เมื่อกลับมาถึง สาวใช้กับเด็กรับใช้ทุกคนพอเห็นข้าก็รีบปิดปากแล้วถอยออกไป เหลือไม่กี่คนที่ถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้วจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้างข่มกลั้นจนหน้าแดง ลมหายใจถี่กระชั้น คล้ายกำลังสะกดกลั้นอะไรบางอย่างด้วยความทุกข์ทรมานยิ่ง
เทพปี้ชิงไม่ได้พาข้ากลับไปที่ห้องของตนเอง แต่พามายังห้องพักของเขา เอาข้าวางลงบนเตียงหลังใหญ่ที่อ่อนนุ่มพลางสั่งกำชับ “หลายวันนี้ข้าต้องเฝ้าดูเจ้าไว้ ห้ามกระโดดโลดเต้นเป็นอันขาด บาดแผลจะฉีกขาดได้”
ข้าไม่อยากสนใจคนสารเลวผู้นี้ จึงได้แต่ขดตัวอยู่ตรงมุมผ้าห่มด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจ พยายามเลียขนอีกครั้ง แต่กลับถูกที่สวมศีรษะกั้นขวางไปเสียทุกครั้ง ไม่อาจบรรลุจุดมุ่งหมายได้
ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานมาก
เทพปี้ชิงเห็นแล้วท่าทีก็อ่อนลงมา เขาเดินมาที่ข้างกายข้า ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ทนเอาหน่อยเถิด อีกไม่กี่วันก็ผ่านไปแล้ว”
“คนที่ต้องอดทนไม่ใช่ท่าน” ข้าบ่นว่าเสียงเบา
“ข้าก็เคยอดทนมาก่อน” เทพปี้ชิงได้ยินคำบ่น เขาถอดรองเท้าก่อนนั่งลงบนเตียง เอนพิงหมอน แล้วดึงข้าเข้ามาเบาๆ วางข้าลงข้างกาย “ต่อให้เจ็บเพียงใดก็ต้องทนให้ผ่านไป”
“เมื่อไร เจ็บมากถึงเพียงใด” ข้าเบิกตาโตถาม ในใจออกจะไม่เชื่อ คนที่องอาจห้าวหาญเช่นเขาก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
“นานมาก จำไม่ได้แล้ว” เทพปี้ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ตอนนั้นกระดูกทั่วร่างของข้าถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เส้นเอ็นก็ถูกดึงออกมา แทบจะขยับเนื้อตัวไม่ได้”
“โกหกแมว! บาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้นก็ต้องตายไปนานแล้ว!”
เขากลับยิ้มน้อยๆ “ตอนนั้นมีคนบอกข้า พระบรมศาสดาแห่งชมพูทวีปมีอิทธิฤทธิ์ที่หลุดพ้นจากสรรพสิ่ง สามารถรักษาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทุกอย่าง ดังนั้นข้าจึงเพียรพยายามคลานไปทางตะวันตกทีละชุ่น*ๆ แต่คลานอยู่ห้าร้อยปีเต็ม กล้ามเนื้อของข้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง เรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องใช้กระดูกและเส้นเอ็น แต่กลับไม่พบพระบรมศาสดา”
ข้าฟังเรื่องราวนี้จนเคลิบเคลิ้ม อดถามขึ้นไม่ได้ “คนที่โกหกท่านผู้นั้น ท่านได้หาตัวเขามาแก้แค้นหรือไม่”
“ต่อมาภายหลังข้าจึงรู้ว่าคนผู้นั้นก็คือพระบรมศาสดา หลังจากเขาเห็นข้าใช้ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของตนยืนขึ้นมา จึงถ่ายทอดลมปราณเซียนให้ข้าคำหนึ่ง ช่วยข้าต่อกระดูกกลับคืน บำเพ็ญเพียรจนมีร่างเป็นมนุษย์ กลายเป็นเทพที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลแดนปีศาจ ข้ารับหน้าที่นี้มาก็หลายพันปี”
ข้ายังคงไม่เชื่อ กดๆ บีบๆ ไปบนร่างเขาหลายครั้งเพื่อตรวจสอบดู คาดคิดไม่ถึง ข้าพบว่าเขาไม่มีเส้นเอ็นอยู่จริง ในใจตกตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดำยามอยู่ในที่มืดของเขา พยายามค้นหาสิ่งจอมปลอมในนั้น
ทว่าไม่มี ในดวงตาของเขาใสกระจ่าง ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับทำให้ในใจของข้ารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเป็นระลอกริ้ว ข้าปีนขึ้นไปบนร่างของเขา ย่ำผ่านหน้าอก ก้มลงไปเลียใบหน้าของเขา “เทพปี้ชิงไม่เจ็บ…เหมียวเหมียวก็ไม่บ่นเจ็บแล้ว”
“เหมียวเหมียว ที่ครอบศีรษะเหล็กของเจ้า…ค้ำคางจนข้ารู้สึกไม่สบาย” เขาย่นหัวคิ้วเอ่ยขึ้น
ข้าที่เพิ่งเลียไปได้ไม่กี่ทีปากอ้าตาค้าง โกรธจนบันดาลโทสะกระโดดลงมาทันที “น่าโมโหยิ่งนัก! ข้าจะไม่มีวันเห็นใจคนสารเลวอีกแล้ว!”
เทพปี้ชิงพลันหัวเราะเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะดังอยู่นานไม่จางหาย
ข้านั่งยองๆ อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางโมโหฮึดฮัด กอดหางไว้ไม่สนใจเขา เขาคว้าตัวข้าขึ้นมา ดึงมาใกล้ตัว เอาแขนข้างหนึ่งโอบข้าไว้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นก็ค่อยๆ หลับไป
ข้าเบิกตาโตขยับเข้าไปใกล้ มองขนตายาวของเขาที่สั่นไหวน้อยๆ ไปตามการหายใจ มองไปมองมา…ข้าก็ขดตัวเป็นก้อนกลม นอนทับแขนของเขาแล้วหลับไปในที่สุด