นั่นคือเหตุผลที่จิรปริยาปฏิเสธเขาในวันนั้น และกว่าจะมีวันนี้ได้…นับนิรันดร์จำได้ดีว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากมายเพียงใดจึงได้มีเธอเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูก เป็นผู้หญิงที่มาเติมเต็มคำว่า ‘ครอบครัว’ ซึ่งเขาไม่เคยมี
“ง่วงก็นอนเถอะ” นับนิรันดร์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และคล้ายกับว่าสัมผัสจากเขามีเวทมนตร์ที่ช่วยให้เธอผ่อนคลาย ไม่นานนักหญิงสาวก็จมลึกสู่ห้วงนิทรา ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปประทับริมฝีปากบนกลีบปากนุ่มของภรรยา เว้าวอนเอ่ยขอเสียงแผ่วเบา
“ฝันถึงผมบ้างนะแด”
ถ้าหากลืมตาขึ้นมาแล้วจำไม่ได้…อย่างน้อยที่สุดแค่ฝันถึงเขาบ้างก็ยังดี
“หนาว…”
ดวงตาสีอำพันเปิดขึ้นหลังได้ยินประโยคนั้น ไม่ใช่เสียงของเธอที่ปลุกให้เขาตื่น แต่เป็นการที่มือเรียวดึงรั้งผ้านวมผืนหนาไปครองไว้คนเดียว
นับนิรันดร์เลิกคิ้ว พลิกตัวนอนหนุนแขนมองหญิงสาวที่ค่อยๆ หดคองอเข่าขึ้นมากอดแล้วเอาผ้านวมคลุมทับจนลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศเข้าไปไม่ถึง
นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกกันว่า ‘ขดตัวเหมือนทารกในครรภ์แม่’
ริมฝีปากบางขยับยิ้มรับอรุณ คนที่เล่นละครมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องอดขำออกมาไม่ได้
ดูเอาเถอะ นางเอกคนอื่นเวลาหนาวเขากลิ้งมากอดพระเอกหาไออุ่น แต่เธอหนาวแล้วดันยึดผ้าห่มไปครองคนเดียวแบบไม่แบ่งปัน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับอุณหภูมิสิบเก้าองศาเซลเซียสแม้ว่าบนตัวของเขาจะมีเพียงชุดนอนตัวบางๆ เพียงชุดเดียว มือเรียวยื่นไปดึงรั้งผ้านวมออกจนภรรยาที่ยังอยู่ในห้วงนิทรานิ่วหน้าพลางพึมพำเหมือนคนไม่พอใจก่อนจะคว้าผ้านวมกลับไปคลุมไว้ตามเดิม และขดตัวลงเข้าไปใต้ผ้าให้ลึกยิ่งขึ้น
นับนิรันดร์ยิ้มขำ อดจะแกล้งเธออีกครั้งไม่ได้ เขาคว้าเอาสมาร์ตโฟนมาบันทึกวิดีโอเพื่อเก็บเอาไว้ดูเหมือนทุกครั้ง ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงมือเรียวที่เย็นเฉียบต่างไปจากเวลาปกติ ริมฝีปากก็เหยียดยิ้มหยันให้กับอีกความต่างระหว่างเขากับเธอ
ภรรยาของเขาค่อนข้างผิวบางจึงขี้ร้อนขี้หนาวง่ายเป็นพิเศษ แตกต่างจากชายหนุ่มที่อุณหภูมิเพียงสิบเก้าองศาจากเครื่องปรับอากาศไม่สามารถทำอะไรเขาได้ นั่นอาจเพราะที่ที่นับนิรันดร์เกิดและเติบโตมามีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอด ก่อนมาเมืองไทย…เขาไม่เคยรู้จักฤดูร้อน ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกยามโดนแสงอาทิตย์สาดส่องจนเหงื่อออก