บทที่ห้า ขี่ลมกลับไป
จอมมารวัวกระทิงรีบยกกระบองขึ้นมาต้านอานุภาพกระบี่ของนางไว้ พยายามอธิบาย “เจ้าฟังข้าพูดก่อน! อย่าหุนหันบุ่มบ่ามเช่นนี้!”
“ข้าไม่ฟัง! ข้าจะจับเจ้าตอนแล้วถลกหนังไปทำโคมไฟ!” สีหน้าของนางน่าเกลียดน่ากลัวราวกับเป็นผีร้ายเป็นปีศาจ นางยังก่นด่าต่อไปอีก “จากนั้นก็จะจับแมวมั่วโลกีย์ไปจุดโคมบนเสา”
“ห้ามด่าน้องสาวบุญธรรมของข้า!” จอมมารวัวกระทิงเพลิงโทสะพวยพุ่งสูงเทียมฟ้าในทันที
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด รอบด้านภูเขาพังทลายพื้นดินแยก ต้นไม้โบราณร้อยปีถูกผลกระทบจากการต่อสู้โค่นล้มเป็นแถบๆ เศษหินปลิวว่อน เปรียบกับสองสามีภรรยาที่อยู่บ้านติดกันกับข้าเมื่อก่อน คนคู่นี้ทะเลาะตบตีกันแล้วยังร้ายกาจกว่ามาก ข้าดูจนตาลายไปหมด แอบโห่ร้องให้กำลังใจ จากนั้นก็ดึงอิ๋นจื่อที่อยู่ด้านข้างมาซักถาม ทำตัวเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย “อะไรคือชายทรยศ อะไรคือแมวมั่วโลกีย์ อะไรคือจุดโคมบนเสา”
อิ๋นจื่อถูกข้าเขย่าตัวจนวิงเวียนตาลาย เขาที่ดูอ่อนแอในที่สุดก็ตวาดออกมาด้วยความเดือดดาลสุดขีด
“หยุดมือให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงตวาดของอิ๋นจื่อดังมาก สั่นสะเทือนจนหูข้าลั่นอึงอล และทำให้สองคนที่ต่อสู้กันชุลมุนหยุดมือได้สำเร็จ
หญิงผู้นั้นจ้องจอมมารวัวกระทิงอยู่เป็นนาน สุดท้ายนางก็โยนกระบี่ยาวในมือทิ้ง ก่อนทิ้งร่างลงกับพื้นร้องไห้โฮออกมา “สัตว์เดียรัจฉานสมควรตาย วันๆ ข้าอยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้าน เจ้าอยู่ข้างนอกได้ทำเรื่องเหลวไหล ผิดต่อข้าหรือไม่”
“ไม่ผิดต่อเจ้า” จอมมารวัวกระทิงสั่นศีรษะติดๆ กัน หญิงผู้นั้นสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที เขารีบร้องขึ้น “ที่ข้าบอกไม่ผิดต่อเจ้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
“แล้วหมายความว่าอย่างไร” ข้าที่ชมอยู่ด้านข้างกำลังดูอย่างสนุกสนาน จึงถามด้วยความอยากรู้
สายตาของหญิงผู้นั้นเบนมาที่ข้าทันที แล้วหยิบพัดใบตองเล่มหนึ่งออกมา ข้าพลันรู้สึกถึงรังสีเข่นฆ่าที่จู่โจมเข้ามาเป็นระลอก เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก จึงอดตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ ข้าขดตัวเข้าไปอยู่หลังอิ๋นจื่ออย่างระมัดระวัง ลู่ใบหูลง พยายามจะซุกซ่อนตัว
“พี่สะใภ้หลัวช่า! ไม่อาจใช้พัดใบตองเด็ดขาด!” อิ๋นจื่อร้องขึ้นอีกครั้ง “ลูกพี่ของข้าถูกคนใช้กำลังข่มเหงรังแก เวลานี้เสียสติไปแล้ว! ถึงได้มีพฤติกรรมผิดแปลก พี่ใหญ่จอมมารวัวกระทิงเป็นบุรุษมีคุณธรรม ท่านอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาด!”
ได้ยินเช่นนี้ หญิงที่ชื่อหลัวช่าผู้นั้นก็กวาดตาไปที่จอมมารวัวกระทิงทันที จอมมารวัวกระทิงผงกศีรษะราวกับทุบกระเทียม นางยิ้มออกมาทันที ความเยียบเย็นในดวงตาละลายไปหมด ประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิกลับมาสู่พื้นโลก บุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง นางเดินเข้ามาอย่างสนิทสนม ดึงข้าออกมาจากหลังอิ๋นจื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดอย่างขัดเขิน “เป็นเพราะเจ้าคนชั่วสมควรตายผู้นั้นไม่อธิบายให้ชัดเจน ทำให้ข้าเกือบเข้าใจผิดน้องสาวไปแล้ว ต้องขออภัยเจ้าด้วย เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”
ข้าเอียงคอ สะบัดๆ หาง เบิกตาโตมองใบหน้างดงามที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่เข้าใจว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร
จากนั้นหลัวช่าก็ถามต่อ “น้องสาว ที่แท้เป็นใครกันที่ไม่มีตามาข่มเหงเจ้า”
“สุนัข!” ข้าโพล่งออกไปอย่างไม่ลังเล สุนัขตัวโตสีดำพฤติกรรมชั่วร้ายต่ำทรามเมื่อครู่ตัวนั้นทิ้งความทรงจำให้ข้าอย่างลึกซึ้ง หากมีโอกาส ข้าจะต้องกัดเขาอีกครั้งแน่นอน
สีหน้าท่าทางของหลัวช่ายิ่งผ่อนคลายลง รอยยิ้มยิ่งดูสนิทสนม จอมมารวัวกระทิงกับอิ๋นจื่อก็เข้ามาห้อมล้อม จอมมารวัวกระทิงถามด้วยท่าทางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “เป็นสุนัขตัวใด ประเดี๋ยวข้าจะไปสังหารมันเป็นการแก้แค้น!”
ดี! ชั่วชีวิตของข้าชอบรังแกสุนัขที่สุดและชอบเห็นสุนัขถูกคนรังแกที่สุด พวกเจ้าล้วนเป็นคนดี! ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง ครั้นแล้วก็พยายามค้นหาชื่อของสุนัขชั่วตัวนั้นในสมอง ชื่อของเขาดูเหมือนจะยาวมาก ยามนึกกะทันหันเช่นนี้ทำให้ข้าออกจะสับสน