางไว้หนึ่งเส้น
จางตั๋วหมุนตัวกลับแล้วนั่งลงตรงหน้าประตู ยื่นมือไปทางเจียงหลิง “เอามานี่”
เจียงหลิงมองไปยังนิ้วเท้าของหญิงสาวที่เสียดสีกันด้วยความกลัว รู้สึกลังเลไปชั่วขณะ
“เจียงหลิง”
เสียงพูดไม่หนักไม่เบาของเขาดึงสติของเจียงหลิงกลับมา จางตั๋วเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เขารู้เป็นอย่างดี ในเวลานี้จึงจำต้องเก็บความคิดทะนุถนอมหญิงงามเอาไว้ พูดรับคำแล้วโยนแส้ไปให้อีกฝ่าย
ลมจากแส้วาดผ่านใบหน้าของสีอิ๋น คนที่อยู่ข้างหลังยกมือขึ้นคว้ามันไว้ มือหนึ่งจับด้ามแส้ มือหนึ่งจับปลายแส้พลางพูดเสียงเรียบ
“เจ้าออกไปก่อน ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ห้ามเข้ามา”
“ขอรับ”
เจียงหลิงก้มหน้าถอยออกไป ในลานเหลือเพียงคนสองคน
คนหนึ่งอาภรณ์เรียบร้อยงดงาม คนหนึ่งเสื้อผ้ายุ่งเหยิง
กลิ่นหอมของดอกเหมยที่ให้ความรู้สึกเย็นเยือกผสานกับกลิ่นอันอบอุ่นของกำยานหอมที่ลอยบางๆ มาจากในห้อง หลอมรวมกันอยู่ในสายลมอ่อนๆ ยามพลบค่ำ
“เดินไปตรงนั้น”
เขายกแส้ชี้ไปทางต้นเหมยแคระต้นนั้น
สีอิ๋นสองขาอ่อนแรง ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่ได้วางแส้ลงและไม่ได้ตะคอกใส่นาง ยังคงอยู่ในท่าเงื้อแส้และมองตานางอย่างเงียบๆ
ความน่ากลัวนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง
เขาเพิ่งจะลดมือลง ไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ทำให้นางตกใจจนรีบวิ่งลงบันไดไปหยุดยืนที่ต้นเหมยแคระต้นนั้นแล้ว และไม่รอให้เขาเอ่ยสั่งนางก็เขย่งปลายเท้า สอดข้อมือตนเองผูกกับปมเชือกนั้น ในขณะเดียวกันของห่อหนึ่งก็หลุดลงมาจากในสายรัดเอวของนาง ทว่าเวลานี้นางไม่มีแก่ใจจะสนใจแล้ว
“ข้าให้เจ้าแขวนตัวเองหรือ”
นางตัวสั่นเทาอย่างทำอะไรไม่ถูก
นั่นเป็นภาพงดงามอลังการภาพหนึ่ง ดอกเหมยที่เบ่งบานปลิวร่วงหล่นอย่างงดงามไปตามลม แสงจากฟากฟ้ายังไม่หายไปจนสิ้น เคลือบแสงสีทองลงบนตัวคนใต้ต้นไม้ สายรัดเอวของนางคลายออก ชายเสื้อยาวพลิ้วไหวราวกับหางยาวของนกยักษ์
จางตั๋วเพียงแค่นั่งอย่างเงียบงันอยู่ชั้นบนสุดของบันไดหินซึ่งห่างออกไปราวสามจั้ง กวาดมองรอบตัวนางปราดหนึ่ง ใช้แส้ในมือตบฝ่ามือครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่ขัดขืนหรือ”
สีอิ๋นไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ นางยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ท่ามกลางลมหนาว พูดเสียงเครือ
“อย่าฆ่าข้า…ข้าตายไม่ได้…คุณชายพูดอะไรข้าจะฟังทุกอย่าง…”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหญิงสาวทีละก้าว จนกระทั่งมาถึงตรงหน้านางก็หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “เจ้ากลัวตายหรือ เจ้ากลัวตายแต่ยังกล้าซ่อนมีดลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้อีกหรือ”
พูดจบเขาก็เงื้อแส้ฟาดไปยังร่างกายของนางทีหนึ่ง
สีอิ๋นเจ็บจนร้องออกมาทันที ทำให้สุนัขเสวี่ยหลงซาที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างตกใจในทันใด
“ไม่หลบหรือ”
นางเจ็บปวดจนกรามสั่น จับเชือกบนข้อมือสุดแรง “ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าต้องมีชีวิตอยู่…หากพี่ชายไม่เจอข้า ก็มีชีวิตได้ไม่นานเช่นกัน…”
“หึ พี่ชายหรือ ใครให้เจ้าแสร้งทำตัวเช่นนี้! ใคร!”
สีอิ๋นตกใจไปชั่วขณะ ผู้ใดบ้างไม่กลัวคนที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมราวผีร้าย วิญญาณของนางเกือบจะถูกฉีกจนแหลกสลายแล้ว จะแสร้งทำอะไรได้
‘เพียะ!’
ความเจ็บปวดแทบระเบิดที่แผ่นหลังลามขึ้นถึงศีรษะของนาง หากพูดว่าแส้แรกเป็นเพียงคำเตือน เช่นนั้นแส้นี้จึงจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา
Comments
