บทที่สอง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วซย่าหมิ่นไม่ได้ออกไปเปิดแผงรักษาโรคในทันที แต่ไปขุดดินตรงหลังบ้านหลานๆ เห็นเข้าก็ร้องถามอย่างดีอกดีใจ “ท่านอาใหญ่จะมาเล่นดินกับพวกเราหรือ”
“ท่านอาใหญ่ มาเล่นด้วยกันนะ เล่นด้วยกัน”
ซย่าหมิ่นตอบอย่างขันๆ “อย่ากวนสิ อากำลังทำงานอยู่”
จากนั้นนางก็วางกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เตรียมมาไว้กับพื้น นั่งยองๆ ขุดดิน แล้วตักดินร่วนซุยใส่กล่อง เสียงเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่รู้ว่าอาหญิงกำลังทำอะไร ดวงตากลมโตใสแจ๋วสองคู่เฝ้ามองเหมือนสิ่งที่นางกำลังทำดูน่าสนุกมากๆ
ซย่าหมิ่นเกลี่ยดินให้เรียบเสมอกัน แล้วเงยหน้าขึ้นบอก “เสร็จเรียบร้อย นี่คือกล่องมูลแมว เป็นส้วมของมีมี เอาวางไว้ตรงที่ใดดีนะ”
“มีมีก็มีส้วมเหมือนกันหรือ” พวกเด็กๆ พากันตื่นเต้น
“ใช่ พวกเรามีส้วม มีมีก็ต้องมีส้วมเป็นของตนเองเหมือนกัน”
ดินเช่นนี้ไม่ดีเท่าทรายแมวก็จริง แต่อย่างน้อยยังพอใช้ได้
“ส้วมอะไรกัน” ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนเดินออกมาทางประตูหลังบ้านแล้วได้ยินเข้าจึงสาวเท้าเข้ามาหา
“เหตุใดแมวถึงต้องมีส้วมด้วยเล่า ปัสสาวะไปทั่วเหมือนหมาไม่ได้หรือ” น้องชายถามอย่างข้องใจ
“ไม่ได้ แมวมีนิสัยรักสะอาด อีกอย่างเช่นนี้ดีต่อสุขอนามัยด้วย มันเข้าๆ ออกๆ บ้านที่เราอยู่ จะได้สะอาดหน่อย” ซย่าหมิ่นอธิบาย
ซย่าจื้อกับซย่าเจวี้ยนพยักหน้ายิกๆ สมแล้วที่เป็นพี่ใหญ่ ความคิดกว้างไกลกว่าพวกตนจริงๆ
ท่านมีมี…หรือก็คือลิ่นจื่อเชินตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองยังติดอยู่ในร่างแมวเหมือนเดิมก็ทำหน้าบูดราวกับเบื่อโลก อยากเดินหนีไปให้พ้นๆ เพื่อปฏิเสธว่าตนไม่ใช่มีมี แต่คำว่า ‘ส้วม’ ดึงดูดความสนใจได้ชะงัด จนเขาอดจะเดินเข้าไปดูไม่ได้
นี่น่ะหรือส้วมของเขา
ลิ่นจื่อเชินพิพักพิพ่วนกับกล่องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใส่ดินไว้จนเต็ม แต่กระนั้นก็ยังก้าวขึ้นไปย่ำตามสัญชาตญาณ ปรากฏว่าให้ความรู้สึกดีมากทีเดียว สามารถใช้ดินกลบได้โดยไม่ทำให้เท้าของเขาสกปรก
“มีมีท่าทางจะชอบส้วมนี้มากเลย” เสียงเอ๋อร์ร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ
“มีมีกำลังจะชิ้งฉ่องในนั้นแล้วใช่หรือไม่” เฉี่ยวเอ๋อร์ทำตาโต
เขาไม่ใช่แมว เรื่องอะไรจะปัสสาวะในนี้! ลิ่นจื่อเชินฟังแล้วโมโห รีบกระโดดออกจากกล่องมูลแมวทันที
ซย่าหมิ่นเห็นมีมีทำท่าอายก็หัวเราะ “มีมีคงอายน่ะ ดูท่าข้าต้องหาผ้ามาบังให้เสียแล้ว มีมีจะได้ชิ้งฉ่องได้อย่างสบายใจ”
สตรีผู้นี้! ลิ่นจื่อเชินมองนางด้วยสายตาเย็นชาเมื่อถูกนางหัวเราะเยาะ
เจ้าแมวตัวนี้จ้องหน้านางอีกแล้ว ตอนแรกนางยังคิดว่าสายตาเย็นชาของมันดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่คิดดูอีกที ต่อให้เย็นชาเพียงใดมันก็เป็นแค่แมวตัวหนึ่ง นางจะกลัวไปไยเล่า “ขี้โมโหจริงนะ”
แมวตัวนี้ทั้งเจ้าอารมณ์ทั้งเย่อหยิ่งจนนางอยากแกล้งแหย่เล่น
จริงสิ! ซย่าหมิ่นนึกครึ้มเลยไปหาไม้ไผ่มาผูกกับพู่ซึ่งทำมาจากเศษผ้า
“ท่านอาใหญ่ นี่คืออะไรหรือ” จอมซนทั้งสองถามด้วยความอยากรู้
นางมองมีมีพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “หึๆ นี่เรียกว่าไม้ตกแมว”
“ไม้ตกแมว?”
“พี่ใหญ่ ไม้ตกแมวนี่มีไว้ทำอะไร” ซย่าเจวี้ยนถามอย่างสงสัย
“ลองเล่นดูเดี๋ยวก็รู้” ซย่าหมิ่นเดินเข้าไปหามีมี