ลืมตาขึ้นมา พื้นด้านล่างก็ไม่ใช่ก้อนเมฆแล้ว แต่เป็นถนนที่ปูลาดด้วยอิฐสีเขียวอมดำ เบื้องหน้าเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่มาก กำแพงที่ห้อมล้อมยาวจนมองไม่เห็นขอบเขต หากมองจากด้านนอกจะเห็นว่าด้านในคล้ายมีต้นไม้เขียวขจีเต็มสวน ประตูใหญ่สีแดงเข้มดูสง่าภูมิฐานเปี่ยมอานุภาพ ห่วงประตูเป็นรูปปี้อั้น สีทอง ยังไม่ทันเคาะ ประตูก็เปิดออกไปสองข้างเอง มีเสียงเด็กชายดังกังวานมาจากด้านใน “ท่านเทพกลับมาแล้ว”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เด็กรับใช้ชาย และสาวใช้ที่ข้าเห็นว่ารูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวคล้ายๆ กันไปหมดก็ปรากฏตัวออกมาดุจกระแสน้ำ แล้วยืนเรียงแถวอยู่สองฟากทางด้านข้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต่างค้อมตัวคำนับ ไม่กล้าเงยหน้า
เทพปี้ชิงอุ้มข้าลงจากหลังกิเลน สาวใช้คนหนึ่งดูท่าทางอายุมากหน่อยรีบก้าวเข้ามา ช่วยเขาถอดเสื้อคลุม เมื่อเขาก้าวเข้าประตูไป เด็กรับใช้ท่าทางคล่องแคล่วอีกคนก็เดินเข้ามาจูงกิเลน
บรรยากาศดูนิ่งเงียบ ทุกคนในที่นี้ดูคล้ายตุ๊กตาดินปั้น กระทั่งจะหายใจแรงสักหน่อยยังไม่กล้า มีเพียงดวงตาไม่กี่คู่ที่กลอกไปมาแอบมองข้าที่อยู่ในอ้อมแขนของเทพปี้ชิงคล้ายรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ข้าทนต่อบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว อยากลองพยายามทำลายความอึดอัดนี้ดู จึงส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง “เมี้ยว…”
เสียงแมวร้องครั้งนี้ประสบความสำเร็จในการดึงดูดสายตาของคนที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาให้มาอยู่ที่ร่างของข้า ดวงตาของพวกเขาล้วนเบิกกว้าง ราวกับจะหลุดออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เทพปี้ชิง “อ่ะแฮ่ม” ออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง พริบตานั้นทุกคนต่างรีบก้มหน้าลงดังเดิม เขาจึงเอ่ยปากเสียงเยียบเย็น “ถอยไปให้หมด เสี่ยวหลินมาที่ห้องหนังสือของข้า”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มสวมชุดสีเขียวอมดำที่ยืนอยู่แถวหน้าผู้หนึ่งก้าวออกมาทันที เขาดูคล้ายอิ๋นจื่อ ต่างมีดวงตา เส้นผมดำยาวที่งดงาม รูปโฉมหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อย ท่าทางสุขุมคัมภีรภาพ คล้ายว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่ตกใจ ทำให้ข้าไม่ชอบอย่างมาก
“โอ๊ย!”
ขณะกำลังมองเด็กหนุ่มอายุน้อยท่าทางเหมือนคนแก่อย่างหยามหยันอยู่นั้น พลันมีเสียงของกลิ้งตกลงมาจากข้างบน ข้าเงยหน้ามองไป เห็นเด็กหญิงดวงตาสีม่วง เส้นผมสีม่วงผู้หนึ่ง นาง…นางกลิ้งตกลงมาจากขั้นบันไดด้านหน้า กลิ้งลงมาจนถึงข้างเท้าพวกเรา ยังไม่ทันตรวจดูบาดแผลหลังจากตกลงมาว่าช้ำเขียวและผิวหนังที่ถูไถฉีกขาดเช่นไร ไม่ทันได้ร้องว่าเจ็บเสียด้วยซ้ำ ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ค้อมตัวลงพูดตะกุกตะกัก
“ท่าน…ท่านเทพกลับมาแล้ว…หวาวาเก็บกวาดอยู่ที่ห้องหนังสือ…มาต้อนรับช้า…โปรดให้อภัย…โปรดให้อภัย…”
เทพปี้ชิงย่นหัวคิ้วโดยไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินอ้อมนางแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างคล่องแคล่ว ข้าย้ายมาเกาะอยู่ที่บ่าของเขา มองเด็กหญิงที่ล้มลงมาได้รับบาดเจ็บผู้นั้น นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ไม่ต่างอะไรกับเสือตัวนั้นที่ถูกข้าข่มเหงรังแกอยู่เสมอ น่าสงสารยิ่งนัก ทว่าต่อให้น่าสงสารเพียงใดก็ไม่อาจหยุดยั้งความปรารถนาที่จะข่มเหงรังแกนางของข้าได้…
“ไปได้” เทพปี้ชิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็สั่งการออกมา คนที่อยู่ด้านข้างคล้ายได้รับอภัยโทษ รีบประคองเด็กหญิงผู้นั้นออกไป ข้ามองตามเงาด้านหลังที่ผอม อ่อนแอ และดูน่ารังแกได้ง่ายของนาง ในใจเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ไม่นานข้าก็พบว่าตนเองผิดแล้ว ที่น่าเห็นใจที่สุดไม่ใช่นางแน่นอน! หากแต่เป็นข้า!