ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทที่ 1
ตอนนางยังเด็กก็เอาชีวิตรอดอยู่ในโลกที่วุ่นวายสับสน ถูกทุบตีมาไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่เคยได้รับความเจ็บปวดที่กรีดผิวทะลุกระดูกเช่นนี้มาก่อน นางยืดคอ เส้นเลือดปูดนูน พลังทั่วร่างมากระจุกอยู่ที่ทรวงอกในทันใด แม้แต่จะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก เหลือเพียงกระดูกเนื้อหนังบนร่างที่กำลังต่อสู้อยู่ท่ามกลางแสงสลัวที่ใกล้จะดับไป
เขาไม่ให้โอกาสนางได้ผ่อนลมหายใจเลยสักนิด ใช้ด้ามแส้เชิดปลายคางของนางขึ้น
“กล้าฆ่าคนในวัง แต่ไม่รู้จักยาเชียนจีอย่างนั้นหรือ”
เสียงพูดเย็นเยือก ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขาก็พลิกมือฟาดแส้ลงที่ข้างเอวของนางอีกครั้ง ไร้กฎเกณฑ์ประหนึ่งไม่สนใจถนอมชีวิตของนางเลยสักนิด
สีอิ๋นร้อนใจอย่างยิ่ง ร้องอย่างน่าเวทนาออกมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าพลันมืดดำ นางจับปมเชือกบนกิ่งไม้ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายทรุดลงไปในกองหิมะอย่างแรงแล้วขดตัวเป็นก้อน
เสื้อผ้าฉีกขาด ปรากฏรอยแส้รุนแรงสามรอยบนร่างนาง แต่ละรอยมีเลือดไหลซึม
“อย่าโบยข้าเลย…ข้าขอร้องท่าน อย่าโบยข้าเลย…”
เสียงนั้นเอ่ยปนสะอื้นอย่างน่าเวทนา ผสานกับเสียงฟันกระทบกัน ลอยไปในสายลม
การจะปลดแนวป้องกันของใครสักคน วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือทำให้คนผู้นั้นเจ็บถึงขีดสุด เจ็บจนร่างกายเสียการควบคุมจิตวิญญาณ เผยท่าทางเช่นสัตว์เลี้ยงออกมา หากไม่ได้รับการฝึกฝนในนรกเช่นนี้ด้วยตนเอง คงไม่มีใครตระหนักถึงความจริงอันน่าเศร้าเช่นนี้ได้
จางตั๋วก้มหน้ามองหญิงสาวที่ขดตัวอยู่บนพื้น พูดเสียงเรียบว่า “ใครให้เจ้ามาฆ่าคน”
“ใครให้ข้ามาฆ่าคน…” ในที่สุดสีอิ๋นก็รู้กระจ่างแล้ว เขากำลังลงทัณฑ์สอบสวนนาง จึงรีบเอ่ยว่า “เป็น…เป็นขันทีคนหนึ่งในวัง”
นางพูดอย่างร้อนรนจนเกือบจะกัดลิ้นตนเอง ด้วยกลัวว่าหากตอบช้าไปจะถูกโบยอีก “ข้าไม่กล้าโกหกท่าน! พวกเขาจับพี่ชายข้าไว้ ถ้าข้าไม่เชื่อฟังคำของพวกเขา…พวกเขา…พวกเขาจะฆ่าพี่ชาย…”
นางพูดทั้งน้ำตา มือก็ยื่นไปจับชายเสื้อของชายหนุ่ม ค่อยๆ กำแน่นทีละนิด คล้ายว่านางจะสามารถใช้วิธีนี้อดทนอดกลั้นต่อความเจ็บได้
“ปล่อยข้าไปเถอะ…ขอร้องท่านล่ะ ข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าเพียงแค่อยากกลับไปอยู่ข้างกายพี่ชาย ข้าขอร้องท่านล่ะ…ขอร้องท่าน…ข้าเจ็บจะตายแล้ว ข้าเจ็บจะตายแล้วจริงๆ อย่าทำเช่นนี้กับข้าเลย อย่าทำเช่นนี้กับข้าได้หรือไม่…”
การไม่เจียมตัว ความต่ำต้อย ความอัปยศ และการข่มเหงล้วนบีบนางให้ตกอยู่ในสถานการณ์ขัดแย้งที่ทั้งเป็นจริงและไร้สาระ
จางตั๋วมองมือของหญิงสาวที่กำเสื้อของเขาแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด รวมถึงรอยแส้บนตัวนางที่ไม่เข้ากับผิวที่ขาวราวหิมะแต่ฉายความงดงามอย่างน่าประหลาดนั้น
สิ่งเหล่านี้กระจ่างชัด สมจริงมาก แต่เขากลับรู้สึกสองจิตสองใจกับการตัดสินหญิงผู้นี้
การลอบสังหารเป็นเหมือนการนำชีวิตไปเสี่ยงบนคมมีด แต่นางกลับขลาดกลัวราวกับกระต่ายน้อยใต้คมมีด
นางมีอุปนิสัยเช่นนี้จริงๆ หรือเป็นการปิดบังอำพรางไว้อย่างแยบยล
จางตั๋วสงสัยโดยสัญชาตญาณ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าก็คือเขาเห็นรอยอดีตของตนเองจากร่างที่บิดงอของนาง รวมถึงพลังการดิ้นรนที่แตกต่างไปจากตัวเขาอย่างสิ้นเชิง
“แค่เจ้าขอร้องก็จะได้รับการอภัยแล้วหรือ ช่างโง่เขลา”
นางได้ยินเสียงของชายหนุ่มเบาลงเล็กน้อย จึงกล้ามองเขาอย่างหวาดหวั่น เห็นแส้บางในมือของเขาทิ้งตัวลงก็รีบขดตัวใหม่อีกครั้ง นิ้วมือพยายามจับกระดูกสะบัก นิ้วเท้าก็จิกกันแน่นพลางพูดปนสะอื้น
“เมื่อก่อนข้าขโมยข้าวกินในเยวี่ยลวี่หลี่ พวกเขาจับข้าได้ก็ทุบตี…ข้าขอร้องพวกเขา ขอร้องสุดชีวิต…ภายหลังพวกเขาก็ไม่ทุบตีข้าแล้ว ยังให้น้ำข้าวข้าดื่มอีกด้วย…”
“ใครเป็นคนสอนเจ้า”
“หา?”
“ใครเป็นคนสอนเจ้า” เขาถามอีกรอบ
“อ้อ! พี่ชายเป็นคนสอนข้า! พี่ชายบอกว่าเช่นนี้พวกเราจึงจะมีชีวิตต่อไปได้”
“หึ เขาสอนสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้ายังช่วยเขาฆ่าคนอีกด้วย”
นางมองจางตั๋วอย่างตื่นกลัว เขาก็มองนางด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน
แววดูแคลนในดวงตานั้นทำให้นางเกิดความกล้าหาญที่ไม่รู้มาจากที่ใด แม้จะกลัวจนใจแทบขาด แต่นางยังคงพูดเสียงสะอื้นแก้ต่างแทนผู้อื่น
“ไม่ใช่…พี่ชายดีต่อข้ามากจริงๆ ดวงตาของเขาเป็นเช่นนั้นแล้ว ทุกครั้งที่ข้าถูกทุบตี เขายังคง…ถือตะเกียงใส่ยาให้ข้า คุณชาย…พวกเราล้วนเป็นคนต่ำต้อยไร้ประโยชน์ ต้องใช้ชีวิตร่วมกันจึงจะมีชีวิตต่อไปได้”
นางเจ็บจนกัดฟันไม่ไหวแล้ว เสียงพูดสั่นเครืออย่างรุนแรง
ทว่าเขาไม่ได้ตัดบทนาง ปล่อยให้นางตัวสั่นสะอื้นไห้ พูดขาดห้วงไปจนจบ
เขาไม่มีทางเห็นใจนาง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนัก
อย่างไรเสียความอ่อนแอ ความอ่อนน้อมของหญิงงามก็สามารถสะกิดความกระหายเลือดของชายหนุ่มได้ แม้ว่าเขาจะจงใจหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยอยู่ในจิตวิญญาณ นอกจากนี้ความปรารถนาของนางในการมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีศักดิ์ศรีนั้นทั้งเหมือนเขาและไม่เหมือนเขาอย่างยิ่งเช่นกัน
จางตั๋วยกชายเสื้อคลุมแล้วย่อตัวลง ปลายแส้วาดผ่านเอวของนางโดยไม่ตั้งใจ ทำให้นางตกใจกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าโบยข้าอีกเลย…ข้าเจ็บจะตายแล้วจริงๆ…”
จางตั๋วดึงปลายแส้กลับมาอยู่ในมือ “ข้าขอเปลี่ยนคำถามใหม่”
“ได้ๆ…” นางรีบตอบรับ
“ใครให้เจ้ามาขวางรถม้าของข้า”
นางไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ไปชั่วขณะ แต่หลังจากเข้าใจแล้วก็ตกใจเสียขวัญทันที ไม่มีแก่ใจจะสนใจความเจ็บปวดบนร่างกาย นางลุกขึ้นมาคุกเข่า คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นรถม้าของคุณชาย ข้าเพียงแค่กลัวจะถูกพวกเขาจับตัวกลับไป ข้าตกใจแทบบ้าแล้วจึงได้ล่วงเกินคุณชาย ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ คุณชาย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ!”
จางตั๋วจ้องมองใบหน้างดงามที่แม้จะไม่ได้แต่งแต้ม ทั้งยังเปื้อนน้ำตา แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดจิตวิญญาณ พยายามค้นหาพิรุธเบื้องหลังน้ำตาพร่างพราวเหล่านั้น ทว่านางดูเหมือนจะถูกเขาทำให้หวาดกลัวจนแทบบ้าแล้ว รูม่านตาหดตัว พูดจาเหลวไหลไร้สาระ ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร เอาแต่ยอมรับความผิดขอความเมตตาจากเขา
ความกลัวเพียงอย่างเดียว ความโลภในการมีชีวิตเพียงอย่างเดียว
ความปรารถนาที่ชัดเจนนี้เป็นเป้าหมายอันล้ำค่าท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในเมืองลั่วหยาง
ง้างคันธนูในระยะที่ห่างออกไปสิบก้าว เพียงยิงก็เข้าเป้า ทำให้อารมณ์ความต้องการเหล่านั้นกลายเป็นผีใต้ลูกธนู ตกเป็นนักโทษของคนที่ถือคันธนูได้ทันที
ต่อหน้านักโทษ คนเราสามารถลดความระมัดระวังลงได้ชั่วคราว
ในใจจางตั๋วเวลานี้เกิดความสุขอันมืดดำขึ้นระลอกหนึ่ง
แสงสลัวเหนือศีรษะหายไปจนสิ้น เมฆดำมารวมตัวกันบนท้องฟ้า
หิมะฤดูใบไม้ผลิในรัชศกซิงชิ่งปีที่สิบสองตกลงมาอย่างเงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย กลิ่นคาวเลือดผสานกับกลิ่นหอมของดอกเหมย ทำให้กลิ่นหอมนั้นให้ความรู้สึกเย็นเยือกรุนแรง
จางตั๋วกำลังจะลุกขึ้น หางตาก็มองเห็นของห่อหนึ่งที่หล่นลงมาจากสายรัดเอวของนาง “เจ้าเอาอะไรไป”
นางคุกเข่านั่งบนพื้นหิมะ มองไปตามสายตาของเขา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดหนึ่งคำออกมาอย่างหวาดหวั่น “กำยาน”
“ขโมยหรือ”
นางรีบร้อนไปเก็บของสิ่งนั้นจากในกองหิมะ “อย่าโบยข้า…”
“เหตุใดจึงขโมย”
“ข้า…ข้า…ข้าอยากเอากลับไปให้พี่ชายสักหน่อย ส่วนที่เหลือสามารถนำไปขายแลกเงินได้”
เขามองท่าทางของหญิงสาวที่อดทนต่อความเจ็บปวดพลิกหาของบนพื้นหิมะ แล้วก็พูดขึ้นทันใด “วันนี้วันที่สาม เจ้ายังมีชีวิตได้อีกเจ็ดวัน จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน ไม่รอให้นางตอบอะไรก็สะบัดมือของนางที่จับแขนเสื้อของเขาออก แล้วหมุนตัวเดินไปทางเรือนชิงถานพลางเอ่ยต่อ
“ปรับลมหายใจได้แล้วก็เข้ามา ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าจะได้เป็นกระดูกใต้ปากสุนัข”
พ้นเคราะห์ใต้ต้นดอกเหมยมาได้ นางมีชีวิตรอดแล้ว
ทว่าสีอิ๋นไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องถูกโบยเช่นนี้ และเหตุใดจึงมีชีวิตรอดต่อไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ก.พ. 68
Comments
