ร่างกายของเหมียวเหมี่ยวรับไม่ไหวจริงๆ ครั้งสุดท้ายที่เธอออกกำลังกายอย่างหนักแบบนี้ก็คือตอนสอบปลายภาควิ่งแปดร้อยเมตรในวิชาพละสมัยเรียนปีหนึ่ง เธอวิ่งเสร็จก็เป็นลมไปเลย ตอนนี้เธอรู้สึกว่าทุกครั้งที่ขึ้นไปได้ชั้นหนึ่ง ก็เหมือนกับมีอะไรทิ่มแทงที่กลางฝ่าเท้าอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับว่าข้อเท้าผูกไว้ด้วยกระสอบทรายหนักห้าร้อยกิโลกรัม ทุกครั้งที่หายใจเข้าก็รู้สึกว่าจะสิ้นลมในวินาทีถัดไป
เสี่ยวเจิ้งอายุไล่เลี่ยกับเหมียวเหมี่ยว เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกดีกับเด็กสาวหน้าตาน่ารักทั้งยังอายุเท่ากันอย่างเหมียวเหมี่ยว เขาเดินขนาบเธอแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “เหมียวเหมี่ยว คุณไหวหรือเปล่า ให้ผมพักเป็นเพื่อนคุณก่อนมั้ย”
เฉินตั๋วหันกลับไปมองพวกเขาสองคน แล้วมองฟางไหลหยางที่อยู่ข้างๆ ตัวเองซึ่งกำลังมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้สีหน้าใดๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง เขาเองไม่ได้เข้าใจจิตใจของหัวหน้ามากนัก รู้ก็แต่ว่าวินาทีนี้ใบหน้าของหัวหน้ามีความอึมครึมอะไรบางอย่าง
พวกเขาเดินมาได้ครึ่งทางก็มีลานโล่งกว้างให้ทุกคนพักเหนื่อย และมีเตาสำหรับย่างบาร์บีคิวด้วย
ฟางไหลหยางก็ออกคำสั่งทันที “เอาล่ะ วันนี้ปีนถึงตรงนี้ก็แล้วกัน หลังกินมื้อกลางวันแล้วถ้าใครยังมีแรงก็ปีนขึ้นยอดเขากันเองนะ”
เฉินตั๋วมองนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะสิบโมงครึ่ง กินมื้อกลางวัน…ตอนนี้เนี่ยนะ?
แต่ว่าฟางไหลหยางพูดออกมาอย่างนี้แล้ว เฉินตั๋วก็ไม่อาจโต้แย้ง เขาสอบถามเพื่อนร่วมงานว่าจะพักกันตรงนี้ได้หรือเปล่า ย่างบาร์บีคิวกัน ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจจึงอดกลั้นไว้ไม่ได้เอ่ยอะไร อัดอั้นจนหน้าเสียกันไปหมด
“อ๊ะ? จะไปยอดเขากันไม่ใช่เหรอคะ” เหมียวเหมี่ยวงุนงง
เสี่ยวเจิ้งตบไหล่ของเธอ “ฮ่าๆๆ ดูแล้วเธอคงจะฝืนไปถึงยอดเขาไม่ไหวหรอก พักตรงนี้ก็แล้วกันนะ”
เหมียวเหมี่ยวไม่อาจตอบโต้ แค่เพียงเงยหน้าขึ้นก็เห็นฟางไหลหยางมองมาที่เธอ สายตาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ยังไม่ทันมองให้ชัดก็ได้ยินเสี่ยวเจิ้งกระแอมขึ้นสองครั้ง พึมพำอะไรสักอย่างแล้วก็เดินจากไป เหมียวเหมี่ยวมองเงาหลังของเขาด้วยความสงสัย ไม่ว่ามองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนว่าเขาหนีเตลิดไป
ฟางไหลหยางโบกมือให้เธอ เหมียวเหมี่ยวเดินเข้าไปหา “เรียกฉันเหรอคะ”
ฟางไหลหยางพยักหน้า “วางกระเป๋าลงสิ พวกเราพักกันหน่อยเถอะ”
เหมียวเหมี่ยวมองดู ‘บรรดาเพื่อนๆ’ ของฟางไหลหยางเริ่มวางเตาย่าง จุดไฟ เอาไม้เสียบผักต่างๆ ก็ขมวดคิ้ว เธอค่อนข้างรู้สึกผิด “งั้นฉันไปช่วยด้วยดีกว่านะคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ฟางไหลหยางดึงแขนเธอเอาไว้
“แต่ว่า…”
“คุณพักให้สบายเถอะ ในกระเป๋าผมมีหนังสือ ถ้าเบื่อก็เอาไปอ่านได้นะ” ฟางไหลหยางเอ่ยจบก็ถอดเสื้อคลุมออก เปลี่ยนเป็นสเว็ตเตอร์ที่ใส่สบายกว่า แล้วตามหลังเลขาฯ คนหนึ่งไปล้างผัก
เหมียวเหมี่ยวอึ้งอยู่นานสองนาน เห็นนิ้วมือเรียวยาวของฟางไหลหยางแยกส่วนรากของผักกวางตุ้งออกด้วยความชำนาญ ล้างอย่างละเอียด ใบหน้าที่ก้มลงถูกผมบังเอาไว้เล็กน้อย เห็นดวงตาได้ไม่ชัดนัก ทว่าริมฝีปากที่เม้มแน่นบอกเหมียวเหมี่ยวว่าชายคนนี้เป็นคนทำอะไรตั้งใจ แม้…เธอจะเห็นพี่สาวที่อยู่ข้างๆ เขามีท่าทีตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกก็ตามที