เสือก้มหน้ามองต้นหญ้าบนพื้น หลังจากลังเลอยู่นานก็ตอบว่า “พวกเราไม่ได้พบท่านอิ๋นจื่อมานานมากแล้ว นับแต่เหมียวเหมียวต้าหวังจากไป ท่านอิ๋นจื่อบอกให้ข้ารักษาการณ์ในตำแหน่งราชาแห่งภูเขานี้แทนชั่วคราว จากนั้นเขาก็หายตัวไป และไม่นานก็เกิดแผ่นดินไหว…ปีศาจที่อยู่บนพื้นดินตายไปจำนวนมาก อาหารอะไรก็ไม่มีแล้ว ทุกคนต่างหิวโหย ปีศาจที่เหลืออยู่จึงแยกย้ายหนีหายไปหมด”
เทพปี้ชิงพลันย่นหัวคิ้วถามขึ้น “ไม่มีอาหารแล้วเจ้ากินอะไร หรือทำร้ายผู้คน”
“ไม่มีๆ! ข้าน้อยไม่กล้า!” ใบหน้าของเสือที่อยู่ภายใต้ขนดกหนา จู่ๆ ก็มีริ้วแดงปรากฏขึ้นเล็กน้อย เขาพูดอย่างขวยอาย “ตอนนี้ข้าหัดกินหญ้าเป็นแล้ว”
สีหน้าของเทพปี้ชิงพลันแข็งค้างไปแล้ว…ข้ากลับมองเสือด้วยสายตาทึ่ง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยชอบกินปลาได้แน่นอน…
เมื่อรู้ว่าอิ๋นจื่อไม่เป็นไรแล้ว จิตใจของข้าที่มืดครึ้มอึมครึมอย่างที่สุดก็เริ่มวางใจ ความเศร้ารันทดใจน้อยนิดนั่นได้มลายหายไปหมดสิ้น จึงดึงมือเทพปี้ชิงจะไปเที่ยวหาจอมมารวัวกระทิง
เทพปี้ชิงไม่อาจทนต่อการรบเร้าอ้อนวอนของข้าได้ ในที่สุดก็ยอมรับปาก แต่ขอว่าต้องกลับไปแดนสวรรค์ภายในวันนี้ อีกทั้งห้ามเปิดเผยการอำพรางตัวของเขาเป็นอันขาด ห้ามบอกปีศาจอื่นและมนุษย์ถึงการดำรงอยู่ของเขา
ข้าสาบานต่อฟ้า จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อเขาอย่างเคร่งครัด
ที่อยู่ของจอมมารวัวกระทิงทิวทัศน์งดงามภูเขาเขียวขจีธารน้ำใสเย็น ข้าเคยมาหลายครั้ง คุ้นเคยกับเส้นทางดี เลี้ยวไปมาไม่กี่ครั้งก็มาถึงถ้ำของเขา เคาะๆ ประตูใหญ่สีแดง มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างในด้วยท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยแผลเขียวช้ำ ไม่รู้ไปกระแทกถูกอะไรมา พอเห็นข้าก็เปลี่ยนเป็นดีอกดีใจขึ้นมา ดึงชายแขนเสื้อข้าแล้วบอก “ท่านเหมียวเหมียว ท่านรีบช่วยเกลี้ยกล่อมนายหญิงของเราหน่อยเถิด…”
พูดยังไม่ทันจบ แท่นหินฝนหมึกสีดำอันหนึ่งก็ลอยมา ข้ารีบหลบไปที่ด้านข้าง จากนั้นก็มีเสียงแผดคำรามของหลัวช่าดังตามมา “เจ้าคนไม่มีมโนธรรม ยังจะกลับมาทำไม!”
ข้าฮวาเหมียวเหมียวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวเพียงสิ่งเดียวนั่นคือหลัวช่า นางมักเล่าเรื่องคนเลวชอบกินเนื้อแมวย่างน้ำแดง ต้มแกงน้ำใสเนื้อแมวอะไรพวกนั้นให้ข้าฟัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกจับขายกลายเป็นอาหารอันโอชะบนโต๊ะของคนเลว อีกทั้งเพื่อจะได้กินอาหารรสเลิศที่นางทำ ข้าจึงเคารพยำเกรงนางมาโดยตลอด…ไม่ว่านางเอ่ยขอร้องอะไรเป็นต้องรับปาก
แต่…เวลานี้ดูเหมือนนางจะโกรธข้าอยู่…
ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตกใจจนหางชี้ขึ้นมา รีบสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปยอมรับผิด “พี่สะใภ้หลัวช่า เหมียวเหมียวแม้จะไม่มีมโนธรรม แต่ก็จะรีบไปหามโนธรรมมา ท่านอย่าได้ขายข้าไปเป็นอันขาด!”
หลัวช่ากำลังมองหาสิ่งของมาทุ่มใส่คน พอได้ยินเสียงข้าก็อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ หันมากล่าว “เหตุใดจึงเป็นเจ้าเล่า เจ้าไม่ใช่ตามเทพปี้ชิงไปแล้วหรือ”
ข้าหูลู่เดินเข้าไปบอก “เหมียวเหมียวกลับมาเยี่ยมท่านกับพี่ใหญ่ ท่านอย่าตีข้าเลย”
“ข้า…เข้าใจว่าเป็นเจ้าศัตรูคู่อาฆาตผู้นั้นกลับมา” หลัวช่าวางหินแก้วเจียระไนที่เพิ่งหยิบขึ้นมาในมือลง ก่อนเดินเข้ามากอดข้าแล้วเริ่มร่ำไห้ “พี่ชายของเจ้า คนสารเลวผู้นั้น…แอบมีเล็กมีน้อยอยู่ข้างนอก เวลานี้วันๆ หนึ่งไม่ยอมกลับบ้าน จะให้ข้าอยู่ต่อไปอย่างไร…”
“ไม่ร้องนะไม่ร้อง อะไรคือ ‘มีเล็กมีน้อย’ ” ข้าปลอบโยนไปพลางซักถาม
นางเช็ดน้ำหูน้ำตาน้ำมูกกับตัวข้าทั้งหมด ร้องอย่างเศร้าเสียใจยิ่ง “พี่ชายของเจ้าอยู่ข้างนอก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่ง เวลานี้จิตใจไม่ได้อยู่กับบ้านเลย แม้แต่หงไห่เอ๋อร์ก็ถูกเขาเสี้ยมสอนให้ออกไปอยู่ข้างนอกตามลำพัง ทิ้งข้าให้เป็นผีโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่คนเดียว บุรุษหาดีไม่ได้สักคน!”
ข้าลูบๆ ศีรษะ ไม่เข้าใจเลยว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร จึงเอ่ยปากซักถาม “ปีศาจจิ้งจอกไม่ใช่รูปโฉมงดงามยิ่งหรอกหรือ เขากับพี่ชายข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันไม่ใช่เป็นเรื่องดีมากหรือไร เหตุใดท่านต้องโกรธด้วย”
หลัวช่าทั้งโมโหทั้งร้อนใจ เขกศีรษะข้าแรงๆ ทีหนึ่งแล้วด่าว่า “ดีอะไรกัน เจ้าแมวโง่ผู้นี้!”
“เมี้ยว” ข้าลูบคลำซาลาเปาลูกใหญ่บนศีรษะ ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง…