ข้าหันกลับไปมองเสืออย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง เขามองข้าอย่างน่าสงสาร แต่ยังคงอยู่ในท่าเดิมโดยไม่กล้าขยับ
เข้ามาในถ้ำ ข้ามองไปรอบๆ ข้างในปูขนสัตว์อ่อนนุ่มดูน่าสบายอย่างยิ่ง ยังไม่ทันได้คลานขึ้นไปเกลือกกลิ้ง หลัวช่าก็พาข้าไปที่ห้องด้านข้าง เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากแพรต่วนชุดหนึ่ง เนื้อผ้านุ่มเบามาก ความรู้สึกตอนสวมอยู่บนร่างกับไม่ได้สวมไม่ต่างกันมาก ทำให้ข้าพอใจยิ่ง ที่พอใจมากที่สุดคือเสื้อผ้านี้ด้านหลังยังมีช่องให้หางโผล่ออกไปได้ ทำให้ข้ากอดหางเกลือกกลิ้งได้ตลอดเวลา
จากนั้นอิ๋นจื่อกับจอมมารวัวกระทิงก็จับตัวข้าไว้แล้วเริ่มอบรมความคิดด้านศีลธรรมจริยธรรม ข้าฟังแล้วเอาแต่หาวหวอด พวกเขากลับไม่ยอมให้ข้านอน กระทั่งหลัวช่ายกปลาหลี่ที่ปรุงเสร็จออกมาจึงทำลายสภาพอันน่าอึดอัดนี้ไปได้
ที่น่าเสียใจก็คือ ตอนข้าหมอบร่างลงไปกัดเนื้อปลา พวกเขาก็เริ่มสอนข้าถึงมารยาทในการกินอาหารอีก…
น่าเบื่อยิ่งนัก…
การอบรมที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ดำเนินอยู่สามวันเต็มๆ ข้าซัดอิ๋นจื่อปลิวกระเด็นไปหลายครั้ง ทำให้จอมมารวัวกระทิงโมโหแทบคลุ้มคลั่งไม่รู้กี่หน และข้าต้องอดทนยืนหยัดฟังต่อไปภายใต้เนื้อปลาของหลัวช่าไม่รู้กี่ครั้ง ทว่าเสือตัวนั้นเคราะห์ร้ายกว่าหน่อย เขานอนท่าเดิมไม่ขยับอยู่นอกประตูมาสามวันแล้ว กว่าข้าจะนึกขึ้นมาได้ เขาก็แทบจะหิวตาย
สามวันมานี้ พวกอิ๋นจื่อกลับสอนให้ข้าพูดเพียงประโยคเดียว นั่นก็คือให้พูดกับคชสารตัวโตว่า ‘แม้จะชื่นชมท่านมาก แต่การแต่งงานในครั้งนี้ออกจะไม่ค่อยเหมาะสม โปรดให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองอีกสักระยะ’
เพื่อคำพูดที่สมควรตายประโยคนี้ ข้าต้องท่องอยู่นับพันครั้งจึงพอจะนับว่าจำได้แม่น พร้อมกันนั้นเรื่องการขอแต่งงานนี้ก็ได้ทิ้งเงาดำทะมึนไว้ในใจของข้าอย่างยากจะลืมเลือน
น่ากลัวเกินไปแล้ว…
ในที่สุดก็ถึงวันที่จะต้องเดินทางไปเผชิญหน้ากับเรื่องการขอแต่งงาน หลัวช่าจับข้าแต่งตัวอย่างพิถีพิถันอยู่ครึ่งวัน จากนั้นก็พาไปที่หุบเขาแห่งหนึ่งในภูเขาลั่วอิง
ก่อนออกเดินทางข้าเคยย้อนนึกถึงช้างที่เคยเห็นในโทรทัศน์ ดูเหมือนจะตัวโตกว่าแมวไม่เท่าไร ทันใดนั้นความคิดที่จะกัดเขาให้ตายเพื่อแก้แค้นที่มาขอแต่งงานก็อุบัติขึ้นมาในสมอง
แต่เมื่อข้าได้พบเขาเข้าจริง ข้าพบว่าข้าคิดผิดไปแล้ว
ช้างสีขาวตัวโตตัวนี้สูงราวกับภูเขา บดบังแสงอาทิตย์ทั่วท้องฟ้า ยามเขาก้าวเดิน พื้นปฐพีทั้งผืนก็สั่นไหวไปหมด เสียงร้องของเขาดังมากพอที่จะได้ยินไปถึงท้องนภากาศ ข้าต้องแหงนหน้าคอตั้งจึงจะมองเห็นดวงตาของเขา
บนท้องฟ้ามีราชาอินทรีบินมาตัวหนึ่ง หยุดลงที่ข้างกายช้าง สัตว์สองตัวนี้ได้ยึดครองพื้นที่ในหุบเขาไว้เกือบทั้งหมด ข้างหลังดูเหมือนยังมีแรดนอเดียวที่เบียดเข้ามาไม่ได้อีกตัว
ส่วนข้ากับพวกจอมมารวัวกระทิงยืนอยู่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง แหงนหน้าขึ้นมองท่วงทีอันสง่างามของพวกเขา
กัดไม่สะดวก…ข้าลู่ใบหูลงด้วยความท้อแท้ใจ มองสัตว์ตัวใหญ่มหึมาตรงหน้าอย่างคับแค้น คิดไม่ออกว่าจะกัดตรงที่ใดได้
จอมมารคชสารเริ่มเอ่ยปากขึ้นแล้ว เสียงของเขาฟังดูขวยเขินแต่ก้องกังวานยิ่ง สะเทือนเลื่อนลั่นจนแก้วหูข้าสั่นไปหมด
เขาบอก “เหมียวเหมียว ข้ารักเจ้า”
สองคำแรกข้าเข้าใจ แม้ในความทรงจำจะมีใครหลายคนที่เรียกข้าด้วยชื่อที่แตกต่างกัน มีต้าหวัง ลูกพี่ น้องสาว น้องสาวบุญธรรม แมวสารเลว จอมมารแมว คนงามแมวเป็นต้น แต่เหมียวเหมียวกับเมียวเมียวสองคำนี้จำนวนครั้งที่ปรากฏสูงที่สุด ข้าเข้าใจดี นี่เป็นการเรียกข้า
แต่อีกสามคำข้างหลังนั่นหมายความว่าอย่างไร ข้ารีบหันไปมองอิ๋นจื่อเพื่อขอความช่วยเหลือ
อิ๋นจื่อพยายามขยิบตาให้ข้า เขาขยิบตาจนหน้าแทบจะเป็นตะคริวแล้ว ข้าจึงนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสัญญาณลับให้พูดคำที่ท่องจำจนแม่นยำประโยคนั้นออกมา
ทว่าข้ายังไม่ทันได้พูดออกมา จอมมารคชสารก็พูดขึ้นอีก “ใช้ร่างเดิมมาพบแม่นางเหมียวเหมียวดูจะไม่เหมาะ ประเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์”