ภาคแดนสวรรค์
ไม่ต่างอะไรกับคำกล่าวนำของนิทานก่อนนอนทั่วไป…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิ่งที่เดินขวักไขว่วิ่งทะยานไปมาระหว่างท้องฟ้า พื้นปฐพี และท้องทุ่งนาไม่ใช่รถยนต์หากแต่เป็นปีศาจ และสิ่งที่บินฉวัดเฉวียนผ่านหมู่เมฆก็ไม่ใช่เครื่องบินหากแต่เป็นเทพเซียน สิ่งที่ท่องเที่ยวไปกลางน้ำก็ไม่ใช่เรือดำน้ำหากแต่เป็นมังกรคะนองน้ำ…
ในสมัยนั้น เซียน มนุษย์ มาร ปีศาจดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน พวกเขาทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความรักต่อกัน เมื่อเรื่องเหล่านี้เล่าลือมาถึงปากของนักเล่านิทาน หรือมาถึงปลายปากกาของปรมาจารย์ด้านวรรณกรรม หลังจากถูกดัดแปลงแก้ไข เสกสรรปั้นเรื่อง ก็มักจะนำมาจัดเรียงบอกเล่าเป็นตอนๆ กลายเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจหรือไม่ก็เศร้ารันทดใจ
ตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับก็มี ‘ไซอิ๋ว’ ‘ตำนานนางพญางูขาว’ ‘โปเยโปโลเย’ เป็นต้น…
แน่นอนเรื่องเล่าของฉันคงไม่โด่งดังเท่าหนังสือหลายเล่มที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นจึงได้แต่หานักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักคนหนึ่งมาเขียน ถ้ารู้สึกว่าอ่านแล้วไม่สนุก เชิญตบตีหล่อนได้…ไม่ต้องเกรงใจ
บทที่หนึ่ง แมวทะลุมิติ
เรื่องเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายฤดูร้อนอันเงียบสงบวันหนึ่ง แสงอาทิตย์สาดส่องจนอบอุ่นไปทั่วร่าง ต้นหญ้าเขียวขจีที่ใต้ร่างอ่อนนุ่มประดุจเบาะ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดินแผ่กำจาย ถ้ากล้ามเนื้อผิวหนังและกระดูกไม่เจ็บปวดแสบร้อนไปทั่วร่างล่ะก็ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นปกติยิ่ง
ฉันเป็นใคร…
ฉันเป็นแมวตัวหนึ่ง แมวสามสีขนยาวปานกลาง ปีนี้อายุได้สองขวบ เพศเมีย เจ้านายชอบเรียกฉันว่าฮวาเหมียวเหมียว
เพราะอะไรฉันจึงมาอยู่ที่นี่น่ะหรือ
ดูเหมือนฉันจะจับนกกระจอกอยู่บนดาดฟ้าชั้นสิบ ไม่ระวังจนพลัดตกลงมา ตอนนั้นมีเสียงพัดอู้ผ่านข้างหูของฉัน คล้ายว่าฉันกำลังบินอยู่ เจ้านายกระโจนมาที่ข้างลูกกรง สีหน้าตื่นตระหนกและสิ้นหวัง ฉันพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย มีฝูงนกกางปีกบินผ่านไป…ไม่นาน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นก็พวยพุ่งเข้ามาที่ประสาทดมกลิ่น จากนั้นในที่สุดฉันก็ประคองเปลือกตาต่อไปไม่ไหวค่อยๆ ปิดลงมา ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า เข้าไปสู่ความมืดมิดอันไร้ขอบเขต และไม่รู้อะไรอีกเลย
ในเมื่อไม่รู้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิด ความคิดของแมวเรียบง่ายมาก ไม่ต่างอะไรกับเส้นตรงเส้นหนึ่ง
เสพสุขจากแสงอาทิตย์ดีงามในยามนี้ ปล่อยวางความเจ็บปวดบนร่างกาย นอนอย่างเกียจคร้านให้สบายสักตื่นจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คิดไม่ถึงว่ากลับมีเสียงเรียกด้วยความร้อนรนดังขึ้นมาที่ข้างหูเป็นระยะๆ “ลูกพี่! ลูกพี่! ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เหตุใดจึงถูกตีจนคืนร่างเป็นแมวแล้วเล่า!”
เสียงนี้น่ารำคาญเสียจริง ฉันกระดิกหูไปสองสามครั้ง เปลี่ยนท่าใหม่แล้วนอนต่อ
คิดไม่ถึงว่าเสียงหนวกหูนั่นกลับยิ่งใกล้เข้ามามากกว่าเดิม กระทั่งดังติดข้างหูของฉัน “ลูกพี่! ลูกพี่! ท่านรีบตื่นเถิด!”
ฉันลืมตาด้วยความโมโห คิดจะตะปบเจ้าคนที่รบกวนแมวนอนผู้นี้สักหนึ่งกรงเล็บ แต่เหนือความคาดหมาย ฉันกลับไม่ได้เห็นเงาร่างของคน ที่อยู่ตรงหน้ามีเพียงอีกาตัวหนึ่ง
อีกาสีขาว?
เขาเบิกนัยน์ตากลมดำขลับ กำลังเอียงศีรษะมองฉัน ดูมีท่าทีดีใจ “ลูกพี่ ในที่สุดข้าก็หาท่านพบแล้ว”
ฉันก็ดีใจ เพราะท้องหิวแล้ว จู่ๆ มีอาหารมาส่งให้ถึงปากเช่นนี้ ไม่กินก็ออกจะผิดต่อตนเองเกินไป ภายใต้แรงผลักดันจากความหิวโหยและความตื่นเต้นดีใจ ฉันไม่ได้ไปคิดว่าเพราะอะไรอีกาจึงพูดภาษามนุษย์ได้ เพียงกางกรงเล็บแหลมคมออกมาเงียบๆ
อีกาขาวยังคงพูดด้วยความดีใจ “ลูกพี่ หลังจากท่านทำศึกกับราชาอินทรีแล้วก็หายตัวไปตั้งหลายวัน เวลานี้จอมมารคชสารคุกคามมาถึงประตูบ้านแล้ว จะให้ท่านรับปากแต่งงานกับเขา อาละวาดจนแทบจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ข้าตามหาท่านแทบเหนื่อยตายแล้ว”
ฉันขยับเข้าไปใกล้เขาอีกหลายก้าวอย่างระมัดระวัง
อีกาขาวดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นจุดมุ่งหมายของฉัน เพียงร้องเรียกแล้วพูดต่อไป “ลูกพี่ เหตุใดหางของท่านจึงชี้ตั้งขึ้น”
นั่นเพราะการล่าสัตว์ทำให้ฉันตื่นเต้นอย่างไรเล่า
อีกาขาวยังคงร้องต่อไป “ลูกพี่ เหตุใดท่านจึงเลียริมฝีปาก”
นั่นเพราะฉันกำลังจินตนาการถึงรสชาติอันยอดเยี่ยมของเนื้ออีกาน่ะสิ
อีกาขาวเอียงคอถาม “ลูกพี่ เหตุใดท่านจึงกางกรงเล็บออกมา ในละแวกนี้ไม่มีศัตรูนะ!”
นั่นเพราะฉันไม่อาจปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้
อีกาขาวถามอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ “ลูกพี่ เพราะเหตุใดท่านจึงไม่พูดจา…ยังมีอีก แววตาของท่านประหลาดยิ่ง…”