ในชีวิตของข้ายังไม่เคยเห็นใครรูปงามยิ่งกว่าเขา และไม่เคยเห็นใครมีแรงดึงดูดใจยิ่งกว่าเขา เมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้ไม่มี ในอนาคตก็ไม่มีทางมี
เพราะเขาคือเจ้านายของข้า…
ข้ากระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปีนป่ายมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พยายามใช้ศีรษะน้อยๆ ถูไถหน้าอกของเจ้านาย ส่งเสียงร้อง “เมี้ยวๆ” ไม่หยุด แทบอยากจะเกาะติดเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกจากกันอีก
ทว่า…เจ้านายกลับขยุ้มหนังที่หลังคอข้าขึ้นมาอย่างแรง แยกข้าออกจากตัวเขา ยกตัวข้าขึ้นมาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ
“เมี้ยว” ข้าถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าเปิดปากพูด ข้ากลัวถ้าเจ้านายรู้ว่าข้าพูดได้จะไม่ต้องการข้า
เจ้านายจ้องข้าเขม็ง เอ่ยปากขึ้นช้าๆ “ปีศาจแมวน้อยมาจากที่ใดกัน”
ข้าไม่ได้สนใจคำถามของเขา เพียงมองดวงตาทั้งสองของเขาอย่างงงงัน ข้าที่เมื่อก่อนแยกแยะสีสันไม่ออก ไม่เคยนึกเลยว่าดวงตาของเจ้านายจะงามเช่นนี้ สีของดวงตาคล้ายหญ้าอ่อนบนพื้นดิน แต่สะดุดตากว่า ชวนหลงใหลยิ่งกว่า กระทั่งยังงดงามยิ่งกว่าหยกที่อิ๋นจื่อห้อยอยู่ที่เอวเสียอีก ทำให้ข้าเคลิบเคลิ้มลุ่มหลงอย่างที่สุด
“พูด!” เจ้านายตวาดถาม
ข้ายังคงมองเขาอย่างงุนงง ประหลาดใจเมื่อพบว่าเส้นผมดำขลับดุจสีนิลของเขาเปลี่ยนเป็นยาวแล้ว และรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบง่าย เส้นผมปลิวไหวไปตามสายลมล้อไปกับขนสัตว์สีขาวที่กุ๊นอยู่ตรงขอบเสื้อคลุมลม ร่างสูงโปร่งแต่ล่ำสันแข็งแรงห่อหุ้มด้วยเสื้อเกราะที่ทำด้วยเหล็กเป็นวงร้อยต่อกันส่งประกายสีเงินวิบวับ เอวสะพายกระบี่วิเศษที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเล่มหนึ่ง ทั่วร่างของเขามีรังสีเข่นฆ่าแผ่กระจายออกมาอย่างประหลาด
แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเช่นใด เขายังคงเป็นเจ้านายที่ข้าชอบที่สุด
“ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้ายังเป็นปีศาจน้อยตัวหนึ่ง วันนี้ข้าจะละเว้นเจ้าชั่วคราว”
ไม่รู้เพราะอะไร วันนี้เจ้านายจึงดูดุและเฉยเมยมาก…เขาถึงกับจับตัวข้าไว้แล้วเริ่มเขย่าไปมา คล้ายคิดจะสะบัดข้าออกไป ข้าโมโหขึ้นมาจึงกัดมือเขาอย่างแรง เขี้ยวที่แหลมคมแทงทะลุผิวหนัง โลหิตสดหลายหยดไหลเข้ามาในปาก
โลหิตเย็น มีรสชาติเย็นเฉียบถึงกระดูก พอลงคอกลับเริ่มร้อนแผดเผา ก่อกวนจนอวัยวะห้ากลั่นหกกรองเริ่มเจ็บปวด เจ็บจนข้าไม่อาจแผลงฤทธิ์ได้ แต่ยังคงมองเจ้านายไม่ยอมละสายตา
“แมวโง่งม ใครบ้างไม่รู้ โลหิตของเทพปี้ชิงมีพิษร้ายแรง” เจ้านายโยนข้าลงไป น้ำเสียงของเขาเมินเฉย ในดวงตากลับมีประกายกลัดกลุ้มรำคาญใจพาดผ่านจางๆ คล้ายกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง
โดยธรรมชาติแมวเป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูงมาก แต่ครั้งนี้ข้าปวดท้องมากจนทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ที่ทนไม่ได้ยิ่งกว่าก็คือเจ้านายหมุนตัวจะจากไป
เขาคิดจะทิ้งข้าไว้…
ข้าพยายามลุกขึ้นมา เท้าทั้งสี่สั่นเทาไม่หยุด แต่ก็ยังคงคลานไปข้างหน้าทีละก้าวๆ คลานไปถึงข้างเท้าเขา ข้าทนต่อความเจ็บปวด พยายามส่งเสียงร้อง พยายามถูไถศีรษะกับเท้าของเขา กลิ้งไปบนพื้น แสร้งทำน่ารัก เพียงเพราะอยากรั้งเขาไว้ อยากให้เขาพาข้ากลับบ้าน
เขากลับมองข้าอย่างไม่หวั่นไหว
ภาพเบื้องหน้าเริ่มมืดมิด โลหิตสดทะลักออกจากลำคอ ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต สรรพสิ่งในโลกเปลี่ยนเป็นภาพซ้อนทับ ใบหน้าของเจ้านายก็เปลี่ยนเป็นสามคน ข้าส่งเสียงร้องด้วยความเศร้ารันทดออกมาเป็นคำสุดท้าย ล้มพับลงไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ก่อนจะหมดสติ ข้าได้ยินเจ้านายทอดถอนใจยาวแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด…”
ข้าคิดว่าเขาคงยอมพาข้ากลับไปบ้านด้วยแล้ว…
แต่เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าสลัวใกล้เช้า ท้องก็ไม่ปวดอีก แต่เบื้องหน้ากลับไม่มีเงาร่างของเจ้านายอยู่แล้ว
บางทีเขาคงจากไปเพราะมีธุระกระมัง ข้าคิดในแง่ดี ครั้นแล้วก็นั่งอยู่ที่เดิมรอเขากลับมา
แต่ข้ารอตั้งแต่เช้าตรู่น้ำค้างเปียกชุ่มขน รอจนค่ำมืดดวงดาวทอแสงระยิบระยับไปทั่วพื้นปฐพี แล้วก็รอตั้งแต่มืดค่ำไปจนฟ้าสว่าง แล้วก็รอตั้งแต่ฟ้าสว่างจนมืดค่ำ…
รอจนกลางวันกลางคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไปสามรอบ รอจนพวกอิ๋นจื่อกับจอมมารวัวกระทิงตามหาข้าจนพบ เจ้านายก็ยังคงไม่กลับมา
ในที่สุดข้าก็เข้าใจ
ข้าถูกทอดทิ้งแล้ว…
เจ้านายไม่ต้องการข้าแล้ว…
เขาไม่ต้องการฮวาเหมียวเหมียวแล้ว…
อิ๋นจื่อฉุดลากข้า บอกให้ข้ากลับบ้าน ข้ากลับยืนอยู่ที่เดิมเป็นนานสองนานไม่ยอมจากไป
ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก เปรียบกับตอนที่มีอะไรกลิ้งไปมาอยู่ในท้องยังเจ็บปวดยิ่งกว่า…
อยากร้องไห้ยิ่งนัก แต่ข้าก็ไม่ได้ร้อง
เพราะโดยธรรมชาติแมวไม่มีน้ำตา…
โปรดติดตามตอนต่อไป