มองอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจในคำตอบ ทายาทหนึ่งเดียวของเขาก็พยักหน้ารับ ส่งยิ้มหวานเงยหน้าบอกผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน
“งั้นไปกินข้าวเย็นกันนะฮะ กันและกันหิวแล้ว”
“กันและกันอยากกินอะไรเอ่ย”
เด็กชายทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“อะไรก็ได้ฮะ อะไรที่หม่ามี้ทำ กันและกันชอบกินหมดเลย”
“โอเค งั้นไปดูกันเนอะว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง”
ร่างในชุดสีไฮเดรนเยียยืดตัวขึ้น นับนิรันดร์เห็นเธอนิ่งไปเหมือนกำลังตัดสินใจ สุดท้ายก็ยื่นมือไปให้ลูกชายตัวน้อยซึ่งคว้าหมับตามความเคยชิน
ชายหนุ่มมองภาพนั้นนิ่ง มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มอุ่นใจ
อย่างน้อยสายสัมพันธ์แม่ลูกก็ยังยึดโยงเธอกับลูกเอาไว้ด้วยกัน
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้นับนิรันดร์เจ็บปวดมากกว่าการที่เธอลืมเขาก็คือการที่เธอลืมลูกไป แต่ยังโชคดีที่ภรรยาไม่ได้ปฏิเสธลูก…เท่ากับที่ปฏิเสธเขา
และหนึ่งในเรื่องที่นับว่าเป็นโชคดี…คือการที่เขายังมีเธออยู่ข้างๆ
แม้จะเป็นเธอที่จำกันไม่ได้เลยก็ตาม
เสี้ยววินาทีที่เดินสวนกัน นับนิรันดร์ไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าของเขาทำให้ผู้หญิงคนเดียวในบ้าน…ภรรยาผู้สูญเสียความทรงจำชะงักไปวูบหนึ่งพร้อมหัวใจที่เต้นแรงโลด ก่อนจะหลุบตาลงต่ำแล้วเดินออกจากห้องไป
การทำอาหารมื้อแรกหลังตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเวลาผ่านไปสิบสองปี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอทั้งเกร็งและตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะถูกปากสองพ่อลูกหรือเปล่า แต่นับว่าโชคดี…ที่สีหน้าของนับนิรันดร์กับกันตกาลไม่ได้ดูเลวร้ายนัก ซ้ำลูกยังขอเพิ่มจานที่สอง ส่งผลให้คนทำถึงกับยิ้มกว้างอย่างดีใจ
ระหว่างกำลังนั่งมองกันตกาลเคี้ยวปีกไก่นึ่งซีอิ๊วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อยู่ดีๆ จิรปริยาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จนพาให้มือที่กำลังจะตักกุ้งผัดดอกหอมเข้าปากถึงกับชะงัก
“เอ่อ…กันและกันอายุเท่าไหร่นะคะ”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง วางช้อนส้อมในมือลงแล้วยกนิ้วมือสองข้างขึ้นมาเท่าจำนวนอายุ บอกเสียงสดใส
“เจ็ดขวบฮะ”
“เจ็ดขวบ…” เธอทวนคำ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนวันนั้นเพื่อนๆ จะบอกว่าเธอแต่งงานมาได้ราวสิบปีแล้ว
สิบปี อืม แต่งตอนอายุยี่สิบสี่? แต่ว่า…
หญิงสาวเอียงคอ แอบชำเลืองใบหน้าสวยคมของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
คิดไม่ออกเลยแฮะว่าเคยรู้จักและรักคนคนนี้จนถึงขั้นตกลงปลงใจแต่งงานด้วย
จิรปริยาเผลอวางช้อนแล้วนั่งเท้าคางอย่างใจลอย