ข้ายืนอยู่ด้านข้างมองเขาทำงานมือไม้พันกันยุ่ง ถามด้วยความอยากรู้ขึ้นอีก “เพราะอะไรเจ้าต้องเอาของมาฝังไว้”
อิ๋นจื่อหันมาบอกข้าอย่างจริงจัง “ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า เกิดเทพปี้ชิงมาถึง เวลาหนีพวกเราแค่แบกห่อของไปก็ได้แล้ว”
“เหตุใดจึงต้องหนี” ข้าไม่เข้าใจ
“เพราะเขาร้ายกาจยิ่ง!” อิ๋นจื่อพูดไปก็หาตะกร้ากิ่งหลิวมาใส่เครื่องหยกไปด้วย
ข้าถามอีก “เปรียบกับฮวาเหมียวเหมียวแล้วยังร้ายกาจกว่า?”
“ใช่!” อิ๋นจื่อตอบอย่างเฉียบขาด
ครั้นแล้วข้าก็รีบไปเก็บปลาแห้งและไก่ตากแห้งทั้งหมดของตนใส่หีบห่อไว้ เอามาวางรวมกับเพชรพลอยของอิ๋นจื่อ เพื่อความสะดวกในการหนีในวันข้างหน้า
ช่วงกระวนกระวายจิตใจไม่สงบนี้ เทพปี้ชิงกลับไม่ได้มา ห่อของของอิ๋นจื่อนับวันก็ยิ่งห่อใหญ่ขึ้น ส่วนห่อของของข้านับวันยิ่งเล็กลง…
แต่ความเคยชินที่จะต้องวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาลั่วอิงเพื่อดูก้อนเมฆ ผึ่งแดด นอนเกียจคร้านกลับไม่เคยเปลี่ยน
ตอนนอนหลับ ข้าฝันไปมากมาย ในฝันมักปรากฏบุรุษผู้หนึ่ง ร่างคลุมด้วยแสงเงินแสงทองหลากสีสัน เท้าเหยียบเมฆมงคล ลักษณะท่าทางของเขาดูสง่าน่าเกรงขาม องอาจห้าวหาญยิ่ง เอวสะพายกระบี่วิเศษ ในอ้อมแขนกอดปลาแห้งอยู่ และพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ‘ฮวาเหมียวเหมียว ไป กลับบ้านกัน ข้าจะทำปลาให้เจ้ากิน’
ข้าเคยเล่าความฝันอันงดงามนี้ให้อิ๋นจื่อฟัง อิ๋นจื่อกลับไม่คำนึงถึงกิริยามารยาท เขาหัวเราะจนลงไปนอนกลิ้งกับพื้น ข้าจึงไม่พูดถึงอีก…
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่ดินฟ้าอากาศเหมาะแก่การนอนอย่างยิ่ง ข้าโก่งตัวขึ้น บิดขี้เกียจ อ้าปากกว้างหาวหวอด แล้วเลียๆ ขนตามตัว เตรียมจะหลับต่อ คิดไม่ถึงว่าที่สุดขอบฟ้าจะมีแสงเงินแสงทองปรากฏขึ้น
เหมือนในความฝันไม่มีผิด
มีบุรุษผู้หนึ่งเหยียบอยู่บนเมฆขาว ร่างคลุมด้วยแสงเงินแสงทองหลากสีสันเหาะมาทางที่ข้าอยู่ ร่างของเขาสูงโปร่ง เสื้อคลุมสีขาวกับเสื้อเกราะที่ทำด้วยเหล็กเป็นวงร้อยต่อกันสีเงินถูกแสงอาทิตย์อาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต เส้นผมดำทั้งศีรษะที่มัดรวบไว้ข้างหลังง่ายๆ ของเขาถูกสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นเล็กน้อยพัดปลิวปรายไปในอากาศ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของเขาประกอบกันได้อย่างงดงามไร้ที่ติ ไม่อาจเพิ่มหรือลดแม้แต่น้อยนิด โดยเฉพาะนัยน์ตาสีเขียวมีประกายนุ่มนวลยิ่งกว่าใบไม้คู่นั้น เปรียบกับหยกเขียวที่โปร่งใสที่สุดแล้วยังใสกระจ่างยิ่งกว่า คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน…หัวใจของข้าเต้นรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย
“เมี้ยว” ข้าพยายามทักทายเขาอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาได้ยินเสียงร้องของข้าก็กดเมฆลง มาถึงตรงหน้า มองดูข้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ข้าที่ไม่กลัวการพบปะผู้คนแล้วก็ก้าวเข้าไปอย่างขวัญกล้า เอาศีรษะถูไถรองเท้าหุ้มแข้งของเขาอย่างสนิทสนม เบิกดวงตาแวววาวกลมโตมองเขา รอเขาหยิบปลาแห้งออกมา
“เป็นเจ้าอีกแล้วปีศาจแมวน้อย ช่างไม่กลัวตายเสียจริง” เขาถอนใจออกมาทีหนึ่ง ก้มลงมา ยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมาแตะขนอ่อนนุ่มที่ศีรษะข้าเบาๆ หลังจากเห็นว่าไร้การต่อต้านก็วางลงมาทั้งมือแล้วเริ่มลูบไล้
มือของเขาเย็นมาก อากัปกิริยาในการลูบตามขนก็แข็งกระด้าง แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกสบายอย่างที่สุด ชอบเป็นอย่างยิ่ง
ขณะกำลังเสพสุขอยู่นั้น พลันมีเสียงอิ๋นจื่อร้องตะโกนมาจากด้านหลัง “ลูกพี่! รีบหนี! เขาคือเทพปี้ชิง!”
ข้ายังไม่ทันได้ทำความเข้าใจสามคำนี้ บุรุษผู้นั้นก็ยืนขึ้นทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่ง เขาชักกระบี่ยาวเย็นเยือกออกจากเอวตวาดใส่อิ๋นจื่อ “ปีศาจที่มาจงแจ้งชื่อเดี๋ยวนี้!”