บทที่สิบสอง หมอที่น่ากลัว
หนาวยิ่งนัก…
ข้าใช่กำลังจะตายแล้วหรือไม่
ลืมตาขึ้นมาอย่างเลอะๆ เลือนๆ พบว่าตนเองได้กลายร่างกลับไปเป็นแมวแล้ว กำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเทพปี้ชิง เขานั่งอยู่บนหลังกิเลนที่กำลังวิ่งห้อตะบึง ไม่รู้จะไปที่ใด
“เมี้ยว…” ข้ายื่นศีรษะออกไปมองดูที่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง เสี่ยวหลินก็ขี่อยู่บนหลังม้าฝีเท้าดีตัวหนึ่งไล่ตามมาอยู่ข้างหลัง ทว่าถูกทิ้งห่างโข
“อย่ายื่นศีรษะออกมา ระวังจะตกลงไป” เทพปี้ชิงจับศีรษะของข้ายัดกลับเข้ามาในอ้อมอก คลำๆ ศีรษะที่ร้อนผ่าวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “ต่อไป…จะไม่อาบน้ำเย็นให้เจ้าแล้ว”
ข้าหดศีรษะที่ถูกลมพัดจนยิ่งรู้สึกทรมานเข้ามาข้างใน ไม่ได้พูดจา นึกถึงความเจ็บปวดก่อนหน้านี้แล้ว ย่อมไม่คิดจะยกโทษให้เขา
ลมหยุดแล้ว กิเลนก็หยุดแล้ว เทพปี้ชิงอุ้มข้าพลิกตัวกระโดดลงไป สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปยังลานบ้านงดงามแปลกตาหลังหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ลานบ้านกว้างมาก ปลูกดอกไม้ใบหญ้าที่ข้าไม่รู้จักไว้เต็มไปหมด กลิ่นหอมของยาผสมปนเปกับกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา ฉุนจนข้าจามไม่หยุด
เดินตามทางเล็กบนลานที่ปูด้วยเศษหินเข้าไป เป็นเรือนเล็กมากหลังหนึ่ง มีเด็กหญิงคนหนึ่งสวมเสื้อตัวสั้นสีขาวนวลกางเกงขายาวกำลังนั่งต้มยาไปสัปหงกไปอยู่ที่หน้าประตู ในมือถือพัดที่ทำจากใบผู โบกๆ หยุดๆ ไปเรื่อย พอเห็นเทพปี้ชิงเดินมาก็ตกใจตื่นกระโดดขึ้นมา ยิ้มแย้มทำความเคารพ “ท่านเทพเดินทางมาไกล ข้าจะไปเรียนให้อาจารย์ทราบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
พูดจบนางก็ไม่รอคำตอบ วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในเรือน ไม่นานก็มีเสียงเหนื่อยหน่ายดังมาจากด้านใน “ข้าว่านะปี้ชิง เจ้าหมื่นปีไม่มีเรื่องก็ไม่มีทางมาถึงบ้านข้า ครั้งนี้มือบาดเจ็บหรือเท้าบาดเจ็บเล่า”
เทพปี้ชิงอุ้มข้าเดินเข้าไป บอกอย่างไม่เกรงใจ “ถูกความเย็นตัวร้อน”
ครานี้ข้าจึงได้เห็นที่มาของเสียงอย่างชัดเจน เป็นบุรุษสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง หน้าตาของเขาไม่นับว่างดงามเป็นพิเศษ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าก็ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าประทับใจ แววตาดูเกียจคร้านเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลับมองอย่างไรก็สบายตา เวลายิ้มขึ้นมายิ่งรู้สึกราวกับอากาศปลอดโปร่งลมพัดเย็นสบาย ประหนึ่งลำธารใสสะอาดพันปีไม่เคยเปลี่ยน ซึมซาบเข้าไปในหัวใจคน ไม่อาจลืมเลือนได้
บุรุษผู้นั้นอ้าปากกว้าง ทำท่าประหลาดใจจนเกินเหตุ “เจ้าก็รู้จักถูกความเย็นตัวร้อนด้วยหรือ หรือว่าวันนี้ตงจวิน เดินไปทางตะวันตก ยากจะได้พานพบ ยากจะได้พานพบ”
“โม่หลิน เจ้าอย่าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า” เทพปี้ชิงวางข้าลงบนโต๊ะเบาๆ “ตรวจอาการให้นางหน่อย ดูเหมือนจะกระทบถูกความเย็นเข้า”
“เจ้าเลี้ยงแมวด้วยหรือนี่” สีหน้าท่าทางของโม่หลินยิ่งดูประหลาดใจหนัก เขาผงะถอยไปหลายก้าว จู่ๆ ก็เอามือกดท้องหัวเราะไม่หยุด หัวเราะไปก็พูดไป “เจ้า คนที่หัวสมองดุจก้อนหินคลั่งการสู้รบผู้นี้ ความคิดเปิดโล่งตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าขำแทบตายแล้ว!”
“อย่ายั่วยุให้ข้าต้องโมโห” เทพปี้ชิงเอ่ยเสียงเย็น
“เอาล่ะๆ ไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว” โม่หลินเดินเข้ามาใกล้ข้าที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “แมวเหมียวเด็กดี ข้าจะช่วยรักษาอาการป่วยให้เจ้า”
รักษาอาการป่วย?!
คำพูดนี้ทำให้ข้าตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น อดที่จะถามอย่างระแวดระวังไม่ได้ “ที่นี่…คือโรงพยาบาลหรือ”
“โรงพยาบาล? ใช้คำแปลกดี เอ่อ…จะพูดเช่นนั้นก็ได้” โม่หลินจับอุ้งเท้าข้าขึ้นมาแล้วกดไปทั่ว
นัยน์ตาของข้าพลันหดเล็กลง ความทรงจำที่มืดมน น่ากลัว และฝังลึกที่สุดในช่วงหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมอง เกิดเป็นคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง
ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพาข้าไป และลืมไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งเดียวที่ข้าจำได้คือมีห้องสีขาวประหลาดห้องหนึ่ง ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นที่แสบจมูก มีชื่อเรียกว่า…โรงพยาบาล
มีชายหญิงหลายคนสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวแบบเดียวกับชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เข้ามาห้อมล้อมข้า ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่จริงใจ พวกเขามองข้าพลางถกปัญหาอะไรกันไม่หยุด
ถกปัญหากันจนถึงท้ายสุด ท่านอาคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็กดตัวข้าไว้ แล้วเอาแท่งแก้วยาวๆ มีลวดลายด้านข้างยังมีสีแดงเล็กน้อยแท่งหนึ่งออกมา สะบัดๆ แล้วเสียบเข้ามาในก้นของข้าแรงๆ ทันที! เจ็บจนร่างข้าแทบแหลกสลาย!
ข้าส่งเสียงร้องและดิ้นรนสุดชีวิต แต่พวกเขากลับเข้ามาช่วยกันกดร่างข้าไว้ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ กระทั่งเวลาผ่านไปเป็นนานจึงดึงออกมา ดูๆ ลวดลายที่อยู่บนแท่งแก้ว จากนั้นก็หัวเราะบอกอะไรสี่สิบองศา…